ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 192 (2) หลินอันโง่เง่าก็มีประโยชน์

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 192 (2) หลินอันโง่เง่าก็มีประโยชน์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 192 (2) หลินอันโง่เง่าก็มีประโยชน์
ภรรยาหม้ายของโจวหมินหรือ

เมื่อได้ยินคำนี้ ปฏิกิริยาแรกของสวี่ชีอันก็คือ นางพูดโกหก

นอกจากพวกเจ้าหน้าที่แล้ว ขุนนางระดับสูงๆ ในแต่ละพื้นที่ของต้าฟ่ง ตั้งแต่สมุหเทศาภิบาลไปจนถึงนายอำเภอ ล้วนแต่เป็นคนต่างถิ่นทั้งสิ้น

ในฐานะที่โจวหมินเป็นเสมียนคนหนึ่งของกรมเสมียนตราและกรมบัญชาการทหาร เขาก็ย่อมไม่ใช่ข้อยกเว้น อีกอย่าง เสมียนก็เป็นเพียงตำแหน่งขุนนางเบื้องหน้าของเขา แต่ฐานะเบื้องหลังนั้นเป็นสายลับของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล

เว่ยเยวียนจะยอมให้สายลับคนหนึ่งเก็บภรรยาไว้ข้างตัวหรือ แบบนั้นจะไม่กลายเป็นนกสองหัวที่พร้อมจะเข้าข้างภรรยาตลอดเวลาหรืออย่างไร

“โจวหมินหรือ” ผู้ตรวจการจางขมวดคิ้ว “เขาได้รับความอยุติธรรมใดหรือ”

นั่นเป็นการแสดงที่บอกว่า ‘โจวหมินเป็นใคร ข้าไม่รู้จัก’

หยางอิงอิงเอ่ยอย่างเศร้าโศก “สามีของข้าเดิมเป็นเสมียนคนหนึ่งในกรมบัญชาการทหารของอวิ๋นโจวเจ้าค่ะ”

ผู้ตรวจการจางตกตะลึง ท่าทีเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เขาค้อมตัวลงไปคุกเข่าคุยกับหยางอิงอิง “ที่แท้ก็เป็นภรรยาของเสมียนโจวนั่นเอง เกิดเรื่องใดกับเสมียนโจวหรือ เหตุใดฮูหยินถึงต้องเดินทางไปร้องเรียนไกลถึงชิงโจวด้วย ชิงโจวกับอวิ๋นโจวเป็นมณฆลที่อยู่ในระดับเดียวกัน ไม่แน่ว่าสมุหเทศาภิบาลหยางผู้นั้นอาจไม่รับทำคดีนี้ก็ได้ อืม ข้าเป็นผู้ตรวจการตรวจสอบอวิ๋นโจว สามสำนักงานของอวิ๋นโจวล้วนต้องฟังคำสั่งข้า ฮูหยินมีเรื่องร้องทุกข์อันใด โปรดบอกมาได้เลย”

ปรากฏว่าไม่ใช่แค่ผู้หญิงเท่านั้นที่เกิดมาเพื่อเป็นนักแสดง การแสดงของขุนนางก็ไม่เป็นสองรองใครเสียด้วย…สวี่ชีอันรับชมเงียบๆ มองดูเหล่าจางเปิดการแสดงเดี่ยว

หยางอิงอิงลังเลพักหนึ่ง ก่อนจะจ้องมองผู้ตรวจการจางแล้วเอ่ยว่า “ใต้เท้า ข้าขอดูเอกสารแต่งตั้งของท่านได้หรือไม่ หรือว่าตราประจำตำแหน่งก็ได้เจ้าค่ะ”

ทันทีที่เอ่ยออกมา ผู้ตรวจการจางและเหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ขมวดคิ้วขึ้นพร้อมกัน

เหล่าฆ้องทองแดงและฆ้องเงินอดไม่ได้ที่จะกระชับดาบพกในมือ พลางเพ่งพินิจดูหยางอิงอิง

นี่ไม่ใช่คำพูดที่หญิงชาวบ้านทั่วไปจะเอ่ยออกมา แม้ว่านางจะเป็นฮูหยินของเสมียนก็ตาม

นางรู้ว่าอะไรเป็นอะไรเสียด้วย…สวี่ชีอันก็กุมดาบพกไว้เช่นกัน เขาจ้องหยางอิงอิงเขม็ง บนตัวของผู้หญิงคนนี้ไม่มีพลังปราณผันผวนแม้แต่น้อย ใช้สายตาตรวจวัดเรือนร่างแล้วก็ดูไม่เหมือนพวกที่ฝึกยุทธ์

แต่ตัดตัวเลือกที่ว่าอีกฝ่ายเป็นจอมยุทธ์ไปได้เพียงข้อเดียว ส่วนสายการฝึกตนอื่นๆ ยังคงคลุมเครือเพราะยังมีกลยุทธ์อีกมากมาย จึงไม่อาจประมาทได้

ผู้ตรวจการจางถอยหลังไปสองก้าวอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “รบกวนฆ้องทองคำเจียงนำเอกสารและตราประทับของข้าออกมาด้วย”

‘ปอดแหก’ …เจียงลวี่จงปรายตามองเขาแล้วหยิบเอกสารกับตราประทับออกมา

ผู้ตรวจการจางไม่รับ เมินเฉยต่อท่าทางของเจียงลวี่จงโดยปริยายแล้วมองไปยังหยางอิงอิง “ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นภรรยาของท่านเสมียน จึงอนุญาตให้เจ้าดู”

เจียงลวี่จงทำได้แค่เดินขึ้นไปหานางแล้วแสดงเอกสารกับตราประทับ

หยางอิงอิงดูอย่างละเอียดอยู่เนิ่นนาน ความจริงนางเพิ่งจะเคยเห็นเอกสารแต่งตั้งเป็นครั้งแรก เมื่อกวาดสายตาพบกับ ‘อวิ๋นโจว’ ‘ผู้ตรวจการ’ สองคำนี้ และมองเห็นตราประทับสีแดงชาด นางก็ไม่สงสัยสิ่งใดอีก

จนถึงตอนนี้ การที่อีกฝ่ายยอมถกเถียงกับผู้หญิงอ่อนแอเช่นนางตั้งนานขนาดนี้ ก็ถือเป็นการแสดงความจริงใจอย่างหนึ่งแล้ว

หยางอิงอิงคุกเข่าลงไปอีกครั้งแล้วก้มหน้าเอ่ย “ข้าน้อยชื่อหยางอิงอิง เดิมเป็นสตรีในสำนักสังคีตของอวิ๋นโจว หลายปีก่อนได้ผูกสมัครรักใคร่กับใต้เท้าโจว จึงหลุดพ้นสถานะต่ำต้อยและปรนนิบัติอยู่ข้างกายใต้เท้าโจวมาตลอดเจ้าค่ะ…”

ทุกคนเผยสีหน้า ‘ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้’ ออกมาอย่างรู้ใจ

…ที่แท้ก็เป็นคนขายของทะเลนั่นเอง มิน่าได้ถึงมีความรู้มากกว่าสตรีทั่วไป ทั้งยังรู้จักขอดูเอกสารกับตราประทับราชการด้วย สวี่ชีอันเข้าใจทันที

ในยุคสมัยนี้ คนขายของทะเลก็คือกลุ่มสตรีที่มีการศึกษาและมีวัฒนธรรมสูงส่งในหมู่สตรีทั้งหลายนั่นเอง ทั้งด้านฉิน หมาก อักษร ภาพวาด โคลงกลอน ล้วนเชี่ยวชาญไปทุกเรื่อง

หยางอิงอิงพูดคร่าวๆ ไม่กี่ประโยคเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของนางกับโจวหมิน เอ่ยตามตรงว่าตนเป็นสตรีที่ถูกเลี้ยงไว้นอกบ้าน โจวหมินจะมาพบนางเป็นครั้งคราวเท่านั้น

“ช่วงก่อนหน้านี้ จู่ๆใต้เท้าโจว ก็มาหาข้าแล้วมอบของบางอย่างให้ เขาบอกว่าช่วงนี้ตนอาจตกอยู่ในอันตราย ถ้าหากมีอันเป็นไป ก็ให้ข้ารีบหลบซ่อนตัวทันที จากนั้นให้หาวิธีออกจากอวิ๋นโจวแล้วมอบของสิ่งนี้ให้กับใต้เท้าหยางสมุหเทศาภิบาลแห่งมณฑลชิงโจว ผ่านไปไม่นาน ข้าก็ได้รับข่าวว่าใต้เท้าโจวสิ้นลมเจ้าค่ะ…” หยางอิงอิงน้ำตาไหลรินอาบหน้า ร้องไห้สะอึกสะอื้น

“ข้าน้อยทั้งเจ็บปวดและหวาดกลัว ไม่กล้าอยู่ต่อ จึงไปหลบอยู่ในบ้านของพี่น้องผู้หนึ่ง แล้วไหว้วานให้นางไปสืบข่าวคราวหลังจากซ่อนตัวได้พักหนึ่ง พี่น้องผู้นั้นของข้าก็บอกข้าว่าอีกไม่นานกองคาราวานของท่านจ้าวไปเดินทางไปชิงโจว ข้าจึงยืมเงินนางมายี่สิบตำลึง ซื้อม้าหนึ่งตัว แล้วตามกองคาราวานออกจากอวิ๋นโจวเจ้าค่ะ…”

เรื่องราวต่อจากนั้น ทุกคนก็รู้กันแล้ว

สวี่ชีอันมองดูด้วยสายตาเย็นชา พิจารณาดูท่าทางการแสดงออกของอย่างอิงอิง ครั้งนี้ยามที่นางพูดจา แววตาไม่ล่อกแล่กและมีน้ำเสียงโศกเศร้า เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

มองไม่เห็นส่วนที่ปลอมแม้สักนิด

ดังนั้นเขาจึงหันไปมองหาเบาะแสในคำพูดของหยางอิงอิง โจวหมินไม่ได้เปิดเผยฐานะสายลับของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลออกมาจนกระทั่งวันตาย แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพื่อนที่ไว้ใจได้โดยสมบูรณ์ก็ตาม ซึ่งหมายความว่าโจวหมินเป็นสายลับผู้เพียบพร้อมคนหนึ่ง

หากเขาบอกฐานะของตนออกไปง่ายๆ แบบนั้นจะดูน่าสงสัยอย่างยิ่ง

ส่วนสาเหตุที่ว่าทำไมต้องถ่อไปหาฆราวาสจื่อหยางที่ชิงโจว แต่ไม่ไปมณฑลอื่นที่อยู่ข้างเคียงกันนั้น สวี่ชีอันเดาว่าโจวหมินคงไม่เชื่อใจใคร แต่เชื่อถือเพียงปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักอวิ๋นลู่เท่านั้น

อย่างแรก เมื่อเทียบกับปัญญาชนธรรมดาทั่วไป เนื่องจากระบบการฝึกตน ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักอวิ๋นลู่จึงมีบุคลิกนิสัยที่ควรค่าแก่การไว้วางใจ เพราะสุดท้ายแล้วหากเป็นคนเลวก็เดินบนเส้นทางสายลัทธิขงจื๊อไม่ได้

อย่างที่สอง ปัญญาชนที่เล่าเรียนมาจากสำนักอวิ๋นลู่และราชวิทยาลัยหลวงเป็นคู่แข่งทางลัทธิเต๋า หากยึดหลักที่ว่าศัตรูของศัตรูคือมิตร การไปหาฆราวาสจื่อหยางจึงเป็นตัวเลือกที่ถูกต้อง

ผู้ตรวจการจางขมวดคิ้ว “เจ้าสงสัยว่าโจวหมินถูกฆาตกรรมหรือ”

หยางอิงอิงพยักหน้าเต็มแรง “ชัดเจนอยู่แล้วมิใช่หรือเจ้าคะ ขอให้ใต้เท้าคืนความเป็นธรรมให้สามีข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ”

“เรื่องนี้…” ผู้ตรวจการจางเงียบงันไปพักหนึ่ง “ได้ ข้ารับปาก เจ้านำของที่เสมียนโจวมอบให้เจ้าเป็นครั้งสุดท้ายออกมาหน่อย”

หยางอิงอิงก้มหัวให้ทันที “ขอบคุณใต้เท้าเจ้าค่ะ”

สวี่ชีอันอดมองต่างออกไปไม่ได้ เล่ห์กลครั้งนี้ของเหล่าจางใช้ได้เลย สมแล้วที่เป็นคนเจนจัดในแวดวงขุนนาง ในเมื่อทำงานกับเว่ยเยวียน จิตใจก็ต้องสกปรกกันบ้าง

หยางอิงอิงยืดตัวตรงแล้วควานหาในอก ก่อนนำป้ายหยกครึ่งชิ้นออกมาแล้วยื่นให้ด้วยสองมือ “นี่คือของที่ใต้เท้าโจวมอบให้ข้าในเย็นวันนั้นเจ้าค่ะ”

สายตาของทุกคนก็เพ่งไปยังป้ายหยกชิ้นนั้น

มันคือป้ายหยกทรงครึ่งวงกลม ทั้งชิ้นเป็นสีเขียวใส เดิมทีมันควรจะเป็นหยกทรงกลมชิ้นหนึ่ง แต่ตรงกลางถูกอาวุธมีคมผ่าออกเป็นสองส่วน

เจียงลวี่จงรับป้ายหยกมาแล้วมอบให้ผู้ตรวจการจาง คนหลังใช้นิ้วลูบคลำแล้วเงียบงันไม่พูดจา

“สิ่งนี่ดูแล้วถือเป็นหลักฐานได้ไหม” เจียงลวี่จงเอ่ยเสียงเบา พอเขาพูดจบก็มองสวี่ชีอันเพื่อขอความเห็นจากเขา

ผู้ตรวจการจางก็มองมาเช่นกัน

มองข้าทำไม ข้าสืบคดีได้ แต่ไม่ใช่หมอดูนะ…พวกเจ้าสองคนไม่ปิดบังความคิดที่จะใช้ข้าเป็นเครื่องมือมนุษย์แม้แต่นิดเลยนะ…สวี่ชีอันเอ่ยอย่างนิ่งขรึม “ไปที่อวิ๋นโจวก่อนเถอะ เดาสุ่มไปก็เท่านั้นขอรับ”

ผู้ตรวจการจางเก็บป้ายหยกพลางเอ่ยสั่งทหารทุกคน “เดินทางต่อ ไปยังอวิ๋นโจว”

เมื่อขุดหลุมฝังศพและนำพ่อค้าและสินค้าที่โชคดีเหลือรอดอยู่ไปด้วยกัน ทั้งคณะก็ออกเดินทางต่อ แล้วมุ่งไปตามถนนหลวงสู่อวิ๋นโจว

ดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้า ความอบอุ่นแผ่กระจาย ในยามเช้าที่หาได้ยากเช่นนี้ ฮว๋ายชิ่งฝึกกระบี่เสร็จสิ้นแล้ว กำลังจะสั่งให้นางกำนัลไปเตรียมน้ำร้อน แต่พอหันหน้าไปก็เห็นนางกำนัลกำลังเดินหมากอยู่ในศาลา

ฮว๋ายชิ่งขมวดคิ้ว ไม่ใช่ไม่พอใจที่นางกำนัลเดินหมากกัน แต่เป็นเพราะพวกนางเล่นหมากรุกไม่เป็นต่างหาก

นางไม่ได้ส่งเสียงเรียก แต่เดินเข้าไปใกล้ศาลาเงียบๆ แอบมองดูนางกำนัลทั้งสองเดินหมากกัน

เหล่านางกำนัลตัวน้อยผู้งดงามหมดจดหลงลืมตัวไปสิ้นเชิง มัวแต่จมอยู่กับการต่อสู้ฟาดฟันบนกระดานหมาก ไม่ได้สังเกตเห็นว่าเจ้านายของตนเข้ามาใกล้

พวกนางวางหมากอย่างไร้กฎเกณฑ์ ไม่เป็นแบบแผน ไม่รู้จักแย่งชิงตำแหน่งได้เปรียบ ทั้งยังวางหมากได้เร็วราวกับแมลงบินจนส่งเสียงเสียงดังก๊อกแก๊กเหมือนไม่ได้คิด

คิ้วของฮว๋ายชิ่งขมวดแน่นขึ้นเรื่อยๆ วิธีวางหมากเด็กเล่นเช่นนี้ สำหรับนางที่เป็นยอดฝีมือของแผ่นดินแล้ว นางรู้สึกรับไม่ได้อย่างยิ่ง แต่พอมองไปพักหนึ่งนางก็เข้าใจ

หมากเช่นนี้ง่ายอย่างยิ่ง นั่นก็คือแข่งขันว่าใครวางเรียงห้าตัวได้ก่อนกัน จะแนวตั้ง แนวนอน แนวเฉียงล้วนไม่เกี่ยง ใครเรียงต่อกันห้าตัวได้ก่อน คนนั้นคือผู้ชนะ

จึงอดเอ่ยขึ้นไม่ได้ว่า “นี่มันหมากอะไรกัน”

นางกำนัลทั้งสองตกใจจนสะดุ้ง ผุดลุกขึ้นอย่างตื่นตระหนกแล้วเอ่ยตอบเสียงเล็กเสียงน้อย “เป็นหมากเรียงห้าตัวเพคะ”

‘หมากเรียงห้าตัว มันคืออะไรกัน’

ฮว๋ายชิ่งผู้มากความรู้ชะงักนิ่ง

นางกำนัลอีกคนอธิบายว่า “แพร่มาจากทางองค์หญิงหลินอันเพคะ ตอนนี้นิยมกันไปทั่วทั้งวังแล้ว ทุกคนล้วนเล่นกันทั้งนั้นเพคะ”

ทุกคนที่นางหมายถึงก็คือพวกทหารองครักษ์และเหล่านางกำนัลในพระราชวัง

“ได้ยินว่าแม้แต่เฉินกุ้ยเฟยก็ยังตรัสว่าน่าสนุกด้วยนะเพคะ” นางกำนัลอีกคนเอ่ย

‘หลินอัน? นางเป็นแค่ผู้หญิงโง่เง่าเท่านั้นนี่’ …ฮว๋ายชิ่งพยักหน้ากล่าวว่า “ข้าอยากอาบน้ำ บอกพ่อครัวด้วยว่าไม่ต้องเตรียมมื้อกลางวัน”

เช้าวันนี้จักรพรรดิหยวนจิ่งจะจัดเลี้ยงเสวยพร้อมหน้า เหล่าโอรสธิดาจะไปเสวยพระกระยาหารที่ตำหนักเฉียนชิง

เมื่ออาบน้ำเสร็จ องค์หญิงฮว๋ายชิ่งก็ออกจากที่ประทับไปยังตำหนักเฉียนชิง

นางได้พบกับเหล่าพี่น้องทั้งหลายในห้องโถงหรูหราโอ่อ่าตระการตา ในสถานที่ที่ไม่มีนางอยู่ หลินอันผู้ชอบสวมชุดสีแดงและสวมเครื่องประดับงดงามหรูหรามักจะเป็นจุดศูนย์กลางของบทสนทนาเสมอ

แต่วันนี้ออกจะแตกต่างเป็นพิเศษ เหล่าพระอนุชาและพระขนิษฐาเพียงพยักหน้าทักทายให้กับฮว๋ายชิ่งแล้วสนทนาเรื่องเมื่อครู่กันต่อโดยไม่สนใจนาง

“หลินอันได้สร้างการละเล่นขึ้นมาใหม่ กฎของหมากเรียงห้าตัวเข้าใจง่าย พอเล่นแล้วก็รู้สึกสนุก แม้แต่เหล่าข้ารับใช้ในวังของข้ายังเล่นเก่งกันง่ายๆ อย่างสนุกสนานทีเดียว”

“นามอันยิ่งใหญ่ขององค์หญิงหลินอันของพวกเราก็จะกึกก้องไปทั่วแล้ว”

ยายตัวร้ายใบหน้ากลมเกลี้ยงนัยน์ตาดอกท้อพึงพอใจกับคำประจบสอพลอของเหล่าพี่น้อง มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มหวานหยด ทั้งยังเอ่ยตอบรับคำชมอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวสองสามคำ

เหมือนแม่ไก่น้อยจอมเย่อหยิ่งที่อยากจะอวดโอ่แต่ก็ยังห้ามใจไว้

เมื่อเห็นฮว๋ายชิ่งเข้ามา นางก็ค่อยๆ เชิดคางขาวราวหิมะขึ้น แสดงท่าทางเย่อหยิ่งออกมา

‘อิจฉาข้าเร็ว อิจฉาข้าเร็ว’ …ในใจของยายตัวร้ายเอ่ยพึมพำ ใช้หางตาปรายมองฮว๋ายชิ่ง

แต่ฮว๋ายชิ่งผู้เย็นชาแค่นั่งลงดื่มชาสองสามคำ ไม่ได้สนใจน้องสาวโง่เง่าแม้แต่น้อย

‘ฮึ่ม…ฮว๋ายชิ่งอิจฉาข้าจริงๆ สินะ’ ยายตัวร้ายเอ่ยปลอบตัวเองในใจหนึ่งที

องค์หญิงฮว๋ายชิ่งเป็นองค์หญิงที่ไม่เข้าพวก ไม่ใช่แค่เพราะความหยิ่งทะนงของนางอย่างเดียว ยิ่งกว่านั้นยังเป็นเพราะเหล่าโอรสธิดาคาดเดาความคิดของนางไม่ออกเลย หัวข้อที่บรรดาองค์หญิงสนทนากันมักจะเกี่ยวกับเรื่องเสื้อผ้าสวยงามและแป้งชาดเครื่องสำอาง แต่สิ่งที่นางสนใจกลับเป็นสี่ตำราห้าคัมภีร์

เวลาที่บรรดาองค์ชายสนทนากันเรื่องสถานการณ์บ้านเมือง นางก็จะมักจะถามว่า ‘จะแก้ปัญหาน้ำท่วมได้อย่างไร จะปกครองข้าราชการได้อย่างไร’

บรรดาองค์ชายก็จะรู้สึกอึดอัดมาก ‘เรื่องนี้ใครมันจะไปรู้ พวกเราคุยกันเรื่องสถานการณ์โดยรวม เป็นปัญหาขนาดมหภาค อย่างเจ้านี่เรียกว่าต่อล้อต่อเถียงกันแล้ว’

เมื่อใกล้ยามเที่ยง ทหารองครักษ์ในตำหนักของจักรพรรดิหยวนจิ่งก็เข้ามาเชิญองค์ชายองค์หญิงทั้งหลายเข้าไป

ยายตัวร้ายวิ่งกุลีกุจอตามอยู่ด้านหลังเสด็จพี่องค์รัชทายาท กระโปรงยาวปลิวไสว พลันได้ยินเสียงของฮว๋ายชิ่งดังมาจากด้านหลัง “หลินอัน”

ยายตัวร้ายหัวเราะ “เฮอะ” ขึ้นมา ควบคุมสีหน้าของตนไม่อยู่โดยสิ้นเชิง นางกล่าวอย่างหยิ่งยโสว่า “อะไร!”

พอองค์ชายองค์อื่นๆ เดินไปไกลแล้ว ฮว๋ายชิ่งค่อยเอ่ยเสียงแผ่ว “ใครสอนหมากเรียงห้าตัวให้แก่เจ้า”

“ข้าคิดเอง” ความจริงหลินอันรู้สึกสับสนอย่างยิ่ง เพราะสวี่ชีอันเป็นคนสอนนาง นางไม่ควรยึดมาเป็นของตัวเองและควรจะมีมโนธรรม แต่พวกพี่ชายพูดจาน่าฟังยิ่งนัก นางจึงรู้สึกอาลัยอาวรณ์อยู่สักหน่อย

‘รอให้ผ่านไปอีกหน่อยข้าค่อยบอกว่าสวี่หนิงเยี่ยนสอนก็ได้’ …นางคิดในใจ

“อีกเดี๋ยวพอเสด็จพ่อถามขึ้นมา เจ้าก็ทูลเช่นนี้ไปจะดีที่สุด” ฮว๋ายชิ่งเดินห่างไป น้ำเสียงสุขุมไพเราะเอ่ยตักเตือนอย่างแยบยล “เสด็จพ่อไม่โปรดคนผู้นั้น ตอนที่เล่าต้องรู้จักใช้สมองด้วยล่ะ”

พูดจบ ฮว๋ายชิ่งก็เสริมอีกประโยค “ถ้าเจ้ามีนะ”

คำว่า ‘เพราะเหตุใด’ สามคำนี้ถูกยายตัวร้ายฝืนกลืนกลับลงไป นางเหมือนกับสิงโตน้อยที่แยกเขี้ยวกางเล็บ เดินตามฮว๋ายชิ่งไปพลาง ร้องตะโกนโมโหไปพลาง

“เจ้าน่ะสิไม่มีสมอง เจ้าน่ะสิที่ไม่มีสมอง!”

“ข้าสวยกว่าเจ้า ฉลาดกว่าเจ้า เจ้าดูเอาเถอะ สวี่หนิงเนี่ยนยังยอมเป็นวัวเป็นม้าให้ข้าด้วยความเต็มใจ ไม่ต้องการเจ้าแล้ว”

ฮว๋ายชิ่งหยุดฝีเท้าทันใดแล้วส่งสายตาโหดเหี้ยมมาให้

ยายตัวร้ายเหมือนแมวว่องไว นางกระโดดถอยหลังทันที ทั้งยังรู้สึกว่าตนขี้ขลาด ดวงตาดอกท้อจึงจ้องกลับอย่างดื้อรั้น

องค์หญิงฮว๋ายชิ่งยกมือขึ้น

“เสด็จพี่องค์รัชทายาท ฮว๋ายชิ่งจะตีข้า” ยายตัวร้ายร่ำร้องแล้วเดินหนี

ในงานเลี้ยงเสวย จักรพรรดิหยวนจิ่งก็เอ่ยถามเรื่องนี้ขึ้นมาจริงๆ

‘ฮว๋ายชิ่งรู้ได้อย่างไรว่าเสด็จพ่อจะถาม’ …หลินอันตื่นตระหนกในใจ เหลือบตามองฮว๋ายชิ่งที่นางเกลียดชังโดยไม่รู้ตัว ใบหน้างามสล้างของพี่สาวไม่เผยสีหน้าใดๆ สนใจเพียงมื้ออาหาร

ยายตัวร้ายกลอกตากลิ้ง ‘โคลงเคลง’ แล้วยิ้มออดอ้อน “เพราะหลินอันเป็นลูกของเสด็จพ่อ และเสด็จพ่อก็เป็นบุคคลที่ฉลาดที่สุดในโลกอย่างไรล่ะเพคะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งหัวเราะดีใจยกใหญ่

‘เสด็จพ่อสนใจเรื่องราวภายในวังจริงๆ ด้วย เหมือนกับตอนที่พระองค์กวาดตามองท้องพระโรงเงียบๆ’ …ฮว๋ายชิ่งกินข้าวด้วยใบหน้าไม่เปลี่ยนสี

นางไม่ได้เลี้ยงดูคนที่เชื่อใจได้ไว้ในตำหนัก ไม่เคยกระตือรือร้นสอบถามข่าวคราวในพระราชวัง แม้แต่หมากเรียงห้าตัวที่กำลังแพร่หลายในช่วงนี้นางก็ยังไม่รู้

ไม่ใช่ว่าฮว๋ายชิ่งไม่รู้ แต่นางแค่ไม่อยากรู้เท่านั้น

องค์หญิงฮว๋ายชิ่งจำต้องยอมรับว่า น้องสาวหลินอันผู้นี้แม้จะโง่เง่าเป็นที่สุด แต่ต่อให้เป็นขยะก็ยังมีประโยชน์ แค่ต้องดูว่าจะใช้งานนางอย่างไร

อย่างน้อยหากพูดถึงเรื่องจิตใจของเสด็จพ่อ ในพระราชวังนี้ไม่มีใครเอาชนะหลินอันได้เลย ซึ่งรวมไปถึงบรรดานางสนมที่ไม่ได้รับความโปรดปราน หรือแม้แต่พวกที่เคยได้รับความโปรดปรานด้วยเช่นกัน

………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด