ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่งบทที่ 414 ตั้งชื่อดาบ

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter บทที่ 414 ตั้งชื่อดาบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 414 ตั้งชื่อดาบ

เมล็ดบัวฝังเข้าไปในคมดาบ ราวกับติดอยู่บนดาบ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องใช้กล่องหยก…สวี่ชีอันร้องเฮ้อออกมา ข้าฉลาดจริงๆ

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ สวี่ชีอันนั่งอยู่ที่โต๊ะและจ้องมองอย่างกระตือรือร้น ป้องกันเมล็ดบัวตกลงบนโต๊ะ หากมันหล่อหลอมกับโต๊ะ เรื่องตลกจะเกิดขึ้น

หลังจากนี้เขาไม่จำเป็นต้องขี่แม่ม้าน้อยและนั่งบนโต๊ะเพื่อออกเดินทาง แต่อาศัยโต๊ะสี่ขาพาเขาข้ามผ่านภูเขาไปอย่างว่องไวอย่างนั้นหรือ

เขาใช้ศอกยันกับโต๊ะและเท้าคางอย่างเหม่อลอย เมื่อได้รับแรงบันดาลใจจากประสิทธิภาพของเมล็ดบัว เขาก็อดสะสางความคิดไม่ได้และนึกถึงเรื่องตลกที่น่าขบขันขึ้นมา

หากใช้เมล็ดบัวทำให้มือขวาตื่นรู้ มือขวาคงพูดว่า ‘ทำเก๊กแล้วยังต้องพึ่งพาข้า’

กางเกงในคงพูดว่า ‘เจ้าใส่ข้าไว้ที่ไหน’

บุหรี่คงพูดว่า ‘พวกเจ้าทั้งคู่หุบปากและดูดข้า’

ฝักดาบคงพูดว่า ‘บ้าเอ๊ย เจ้าพยายามสอดแทรกข้าอีกแล้วหรือ’

เมื่อคิดถึงตรงนี้ สวี่ชีอันก็หัวเราะออกมา

“เฮ้อ! ข้าทำได้เพียงมีความสุขอยู่คนเดียว ไม่อาจแบ่งปันได้…”

รอยยิ้มของเขาค่อยๆ จางหายไป มือข้างหนึ่งเท้าคาง นิ้วของมืออีกข้างหนึ่งเคาะโต๊ะอย่างเบื่อหน่าย เขารู้สึกว่าตัวเองค่อนข้างฟุ้งซ่าน “ดึกมากแล้วแต่สหายที่นัดไว้ยังไม่มา เคาะหมากล้อมเล่นจนเทียนละลายลงทุกที”

พระจันทร์เต็มดวงลอยสูง แสงจันทร์อันเยือกเย็นถูกบานกั้นหน้าต่างกันไว้นอกห้อง เสียงแมลงร้องแหลมดังขึ้นเป็นทอดๆ แสดงให้เห็นถึงความเงียบสงบยามค่ำคืน

บนชั้นไม้ริมหน้าต่างมีกระถางธูปหัวสัตว์วางอยู่ ซึ่งเผาเครื่องเทศสำหรับไล่ยุงไว้ บนภูเขามียุงเยอะมาก หากไม่เผาเครื่องเทศไล่ยุงในยามค่ำคืน ไม่มีทางนอนหลับ

แน่นอนว่าทหารที่สูงกว่าขั้นหกไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องยุงกัด

เวลาผ่านไปสามชั่วยามโดยไม่รู้ตัว แสงจันทร์หายลับไป ท้องฟ้านอกหน้าต่างก็เป็นสีคราม

ระหว่างกระบวนการนี้ สวี่ชีอันมองดูเมล็ดบัวเหี่ยวเฉาลงทีละน้อยและมองดูดาบยาวสีดำทองเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ มันไม่ได้คมขึ้น แต่มันทำให้รู้สึกว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ไม่มีชีวิตอีกต่อไปและดูเหมือนมันมีชีวิต

เมล็ดบัวที่ขาวนุ่มเหี่ยวเฉาลงโดยสมบูรณ์และตกลงสู่พื้น

‘วิ้ง!’

ขณะที่ดาบยาวสีดำทองสั่น มันก็บินขึ้นด้วยตัวมันเองและบินวนอยู่รอบๆ สวี่ชีอัน

มันดูสนิทสนมกับสวี่ชีอันมาก เหมือนลูกสนิทสนมกับพ่อแม่ของตัวเอง

ช่างเป็นความรู้สึกที่วิเศษจริงๆ แม้ว่ามันยังคงเป็นดาบ แต่ก็ทำให้ข้ารู้สึกว่ามันมีชีวิต เหมือนกับเด็ก เหมือนกับสัตว์เลี้ยง…สวี่ชีอันยกมุมปากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

เมื่อเห็นดาบยาวสีดำทองบินไปมาอยู่ในห้อง สวี่ชีอันก็อดนึกถึงหมาฮัสกี้ที่ตัวเองเลี้ยงในชาติก่อนไม่ได้ มันก็ร่าเริงแบบนี้เช่นกัน เวลาที่มีความสุขมันจะใช้หัวถูเขาอย่างต่อเนื่อง

ความคิดนี้เพิ่งผุดขึ้นมา เขาก็เห็นดาบยาวสีดำทองลอยลำอย่างงดงาม ปลายดาบเล็งมาที่เขาและพุ่งเข้ามา

อย่าๆๆ เดี๋ยวตาย…สีหน้าของสวี่ชีอันเปลี่ยนไปยกใหญ่

‘เคร้ง!’

เมื่อหลบไม่ทันการณ์ เขาจึงทำได้เพียงใช้พลังเทพวชิระ หน้าอกถูกกระแทกเสียงดัง เหมือนถูกเข็มทิ่มอย่างแรง ซึ่งเจ็บปวดเหลือคณานับ

พลังของดาบยาวสีดำทองเพิ่มขึ้นมาก ก่อนหน้านี้ข้าลองฟันตัวเอง ไม่เจ็บเลยสักนิด…สวี่ชีอันหน้าดำ เขาหันกายมาและทนรับ ‘การโอบล้อม’ ด้วยความรักของดาบพกอย่างเงียบๆ

‘เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!’

ดาบยาวสีดำทองเหมือนกับหมาฮัสกี้ที่สนุกสนาน มันใช้ ‘ศีรษะ’ พุ่งชนแผ่นหลังของสวี่ชีอันอย่างต่อเนื่อง เพื่อแสดงความสนิทสนม

หากข้าไม่ได้ฝึกฝนพลังเทพวชิระ ข้าอาจจะกลายเป็นเจ้านายคนแรกที่ถูกดาบพกของตัวเอง ‘รักจนตาย’ โชคดีที่ข้ามีพลังเทพคุ้มกายา อืม นี่ก็นับเป็นส่วนหนึ่งของโชคชะตาเช่นกัน

หลังจากนั้นนานมาก ดาบยาวสีดำทองก็แสดงความสนิทสนมเพียงพอและร่วงลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา

สวี่ชีอันคว้าด้ามดาบขึ้นมาและตั้งไว้ด้านหน้า เขาจับจ้องตัวดาบและกระซิบ “ต่อไปก็ตั้งชื่อให้เจ้า”

ตามคำกล่าวของจงหลี การตั้งชื่อเป็นส่วนที่สำคัญมากในการจดจำเจ้านาย อาวุธวิเศษที่มีจิตวิญญาณ หากมีชื่อแล้วจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้อีกต่อไป

ผู้ใดตั้งชื่อให้มันก็จะเป็นเจ้านายของมัน

ชื่อของดาบสยบดินแดนคือ ‘เจิ้นกั๋ว’ ซึ่งเป็นชื่อที่จักรพรรดิผู้สถาปนาตั้งให้

ด้วยเหตุนี้ดาบเจิ้นกั๋วจึงหมายถึงการสยบโชคชะตาของอาณาจักร ดังนั้น สวี่ชีอันจึงสามารถใช้มันได้

การได้รับชื่อมีความหมายที่เหนือจินตนาการมากสำหรับอาวุธวิเศษ เปรียบเสมือนการนิยามการมีอยู่ของมัน

สำหรับเจ้านาย นี่ก็เป็นการถามใจและการกล่าวปณิธานเช่นกัน

เลือกชื่ออะไรดีล่ะ…สวี่ชีอันครุ่นคิดอยู่นานมากและจู่ๆ เขาก็รู้สึกเลือดร้อนพลุ่งพล่านโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ราวกับมีการเหนี่ยวนำระหว่างสวรรค์กับโลกอยู่ลึกๆ

เขามีลางสังหรณ์ว่า การตัดสินใจที่สำคัญอย่างมากในชีวิตกำลังรอเขาอยู่

เขารู้สึกว่าห้องเล็กเกินไป หลังคาต่ำเกินไปและกักขังจิตวิญญาณของเขาไว้อย่างอธิบายไม่ถูก

‘ปัง!’

เขาผลักประตู ออกจากลานและเดินออกไปจนถึงยอดหน้าผา

เวลานี้ท้องฟ้าเป็นสีคราม ลมภูเขาพัดแรง พัดผมยาวกับชายเสื้อของเขาปลิวไสว ร่างทั้งร่างราวกับลอยอยู่และพร้อมจะบินต้านแรงลมไปได้ทุกเมื่อ

“ข้าเป็นนักท่องเที่ยวจากต่างโลก ในโลกนี้ ข้าไม่สักการะพระเจ้า ไม่สักการะพระพุทธเจ้า ไม่กราบไหว้จักรพรรดิและฟ้าดิน ข้ามีเพียงความปรารถนาหนึ่ง นั่นก็คือลดความอยุติธรรมบนโลกลง เป็นคนที่ใช้ชีวิตดั่งคน ไม่ใช่สัตว์และไม่พึงปรารถนาให้คดีสังหารหมู่ฉู่โจวเกิดขึ้นอีกครั้ง…ข้าจะเรียกเจ้าว่า ‘ไท่ผิง’ ตามข้ามา ไปขจัดความอยุติธรรมให้สิ้นและสร้างสันติสุขให้กับประชาชน! สร้างสันติสุขให้กับโลก!”

เขายกดาบยาวขึ้นสูง รู้สึกว่าหัวใจของเขาใสราวกับแก้ว ความคิดก็ชัดเจน

‘กริ๊ก!’

จี้หยกที่ท่านโหราจารย์มอบให้เพื่อปกปิดโชคชะตาเกิดรอยแตกขึ้น

ในเวลานี้เอง ดาบไท่ผิงสัมผัสได้และระเบิดจิตดาบออกพุ่งขึ้นไปบนฟ้า พุ่งตรงขึ้นไปบนหมู่เมฆและทะลวงผ่านก้อนเมฆบนยอดภูเขาเฉวี่ยนหรงไป

ทันใดนั้นนิมิตก็บังเกิดขึ้นที่ภูเขาเฉวี่ยนหรง ลมกรรโชกแรง พัดเมฆหมอกที่ปกคลุมตลอดทั้งปีสลายหายไป พัดกิ่งไม้แห้งใบไม้มากมายนับไม่ถ้วนปลิวไสว ผืนป่าสั่นสะท้าน มองจากไกลๆ ราวกับภูเขาทั้งลูกกำลังสั่นไหว

การเคลื่อนไหวเช่นนี้สร้างความตื่นตระหนกให้กับยอดฝีมือของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์แห่งภูเขาเฉวี่ยนหรงทั้งหมด รวมถึงหยางชุยเสวี่ย เซียวเยว่หนูและเจ้าลัทธิกับหัวหน้าคนอื่นๆ ที่พักอยู่บนภูเขา

“เกิดอะไรขึ้น”

“ศัตรูโจมตี มีศัตรูโจมตีหรือ รีบปลุกทุกคนเร็ว”

“นิมิตอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ มาจากผู้ศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายใดกัน หรือว่าจะเป็นขั้นสาม”

“นี่ใช่การแก้แค้นของผู้นำเต๋าแห่งนิกายปฐพีหรือไม่!”

ยอดฝีมือหลายคนพุ่งออกมาจากห้อง ถึงขั้นไม่ทันได้จุดเทียน

‘แกร๊ง! แกร๊ง! แกร๊ง!’

เสียงระฆังอันไพเราะและหนาแน่นดังก้องกังวานไปทั่วฟ้าและทุกมุมของภูเขาเฉวี่ยนหรง

นี่คือเสียงระฆังเตือนภัยสูงสุด ซึ่งบอกให้ทุกคนบนภูเขาป้องกันศัตรูโจมตี

ยอดฝีมือของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์พุ่งออกจากห้องทีละคนๆ และมายังที่โล่ง พวกเขาเห็นนิมิตอันน่าสะพรึงกลัวนี้ด้วยตาตนเอง ระหว่างฟ้าดินราวกับหลงเหลือเพียงพายุ กระแสลมหมุนขึ้นไปด้านบน พัดก้อนกรวด ใบไม้ กิ่งไม้แห้งและอื่นๆ ขึ้นไปด้วย

นิมิตฟ้าดินอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้เกินขีดจำกัดของมนุษย์ธรรมดาๆ ไปแล้ว

เซียวเยว่หนูสวมเสื้อคลุมสีชมพูปกปิดเรือนร่างอันโค้งเว้า ข้างในนางสวมชุดชั้นในสีขาว เรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน นางจึงไม่มีเวลาสวมชุดกระโปรงที่ซับซ้อน

เครื่องประดับก็ถูกถอดออก ใช้เพียงริบบิ้นสีเหลืองอ่อนมัดเส้นผมสีดำ

นางกระโดดขึ้นไปบนหลังคา มองไปรอบๆ และเห็นหยางชุยเสวี่ยกับคนรู้จักสองสามคน

“เกิดอะไรขึ้น” เซียวเยว่หนูถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาและกำพัดหักกระดูกเงินในมือแน่น

“บรรพชนบุกทะลวงหรือไม่ก็ศัตรูโจมตี” ฟู่จิงเหมินเอ่ยเสียงขรึม “ข้าก็เพิ่งออกมาเช่นกัน”

เจ้าลัทธิกับหัวหน้าทุกคนมีสีหน้าเคร่งขรึมและพร้อมรบ

“ใช่ผู้นำเต๋าแห่งนิกายปฐพีหรือไม่” เซียวเยว่หนูเลิกคิ้วและทำการคาดเดา

นางกำพัดแน่นโดยไม่รู้ตัว

สีหน้าของฟู่จิงเหมินและคนอื่นๆ หม่นลงพร้อมกัน หากเป็นนิกายปฐพีโจมตี ก็คงเป็นคฤหาสน์เยวี่ยจืออย่างแน่นอน แต่ไม่นานพวกเขาก็พบว่าคฤหาสน์เยวี่ยจือว่างเปล่าร้างผู้คน ด้วยความโกรธ พวกเขาจึงมาแก้แค้นกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์

แม้ว่าในยุทธภพกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์จะเป็นยักษ์ใหญ่ แต่เมื่อเทียบกับลัทธิเต๋าทั้งสามนิกายก็ยังคงแตกต่างมาก เว้นเสียบรรพชนจะลงมือด้วยตนเอง

แต่ถึงกระนั้น การต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งสูงสุดก็ยังคงเป็นหายนะใหญ่สำหรับภูเขาเฉวี่ยนหรง

ในเวลานี้เอง หยางชุยเสวี่ยก็เอ่ยว่า “ผู้นำกลุ่มพันธมิตร!”

เมื่อมองตามสายตาของเขาไป เฉาชิงหยางในชุดสีม่วงกระโดดออกจากลานหลัก เขากระโดดขึ้นๆ ลงๆ อยู่บนหลังคาและมาหยุดอยู่ตรงหน้าทุกคน

“ใช่ผู้นำกลุ่มพันธมิตรเฒ่าบุกทะลวงหรือไม่”

“ใช่ศัตรูโจมตีหรือไม่ เฉาเหมิงจู่”

เหล่าผู้นำลัทธิกับหัวหน้าถามออกไปทีละคน

สีหน้าของเฉาชิงหยางเคร่งเครียด เขาเอ่ยเสียงขรึม “ไม่ใช่บรรพชน…”

ทุกคนต่างมองหน้ากันไปมาและไม่แสวงหาความโชคดีใดๆ

เฉาชิงหยางไม่ได้พูดอะไรอีก เขารีบล็อกที่มาของพายุและพุ่งออกไปก่อน

หยางชุยเสวี่ยและคนอื่นๆ ตามไป

ในไม่ช้า พวกเขาก็ออกจากอาคารและอ้อมไปทางซ้ายของยอดเขาหลัก ที่นั่นมีหน้าผาอยู่แห่งหนึ่ง

บนหน้าผา ชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งยืนตระหง่านอยู่ ในมือถือดาบยาว ปราณดาบทะลุผ่านหมู่เมฆ เปล่งประกายราวกับอำนาจสวรรค์และมีกระแสลมล้อมอยู่รอบๆ ปราณดาบ

“ฆ้องเงินสวี่!”

เสียงตกตะลึงดังขึ้น ทุกคนในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มองฉากนี้ด้วยความว่างเปล่าและความตื่นตะลึงเล็กน้อย

การเคลื่อนไหวอันยิ่งใหญ่เช่นนี้เกิดจากฆ้องเงินสวี่หรือ

‘เขา ดาบในมือของเขา…’ สายตาของเฉาชิงหยางจับจ้องอยู่ที่ดาบยาวสีดำทองเล่มนั้น

“เอื๊อก…”

มีคนกลืนน้ำลายและมองดาบยาวด้วยความโลภ นัยน์ตาเปล่งประกายด้วยความอิจฉา

ทุกคนต่างก็มองออกว่า นี่เป็นอาวุธวิเศษ ผู้คนในยุทธภพไม่มีภูมิต้านทานต่ออาวุธวิเศษมากที่สุด

ฝูงชนมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นสักขีพยานฉากที่ชายหนุ่มยืนตระหง่านและยกมือขึ้นทะลวงหมู่เมฆ

“ไม่ใช่ศัตรูโจมตีหรือ”

“สวี่ ฆ้องเงินสวี่ทำอะไร…”

ในฝูงชนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ แต่ไม่มีใครสามารถให้คำตอบพวกเขาได้

ทว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ในยุทธภพจะมีข่าวลือว่า ช่วงกลางฤดูร้อนในปีหยวนจิ่งที่สามสิบเจ็ด สวี่ชีอันตื่นรู้ที่ภูเขาเฉวี่ยนหรงและบังเกิดนิมิตขึ้น

หลังจากนั้นนานมาก ปราณดาบก็จางหายไป พายุสงบลง ในเวลานี้เอง แสงอรุณแรกจากทางทิศตะวันออกก็ส่องมาที่สวี่ชีอัน ส่องให้เห็นใบหน้าด้านข้างอันหล่อเหลาของเขา

ณ สถานที่เกิดเหตุ ไม่รู้ว่าสาวน้อยกี่คนจิตใจสั่นไหว

สวี่ชีอันเก็บดาบกลับเข้าไปในฝักและถอนหายใจอย่างเงียบๆ ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักถึงภารกิจของตัวเองและรู้สึกสบายใจ

เขากวาดตามองเฉาชิงหยาง หยางชุยเสวี่ยและทุกคนในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ที่มุงดูอยู่ไกลๆ ทีละคนและเอ่ยเสียงดัง “จิตใจตื่นรู้ รบกวนทุกคน…”

ทันทีที่เสียงพูดดังขึ้น เสียงเรียกที่ดูเร่งรีบก็ดังมาจากด้านหลังเขา “เจ้ามานี่ มานี่…”

สวี่ชีอันกับเฉาชิงหยางมองหน้ากัน พวกเขารู้ว่านั่นเป็นเสียงของผู้นำกลุ่มพันธมิตรเฒ่าแห่งกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์

คนอื่นๆ ก็ได้ยินเช่นกัน

“เสียงอะไร นั่นใคร” ฟู่จิงเหมินมองไปรอบๆ และตะโกน

“ฟู่เหมินจู่ อย่าหยาบคาย” เฉาชิงหยางตำหนิ “นั่นคือบรรพชน”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ก็แตกตื่นและพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น

“บรรพชน เป็นเสียงของบรรพชนหรือ”

“ตั้งแต่เด็ก พ่อของข้าก็บอกว่าบรรพชนอาศัยอยู่ด้านหลังเขา ทว่าตั้งแต่ข้าเกิดมา ข้ายังไม่เคยได้ยินเสียงของบรรพชนเลย”

“บรรพชนคุ้มครองกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มายาวนานเป็นหมื่นๆ ปี”

กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มักกล่าวอ้างว่าบรรพชนผู้ผ่าแยกภูเขายังมีชีวิตอยู่ แต่คนในยุทธภพไม่เคยเห็นบุคคลวัยเดียวกับอาณาจักรคนนั้นเลย รวมถึงคนในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ด้วย ตั้งแต่เด็กก็ได้ยินผู้อาวุโสบอกว่าด้านหลังเขาเป็นเขตหวงห้าม เป็นสถานที่ที่บรรพชนเก็บตัวฝึก

ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น แต่ก็ไม่มีใครเคยพบเห็นจริงๆ หรือแม้แต่ได้ยินเสียงเลย

“บรรพชนกำลังเรียกเฉาเหมิงจู่ เฉาเหมิงจู่ ท่านรีบไปเถิด อย่าให้บรรพชนรอนาน”

เมื่อเห็นเฉาชิงหยางยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ทุกคนก็เร่งรัดอย่างร้อนใจ

“เฉาเหมิงจู่ บรรพชนเรียกท่าน”

“เฉาเหมิงจู่รีบไปเถิด”

เสียงเรียก ‘มานี่’ สองครั้งนั้นต้องเป็นเสียงเรียกเฉาเหมิงจู่อย่างแน่นอน ไม่จำเป็นต้องคิดมาก ในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ บนภูเขาเฉวี่ยนหรง มีเพียงเฉาชิงหยางเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเข้าพบบรรพชน

เพราะเขาเป็นผู้นำกลุ่มพันธมิตรและเป็นคนที่มีสิทธิ์มีเสียงของยุคนี้

เฉาชิงหยางยังคงไม่ขยับเขยื้อนและพยักหน้าให้สวี่ชีอัน

สวี่ชีอันเดินไปทางด้านหลังเขาทันที เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนหน้านี้ จู่ๆ เขาก็ไม่กลัวว่าความลับของโชคชะตาจะถูกเปิดเผยอีกต่อไป เพราะเวลานี้จิตใจของเขาผ่องใสและซื่อตรง

ทุกสายตามองไปที่แผ่นหลังของสวี่ชีอันด้วยความงุนงงเล็กน้อย

‘บรรพชนเรียกไม่ได้เรียกเฉาเหมิงจู่หรอกหรือ’

บรรพชนเงียบหายไปนานหลายร้อยปีและส่งเสียงต่อหน้าทุกคนเป็นครั้งแรก ทว่าคนที่เรียกกลับเป็นฆ้องเงินสวี่หรือ

ด้านหน้าประตูหิน สวี่ชีอันถือดาบพกและเอ่ยอย่างนอบน้อม “ผู้อาวุโส ท่านเรียกหาข้ามีเรื่องอันใดหรือ”

“เจ้าเป็นใคร เหตุใดในตัวเจ้าถึงมีโชคชะตา”

เสียงแก่ชราถามอย่างตรงไปตรงมาไม่เวิ่นเว้อ ตามแบบฉบับของทหารผู้แข็งแกร่ง

เช่นเดียวกับที่เขาสื่อสารกับสวี่ชีอันเมื่อคืนนี้ ความลับของโชคชะตาและเรื่องราวในอดีตของประวัติศาสตร์ เขาไม่อ้อมค้อมและไม่เคยปิดบัง

ข้ายังคงชอบเล่นกับทหาร ทว่าท่านโหราจารย์ จินเหลียน และเว่ยเยวียนอะไรนั่น จิตใจล้วนสกปรก ข้าจึงละอายใจที่จะคลุกคลีกับพวกเขา…สวี่ชีอันทอดถอนใจและพูดว่า

“ข้าเป็นเพียงประชาชนธรรมดาคนหนึ่งของต้าฟ่ง แต่ในตัวข้ามีโชคชะตาอยู่จริง พูดให้ถูกคือโชคชะตาของอาณาจักร”

ไม่มีการตอบกลับจากในประตูหิน ราวกับกำลังรอเขาพูดต่อ

“ในสงครามด่านซานไห่เมื่อยี่สิบปีก่อน โหรลึกลับคนหนึ่งสมรู้ร่วมคิดกับผู้นำกลุ่มเทียนกู่แห่งเผ่าพันธุ์กู่ ขโมยโชคชะตาของอาณาจักรจากต้าฟ่งไปครึ่งหนึ่ง สุดท้ายโชคชะตาของอาณาจักรส่วนนั้นก็ตกมาอยู่กับข้า แต่ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดข้าถึงถูกเลือก…”

สวี่ชีอันกล่าวถึงเรื่องที่เกี่ยวกับโชคชะตาและประสบการณ์ของตัวเองอย่างกระชับ

น่าแปลกมาก เมื่อเขาเผชิญหน้ากับเว่ยเยวียนและจินเหลียน เขาปิดปากไม่พูดถึงโชคชะตาเลย แม้ว่านักบวชเต๋าจินเหลียนจะรู้อยู่บ้างก็ตาม

แต่กับชายชราคนนี้ เขากลับไม่มีความคิดที่จะปกปิด

เมื่อสรุปเหตุผล มีความเป็นไปได้อยู่สองประการ ประการแรก อีกฝ่ายเป็นทหารที่มีนิสัยตรงไปตรงมา มีอะไรก็พูดออกมาตรงๆ ไม่เหมือนกับจินเหลียนและเว่ยเยวียน พวกเขาคิดมากเกินไป เมื่ออยู่ร่วมกับพวกเขา ก็อดคิดมากและวิตกกังวลเกินไปไม่ได้

ประการที่สอง ทหารที่อยู่ข้างในอายุเท่ากับอาณาจักรและมีประสบการณ์ความรู้กว้างขวาง ฉากเมื่อสักครู่นี้มิอาจปิดบังเขาได้ เขาต้องเห็นอะไรเป็นแน่จึงเรียกมาอย่างเร่งรีบเช่นนี้

ดังนั้นสวี่ชีอันจึงใจกว้างขึ้นเล็กน้อยและพูดความลับออกมา

“ไม่แปลกใจที่ช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา ต้าฟ่งจะอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ทั้งเพราะจักรพรรดิบำเพ็ญธรรมและโชคชะตาถูกขโมยไป” ทันใดนั้นชายชราก็พูดว่า

“เมื่อสักครู่นี้เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า”

สวี่ชีอันเล่าเรื่องที่หล่อหลอมเมล็ดบัวกับดาบพกและช่วยมันเลื่อนขั้นเป็นอาวุธวิเศษให้ชายชราฟัง

“แล้วชื่อดาบล่ะ”

“ไท่ผิง ซึ่งบอกเป็นนัยถึงสันติสุขในใต้หล้า”

ชายชราหัวเราะ น้ำเสียงของเขาแฝงไว้ด้วยความเข้าใจ “ลัทธิขงจื๊อขั้นสามคือระดับก่อชะตา เมื่อเลื่อนขั้น นิมิตจะบังเกิด นั่นเป็นเพราะปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งลัทธิขงจื๊อแบกรับโชคชะตาของเผ่าพันธุ์มนุษย์ไว้ แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้อยู่ในระบบลัทธิขงจื๊อ แต่แก่นแท้เหมือนกัน ดังนั้นจึงบังเกิดนิมิตเมื่อสักครู่ขึ้น ข้าจะให้คำแนะนำแก่เจ้า จำความคิดในวันนี้ไว้ หากในอนาคตเจ้าตกสู่ทางมาร เจ้าจะตายเพราะโชคชะตาแว้งกัด”

“ข้าเข้าใจแล้ว” สวี่ชีอันพยักหน้าและไม่ลืมขอคำปรึกษา

“ผู้อาวุโส ท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับสถานการณ์ของข้าหรือขอรับ”

“คิดอย่างไรหรือ อืม เจ้าไม่ต้องเข้าร่วมกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์หรอก ข้าไม่ต้องการเจ้าแล้ว” ชายชรากล่าว

ถุย ทหารต่ำช้า…สวี่ชีอันถ่มน้ำลายในใจและคิดในใจว่า แตกคอกันเร็วเกินไปแล้ว เมื่อรู้ว่าข้าเป็นหมากของท่านโหราจารย์กับโหรลึกลับ ท่านก็ขี้ขลาดทันทีเลยนะ

“แน่นอนว่า หากข้าสามารถเลื่อนสู่ขั้นสองได้ กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ก็ปกป้องเจ้าได้ ฮ่าๆ ทหารขั้นสอง แม้ว่าจะเอาชนะขั้นหนึ่งของระบบอื่นไม่ได้ แต่ก็ไม่เกรงกลัวเช่นกัน”

ชายชราในประตูหินหัวเราะ “เจ้าไม่ต้องระแวดระวังข้า ข้ามีความมุ่งมั่นที่จะไปสู่จุดสูงสุดของวิทยายุทธ์และข้าจะไม่แตะต้องโชคชะตา มิเช่นนั้น บรรพชนที่อยู่กับต้าฟ่งของพวกเจ้าเมื่อห้าร้อยปีก่อนคงไม่ตายไม่เลิกรา ส่วนตอนนี้ ข้าไม่ก่อกบฏอีกแล้ว โชคชะตาก็ไม่มีประโยชน์เช่นกัน”

“แต่หากมีโชคชะตาติดตัว บางทีผู้อาวุโสอาจจะเจอเรื่องร้ายแล้วกลายเป็นดีและเลื่อนสู่ขั้นสองได้มิใช่หรือขอรับ” สวี่ชีอันหยั่งเชิง

ชายชราเงียบไป

ขณะที่สวี่ชีอันแอบด่าตัวเองว่าโง่และเปิดประเด็นที่ตัวเองเสียเปรียบอย่างมาก ชายชราก็เอ่ยเสียงเบา

“อะไรทำให้เจ้าเข้าใจผิดว่าทหารสามารถใช้โชคชะตาได้”

…สวี่ชีอันโค้งคำนับ “ผู้น้อยเลินเล่อไป”

ถูกต้อง แม้ว่าบรรพชนคนนี้จะโลภในโชคชะตาของเขา แต่ทหารหยาบคายจะรู้วิธีดูดซับโชคชะตาได้อย่างไร

สุดท้ายแล้ว เขาไม่ใช่หนุ่มพรหมจารีที่มองปิกัสโซ จึงมองดูอย่างสิ้นหวังและกังวลใจ

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง สวี่ชีอันก็เอ่ยถามต่อไปว่า “ผู้อาวุโสยังมีคำชี้แนะอะไรอีกหรือไม่”

…………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด