ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 544 คดีสังหารโหด

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 544 คดีสังหารโหด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 544 คดีสังหารโหด

สวี่ชีอันไม่ได้ขอเข้าไปในบ้านเนื่องจากเป็นการเสียมารยาท การทำเช่นนี้ในบ้านที่ไม่มีผู้ชายอยู่ จะทำให้เกิดการติฉินนินทาได้

สวี่ชีอันย่อมรู้ว่าความระแวดระวังและตื่นตระหนกของสองแม่ลูกไม่ได้มาจากเหตุผลดังกล่าว แต่เพราะมี ‘แผนร้าย’ ซ่อนไว้ต่างหาก

“หนูน้อย เจ้ารู้จักไฉเสียนหรือไม่” สวี่ชีอันเอ่ยถาม

เมื่อได้ยินคำพูดดังนั้น เด็กหญิงก็ตะลึงงัน และจ้องมองเขาอย่างว่างเปล่า เป็นความสับสนเนื่องจากประสบกับความสูญเสียตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่รู้จะรับมืออย่างไร

หญิงสาวฟังภาษาราชการไม่ออก แต่เมื่อเห็นสีหน้าเหม่อลอยของลูกสาวก็สังเกตได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงรีบเข้าไปประชิดตัว

สวี่ชีอันย่อตัวลงรีบเอื้อมมือไปลูบศีรษะของนางก่อนที่นางจะกรีดร้อง อาศัยจังหวะดังกล่าวใช้ซินกู่ พลางกล่าวยิ้มๆ

“ข้าเป็นเพื่อนกับอาเสียนของเจ้า เมื่อคืนเขาไม่ได้บอกเจ้าหรือ”

ทันใดนั้นในสายตาของเด็กหญิง ท่านอาแปลกหน้าก็กลายเป็นคนคุ้นเคย ใจดี ไม่มีพิษภัยไปเสีย

“อื้ม!”

เด็กหญิงพยักหน้าอย่างจริงจัง “ท่านอาบอกว่าถ้ามีท่านอาแปลกหน้ามาหา ให้จำในสิ่งที่เขาพูดเจ้าค่ะ”

สวี่ชีอันส่งกระดาษแผ่นเล็กๆ ให้กับนาง “ช่วยส่งกระดาษแผ่นนี้ให้กับอาของเจ้าทีนะ”

เมื่อพูดจบ ก็เห็นแผลหิมะกัดบริเวณหลังมือ และเห็นรองเท้าคู่บางที่ดูแล้วไม่น่าปกป้องนางจากความหนาวเหน็บได้เลย ลองคิดดูแล้วเท้าของเด็กน้อยก็คงจะเป็นแผลหิมะกัดไม่ต่างกัน

ดังนั้นเขาจึงหยิบเงินออกมาสองสามเหรียญยื่นให้เด็กหญิงพร้อมกับแผ่นกระดาษ “เงินนี่เอาไว้ซื้อขนมกินนะ”

เด็กน้อยรับกระดาษมาแต่ไม่รับเงิน นางเงยหน้ามองมารดาของตน

หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น จ้องมองเงินตาเขม็งแต่ไม่กล้ารับมา สำหรับครอบครัวยากจนแล้วเศษเงินเพียงเท่านี้ก็มากพอที่จะซื้อเนื้อมาเลี้ยงครอบครัวได้หลายวัน และสามารถซื้อเสื้อกันหนาวให้กับเด็กน้อยได้สักตัวแล้ว

“อื้ม!”

หญิงสาวพยักหน้าอย่างแรง

เด็กหญิงยื่นมือที่เต็มไปด้วยแผลพุพองออกมากำเงินไว้แน่น

สวี่ชีอันขอตัวจากไป เมื่อเดินออกมาจากลานบ้านแล้ว ก็มีเสียงตะโกนของเด็กหญิงลอยตามหลังมา เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นว่านางไม่ได้ตามมาแต่กลับวิ่งเข้าไปในบ้านแทน

ไม่นานนางก็ถือมันเทศหัวแห้งๆ ออกมาอย่างรวดเร็ว และยื่นให้ด้วยท่าทีเหนียมอาย

สวี่ชีอันจ้องมองด้วยสายตาอ่อนโยน และรับหัวมันเทศแห้งมา

ดวงตาของเด็กหญิงเป็นประกาย นางคลี่ยิ้มสดใสบริสุทธิ์ให้กับเขา

“ข้าขอถามอะไรเจ้าอีกสักอย่าง ถ้าเจ้าตอบข้า ถ้าจะให้เงินเจ้าเพิ่ม” สวี่ชีอันกล่าวยิ้มๆ

เด็กหญิงครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้าหงึกหงัก

“ไฉเสียนกับพ่อของเจ้ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร”

เด็กหญิงตอบ “ท่านพ่อให้ข้าเรียกเขาว่าท่านอาเสียนเจ้าค่ะ”

นางไม่ทราบเรื่องราวในอดีตของบิดา

“ไฉเสียนอาศัยอยู่ที่บ้านของเจ้านานเท่าไรแล้ว”

เด็กหญิงครุ่นคิดแล้วเอ่ย “อยู่ที่บ้านน้อยมากเลยเจ้าค่ะ”

น้อยมาก? สวี่ชีอันขมวดคิ้ว “เจ้าคิดว่าท่านอาไฉเสียนเป็นคนดีหรือไม่”

“อื้ม เหมือนท่านอาเลยเจ้าค่ะ”

เด็กหญิงพยักหน้า เด็กน้อยมีท่าทีกระตือรือร้นอย่างมาก

เรียกท่านพี่ยังจะดีเสียกว่า อย่างไรเสียข้าอายุสิบแปดตลอดกาล…สวี่ชีอันกล่าวยิ้มๆ “แล้วมีอะไรอีกหรือไม่”

เขาถามไปอย่างไม่คาดหวัง

“ท่านอาชอบฝันร้าย แล้วก็เหม่อลอยบ่อยๆ…” เด็กหญิงเอียงศีรษะครุ่นคิด ดวงตาเป็นประกาย “ท่านอาเสียนมีนิ้วเท้าหกนิ้วด้วยเจ้าค่ะ”

สวี่ชีอันให้เงินนางตามสัญญา จากนั้นก็โบกมือลาและออกไปจากหมู่บ้าน

จวนสกุลไฉ

เมื่อฉานซือจิ้งซินกลับมาถึงสำนัก ก็พบกับจอมยุทธ์ภิกษุจิ้งหยวน “ข้าลองตรวจสอบดู ก็พบว่าการตายของอดีตสามีของสีกาไฉซิ่งเอ๋อร์เกี่ยวข้องกับไฉเจี้ยนหยวนผู้นำตระกูล”

จิ้งหยวนพยักหน้า “เล่ามาให้หมด”

ฉานซือผู้ใช้คาถา หากต้องการสอบสวนเรื่องใด ย่อมทำได้ดั่งใจ

แม้จะไม่สะดวกใจในการใช้คาถากับไฉซิ่งเอ๋อร์ แต่ก็แอบลักไก่ใช้สอบถามกับข้ารับใช้ได้ไม่มีปัญหา

จิ้งซินถามเรื่องไฉเสียนมากที่สุด และถามเรื่องของไฉซิ่งเอ๋อร์แต่พอเป็นพิธี

เมื่อได้ฟังคำพูดของศิษย์พี่ จอมยุทธ์ภิกษุจิ้งหยวนก็ขมวดคิ้วแน่น

“หากทุกอย่างที่ไฉซิ่งเอ๋อร์พูดเป็นเรื่องโกหก เช่นนั้นไฉเสียนก็อาจจะไม่ใช่คนที่ได้ปราณมังกรไปอย่างที่พวกเราคิดก็ได้ ที่แท้สีกาไฉซิ่งเอ๋อร์ก็สูญเสียสามีไปนี่เอง ข้ายังคิดอยู่เลยว่าชายที่ยืนอยู่ข้างๆ นางคือสามีของนางเสียอีก”

จิ้งซินครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยขึ้น “คงต้องสอบถามคนผู้นี้เพิ่มเติมอีก เขาน่าจะรู้อะไรมากทีเดียว”

กลางดึก

ถ่านไฟกำลังลุกโชน หลี่หลิงซู่กกกอดหญิงสาวคนงามผู้ออกเรือนแล้วใต้ผ้าห่มผืนหนา ทั้งสองเพิ่งเสร็จกิจ เหงื่อโซมกายทั้งคู่ไอรีนโนเวล

ไฉซิ่งเอ๋อร์นอนขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา เผยให้เห็นหัวไหล่กลมกลึงขาวนวล นางไล้ปลายนิ้ววนเป็นวงกลมบนแผงอกของหลี่หลิงซู่

“เจ้าสอบสวนข้า!”

หลี่หลิงซู่ที่กำลังอยู่ในห้วงอารมณ์สมฤทัย ม่านตาหดลงเล็กน้อยก่อนจะกลับมาเป็นปกติ “ข้ารู้สึกได้ว่าเจ้ายังมีอะไรปิดบังข้าอยู่”

ไฉซิ่งเอ๋อร์ถอนหายใจ “คุณชายหลี่ เจ้าเลิกสนใจเรื่องของสกุลไฉเถิด ขอเพียงเจ้าอยู่เคียงข้างข้า เท่านี้ข้าก็พอใจแล้ว คนที่อยากสอบสวนข้าไม่ใช่เจ้า แต่เป็นสวีเชียนอะไรนั่นไม่ใช่หรือ”

‘ซิ่งเอ๋อร์ลางสังหรณ์แม่นจนน่ากลัว…’ หลี่หลิงซู่กล่าว “เลิกพูดเรื่องของเขาเถิด”

ไฉซิ่งเอ๋อร์บิดเอวเปลี่ยนท่านอน

“เขาดูมีอะไรกลิ่นอายที่พิเศษยิ่ง ข้าเองก็บอกไม่ถูก แต่รู้สึกว่าคนคนนี้ดูเสแสร้งไม่มีความจริงใจแม้แต่น้อย แน่นอนว่าหากเขาอยู่ในขั้นเหนือมนุษย์อย่างที่เจ้าว่าจริง ก็ต้องปลอมตัวเป็นเรื่องปกติ”

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง นางก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “สวีเชียนมีความแค้นกับสำนักพุทธใช่หรือไม่”

น้ำเสียงของไฉซิ่งเอ๋อร์ฟังดูมั่นอกมั่นใจอย่างยิ่ง

“เหตุใดเจ้าถึงคิดเช่นนั้น” สีหน้าของหลี่หลิงซู่ไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย

“ก็ตอนที่ภิกษุพวกนั้นมา พวกท่านก็ออกไปจากจวนทันที ขนาดคุณชายหลี่ยังไม่กล้าเปิดเผยนามต่อหน้าพวกเขาเลยนี่”

สีหน้าของไฉซิ่งเอ๋อร์เยือกเย็น ฉาบด้วยรอยยิ้มราบเรียบ “ในกลุ่มนั้นมีภิกษุผู้อยู่ในขั้นสี่สองคน ว่ากันตามเหตุผล หากสวีเชียนผู้นั้นเป็นยอดฝีมือระดับเหนือมนุษย์จริงๆ จะเกรงกลัวพวกเขาไปทำไม บางทีอาจจะมีสาเหตุอื่น หรือไม่ก็มีคนอยู่เบื้องหลังภิกษุพวกนั้น ใช่หรือไม่คุณชายหลี่”

‘คุยต่อไม่ได้แล้ว…’ หลี่หลิงซู่พลิกตัวทาบทับร่างของคนงาม พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ซิ่งเอ๋อร์ช่างฉลาดหลักแหลมนัก ข้ารักเจ้าเหลือเกิน”

วันรุ่งขึ้นในตอนเช้าตรู่

สวี่ชีอันจูงแม่ม้าน้อยออกไปจากเมืองเซียงโจวอย่างรีบเร่ง พร้อมกับมู่หนานจือที่นั่งอยู่บนหลังม้า

การชุมนุมมือสังหารมารจัดขึ้นที่แม่น้ำเซียง สาเหตุที่เลือกที่นี่ก็เป็นเพราะต้องการหลีกเลี่ยงชาวบ้านและชาวยุทธภพทั้งหลายที่มักจะแบ่งแยกกันมาแต่ไหนแต่ไร

นี่เป็นฉันทามติของชาวยุทธภพและราชสำนัก ลำพังพวกชาวบ้านตลาดทั่วไปนั้นไม่ได้รู้อะไรมากนัก เพียงแต่มาหาความบันเทิงเท่านั้น

ทางการเปิดพื้นที่ริมชายฝั่งแม่น้ำเซียง จัดการสร้างเวที วางไม้กระดาน แบ่งพื้นที่ เป็นต้น

กลุ่มชาวยุทธ์ที่รายงานตัวเข้าร่วมแล้วจะมีการจัดสรรซุ้มไม้ไว้ให้ ส่วนกลุ่มชาวยุทธ์และพวกชาวยุทธ์ทั่วไปที่ไม่ได้รายงานตัวสามารถยืนดูได้จากบริเวณรอบๆ เท่านั้น

เมื่อพ้นเขตเมือง สวี่ชีอันก็พลิกตัวขึ้นควบแม่ม้าน้อย และห้อตะบึงไปยังที่หมายพร้อมกับมู่หนานจือ

หลังจากผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็มาถึงสถานที่จัดงานชุมนุมมือสังหารมารซึ่งมีคนอยู่แน่นขนัด

มีทั้งชาวยุทธ์ที่หอบสารพัดอาวุธมาด้วยและทหารที่ทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย

สายลมที่ริมแม่น้ำพัดกระหน่ำ หนาวเหน็บบาดลึกถึงกระดูก ในซุ้มไม้มีกลุ่มชาวยุทธ์จำนวนมากมารออยู่แล้ว

‘ผู้ฝึกตน’ ธรรมดาอย่างสวี่ชีอัน ทำได้เพียงรับชมจากไกลๆ พร้อมกับฝูงชนที่ถูกเจ้าหน้าที่สกัดกั้น

“ท่านผู้อาวุโส?”

ทันใดนั้นมีเสียงร้องประหลาดใจดังขึ้นมาจากด้านหลัง

สวี่ชีอันหันไปเห็นหวังจวิ้นและเฝิงซิ่วที่ ‘ร่วมทุกข์ร่วมสุข’ ด้วยกันในวัดร้างบนภูเขาแห้งแล้งเมื่อคราวนั้น ทั้งสองคนมีกองกำลังคอยหนุนหลังอยู่ แต่สวี่ชีอันจำไม่ได้เสียแล้วว่าเป็นพวกไหน

“พวกเจ้านี่เอง”

สวี่ชีอันส่งยิ้มและพยักหน้าให้

มู่หนานจือที่นั่งอยู่บนหลังม้า วางท่ามองทั้งสองคนอย่างสูงส่ง

หวังจวิ้นที่ถือดาบในมือเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ดูจากตัวตนของผู้อาวุโสแล้ว เหตุใดถึงไม่เข้าไปข้างในล่ะขอรับ”

“ข้าแค่แวะมาร่วมสนุกด้วยเท่านั้นเอง”

สวี่ชีอันอธิบายสั้นๆ

หวังจวิ้นยังคงสวมชุดจิ้นจวงสีดำทั้งตัวเหมือนเดิม เพียงแต่รูปแบบดูเปลี่ยนไป ไม่ใช่ตัวเดียวกับวันนั้น

เฝิงซิ่วเปลี่ยนจากชุดแขนสั้นเรียบร้อย เป็นเสื้อนอกท่อนบนที่ขับเน้นทรวดทรงของหญิงสาว และกระโปรงยาวฟู่ฟ่องท่อนล่าง

ชุดนี้ทำให้นางดูทั้งสง่างามและอ่อนโยนสมกับที่เป็นสตรี แต่ไม่จำกัดการเคลื่อนไหว ไม่ขัดขวางการออกท่าทางต่อสู้ของนาง

“ทุกท่าน!”

เสียงที่ดังกึกก้องกระจายออกไป สยบเสียงเซ็งแซ่ชะงัด ผู้คนที่เข้าร่วมการชุมนุมมือสังหารมารทั้งหลายต่างเงียบลงทันที และหันไปมองร่างของขุนนางที่ยืนอยู่บนเวทีเป็นตาเดียว

“นั่นมันเจ้าเมืองเซียงโจวนี่”

เฝิงซิ่วกระซิบ

ใต้เท้าข้าหลวงกล่าวปราศรัยบนเวทีอย่างดุเดือด ทั้งประณามอาชญากรรมของไฉเสียน รวมไปถึงแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหตุฆาตกรรมในเซียงโจวและจางโจว

“คนผู้นี้กระหายเลือดฆ่าคนเป็นว่าเล่น หากไม่รีบกำจัดเซียงโจวไม่มีทางสงบสุขอีกต่อไป ช่างเป็นที่น่าซาบซึ้งยิ่งนักที่ผู้กล้าทุกท่านมารวมตัวกันในวันนี้ ไฉเสียนผู้โฉดชั่วยังอยู่ในเซียงโจว…

เวลาล่วงเลยมากว่ายี่สิบปีนับตั้งแต่คดีฆาตกรรมสกุลไฉ ตอนนี้ ‘ไฉเสียน’ เที่ยวสังหารผู้คนไปทั่ว เริ่มแรกสังหารชาวยุทธ์ทั่วไป จนกระทั่งมีกองกำลังจอมยุทธ์ถึงสามกลุ่มที่ถูกกวาดล้างจนสิ้นซาก

มีชาวยุทธ์ที่ตายด้วยน้ำมือของไฉเสียนรวมทั้งสิ้นหกร้อยสี่สิบสามคน

คนธรรมดาที่ตกตายด้วยน้ำมือของไฉเสียนกลับมีมากยิ่งกว่า เนื่องจากมีคนจิตใจอำมหิตจำนวนมากที่อาศัยโอกาสก่อความวุ่นวาย ทั้งเลียนแบบไฉเสียนฆ่าคนหลอมศพ ทั้งบุกเข้าไปปล้นฆ่าถึงในบ้าน

สวี่ชีอันฟังอยู่นานกว่าจะรู้ว่า ‘ไฉเสียน’ ก่อคดีสังหารคนเป็นจำนวนมากในจางโจว มิน่าเล่างานชุมนุมมือสังหารมารถึงได้เอิกเกริกถึงขั้นนี้

ไม่สิ สังหารคนไปมากขนาดนี้ เพียงเพื่อใส่ร้ายไฉเสียน และกักตัวเขาไว้หรือ

ยอดนักสืบสวี่ชีอันขมวดคิ้ว สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ

ก่อนหน้านี้ เขาสันนิษฐานว่าฆาตกรตัวจริงใช้ประโยชน์จากนิสัยที่สุดโต่งของไฉเสียนมาใส่ร้ายเขา จับไฉหลานเป็นตัวประกัน เพื่อให้ไฉเสียนอยู่ที่นี่ จากนั้นค่อยหาโอกาสกำจัดเขา

ทว่าสังหารคนไปมากมายขนาดนี้ แต่กลับไม่มีปัญญาตามหาไฉเสียนงั้นหรือ ในขณะที่ข้าเพิ่งมาถึงเซียงโจวได้แค่สองวันก็บังเอิญพบกับไฉเสียนแล้ว แน่นอนว่านั่นเป็นผลจากการรวมปราณมังกร

แต่ก็เป็นการพิสูจน์แล้วว่าการซ่อนตัวของไฉเสียนไม่ได้ลึกลับซับซ้อนถึงขั้นนั้น อีกอย่างตัวไฉเสียนเองก็กำลังตามรอยคนที่ใส่ร้ายเขาอยู่เช่นกัน

หากฆาตกรตัวจริงต้องการจะสังหารไฉเสียนจริงๆ แค่ก่อคดีฆาตกรรมขึ้นที่ไหนสักแห่งเพื่อล่องูออกมาจากรัง แล้วจับไฉเสียนก็พอแล้วนี่

สถานการณ์เช่นนี้มีคำอธิบายเพียงสองอย่างเท่านั้น คือการสันนิษฐานของข้าผิดพลาด ไม่ก็ฆาตกรตัวจริงเป็นพวกวิกลจริต ชิงชังไฉเสียนเข้ากระดูกดำจนไม่สามารถใช้ตรรกะของคนปกติมาตัดสินได้อีกต่อไป…

ใต้เท้าข้าหลวงกล่าวเสียงดังลั่น “จากนี้ไป ทางการและไฉซิ่งเอ๋อร์จากตระกูลไฉ รวมไปถึงกองกำลังต่างๆ จะร่วมกันออกประกาศจับไฉเสียน ใครที่สังหารเขาได้จะตกรางวัลให้อย่างงาม”

กองกำลังและตระกูลต่างๆ ล้วนแต่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ชาวยุทธ์ที่อยู่รอบนอกก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย ในที่สุดก็จะได้บั่นคอมารร้ายสักที

เมื่อเทียบกับคนทั่วไปแล้ว กองกำลังและตระกูลต่างๆ มีความตั้งใจอยากสังหารไฉเสียนอย่างแรงกล้ายิ่งกว่า เพราะแก่นโลหิตของจอมยุทธ์เหมาะแก่การนำมาเลี้ยงศพ ยิ่งถ้าเป็นจอมยุทธ์ขั้นหกกระดูกเหล็กผิวทองแดง สามารถนำมาหลอมเป็นศพเหล็กได้

ดังนั้นคนส่วนมากที่เสียชีวิตจากการฆาตกรรมของไฉเสียนจึงเป็นชาวยุทธ์

ใต้เท้าข้าหลวงให้สัญญาณ หันหน้าไปทางไฉซิ่งเอ๋อร์ ฝ่ายหลังเข้าใจในทันทีจึงเดินออกมาจากซุ้มไม้ขึ้นมาบนเวที

ไฉซิ่งเอ๋อร์เป็นหญิงม่าย ตระกูลไฉเกิดเหตุฆาตกรรมขึ้น ดังนั้นวันนี้นางจึงสวมชุดกระโปรงเรียบๆ แต่งหน้าบางๆ ดูอ้างว้าง อ่อนแอ น่าปกป้อง

“ขอขอบคุณการตอบรับจากทุกคน เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะตระกูลไฉ ทำให้ทุกท่านสูญเสียมิตรสหายไป ซิ่งเอ๋อร์รู้สึกผิดยิ่งนัก”

ทันทีที่นางพูดจบ ก็มีคนตะโกนขึ้นมา

“ไฉเสียนเป็นคนเนรคุณ ฆ่าพ่อสังหารญาติของตน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับแม่นางไฉเล่า”

“ถูกต้อง ตระกูลไฉเป็นเหยื่อแท้ๆ”

ไฉซิ่งเอ๋อร์กอบหมัดแสดงความขอบคุณและพูดต่อ “งานชุมนุมมือสังหารมารครั้งนี้ ทางการ ตระกูลไฉ ตระกูลหวงฝู่ และสำนักชุนอวี่…จะจัดกำลังคนออกลาดตระเวนตามที่ต่างๆ เพื่อค้นหาไฉเสียนให้พบ ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่านที่อยู่ ณ ที่นี้จะพามิตรสหายมาร่วมค้นหาด้วยอีกแรง”

ทันทีที่นางพูดจบ ก็มีคนพูดแทรกขึ้นมา “เดิมทีไฉเสียนอยู่ในขั้นห้าสลายแรง และยังมีศพเหล็กสี่ตนเป็นกำลังเสริม หากกองกำลังกลุ่มใดโชคร้ายบังเอิญเจอเขา มีแต่ตายกับตาย จะแก้ไขอย่างไรเล่า”

ไฉซิ่งเอ๋อร์หันหน้าไปมองจิ้งซินที่นั่งหลังตรงนับลูกประคำ

“การชุมนุมมือสังหารมารครั้งนี้ ตระกูลไฉได้อัญเชิญพระเถระอาจารย์จากสำนักพุทธมาช่วยเหลือแล้ว”

เหล่าผู้กล้าทั้งหลายหันไปมองพวกจิ้งซินเป็นตาเดียว

เหล่าภิกษุประนมมือขึ้นด้วยความสุขุม พลางสวดพระนามของพระพุทธเจ้าเป็นเสียงเดียวกัน

หัวหน้ากองกำลังคนหนึ่งเอ่ยเสียงดังลั่น

“พระเถระอาจารย์แห่งสำนักพุทธงั้นหรือ น่าแปลกนัก ข้าอาศัยอยู่ในเซียงโจวมาเกือบครึ่งค่อนชีวิต นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคนจากสำนักพุทธ ท่านเถระอาจารย์ทั้งหลายจะให้การช่วยเหลืออย่างไรหรือ”

เมื่อเผชิญหน้ากับความสงสัยใคร่รู้ของฝูงชนเบื้องหน้า จิ้งซินก็ถอดลูกประคำที่ห้อยคอออกมา

“สร้อยประคำเส้นนี้อยู่กับอาตมามาหลายสิบปี ผ่านการขัดเกลาด้วยคาถาและพลังจิตมาช้านาน ลูกประคำเจ็ดสิบสองลูกรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน กลุ่มค้นหาแต่ละกลุ่มจะได้รับลูกประคำไปกลุ่มละลูก เมื่อพบตัวไฉเสียนแล้ว จงใส่พลังปราณลงไปในลูกประคำ แล้วอาตมาก็จะทราบเอง”

ดวงตาของทุกคนเป็นประกาย จากนั้นก็กลายเป็นข้อสงสัย ใต้เท้าข้าหลวงกล่าวแกมหัวเราะ

“ท่านภิกษุผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายมาจากแดนไกล ยังไม่ทราบว่าตบะอยู่ในขั้นใด ถ้าไม่เป็นการเสียมารยาท ขอให้ท่านแสดงให้ทุกคนได้เห็นเป็นขวัญตาสักหน่อยเถิดขอรับ”

ไฉซิ่งเอ๋อร์มองจิ้งซินแน่นิ่งไม่กล่าวอะไร

ต่อให้นางเป็นผู้แนะนำและทำให้คนกลุ่มนี้ไม่ทำตัวหยาบคายใส่ แต่ถ้าอยากให้พวกเขาเชื่อเหล่าภิกษุแห่งสำนักพุทธไม่สามารถอาศัยเพียงลมปากเท่านั้น

จิ้งซินมองไปทางศิษย์น้องจิ้งหยวน คนหลังพยักหน้า ก้าวออกมาอย่างสงบและพูดกับฝูงชนโดยรอบ

“มีใครทำให้ข้าถอยหลังก้าวหนึ่งได้บ้าง”

คำพูดป่าเถื่อนขัดกับน้ำเสียงอันเรียบสงบ ราวกับว่ากำลังเอ่ยถึงข้อเท็จจริง

ชาวยุทธ์ทั้งหลายต่างเลิกคิ้วขึ้นเป็นแถบ สำหรับจอมยุทธ์แล้วนี่เป็นคำยั่วยุที่ตรงไปตรงมาเหลือเกิน

เมื่อจิ้งหยวนพูดจบก็ประนมมือขึ้น จุดสีทองบนหน้าผากของเขาเปล่งแสงเรืองรองขึ้น ก่อนจะลามไปทั่วร่างกาย

ทันใดนั้นเขาก็กลายเป็นมนุษย์ทองคำ

“นะ นี่มัน…”

หัวหน้ากองกำลังในชุดหรูหราคนหนึ่งมองอย่างพินิจพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งอย่างไม่มั่นใจเท่าไร

“หรือว่าจะเป็นพลังเทพวชิระแห่งสำนักพุทธ”

“ว่ากันว่าต่อให้เป็นคนของสำนักพุทธ แต่ผู้ที่ฝึกวิชาพลังเทพวชิระสำเร็จได้กลับมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย”

“ภิกษุรูปนี้มีความสามารถไม่เบา…”

เมื่อคำพูดดังกล่าวดังขึ้น ก็มีเสียงแลกเปลี่ยนพูดคุยกันเซ็งแซ่รอบด้าน

หวังจวิ้นเอ่ยพึมพำ “หากข้าฝึกพลังเทพวชิระสำเร็จเมื่อไร ก็จะได้เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งจางโจว”

เฝิงซิ่วกลับคิดถึงอีกเรื่องหนึ่งแทน “ได้ยินมาว่า ฆ้องเงินสวี่เองก็มีพลังเทพวชิระเช่นกัน”

เมื่อทั้งสองเรียกสติกลับมาได้ หวังจวิ้นก็มองซ้ายมองขวา และเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย “ท่านผู้อาวุโสล่ะ?”

เฝิงซิ่วเพิ่งจะรู้ตัวว่าผู้อาวุโสที่สามารถทำลายวัดร้างบนภูเขาแห้งแล้งได้นั้นหายตัวไปนานแล้ว

ณ ที่ไหนสักแห่งสูงขึ้นไปบนอากาศ มีเจดีย์สูงเสียดฟ้าตั้งอยู่ สวี่ชีอันยืนอยู่ข้างๆ หน้าต่างและมองลงมา

แม่น้ำเซียงคดเคี้ยวราวกับเข็มขัดสีเงิน ท้องทุ่งไร่นากระจัดกระจายสลับกันไป ขุนเขาดูเหมือนกระสอบดินที่นูนขึ้นมา

เขาหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา ขี่เจดีย์พุทธะบินตระเวนไปรอบๆ กว่าหลายสิบลี้ แต่ไม่พบร่างของมังกรสีทองที่ใด

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งใกล้ถึงช่วงเที่ยง ในที่สุดสวี่ชีอันก็ยอมแพ้ เขาเก็บเจดีย์ลงตามเดิมพร้อมกับจูงแม่ม้าน้อยกลับไปยังสถานที่ชุมนุมมือสังหารมาร

หลังจากจบงาน ใต้เท้าผู้มีหน้ามีตาทั้งหลายก็นั่งรถม้าจากไป ส่วนชาวยุทธภพที่ตบเท้าเข้ามาร่วมงาน ต่างก็เดินเท้าแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง

“ผู้อาวุโส!”

สวี่ชีอันได้พบกับเฝิงซิ่วและหวังจวิ้นอีกครั้ง จากคำบอกเล่าของทั้งสองทำให้รู้ว่าพระเถระอาจารย์แห่งสำนักพุทธได้ขโมยความสนใจจากงานชุมนุมไปจนสิ้น

พระเถระที่มีพลังเทพวชิระ ก้าวขึ้นมายืนบนเวทีเป็นเวลาหนึ่งเค่อ โดยที่คนหลายสิบคนขยับตัวเขาไม่ได้เลยสักกระผีก

“ช่างเป็นพลังเทพวชิระที่ทรงพลังเหลือเกิน ในเมื่อมีพระเถระเช่นนี้เข้าร่วมด้วย ไยจึงต้องกลัวว่ากำจัดไฉเสียนไม่ได้ สำนักพุทธช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก”

หวังจวิ้นกล่าวด้วยความตื่นเต้น

เฝิงซิ่วกลับส่ายหน้า “กลัวแต่ไฉเสียนจะหนีไปเสียก่อนน่ะสิ”

เมื่อกลับมาที่โรงเตี๊ยม สวี่ชีอันถือถ้วยน้ำชาไว้ในมือ พลางทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง

“บางทีเขาอาจจะไม่ได้รับจดหมายของเจ้าก็ได้”

มู่หนานจือวิเคราะห์ “ถ้าหากว่าเขาจากไปแล้ว บางทีอาจจะใช้เวลาหลายวันกว่าเขาจะกลับมาใหม่ก็ได้?”

“เป็นไปได้มากทีเดียว! ทว่าดูจากนิสัยของไฉเสียน คนอย่างเขาไม่น่าจะละทิ้งโอกาสครั้งใหญ่ในการควบคุมผีดิบและต่อกรกับไฉซิ่งเอ๋อร์ในงานชุมนุมมือสังหารมารเช่นนี้ สำหรับเขาแล้วการสูญเสียผีดิบไปสักตัวไม่ได้หนักหนาอะไร”

สวี่ชีอันขมวดคิ้วแน่น่ “ไหนว่าเขาอยากพิสูจน์ความบริสุทธิ์มาโดยตลอดไม่ใช่หรือ เขากำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่กันแน่”

ไฉเสียนไม่ปรากฏตัว แผนการของสวี่ชีอันที่จะฉวยโอกาสดึงดูดปราณมังกรจึงล่มไม่เป็นท่า เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก หลังจากครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วก็พูดขึ้นว่า

“ข้าจะออกไปข้างนอก”

เขาควบแม่ม้าน้อยออกไปนอกเมืองอย่างรวดเร็ว แม่ม้าน้อยวิ่งผ่านถนนสายหลัก เรือกสวนไร่นา ตรอกซอกซอย จนมาถึงหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนั้น

สวี่ชีอันมาถึงประตูกระต๊อบหลังเล็กท่ามกลางสายตาสงสัยใคร่รู้ของชาวบ้านในหมู่บ้าน

ประตูบ้านปิดสนิท

เขาได้กลิ่นเลือดโชยมา

‘ปัง!’

สวี่ชีอันเตะประตูบ้านอย่างแรง บุกเข้าไปในห้องและได้พบกับศพทั้งหมดสามศพ

พวกเขานอนจมกองเลือด ร่างของผู้ชายล้มลงข้างโต๊ะ มารดาผู้ยังสาวยังแซ่กอดบุตรสาวในอ้อมอกแน่น กองเลือดใต้ร่างของสองแม่ลูกเหนียวหนืดเกรอะกรัง ศพของทั้งสองล้มอยู่ข้างเตียงนอน

ร่างกายเย็นเฉียบและแข็งทื่อ เสียชีวิตแล้วเป็นเวลานาน

ดูจากตำแหน่งการวางของศพแล้ว สันนิษฐานได้ว่าชายผู้นั้นถูกสังหารเป็นคนแรก ผู้เป็นมารดาด้วยความตกใจ จึงพยายามกอดลูกสาวไว้ในอ้อมอกเพื่อปกป้องโดยไม่รู้ตัว แต่ก็ถูกฆ่าตายตามไป

เส้นเลือดสีเขียวคล้ำปูดขึ้นบนหน้าผากของสวี่ชีอัน

……………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด