ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 385 ยอมรับผิด (1)

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 385 ยอมรับผิด (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 385 ยอมรับผิด (1)

‘ชิ้ง!’

สวี่ชีอันสะบัดข้อมือ มีดยาวสีดำทองส่งเสียงเบาๆ คราบเลือดอันน่าสยดสยองกระจายอยู่บนแท่นประหาร

ดวงตาของเขากวาดมองเจ็ดวีรบุรุษที่คุกเข่าอยู่ใต้แท่นอย่างช้าๆ กวาดตามองทหารรักษาวังและฝูงชนคับคั่ง สูดหายใจลึกพร้อมเอ่ยเสียงดัง

“ในวันนี้สวี่ชีอันสังหารสองชาติชั่ว ไม่ใช่เพื่อระบายความโกรธหรือความแค้นส่วนตัว แต่เพื่อปณิธานที่สุมอยู่ในอก เพื่อล้างแค้นแทนใต้เท้าเจิ้ง เพื่อบอกบางอย่างแก่ราชสำนัก…”

ทุกสายตาจับจ้องไปที่เขา ฉากเงียบสงัดไร้ซึ่งเสียง ตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ

น้ำเสียงของสวี่ชีอันดังก้องและทรงพลัง แต่แฝงด้วยความลุ่มลึกยากจะอธิบาย “หากสวรรค์มีความรู้สึกจักอาดูร เส้นทางที่ถูกต้องของโลกมนุษย์กลับตาลปัตรสิ้น”

สายตาของสวี่ชีอันระผ่านฝูงชนตรงนั้น มองไปที่ท้องฟ้าสีครามอันห่างไกล ท่ามกลางเมฆสีขาว คล้ายจะเห็นร่างเงาทื่อๆ โค้งคารวะเขาอยู่

สวี่ชีอันโค้งคารวะกลับโดยไม่เงยหน้าขึ้นอยู่นาน

ใต้เท้าเจิ้ง เดินทางสู่สุคติ

หากสวรรค์มีความรู้สึกจักอาดูร เส้นทางที่ถูกต้องของโลกมนุษย์กลับตาลปัตรสิ้น…บนสันหลังคาไกลออกไป ร่างอันบอบบางของฮว๋ายชิ่งในชุดขาวดุจหิมะสั่นระริก พึมพำในปากไม่หยุด บ้าไปแล้ว

เส้นทางที่ถูกต้องของโลกมนุษย์กลับตาลปัตรสิ้น นี่คือศรัทธาที่ยึดมั่นอยู่ในใจเจ้างั้นรึสวี่ชีอัน นอกฝูงชน หญิงสาวหน้าตาสวยดาษดากุมใจ ได้ยินมันเต้นแรงตึกตัก

รอบลานประหารไช่ซื่อโข่ว มีผู้คนมารวมตัวกันเป็นกลุ่มส่งเสียงร้องไห้ออกมาเป็นพักๆ พวกเขาก้มหน้า ไม่ก็ปาดน้ำตาร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด

“ท่านพ่อร้องไห้ทำไม ทำไมเหล่าใต้เท้าถึงร้องไห้กันหมดเลย”

ในตำแหน่งที่ไม่แออัดนัก เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นและกะพริบตาปริบๆ

ชายหนุ่มอุ้มเด็กน้อยขึ้นวางบนไหล่แล้วเอ่ยเสียงเบา “มองชายผู้นั้นและจงจำประโยคนี้ไว้ ต้องจำประโยคนี้และต้องจดจำเขาไว้ให้ได้ จากนี้ไปไม่ว่าผู้อื่นจะพูดอย่างไร เจ้าจงอย่าว่าร้ายเขา”

“เขาเป็นใครหรือ ทำไมข้าต้องว่าร้ายเขาด้วย” เด็กน้อยถามอย่างแปลกใจ

“เขาเป็นวีรบุรุษแห่งต้าฟ่ง ทว่านับจากนี้เขา อาจจะกลายเป็น ‘คนไม่ดี’”

สวี่ชีอันรับฝักดาบกลับมา ดึงมีดแกะสลักที่ตอกอยู่บนแท่นออกดังกังวานและกำอยู่ในมือ ทหารระดับสูงสิบกว่านายรอบแท่นประหารถอยห่างเรื่อยๆ ด้วยความประหลาดใจ

เขาไม่แยแสราวกับไม่มีสิ่งใดขวางกั้น ก้าวลงจากแท่นประหารและเดินออกไปทีละก้าวๆ

ระหว่างนั้นก็เปิดถุงหอมพิเศษที่หลี่เมี่ยวเจินมอบให้เบาๆ และเก็บสองวิญญาณลงไปในถุง

ผู้คนที่แออัดเต็มท้องถนนและฝูงชนคับคั่งต่างถอยออกเปิดทางเดินเป็นแนวตรง

“สวี่อวิ๋นหลัว ตาแก่คนนี้ขอคารวะ”

นักปราชญ์อาวุโสผมขาวโพลนประสานมือคารวะ

“สวี่อวิ๋นหลัว ตาแก่คนนี้ขอคารวะ”

ไม่มีการรวมตัว ไม่มีการเชิญชวน ผู้คนตรงนั้นต่างประสานมือคารวะ แม้การเคลื่อนไหวจะไม่พร้อมกัน ทว่าพวกเขาต่างทำออกมาจากใจ

ฮว๋ายชิ่งมองกราดฉากนี้จากบนสันหลังคา ตกอยู่ในภวังค์อยู่สักพัก นางเป็นธิดาองค์ใหญ่ของจักรพรรดิ องค์หญิงผู้สง่าผ่าเผย อย่าว่าแต่คนนับพันก้มหัวให้ คนนับหมื่นนางก็เคยพบเจอ

เช่นพระบิดาผู้เป็นจักรพรรดิผู้นั้น

อย่างไรก็ตาม คนรอบข้างต่างยำเกรงอำนาจของเขา ยำเกรงอาภรณ์มังกรบนร่างของเขา

มีเพียงสวี่ชีอัน ผู้คนต่างเคารพเขาและรักเขาล้วนมาจากใจ ไม่ใช่กับคนอื่นแต่กับเขาผู้นี้เท่านั้น

ทหารรักษาวังที่แออัดบนถนนก่อจลาจลขึ้น ทอดมองชายหนุ่มที่เดินเข้ามา ในคราแรกก็ไม่รู้ว่าควรลงมือหรือถอยหนีดี

พวกเขาอดมองผู้บัญชาการทั้งสามไม่ได้ พบว่าผู้บัญชาการและทหารนายอื่นๆ ยืนนิ่งอยู่ไกลออกไป ไม่มีเจตนาจะขัดขวางแม้แต่น้อย

“ฮี้ๆ…”

ม้าส่งเสียงร้อง ผลักสองข้างออกเพื่อเปิดทาง

เมื่อเดินออกมาหลายร้อยก้าวเขาก็หยุดลงและทอดมองไปทางพระราชวัง

น้ำพยุงเรือให้ลอยได้ก็ทำให้คว่ำได้เช่นกัน เจ้าไม่ยอมรับผิดก็จะมีคนบังคับให้เจ้ายอมเอง…

บัดนี้ด้านนอกประตูอู่เหมิน บรรดาขุนนางต่างไม่ได้แยกย้าย ยังอดทนรอข่าวส่งกลับมา

ยิ่งกว่านั้น หากเกิดศึกใหญ่ในเมืองขึ้นจริงๆ แน่นอนว่ารออยู่ในพระราชวังนั้นปลอดภัยที่สุด ยอดฝีมือในพระราชวังมีมากมาย ถึงแม้ว่าในยามปกติพวกเขาจะไม่ได้แสดงฝีมือมากนัก

พระราชวังอยู่ติดกับค่ายของทหารรักษาวัง โดยมีร้อยศึก เทวากล และทัพอาชาสามค่ายใหญ่ มีทหารรักษาวังทั้งสิ้นหนึ่งแสนนาย ซึ่งเป็นกองกำลังใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิโดยตรง

ท้ายที่สุดขุนพลและขุนนางคุณูปการด้านในอันที่จริงก็มียอดฝีมือมากมาย ขั้นห้าเฉกเช่นเชวียหย่งซิวก็มีไม่น้อย

เหล่าขุนนางบุ๋นบู๊มากมายต่างกระซิบกระซาบหารือว่าจะยุติเรื่องนี้อย่างไร เฉากั๋วกงและฮู่กั๋วกงสองบรรดาศักดิ์กงเป็นหรือตาย

ทว่าพวกเขาต่างใจเลื่อนลอย สายตาทองมองไปทางประตูวังอยู่บ่อยครั้ง

ในที่สุดทหารชุดเกราะนายหนึ่งกดด้ามมีด พุ่งทะยานเข้ามาจากนอกวัง

สมุหราชเลขาธิการหวางก้าวมาข้างหน้าขวางทหารชุดเกราะไว้ แล้วเอ่ยเสียงขรึม “สถานการณ์นอกวังเป็นอย่างไรบ้าง ทหารรักษาวังเอาชนะสวี่ชีอันได้ไหม เฉากั๋วกงกับฮู่กั๋วกงปลอดภัยดีหรือไม่”

ทหารรักษาวังนายนี้จะไปทูลรายงานกับองค์จักรพรรดิ ไม่อยากโต้ตอบกับสมุหราชเลขาธิการหวาง จึงเบี่ยงตัวหลบเลี่ยงและเดินหน้าต่อ

ทว่าขุนพลหลายนายก็ขวางทางไว้พร้อมตะคอก “พูดสิ!”

เสียงฝีเท้าดัง ‘ตุ้บตั้บ’ ขุนพลบู๊บุ๋นต่างระดับขั้นนับร้อยนายก้าวมาด้านหน้า กรูเข้ามาพร้อมกัน

“…” ทันทีที่ทหารชุดเกราะได้รับแรงกดดันในแบบที่ไม่ควรมีจึงกัดฟันพูด

“เฉากั๋วกงและฮู่กั๋วกงถูกลากมาตัดหัวที่ลานประหารไช่ซื่อโข่วแล้ว”

เมื่อกล่าวจบก็รีบจากไป

เฉากั๋วกงและฮู่กั๋วกงถูกลากไปฆ่าที่ลานประหารไช่ซื่อโข่วแล้ว…ข่าวนี้ทำให้ขุนนางบู๊บุ๋นทั้งหลายที่อยู่ตรงนั้นพูดไม่ออกอยู่นาน

แม้ขุนนางที่อยู่ตรงนั้นจะรู้อยู่แก่ใจว่าสวี่ชีอันเป็นคนอย่างไร โดยเฉพาะเจ้ากรมซุน หัวหน้าผู้พิพากษาศาลต้าหลี่และคนอื่นๆ ที่เคยเป็นอริกับเขา

ทว่าเมื่อได้รับการยืนยันว่าเฉากั๋วกงและฮู่กั๋วกงถูกตัดหัวจริงๆ ในใจพวกเขาก็ต่างคิด ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเหมือนเดิม

“ช่างเป็นคนไร้กฎเกณฑ์เสียจริง…” ขุนนางเอ่ยกระซิบกระซาบ

“เขาเป็นคนน่ารังเกียจ” เจ้ากรมซุนมองคนผู้นั้นเช่นกัน ชะงักอยู่พักหนึ่งก่อนจะกล่าวเสริม

“แต่ก็เป็นคนที่น่านับถือเช่นกัน”

ขุนนางบุ๋นหลายคนที่ใกล้ชิดกับเจ้ากรมซุนรอบๆ มองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา

เจ้ากรมซุนเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ข้าอยากจะแล่เนื้อเจ้านี่ออกเป็นชิ้นๆ แต่นั่นก็เป็นเพียงความแค้นส่วนตัวของข้า เชวียหย่งซิวช่วยทรราชทำชั่ว สังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์กว่าสามแสนแปดหมื่นคน ศิษย์ชั่วที่สวรรค์มิอาจทนนิ่งดูดาย ฆ่าไปเสียก็ดี”

ฆ่าไปเสียก็ดี…ขุนนางบุ๋นมากมายต่างพูดประโยคนี้ในใจเบาๆ

ในบรรดาพวกเขาบางคนยอมประนีประนอมเพื่อผลประโยชน์ บางคนไม่กล้าต่อต้านอำนาจจักรพรรดิ บางคนเห็นว่าไม่ใช่กงการของตน รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี บางคนในใจอัดอั้นด้วยความแค้น แต่สถานการณ์บังคับให้เงียบ

ทว่าถูกหรือผิด แต่ละคนล้วนมีตาชั่งอยู่ในใจ

เว่ยเยวียนกับสมุหราชเลขาธิการหวางสบตากัน ไม่ประหลาดใจราวกับคาดเดาเหตุการณ์ไว้แล้ว

“หนึ่งวันพอหรือไม่” เว่ยเยวียนเอ่ยอย่างแผ่วเบา

“พอ” สมุหราชเลขาธิการพยักหน้าเบาๆ

ในห้องบรรทม

จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงยืนเอามือไพล่หลัง หันหลังให้ประตูโดยไม่ตรัสสิ่งใด ขันทีอาวุโสข้างกายก้มศีรษะน้อยๆ ไม่กล้าส่งเสียง

เขารับใช้จักรพรรดิหยวนจิ่งมานานแรมปี รู้จักนิสัยของจักรพรรดิผู้นี้เป็นอย่างดี เขาคงจะคว่ำโต๊ะเพื่อระบายอารมณ์ แต่นั่นก็แค่ระบายอารมณ์ เมื่อระบายเสร็จก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจจริงๆ

ทว่าเมื่อเขานิ่งเงียบไปนานเกินหนึ่งก้านธูป นั่นก็หมายความว่าองค์จักรพรรดิผู้นี้เริ่มตั้งใจ คำนวณและวางแผนบางอย่างอย่างจริงจังราวกับอยู่ในศึกใหญ่

แปลกจริง ยามที่กำลังจัดการคดีของอ๋องสยบแดนเหนือก็ไม่เห็นเขาจะอึมครึมน่ากลัวเท่านี้ แต่หลังจากที่สวี่ชีอันลักพาตัวสองกั๋วกงไป เขากลับ ‘สติแตก’ ได้เช่นนี้

ต่อให้สวี่ชีอันฆ่าสองกั๋วกงเพื่อระบายความแค้น สำหรับฝ่าบาทก็ไม่มีอะไรเสียหาย อย่างไรเสียพระประสงค์ของฝ่าบาทก็บรรลุผลแล้ว

บัดนี้เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว ทหารรักษาพระองค์หยุดอยู่ตรงประตู

จักรพรรดิหยวนจิ่งพลันหันกลับพร้อมตรัสเสียงขรึม “ว่ามา!”

ทหารรักษาพระองค์ยืนอยู่ตรงประตูเอ่ยพร้อมแสดงคารวะ “สวี่ชีอันสังหารสองกั๋วกงที่ลานประหารไช่ซื่อโข่ว ละ และ…”

เมื่อได้ยินว่าเฉากั๋วกงและฮู่กั๋วกงถูกสังหาร พระพักตร์ของจักรพรรดิหยวนจิ่งก็ปรากฏเป็นสีแดงฉานด้วยความโกรธแล้วตวาดขึ้น “พูดให้จบในหนึ่งลมหายใจ”

ทหารรักษาพระองค์เอ่ยเสียงสั่น “และทรงให้ร้ายฝ่าบาทต่อหน้าประชาชนกว่าพันคนว่า…ว่าฝ่าบาทสนับสนุนอ๋องสยบแดนเหนือสังหารหมู่ล้างบางเมือง ฮู่กั๋วกงเชวียหย่งซิวจัดการด้วยตนเอง”

ม่านพระเนตรของจักรพรรดิหยวนจิ่งพลันหดตัว ไม่นานนักพระหัตถ์ที่ซุกอยู่ในแขนเสื้อก็สั่นระริกเล็กน้อย พระพักตร์กระตุกอย่างเห็นได้ชัดพร้อมตรัสทีละคำ

“เจ้าหัวขโมยนี่ยังมีชีวิตอยู่หรือ”

“ขะ เขาเข้าไปในสำนักโหราจารย์แล้วพ่ะย่ะค่ะ เหล่าขุนพลขวางไม่อยู่ พะ เพราะในมือเขาถือมีดแกะสลักอยู่…”

เมื่อรับรู้ได้ถึงไฟโทสะขององค์จักรพรรดิ ทหารรักษาพระองค์ก็เอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ

ภายในห้องเงียบจนน่ากลัว ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มกระทบพื้น

บรรยากาศราวกับเย็นเยือก ขันทีอาวุโสไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ ร่างกายท้วมสมบูรณ์สั่นเครือเล็กน้อย

ไม่นานนักเสียงที่ไร้อารมณ์ของจักรพรรดิหยวนจิ่งก็ดังขึ้น “ส่งคนไปจับกุมครอบครัวสวี่ชีอันเดี๋ยวนี้ ส่งเข้าคุก รอคำสั่งลงโทษ หากขัดขืนก็ฆ่าทิ้งเสีย ส่งทหารรักษาวังห้าร้อยนายไปจับกุมสวี่ชีอันที่สำนักโหราจารย์ รายงานสำนักราชเลขาธิการ เตรียมประกาศทันทีว่า ‘ฆ้องเงินสวี่ชีอันเป็นสายสืบจากสำนักพ่อมด ใช้คดีเจิ้งซิ่งไหวปลุกปั่นเรื่องราว ทำลายชื่อเสียงราชวงศ์ของข้า’”

เมื่อขันทีอาวุโสรับคำสั่งและจากไป จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ตรัสพึมพำกับตนเองเบาๆ “โชคชะตาจะกระจัดกระจายไม่ได้อีกแล้ว”

ในไม่ช้าทหารรักษาวังก็ควบม้ามาถึงจวนสกุลสวี่ ประตูปิดแน่น

เหล่าทหารรักษาวังพังประตูบุกเข้าจวนสกุลสวี่ แต่กลับพบกับความว่างเปล่า ข้าวของเครื่องใช้ยังอยู่ครบ แต่ไม่เหลือของมีค่าแม้แต่ชิ้นเดียว

ทหารรักษาวังพวกนี้เกรียงไกรในหมู่เกรียงไกร แต่ก็ไม่ได้ระห่ำระบายความโกรธไปทั่วเช่นนั้น หลังจากตรวจค้นอย่างละเอียดก็จากไปอย่างรวดเร็ว กลับวังไปรายงานภารกิจ

อีกด้านหนึ่งขันทีอาวุโสก็พาคนมาที่สำนักราชเลขาธิการด้วยตนเอง แล้วได้พบกับสมุหราชเลขาธิการหวางผมหงอกขาวอยู่ภายในโถง

“ฝ่าบาทมีพระราชโองการรับสั่งให้ร่างประกาศว่า ‘ฆ้องเงินสวี่ชีอันเป็นสายสืบจากสำนักพ่อมด ใช้คดีเจิ้งซิ่งไหวปลุกปั่นเรื่องราว ทำลายชื่อเสียงของราชวงศ์ต้าฟ่ง’”

ขันทีอาวุโสพูดอย่างรวดเร็ว ถ่ายทอดคำสั่งของจักรพรรดิหยวนจิ่งทุกตัวอักษร

สมุหราชเลขาธิการหวางตั้งใจฟังจนจบและพยักหน้าพร้อมเอ่ย “ผนึกกลับ!”

ความหมายของมันคือ ‘ไม่เห็นด้วย!’

สำนักราชเลขาธิการมีอำนาจผนึกสาส์นกลับ สิ่งที่เรียกว่าผนึกสาส์นกลับก็คือการส่งพระราชโองการของจักรพรรดิที่ไม่ดีหรือไม่ถูกต้องกลับไป

“เจ้าว่าอะไรนะ”

ขันทีอาวุโสสงสัยว่าตนฟังผิดไป เขาแคะหูแล้วเอ่ย “ท่านสมุหราชเลขาธิการพูดอีกครั้งได้หรือไม่”

สมุหราชเลขาธิการหวางมองเขาอย่างราบเรียบ “ผนึกกลับ”

สีหน้าของขันทีอาวุโสอึมครึม เอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงขมขู่ “ท่านสมุหราชเลขาธิการ ตอนนี้เป็นช่วงพิเศษ เหตุใดท่านต้องมาทำให้ฝ่าบาทโชคไม่ดีช่วงเวลานี้ด้วย ตำแหน่งของท่านนี่ผู้คนมากมายต่างพากันจับจ้องอยู่นะ”

เขาชะงักก่อนที่น้ำเสียงจะอ่อนลง “ใต้ผืนฟ้าเป็นแผ่นดินของจักรพรรดิหรือไม่น่ะหรือ ใต้หล้านี้น่ะเป็นของฝ่าบาท พวกเราเป็นข้าราชบริพาร แม้ในใจจะมีความเห็นก็เก็บไว้ในใจดีกว่า ไยต้องให้ฝ่าบาทรับรู้”

สมุหราชเลขาธิการหวางลุกขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์แล้วเดินออกไป

เมื่อขันทีอาวุโสเห็นเขามองข้ามความหวังดี กำลังจะบันดาลโทสะก็ได้ยินน้ำเสียงอันแผ่วเบาของชายชราเอ่ยขึ้น “ข้ารู้สึกไม่สบาย ขอตัวกลับจวนก่อน หากฝ่าบาทมีเรื่องอันใดต้องการพบก็รอพรุ่งนี้เถิด”

“ช่างกล้าดีนัก…” ขันทีอาวุโสสั่นเทาด้วยความโกรธ

เขาขึ้นเกี้ยวและสั่งให้ทหารรักษาพระองค์ยกกลับวังในทันที แล้วมุ่งตรงไปยังห้องบรรทม

ภายในห้องบรรทม กำยานไม้จันทน์พลิ้วสะบัด จักรพรรดิหยวนจิ่งประทับขัดสมาธิอยู่บนเบาะสานด้วยสีพระพักตร์เรียบเฉยราวกับไม่ทุกข์ร้อน

พระกรรณของเขาขยับแล้วตรัสอย่างเยือกเย็น “กำชับเรียบร้อยแล้วหรือ”

“พ่ะย่ะค่ะ…” ขันทีอาวุโสอ้ำอึ้งอยู่สักพักก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อน “สมุหราชเลขาธิการหวางผนึกสาส์นกลับพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก “เรียกเขามาพบเข้า”

ขันทีอาวุโสกลืนน้ำลายแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนกว่าเดิม “สมุหราชเลขาธิการหวางบอกว่ารู้สึกไม่สบาย จึงกลับจวนไปพักผ่อนแล้ว ยังกล่าวอีกว่าหากฝ่าบาทมีเรื่องอันใดค่อยเรียกเขามาพบในวันพรุ่งนี้พ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งลืมพระเนตรพร้อมหัวเราะด้วยความเดือดดาล “ตาเฒ่านี่ ในเมื่อไม่สบายเช่นนั้นก็ไม่ต้องรับตำแหน่งแล้ว แจ้งเหล่าขุนนาง พรุ่งนี้ประชุมราชการ”

ช่วงนี้ประชุมราชการในแต่ละวันยังบ่อยกว่าช่วงตรวจสอบข้าราชสำนักเสียอีก นับตั้งแต่องค์จักรพรรดิบำเพ็ญเพียรมาก็ไม่เคยประชุมราชการถี่เช่นนี้มาก่อน

บัดนี้ผู้บัญชาการทหารรักษาวังนายหนึ่งก็มาตะโกนอยู่นอกห้องบรรทม “ฝ่าบาท”

ขันทีอาวุโสคารวะและรีบสาวเท้าออกไปกระซิบกระซาบกับผู้บัญชาการทหารรักษาวังอยู่สักพัก ก่อนจะกลับมาด้วยสีหน้าย่ำแย่พร้อมเอ่ยเสียงเบา

“ฝ่าบาท ครอบครัวของสวี่ชีอันหลบหนีไปก่อนหน้านี้แล้วพ่ะย่ะค่ะ ไม่รู้ว่าไปที่ใด ส่วนทางด้านสำนักโหราจารย์ บริเวณรอบหอดูดาวในระยะหนึ่งร้อยจั้งถูกปกคลุมด้วยค่ายกล เหล่าทหารรักษาวังมิอาจย่างกรายเข้าไปได้”

จักรพรรดิหยวนจิ่งตรัสเย้ยหยัน “เตรียมการล่วงหน้าไว้แล้วสินะ”

เขานิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะตรัสเสียงเบา “ท่านโหราจารย์ยังกล่าวว่าอะไรอีก”

ขันทีอาวุโสตอบกลับ “มิใช่ท่านโหราจารย์ เป็นฝีมือของหยางเชียนฮ่วน ซ้ำยังถากถางทหารรักษาวังอย่างรุนแรง”

แต่จักรพรรดิหยวนจิ่งกลับถอนพระทัยด้วยความโล่งอก

เขาไม่ตรัสสิ่งใดอีก แล้วครุ่นคิดวิธีกู้สถานการณ์

อย่างไรเสียสวี่ชีอันก็เป็นเพียงฆ้องเงิน มิอาจแทนราชสำนักได้ การกระทำครั้งนี้เรียกได้ว่าฝ่าฝืนข้อห้ามของทหาร ทว่านี่ยังไม่พอ คิดจะให้ผู้คนศรัทธาก็ต้องสร้างฐานเท็จให้ร้ายสวี่ชีอันว่าเขาเป็นสายสืบจากสำนักพ่อมด

จากนั้นก็ส่งคนไปกระจายข่าวลือในเมืองหลวงประกอบกับประกาศจากราชสำนักก็น่าเชื่อถือกว่าคำคุยโวของเจ้าเขี้ยวที่อยู่ลานประหารไช่ซื่อโข่ว

ทว่าก่อนหน้านั้นเขาต้องจัดการกลุ่มขุนนางบุ๋นเสียก่อน ที่เรื่องในวันนี้พลิกผันเป็นไปได้มากว่าขุนนางบุ๋นหน้าชื่นอกตรมมากมายอาจจะ ‘ตั้งใจปล่อยไป’ ดังนั้นการประชุมราชการในวันพรุ่งนี้ เขาจะเชือดไก่ให้ลิงดู

สมุหราชเลขาธิการหวางก็คือไก่ที่เขาจะเชือดเป็นตัวแรก

สำนักโหราจารย์ แท่นแปดทิศ

ท่านโหราจารย์ยืนยกมือไพล่หลังอยู่บนยอดตึก ชุดสีขาวปลิวสะบัด พลิ้วไหวราวกับเทพเซียน

เขากราดมองเมืองหลวงอย่างจดจ่อ ชั่วขณะหนึ่งก็ยิ้มอยู่ในใจ “ดูท่าว่าจะเป็นไปได้ด้วยดี!”

บัดนี้ร่างในชุดขาวก็ปรากฏขึ้น ยืนมือไพล่หลังหันหลังให้ท่านโหราจารย์ แล้วใช้น้ำเสียงที่สุดแสนจะโอหังเอ่ยอย่างนอบน้อมที่สุด “ขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ช่วยบรรลุปรารถนา วันนี้ข้าสบายใจแล้ว อืม เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ เหตุใดทหารรักษาวังต้องจับกุมสวี่ชีอัน แล้วเหตุใดท่านต้องให้ข้าไปขัดขวางด้วย”

ท่านโหราจารย์เอ่ยอย่างสุขใจ “สวี่ชีอันดักปล้นขุนนางนับร้อยที่ประตูอู่เหมิน ลักพาตัวเฉากั๋วกงและฮู่กั๋วกง แล้วสังหารพวกเขาที่ลานประหารไช่ซื่อโข่ว ได้รับความเคารพรักจากประชาชน ทว่านี่ก็เป็นการทำลายอนาคตตนเองเช่นกัน”

จะว่าไปเขาก็คิดว่าศิษย์ของตนผู้นี้ไม่สุขุมพอ อารมณ์ร้อนเกินไป จึงได้โอกาสเหน็บแนมทำให้เขาตื่นตัวเรียนรู้ทางตันของสวี่ชีอัน

“หากเป็นเจ้า เจ้าจะกล้าหรือไม่”

ร่างกายของหยางเชียนฮ่วนแข็งทื่อก่อนจะรู้สึกตัว แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ อืม ท่านอาจารย์ข้าจะกลับไปฝึกแล้ว”

ง่ายเช่นนี้เลยหรือ ดูเหมือนจะยังแยกแยะได้อยู่…ท่านโหราจารย์พยักหน้าอย่างปลื้มใจ

พริบตาเดียวร่างของหยางเชียนฮ่วนก็อันตรธานหายไป

หลังจากนั้นท่านโหราจารย์สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของหยางเชียนฮ่วนลอยลิ่วไปทางพระราชวังอย่างรวดเร็ว…

สีหน้าของท่านโหราจารย์คล้ายจะกระตุกและยกเท้ากระทืบอย่างเดือดดาล

เสียงคำรามที่เจียนขาดใจของหยางเชียนฮ่วนดังมาจากใต้ดินของหอดูดาวอย่างรางเลือน “ท่านโหราจารย์…ท่านอาจารย์ ท่านจะทำแบบนี้กับข้าไม่ได้ ไม่!”

…………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด