ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 433 ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ เผยหม่านซีโหลว (1)

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 433 ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ เผยหม่านซีโหลว (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 433 ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ เผยหม่านซีโหลว (1)

เผยหม่านซีโหลวโค้งคำนับอย่างเป็นทางการ เขาหรี่ตาและยิ้ม “ใต้เท้าสวี่รับราชการอยู่ที่ทำการปกครองใดหรือ”

สวี่ซินเหนียนตอบกลับอย่างสุภาพ “สำนักบัณฑิตฮั่นหลินขอรับ”

“ราชสำนักต้าฟ่งส่งขุนนางตัวเล็กๆ ระดับเจ็ดมาต้อนรับพวกเราหรือ”

เสียงเยาะเย้ยดังขึ้น ข้างหลังเผยหม่านซีโหลว ชายหนุ่มผู้มีบุคลิกคล้ายสตรีและม่านตาตั้งตรงกล่าวอย่างไม่พอใจ

“ท่านเป็นใคร” สวี่ซินเหนียนถามกลับ

ชายหนุ่มผู้มีม่านตาตั้งตรงและบุคลิกคล้ายสตรีเชิดคางขึ้น ขณะที่เขากำลังจะพูดก็ได้ยินสวี่ซินเหนียนเอ่ยว่า “อ้อ ข้าลืมไป ท่านไม่ใช่มนุษย์”

ชายหนุ่มผู้มีม่านตาตั้งตรงถูกน้ำเสียงเยาะเย้ยอันเย็นชาของเขายั่วโมโหจึงแค่นเสียงเย็น “ข้าเป็นสายเลือดของเทพเจ้ากับปีศาจโบราณ มนุษย์ธรรมดาๆ เช่นเจ้าจะเทียบเทียมได้อย่างไร”

“เช่นนั้นเหตุใดท่านถึงไม่ขึ้นไปบนสวรรค์ เหตุใดถึงอยู่ที่โลกมนุษย์” สวี่ซินเหนียนถามด้วยความประหลาดใจ

“เจ้า…”

ชายหนุ่มผู้มีม่านตาตั้งตรงหน้าแดงก่ำและจ้องมาเขาอย่างดุร้าย มีคนทางเหนือกล้าพูดกับเขาเช่นนี้และตอนนี้ก็กลายเป็นอาหารเลิศรสอยู่ในท้องของเขาแล้ว

“เสวียนอิน อย่าหยาบคาย”

เผยหม่านซีโหลวหรี่ตา ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม “เสวียนอินเป็นสายเลือดของปีศาจจู๋จิ่ว จึงหยิ่งยโสโอหังจนเป็นนิสัย ใต้เท้าสวี่ดุก็ดีแล้ว เขาขาดการสั่งสอนจริงๆ”

เผยหม่านซีโหลวกวาดตามอง ชายหนุ่มผู้มีม่านตาตั้งตรงเงียบกริบ

“แม้ว่าตำแหน่งราชการของใต้เท้าสวี่จะไม่สูง แต่เขาก็เป็นผู้สูงศักดิ์ในบรรดาผู้สูงศักดิ์ มีเพียงปัญญาชนชั้นยอดเท่านั้นที่สามารถเข้าสำนักบัณฑิตฮั่นหลินได้ สัตว์ร้ายเช่นเจ้าจะเทียบได้อย่างไร”

เผยหม่านซีโหลวเอ่ยชมและกล่าวว่า “ผู้น้อยเผยหม่านซีโหลว”

‘ข้าไม่ได้ดุเขา หากข้าต้องการจะดุเขา พวกเจ้าคงต้องรอพรุ่งนี้ถึงจะเข้าเมืองหลวงได้…’ สวี่ซินเหนียนพยักหน้าเป็นการตอบรับ

หวงเซียนเอ๋อร์ยิ้มเจ้าเล่ห์และหันไปมองสวี่ซินเหนียน อักษรตัวแรกของสกุลเผยหม่านแห่งกลุ่มผมขาวนั้นเหมือนกับสกุลเผยของเผ่ามนุษย์ในที่ราบตอนกลาง ผู้คนในที่ราบตอนกลางส่วนใหญ่จึงเข้าใจสกุลเผยหม่านผิดเป็นสกุลเผย

นางคาดหวังว่าจะได้เห็นขุนนางหนุ่มแห่งต้าฟ่งคนนี้สับสนสกุลและอับอาย นางถือโอกาสแสดงด้านที่อ่อนโยนออกมา ร่วมกับเสน่ห์และยั่วยวนหัวใจของขุนนางหนุ่มคนนี้

สวี่ซินเหนียนพยักหน้า “ผู้ส่งสารเผยหม่าน ข้าจะพาพวกท่านไปพักผ่อนที่ศาลาพักม้า”

หวงเซียนเอ๋อร์ผิดหวังเล็กน้อยทันที ขุนนางหนุ่มแห่งต้าฟ่งคนนี้ค่อนข้างมีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง นี่ทำให้การยั่วยวนของนางไม่ได้ผล

เผยหม่านซีโหลวไม่เคยคิดจะใช้ความฉลาดเพื่อทำให้ผู้สูงศักดิ์แห่งสำนักบัณฑิตฮั่นหลินอับอาย เขาขึ้นขี่ม้าและนำคณะทูตออกจากท่าเรือไปภายใต้การคุ้มครองของทหารต้าฟ่งสองร้อยนาย

หลังจากผ่านถนนสายเล็กๆ สองสามสาย ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงถนนสายหลักในเมือง ภาพตรงหน้าทำให้ทุกคนในคณะทูตปีศาจตกตะลึง

ถนนกว้างขวางเกินจินตนาการและสามารถรองรับทหารม้าห้าสิบนายพุ่งทะยานเคียงคู่กันไปได้ บ้านเรือนสองข้างทางเรียงรายกันแน่นขนัดไปจนสุดสายตา ซุ้มประตูของร้านค้าโบกสะบัดท่ามกลางสายลม

พวกเขาเพิ่งเคยเห็นภาพทิวทัศน์อันงดงามเช่นนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต

ดวงตาอันเปี่ยมเสน่ห์ของหวงเซียนเอ๋อร์พร่าเลือน ในที่สุดนางก็รู้ว่าเหตุใดบรรพบุรุษถึงปรารถนาที่จะลงใต้มายังที่ราบตอนกลางและยึดครองแผ่นดินนี้

แต่แล้ว หวงเซียนเอ๋อร์ก็ตระหนักได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง เพราะที่ถนนสายหลักมีประชาชนของเผ่ามนุษย์ยืนอยู่เต็มสองข้างทาง พวกเขาถือตะกร้าไว้ในมือ ซึ่งในตะกร้าใส่ผัก ไข่เน่าและก้อนหินไว้

สีหน้าของพวกเขาโกรธเกรี้ยว ความเกลียดชังลุกโชนอยู่ในดวงตา

“ฆ่าปีศาจ!”

มีคนคำรามออกมาและขว้างไข่เน่าใส่คณะทูตปีศาจ ราวกับชนวนที่จุดดินปืน ความโกลาหลเกิดขึ้นในชั่วพริบตา

“ฆ่าปีศาจ”

“ไสหัวออกจากเมืองหลวงไป”

“…”

ผัก ไข่เน่า ก้อนหิน ข้าวปั้นบูดและอื่นๆ ทุกอย่างถูกนำมาขว้างปาใส่คณะทูตปีศาจ สิ่งสกปรกลอยอยู่เต็มท้องฟ้า

อุปนิสัยของปีศาจนั้นหุนหันพลันแล่น โหดร้ายและทนต่อการยั่วยุไม่ได้มากที่สุด พวกเขาจึงแยกเขี้ยวยิงฟันและแสดงสีหน้าโกรธออกมาทันที

“ใต้เท้าสวี่ ประชาชนของต้าฟ่งกระตือรือร้นมาก”

เผยหม่านซีโหลวรวบรวมพลังปราณ สกัดกั้นสิ่งสกปรกที่พุ่งเข้ามาจากทั้งสองฝั่งและพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

สวี่ซินเหนียนเอ่ยเสียงเรียบ “ใช่ เกรงว่าพวกท่านจะกินไม่อิ่ม”

เผยหม่านซีโหลวสะอึกและไม่รู้จะตอบกลับอย่างไร

ปีศาจปล้นสะดมชายแดนเป็นเรื่องปกติ เพราะนั่นเป็นเพียงแค่การกินเท่านั้น

หวงเซียนเอ๋อร์ขมวดคิ้วครั้งแล้วครั้งเล่าและขุ่นเคืองเล็กน้อย แม้ว่านางจะสามารถใช้พลังปราณสกัดกั้นสิ่งสกปรกที่ประชาชนของเผ่ามนุษย์ขว้างมาได้ แต่การปฏิบัติเช่นนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ตุ๊กตาดินเผาโกรธ

ในเวลานี้เอง นางก็ได้ยินเผยหม่านซีโหลวถามว่า “ดูเหมือนประชาชนเหล่านี้จะดูแลใต้เท้าสวี่เป็นพิเศษใช่หรือไม่”

หวงเซียนเอ๋อร์พบว่า ตอนประชาชนที่อยู่รอบๆ ขว้างผักกับไข่เน่า พวกเขาจงใจหลีกเลี่ยงขุนนางหนุ่มคนนี้ แต่ทหารต้าฟ่งที่มาด้วยกันกลับไม่ได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกัน

หลังจากการค้นพบนี้ หวงเซียนเอ๋อร์ก็หรี่ตาสังเกตอยู่ครู่หนึ่งและเห็นรายละเอียดมากยิ่งขึ้น

ประชาชนไม่เพียงแค่ดูแลเท่านั้น ถึงขนาดให้ความสนใจเป็นพิเศษตอนที่เขายังอยู่และหลีกเลี่ยงเขาอย่างระมัดระวัง

‘ดูเหมือนประชาชนของเผ่ามนุษย์จะรักเขามากและกลัวว่าจะขว้างโดนเขา…’

หวงเซียนเอ๋อร์มองพินิจสวี่ซินเหนียนอย่างประหลาดใจและอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเขาอย่างมาก

‘อาศัยเพียงแค่สถานะของซู่จี๋ซื่อ ไม่มีทางทำให้ประชาชนของเผ่ามนุษย์ปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้ หรือว่าเขาจะมีอีกสถานะหนึ่งและเป็นสถานะที่ประชาชนของเผ่ามนุษย์รู้จัก…’ เผยหม่านซีโหลวหรี่ตาลงและคาดเดาในใจ

สวี่ซินเหนียนหัวเราะออกมา “พวกเขาไม่ได้ดูแลข้า พวกเขาดูแลแผ่นป้ายที่แขวนอยู่บนม้า”

‘แผ่นป้ายหรือ’

หวงเซียนเอ๋อร์ชะงัก จากนั้นนางกับเผยหม่านซีโหลวก็พบว่ามีแผ่นป้ายไม้แขวนอยู่บนคอของม้าจริงๆ ซึ่งพวกเขาไม่สังเกตเห็นมาก่อน

สวี่ซินเหนียนสถิตร่าง ถอดแผ่นป้ายออกและแสดงให้ทั้งสองคนดู

บนแผ่นป้ายเขียนว่า ‘น้องชายของฆ้องเงินสวี่’

‘น้องชายของฆ้องเงินสวี่?!’ เสียงของหวงเซียนเอ๋อร์แผ่วเบา ราวกับกระเง้ากระงอดและทำเสียงออดอ้อนว่า “นี่หมายความว่าอย่างไรหรือ”

ตาตี่ของเผยหม่านซีโหลวลืมขึ้นเล็กน้อยและเข้าใจในที่สุด “ไม่แปลก ไม่แปลก! ที่แท้ใต้เท้าสวี่ก็เป็นน้องชายของฆ้องเงินแห่งต้าฟ่ง สวี่ชีอัน”

กลุ่มผมขาวมีห้องลับห้องหนึ่งไว้เก็บสำนวนคดีลับโดยเฉพาะ เบื้องหลังของห้องลับห้องนี้คือเครือข่ายข่าวกรองขนาดใหญ่ของกลุ่มผมขาวและหัวหน้าของเครือข่ายข่าวกรองนี้ก็คือเผยหม่านซีโหลวที่ได้รับการยกย่องจากเผ่าอนารยชนว่าเป็นหนอนหนังสือ

เขาเป็นคนเขียนเรื่องฆ้องเงินในตำนานของต้าฟ่งคนนั้นเอง

มันเกิดขึ้นในช่วงปลายปีของปีแห่งการตรวจสอบข้าราชสำนักและเป็นเวลาไม่ถึงหนึ่งปีนับจากนั้น จากมือปราบอำเภอฉางเล่อธรรมดาๆ คนหนึ่งก้าวกระโดดกลายเป็นดาวดวงใหม่ที่เปล่งประกายที่สุดในต้าฟ่ง

พรสวรรค์ของเขาน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวที่สุดไม่ใช่พลังต่อสู้ของเขา แต่เป็นชื่อเสียงที่เรียกได้ว่าล้นหลามของเขา

หลังจากคดีสังหารหมู่ฉู่โจว ชื่อเสียงของเขาก็พุ่งไปถึงจุดสูงสุด จุดสูงสุดที่ทำให้ผู้คนทอดถอนใจ

ชื่อเสียงนี้ยิ่งใหญ่เพียงใด การประเมินของเผยหม่านซีโหลวในเวลานั้นคือประชาชนนับล้านในเมืองหลวงรักเขาทุกคน แต่ตอนนี้ หลังจากได้เห็นพลังของแผ่นป้ายไม้ด้วยตาตัวเอง เขาก็ตัดสินใจว่าหลังจากกลับไปที่เผ่าอนารยชนค่อยเขียนเพิ่มว่า ‘เป็นพรแก่ครอบครัว’

เห็นได้ชัดว่าหวงเซียนเอ๋อร์ก็นึกถึงฆ้องเงินในตำนานคนนั้นเช่นกัน นางจึงประหลาดใจ

‘ในเผ่าเทพของพวกเรา มีเพียงหัวหน้าเท่านั้นที่มีอำนาจบารมีเช่นนี้…’ หวงเซียนเอ๋อร์ตั้งตารอการเดินทางไปเมืองหลวงครั้งนี้มากขึ้นเรื่อยๆ

เผ่าอนารยชนมีสายเลือดของเทพเจ้ากับปีศาจและมักเรียกตัวเองว่าเผ่าเทพอยู่เสมอ

ขณะที่ประชาชนในเมืองหลวงมาเรียงรายกันตามถนนเพื่อต้อนรับ สวี่ซินเหนียนก็นำคณะทูตปีศาจเข้าไปในศาลาพักม้า

หลังจากคณะทูตปักหลักเรียบร้อย สวี่ซินเหนียนที่ถูกจักรพรรดิหยวนจิ่งส่งมาทำภารกิจอันยากลำบากก็พักอยู่ครึ่งชั่วยามภายใต้การบังคับรั้งไว้ของเผยหม่านซีโหลว ก่อนจะขอตัวออกไปอย่างเร่งรีบ

เขาไม่ได้กลับไปรายงานตัวที่ที่ทำการปกครอง ทั้งยังละเลยงานไปครึ่งวันและกลับบ้านอย่างสบายใจเฉิบ

“พี่ชายเป็นยอดคนที่หาพบได้ยาก คิดไม่ถึงว่าน้องชายคนนี้จะมีปากคอเราะร้าย แต่พรสวรรค์ก็ไม่เลวเช่นกัน” หลังจากส่งสวี่ซินเหนียน เผยหม่านซีโหลวก็นั่งดื่มชาอยู่ในลาน

ภายในครึ่งชั่วยาม ทุกตำนานที่เขาเล่า อีกฝ่ายสามารถเสริมต่อได้และอธิบายถึงประวัติศาสตร์กับพระคัมภีร์ สวี่ซินเหนียนนั้นเปี่ยมด้วยสติปัญญา เมื่อพูดถึงความคับแค้นเก่าระหว่างต้าฟ่งกับเผ่าเทพทางเหนือ เขาก็ยังคงด่าสาดเสียเทเสีย พูดจาทิ่มแทงและแดกดันถากถาง

หวงเซียนเอ๋อร์นั่งบนม้านั่งหินและจงใจนั่งท่าที่ยั่วยวน เพื่อจูงใจทหารส่งสารที่อยู่รอบๆ ให้คุมสติไม่อยู่ เมื่อได้ยินคำพูดนี้ นางก็ร้องฮึ

“ก็แค่นักปราชญ์เหม็นโฉ่ที่ตายด้านคนหนึ่งเท่านั้น”

ระหว่างทางนางแอบส่งสัญญาณและยั่วยวนเขาอยู่ตลอด แต่ใครจะรู้ว่านักปราชญ์เหม็นโฉ่คนนั้นจะเมินเฉย ขยิบตาให้คนตาบอดดูจริงๆ

หวงเซียนเอ๋อร์กินผลไม้แห้งกับเนื้อแห้งบนโต๊ะหินและถามว่า “พรุ่งนี้เข้าวังไปพบจักรพรรดิของเผ่ามนุษย์ เจ้าวางแผนไว้อย่างไร หากไม่มั่นใจว่าจะย้ายกลับไปช่วยได้ในระยะเวลาสั้นๆ อย่าลืมแจ้งข้าก่อน”

เผยหม่านซีโหลวไล่ทหารส่งสารในลานออกไปและถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าจะรับมืออย่างไร”

หวงเซียนเอ๋อร์หาว ท่าทางเกียจคร้านและมีเสน่ห์

“เช่นนั้นข้าก็จะไม่กลับไปทางเหนือ เลือกขุนนางใหญ่สักคนในเมืองหลวงและเป็นนางสนมของเขา ดีกว่ากลับไปรับโทษที่ทางเหนือไม่ใช่หรือ ข้าไม่กลัวคนในเผ่าจะแก้แค้น จริงสิ เมืองหลวงมีท่านโหราจารย์เฝ้ามองอยู่ เผ่าเทพของพวกเราไม่มีใครกล้ามา”

เผยหม่านซีโหลวหัวเราะและพูดว่า “การจะทำให้ต้าฟ่งส่งกองทัพไปช่วยเผ่าเทพของข้านั้นคงเลี่ยงการเสียผลประโยชน์ไม่ได้ ความหมายในการมาที่นี่ของพวกเราจึงไม่มีอะไรมากไปกว่า ‘การต่อรอง’ เผ่าเทพมาขอร้องต้าฟ่งและเสียโอกาสชี้ขาด หากต้องทำให้เท่าเทียมกัน พวกเราต้องโจมตีความห้าวหาญกับความหยิ่งยโสของพวกเขาก่อน พวกเขาเคารพเจ้าสามส่วน ถึงจะยอมอ่อนข้อบนโต๊ะประชุมได้สามส่วน แน่นอนว่า จำเป็นต้องให้กลุ่มจิ้งจอกของพวกเจ้าออกแรงนอกเหนือจากโต๊ะประชุม ในบรรดาพิษสามอย่าง สุรา เพศและเงินทอง คำว่าเพศมาก่อน”

ชายหนุ่มผู้มีม่านตาตั้งตรงเสวียนอินพบโอกาสขัดจังหวะ เขาแค่นเสียงเย็น “เผ่ามนุษย์ต่ำต้อยราวกับมด ในสมัยโบราณ พวกมันเป็นเครื่องสังเวยที่บรรพบุรุษเทพเจ้ากับปีศาจของพวกเราเลี้ยงไว้ แม้ว่าตอนนี้ยุคสมัยของเทพเจ้ากับปีศาจจะสิ้นสุดลง แต่ประชาชนของเผ่ามนุษย์ก็ยังคงเป็นเพียงแค่อาหาร”

เขารู้ว่าคณะทูตมาเยือนต้าฟ่งครั้งนี้เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่เขาก็ยังคงดูถูกเผ่ามนุษย์ที่อ่อนแอเป็นรายบุคคลไป

เผยหม่านซีโหลวมองเขา หรี่ตาและยิ้ม

“คำพูดเหล่านี้พูดเป็นการส่วนตัวได้ หากเจ้ากล้าพูดจาไร้มารยาทข้างนอก ข้าจะถลกหนังของเจ้า”

เสวียนอินเบ้ปาก “ข้ารู้ ข้าจึงรอทหารส่งสารออกไปถึงพูด”

เผยหม่านซีโหลวหยิบกล่องเล็กๆ ใบหนึ่งออกมาจากในเครื่องบรรณาการที่นำมาครั้งนี้ เขาเปิดกล่องอย่างระมัดระวังและจริงจัง ข้างในมีหนังสือหลายเล่มวางอยู่

หนังสือเหล่านี้ล้วนมีชื่อเดียวกัน ‘พิธีเป่ยไจ’

“เป่ยไจเป็นห้องหนังสือของข้า ข้าชอบอ่านหนังสือตั้งแต่เด็ก ทว่ามองแต่ภาพรวมและเพียงแค่ท่องจำเท่านั้น ต่อมาข้าก็ติดตามคนในเผ่าลงใต้ไปปล้นสะดมปัญญาชนของเผ่ามนุษย์ สามปีแรกข้าฟังพวกเขาบรรยาย สามปีต่อมา ข้าสนทนาเต๋ากับพวกเขา สามปีหลังจากนั้น ปัญญาชนที่ปล้นสะดมมาได้ในชายแดนทางเหนือ ไม่มีใครมีความรู้เท่ากับข้า ปีนั้นข้าอายุสิบแปด ข้าย้อมผมเป็นสีดำอย่างไม่ลังเลเพื่อลงใต้ไปแสวงหาความรู้ ตอนอายุยี่สิบ จู่ๆ ข้าก็เกิดความคิดที่จะเขียนหนังสือ ข้าแสวงหาความรู้ในที่ราบตอนกลางเป็นเวลาสิบปี เรียบเรียงสิ่งที่ข้าเรียนรู้เป็นหนังสือและแก้ไข ตอนนั้นข้ายังไม่ได้ตั้งชื่อหนังสือ

จนกระทั่งข้ากลับมาที่เผ่าและกลับไปที่ห้องหนังสือเป่ยไจ ข้าก็ตระหนักได้ทันทีว่ามันควรชื่ออะไร หกปีต่อมา ข้าทุ่มเททั้งกายและใจ ในที่สุด ‘พิธีเป่ยไจ’ ก็เป็นที่ประจักษ์ ม้วนหนังสือนี้มีเยอะมาก มีทั้งหมดสามร้อยแปดเล่ม ครอบคลุมการเกษตร การค้า ประวัติศาสตร์ ดาราศาสตร์และภูมิศาสตร์ ต้าฟ่งบอกว่าปีศาจเช่นข้าไม่มีประวัติศาสตร์มิใช่หรือ อันที่จริงมี เพราะพวกเขายังไม่ได้เห็นพิธีเป่ยไจ หากอาลักษณ์ของต้าฟ่งเห็นหนังสือเล่มนี้จะต้องดีใจจนแทบบ้าอย่างแน่นอน

แน่นอนว่า สิ่งที่ข้าภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตยังคงเป็นหนังสือทางการทหาร ข้าอ่านหนังสือทางการทหารของต้าฟ่งเกือบทุกเล่ม ไม่ต้องพูดถึงผลงานของคนรุ่นก่อน หนังสือทางการทหารที่ควรค่าแก่การอ่านอย่างแท้จริงในปัจจุบันคือ ‘กลยุทธ์และยุทธวิธีทางทหารหกประการ’ ที่ประพันธ์โดยจางเซิ่น ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักอวิ๋นลู่ เนื้อหาที่เล่าไม่เลว แต่เน้นบทบาทของนักพรตในสงครามมากเกินไป เพิกเฉยความสำคัญของทหารธรรมดาๆ ในสงคราม หากกำจัดนักพรตออกไป เหลือเพียงทหารธรรมดาๆ ‘กลยุทธ์และยุทธวิธีทางทหารหกประการ’ ของเขาก็จะไม่เป็นเรื่องเป็นราว”

หวงเซียนเอ๋อร์ฟังจนง่วงงุน เมื่อได้ยินเรื่องตำราพิชัยสงคราม นางก็สนใจขึ้นมาเล็กน้อยและถามว่า

“บทบาทที่มนุษย์ธรรมดาๆ สามารถแสดงได้ในการต่อสู้นั้นมีน้อยมาก การให้ความสำคัญกับบทบาทของนักพรตมีสิ่งใดผิดหรือ”

เผยหม่านซีโหลวส่ายหน้า

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดเว่ยเยวียนถึงสามารถเอาชนะสงครามด่านซานไห่ได้และชื่อเสียงในฐานะเทพเจ้าทางการทหารของเขามาจากไหน มีเพียงเว่ยเยวียนเท่านั้นที่สามารถใช้ทหารธรรมดาได้อย่างยอดเยี่ยมดั่งเทพเนรมิต เขาเป็นผู้นำที่แท้จริง กำจัดนักพรตออกไปและใช้เพียงทหารธรรมดาๆ หากมอบกองทัพห้าแสนนายให้แก่เว่ยเยวียน เขาก็สามารถกวาดล้างจิ่วโจวได้ ข้าเคยศึกษาสงครามในปีนั้น ทุกฝ่ายทุ่มกำลังทหารมากกว่าหนึ่งล้านนาย จำนวนของทหารธรรมดาก็สั่งสมถึงระดับที่ค่อนข้างน่ากลัว เมื่อพลังนี้ถูกควบคุมและจัดการอย่างสมบูรณ์แบบ มันจึงไร้เทียมทาน”

‘ยอดเยี่ยมมาก แต่ข้าฟังไม่เข้าใจ…’ หวงเซียนเอ๋อร์กล่าวด้วยท่าทางงดงาม “เจ้าบอกมาว่าข้าจะยั่วยวนเว่ยเยวียนได้อย่างไร หากสามารถจัดการเขาได้ ครั้งนี้พวกเราก็ถือว่าประสบความสำเร็จ”

“เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ” เผยหม่านซีโหลวถามกลับ

หวงเซียนเอ๋อร์หัวเราะคิกคัก ท่าทางเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์

แน่นอนว่านางแค่พูดไปอย่างนั้น นางได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้นำคณะทูตและเป็นปีศาจสาวที่เฉลียวฉลาดมาก

…………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด