ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 555 ราชครูส่งข้อความ

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 555 ราชครูส่งข้อความ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 555 ราชครูส่งข้อความ

ทันทีที่ชีพจรมังกรแยกออกจากร่างผู้ถูกอาศัยนั้น จิ้งซินก็ราวกับมีการตอบสนอง พลันแหงนหน้ามองลำแสงดังกล่าว

คนอื่นๆ ต่างก็พากันเงยหน้า จึงเห็นปราณมังกรที่กึ่งโปร่งแสงกึ่งเสมือนจริงนี้ มันดูแตกต่างจากปราณมังกรขนาดเล็กที่กระจัดกระจายออก และปราณมังกรทั้งเก้าหลักสำคัญเป็นสิ่งที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

ส่วนรูปลักษณ์ชีพจรมังกรอันสมบูรณ์นั้น ช่วงแรกที่ถูกดึงออกจากใต้ผืนพิภพ ก็ไม่รู้ว่าผ่านสายตาของเหล่าผู้คนในเมืองหลวงมากน้อยเพียงใด แต่เมื่อเจอตัวผู้ถูกอาศัยแล้ว ก็จะไม่สามารถเห็นปราณมังกรได้อีก

สวี่ชีอันได้เตรียมการมาล่วงหน้าแล้ว เขายกแขนเสื้อขึ้นปิดบัง เพื่อแตะเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีแผ่วเบาที่ซ่อนอยู่บริเวณท้องน้อย พลางทำปากขมุบขมิบร่ายคาถา

ผลของแผนการดังกล่าวได้ปรากฏขึ้นกลางห้อง ปราณมังกรที่แยกตัวออกมาในสถานที่นี้ได้ถูกพลังงานไร้รูปบางอย่างดูดเอาไว้ ซึ่งราวกับปราณมังกรได้ส่งเสียงคำรามอันเงียบสงัด ก่อนจะเข้าไปยังเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีอย่างไม่ยินดี

จากสายตาของคนนอก ก็ดูเหมือนว่าปราณมังกรได้เลือกสวี่ชีอันเป็นผู้ถูกอาศัยด้วยตัวมันเอง

เมื่อปราณมังกรของไฉเสียนได้เข้าสู่เศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพี และผสานรวมกับปราณมังกรลูกอื่นภายในนั้น แม้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว แต่ก็เป็นการเพิ่มความแน่นหนาที่มากขึ้น

ขณะเดียวกัน ขอบเขต ‘การรับรู้’ ของสวี่ชีอันก็ขยายกว้างกว่าเดิมด้วย ตอนนี้จึงสามารถครอบคลุมบริเวณหนึ่งในสามของเมืองเซียงโจวได้

“หากสามารถครอบคลุมบริเวณหนึ่งในสามของเมืองเซียงโจวได้ก็พอแล้ว…”

เขาราวกับไม่ได้พึมพำประโยคดังกล่าวออกมา ก่อนจะมองไปทางไฉเสียน แล้วถอนหายใจ

สำหรับไฉเสียนแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องฆ่าบิดาหรือสังหารผู้บริสุทธิ์ โดยเฉพาะครอบครัวของเอ้อร์ยาที่มีกันอยู่สามคน มันคือความจริงที่แสนโหดร้ายเกินพรรณนาทั้งสิ้น ยามเขารู้สึกตัวว่าตนเองเป็นผู้ลงมือกระทำทุกอย่าง ในใจคงเริ่มเกิดความรู้สึกอยากจะตายให้ได้แน่ๆ

แต่สำหรับสวี่ชีอันนั้น จะแยกแยะลักษณะนิสัยของคนคนนั้นกับการก่ออาชญากรรมไม่ได้ และไม่สามารถด่วนสรุปได้โดยง่าย ทว่าคดีล้างบางหมู่บ้านเสี่ยวชุนก็เป็นไฉเสียนที่ทำ ไม่ว่าจะเข่นฆ่าคนเพราะอาการป่วยจิตมันก็คือการลงมือฆ่าคนอยู่ดี เป็นบาดแผลที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้

ถึงเขาไม่ได้ป่วยทางจิต ก็ให้อภัยไฉเสียนได้อยู่แล้ว

แต่ด้วยเหตุผลที่ซับซ้อนเช่นนี้ สวี่ชีอันเลยไม่ได้ขัดขวางการฆ่าตัวตายของไฉเสียน

ไฉหลานล้มตัวลงบนกายไฉเสียน พลางร่ำไห้เสียงแหบพร่า

จะทำดีหรือชั่วย่อมมีผล มันคงเป็นกงเกวียนกําเกวียน…สวี่ชีอันมองไปทางผู้กระทำความผิดอีกคน แล้วถามว่า “ไฉซิ่งเอ๋อร์ ใครคือผู้บงการของเจ้า?”

ไฉซิ่งเอ๋อร์ส่ายหน้า “ข้าไม่รู้ ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่อาจล่วงรู้สถานะของผู้บงการได้หรอก นี่เป็นกฎของตำหนักความลับสวรรค์ ซึ่งระหว่างผู้ใต้บังคับบัญชากับผู้บงการจะใช้วิธีส่งจดหมายหากัน หากมีเรื่องด่วนสำคัญ จึงจะส่งส่งข่าวด้วยนกพิราบสื่อสาร

“ที่จวนมีนกพิราบสื่อสารอยู่ หากผู้อาวุโสอยากจะรู้ว่าผู้บงการคือใคร ก็สามารถสืบหาทางนกพิราบสื่อสารได้ ข้ายังไม่เคยลองสืบสถานะของผู้บงการมาก่อน แต่ข้าคาดเดาว่าสถานที่จุดหมายปลายทางของนกพิราบสื่อสารนั้น คงไม่ใช่ที่อยู่ผู้บงการหรอก”

ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่รู้สถานะของผู้บงการ แต่ผู้บงการกลับรู้สถานะของผู้ใต้บังคับบัญชาตัวเอง คงต้องรับผิดชอบหน้าที่หาว่าอยู่พื้นที่ไหนเองสินะ…จากนั้นสวี่ชีอันก็ใคร่ครวญเอ่ยว่า “ไม่มีวิธีติดต่อแบบเร่งด่วนอย่างอื่นบ้างหรือ?”

ไฉซิ่งเอ๋อร์ส่ายหน้า

นี่เป็นวิธีป้องกันยามสายลับตกอยู่ในเงื้อมมือศัตรูสินะ ที่อาจโดนขุดรากถอนโคน จนส่งผลกระทบวงกว้างได้ แต่ข้อเสียคือมันง่ายต่อการที่อีกฝ่ายจะให้ข้อมูลล้าหลัง…สวี่ชีอันกล่าวต่อว่า “เล่าสถานการณ์ตำหนักความลับสวรรค์มาซิ”

“สายสืบของตำหนักความลับสวรรค์แบ่งเป็นเก้าระดับ ข้าเป็นสายสืบระดับห้า และจะมีผู้ใต้บังคับบัญชาอีกสองคนที่เป็นผู้สายสืบระดับสี่ล้วนอยู่จางโจวกันหมด ส่วนผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้ใต้บังคับบัญชาอีกทีข้าก็ไม่รู้จักแล้ว นี่เป็นกฎของตำหนักความลับสวรรค์เช่นกัน รู้แต่เพียงสถานะของผู้ใต้บังคับบัญชาที่ขึ้นตรงด้วยเท่านั้น”

ไฉซิ่งเอ๋อร์ดูไม่ได้ปิดบังอะไร ยังสามารถบอกตามความเป็นจริงภายใต้กฎอันเคร่งครัดได้

พวกสุนัขรับใช้ทั้งหลายเหล่านี้ ดูจะไม่คุ้มที่จะเสียแรงและเวลาในการตามหาเท่าไรนัก แต่หากเป็นผู้บงการของไฉซิ่งเอ๋อร์ ถึงจะคุ้มค่าที่ตัวข้าต้องลงมือเอง…เมื่อสวี่ชีอันคิดถึงจุดนี้ ก็เหลือบมองบรรดาภิกษุแห่งสำนักพุทธ

ไม่สิ ต้องรีบออกจากจางโจวโดยด่วน เทพอารักษ์ตู้หนานจะปรากฏตัวเมื่อใดก็ได้ อีกทั้งอาจจะมีพระอรหันต์ด้วย ไม่ควรอยู่ที่นี่นานเกินไป

“แล้วเจ้ากลายมาเป็นสายสืบของตำหนักความลับสวรรค์ได้อย่างไร?”

สวี่ชีอันถามคำถามสุดท้าย หลักๆ เขาสงสัยว่าบ่มเพาะสายสืบกันอย่างไร และจะปราบสายสืบที่อยากฆ่าตัวตายได้อย่างไร

ถึงจุดนี้ เว่ยกงและคนไม่ได้เรื่องดูเป็นผู้มีความสามารถในด้านนี้ไปเลย

เนื่องจากเว่ยกงล่วงลับไปแล้ว จึงไร้หนทางได้ไถ่ถาม เลยอยากจะไปถามเจ้าคนไม่ได้เรื่องแทนจนใจแทบขาด แล้วจะถือโอกาสมอบบทกลอนที่ว่า ‘บิดาผู้เมตตากำกระบี่ในมือ ฟาดฟันใส่ร่างขาดสะบั้น[1]’ ให้แก่เขาเสีย

แต่สวี่ชีอันทำได้เพียงใช้วิธีทางอ้อมเท่านั้น

เหิงอินพนมมือกล่าว “อย่าโป้ปดกันเลย”

อันที่จริงหมดเวลาถือศีลแล้ว แต่ต้องให้เขาแสดงใหม่อีกครั้ง

ในใจไฉซิ่งเอ๋อร์เริ่มเกิดการต่อต้านอย่างหนักหน่วง ทว่าปากก็ยังพูดความจริงออกมา “เมื่อสิบปีก่อน ตอนที่ข้ายังไม่ได้ออกเรือน เป็นเพียงคุณหนูใหญ่แห่งจวนสกุลไฉ ระหว่างที่ข้าฝึกบำเพ็ญอยู่ภายในลานบ้านกลางฤดูร้อนปีนั้น พลันได้ยินเสียงหัวเราะของคนคนหนึ่งพลางเอ่ยว่า ‘แม่นางมีคุณสมบัติไม่เลวทีเดียว…’

“นั่นคือครั้งแรกที่ข้าได้เจอกับเจ้าตำหนัก เขาสวมชุดขาวราวหิมะ ยืนตระหง่านกลางลานบ้าน อีกทั้งสาวใช้รอบกายยังทำเป็นมองไม่เห็นเขาด้วย”

เจ้าคนไม่ได้เรื่องหรือ?

สวี่ชีอันขมวดคิ้ว ด้วยสถานะของสวี่ผิงเฟิงแล้ว ไม่สมเหตุสมผลเลยที่จะไปเยือนกองกำลังยุทธภพอย่างตระกูลไฉ และไม่มีทางเป็นเพราะเพียงไฉซิ่งเอ๋อร์มีคุณสมบัติที่ดีหรอก น่าจะแค่ชักชวนคนอื่นเข้าเป็นพวกมากกว่า

ไฉซิ่งเอ๋อร์กล่าวต่อว่า “พอข้าถามว่าเขาเป็นใคร เขาก็บอกว่าตัวเขามาเพื่อตามล่าหาสมบัติ”

“ตามล่าหาสมบัติหรือ?”

ไฉซิ่งเอ๋อร์พยักหน้า “เดิมทีบรรพบุรุษตระกูลไฉเป็นทาสจากซินเจียงตอนใต้ ตั้งแต่เขายังเด็กครอบครัวก็ถูกฆ่าตายทั้งบ้าน แล้วคนร้ายก็นำตัวเขาไปขายเป็นทาสในซินเจียงตอนใต้ แต่หลังจากได้ร่ำเรียนวิชาต่างๆ จนสำเร็จ จึงกลับมายังเซียงโจว ซึ่งกลายมาเป็นตระกูลไฉดั่งทุกวันนี้

“จนปัจจุบันนี้ น้อยคนที่จะรู้สาเหตุที่ตระกูลไฉโดนสังหารยกครอบครัวในครั้งนั้น และสาเหตุที่บรรพบุรุษถูกขายไปถึงซินเจียงตอนใต้”

หลังจากเงียบไปสักพัก ไฉซิ่งเอ๋อร์ก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “แต่เดิมตระกูลไฉเป็นคนเฝ้าศพ คอยปกป้องสุสานใหญ่มายาวนาน ทว่าไม่รู้ว่าเหตุใดภายหลังถึงได้ละทิ้งสถานะคนเฝ้าศพ แล้วมาก่อตั้งตระกูลในเซียงโจว ส่วนสาเหตุที่โดนฆ่าตายทั้งบ้าน คงเพราะมีคนอยากจะเข้าไปในสุสานใหญ่นั่น

“ตามหลัก คนภายนอกจะไม่รู้ถึงสถานะคนเฝ้าศพของตระกูลไฉ บางทีอาจมีคนทรยศในตระกูลได้เปิดเผยสิ่งนี้ออกไป แต่นี่มันเป็นเรื่องในร้อยกว่าปีก่อน รายละเอียดนอกเหนือจากนี้ข้าก็ไม่รู้แล้ว”

สุสานใหญ่?!

โรคกลัวสุสานใหญ่ของสวี่ชีอันได้กำเริบขึ้นอีกครั้ง

วังสุสานใต้ดินนอกเมืองยงโจวแห่งนั้นได้สร้างบาดแผลในใจเขาลึกมากทีเดียว

“หลังจากนั้นล่ะ? สวี่…”

สวี่ชีอันกระแอม ก่อนเอ่ยว่า “ชายชุดขาวคนนั้นได้เข้าไปในสุสานใหญ่หรือไม่?”

ดูเหมือนว่าบรรดาภิกษุแห่งสำนักพุทธจะสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย จึงอดทนรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ

ไฉซิ่งเอ๋อร์ส่ายหน้า “ตระกูลไฉมีแผนที่สุสานเพียงครึ่งเดียว ส่วนอีกครึ่งที่เหลืออยู่ในมือเผ่าซือกู่แห่งซินเจียงตอนใต้ ซึ่งเจ้าตำหนักได้นำแผนที่ส่วนของตระกูลไฉไป ต่อจากนั้นเป็นอย่างไร ข้าก็ไม่รู้แล้ว

“หลังจากนั้น ข้าก็กลายเป็นสายสืบของตำหนักความลับสวรรค์ การที่ข้าประสบความสำเร็จและฝึกตบะได้อย่างทุกวันนี้ ก็เพราะหลายปีนี้ตำหนักความลับสวรรค์ได้คอยมอบการบ่มเพาะให้”

สิ่งที่สามารถทำให้สวี่ผิงเฟิงสนใจสุสานได้ ของในที่แห่งนั้นย่อมไม่ธรรมดาเป็นแน่ และเนื่องจากแผนที่อีกครึ่งหนึ่งอยู่ในมือของเผ่าซือกู่ ดังนั้น สวี่ผิงเฟิงน่าจะยังไม่ได้เข้าสุสานกระมัง?

นอกจากนี้ แผนที่ในมือของเผ่าซือกู่นั้น ก็แสดงให้เห็นว่าบรรพบุรุษตระกูลไฉได้แผนที่มาอยู่ในกำมือตั้งแต่ยังเด็กแล้ว?

หากมีความเป็นมาเช่นนี้ ทำไมเขาถึงโดนขายไปเป็นทาสที่ซินเจียงตอนใต้ ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย อ๋า…สวี่ชีอันเงียบลงครู่หนึ่ง แล้วกล่าว “เกี่ยวกับเรื่องสุสานใหญ่ เจ้ารู้อะไรอีกหรือไม่?”

“ตำแหน่งที่อยู่ของสุสาน มีเพียงผู้นำตระกูลไฉเท่านั้นที่จะรู้ หากไม่ใช่เพราะเจ้าตำหนัก ข้าก็ไม่ทราบความลับนี้หรอก”

“เหตุใดเขาถึงบอกความลับนี้แก่เจ้าล่ะ?”

“เจ้าตำหนักบอกว่าเขาอยากจะเปิดสุสาน จึงต้องการเลือดสดๆ ของคนเฝ้าศพเป็นตัวกลาง”

ด้วยเหตุนี้ สวี่ผิงเฟิงจึงนำตัวไฉซิ่งเอ๋อร์จากจวนสกุลไฉ ฝึกฝนพัฒนาจนกลายเป็นสายสืบ และเป็นเบี้ยตัวหนึ่งบนกระดานหมากรุกสินะ…สวี่ชีอันไม่ได้ถามต่อ เขาหมุนตัวไปทางจิ้งซินกับจิ้งหยวน ก่อนจะพูดว่า “อีกไม่นาน ผู้บงการของตำหนักความลับสวรรค์คงจะมาที่จวนสกุลไฉ ไต้ซือแต่ละท่านโปรดระวังตัวเอาไว้ด้วย”

เขาอัญเชิญเรียกเจดีย์พุทธะออกมาอยู่บนฝ่ามือ จากนั้นประตูเจดีย์ชั้นแรกก็ถูกเปิดออก พร้อมกับมีสายลมหมุนเวียน ดูดตัวไฉซิ่งเอ๋อร์เข้าไปอยู่บนชั้นสอง

จากนั้น เขาก็กดไหล่ของทั้งหลี่หลิงซู่และเหิงอิน แปรเปลี่ยนให้กลายเป็นเงามืด ก่อนจะออกจากจวนสกุลไฉไป

ภายในห้องโถงเงียบสงัดทันใด

จิ้งซินมองความมืดยามราตรีที่นอกประตู แล้วพนมมือพลางท่องบทสวด

‘ไม่ได้จะฆ่าพวกเราหรือนี่…’ เหล่าภิกษุสำนักพุทธถอนหายใจโล่งอก ทั้งดีใจและสับสนในคราวเดียวกัน

“ศิษย์พี่จิ้งซิน ตอนนี้ควรจะทำอย่างไรดี?” ภิกษุรูปหนึ่งเอ่ยถามขึ้น

จิ้งซินเหลือบมองจิ้งหยวนที่ยังคงหมดสติ จากนั้นก็กล่าวอย่างช้าๆ “ศิษย์น้องจิ้งหยวนยังต้องพักผ่อน เช่นนั้นอยู่จวนสกุลไฉก่อนเถิด รอจนกว่าท่านอาจารย์อาตู้หนานจะมาแล้วกัน”

เมื่อพูดจบ เขาก็กวาดสายตามองไฉหลานผู้ที่ยังต้องคอยอยู่ปกป้องตระกูลไฉ นี่คือเงื่อนไขของพวกเขาที่พุทธบุตรปล่อยผ่าน

ซึ่งก็เป็นสิ่งที่คนฉลาดด้วยกันเท่านั้นถึงจะรู้แก่ใจดี โดยไม่จำเป็นต้องพูดออกมา

ท่ามกลางความมืดมิดบริเวณนอกเมือง สวี่ชีอัน หลี่หลิงซู่ รวมถึงหุ่นเชิดเหิงอินได้เดินทางมาถึงบนถนนหลวง พร้อมกับหันหน้าเข้าปะทะลมหนาวที่เย็นไปถึงกระดูก

เทพบุตรก้มหน้า ดูมีเรื่องหนักอกหนักใจทว่ากลับไม่พูดสักประโยค

สวี่ชีอันมองไปยังเบื้องหน้า ยิ้มพลางกล่าวเหน็บแนม “ไร้อารมณ์ข้องเกี่ยว ไร้รักอันทุกข์ตรม เมื่อถึงขั้นที่หลุดพ้นแล้วมองจากเบื้องสูงก็จะลืมเลือนเอง เจ้าบอกว่าหลี่เมี่ยวเจินเดินเส้นทางที่ผิด หากนางยอมละทิ้งชีวิตธรรมดาเพื่อคนคนเดียว เจ้าจะว่าอย่างไร?”

หลี่หลิงซู่เงยหน้าขึ้นฉับพลัน อ้าปากราวกับอยากจะโต้แย้งไม่ก็อธิบาย แต่สุดท้ายเลือกที่จะเงียบ หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็พูดเสียงค่อยว่า “ข้าไม่รู้”

เมื่อสวี่ชีอันนึกถึงในมุมมองของอีกฝ่าย ก็พบว่าหากเป็นตัวเอง ก็คงสับสนแบบนี้เช่นเดียวกัน จึงไม่ได้เยาะเย้ยเขาต่อ

จากนั้นหลี่หลิงซู่ก็ถามขึ้นว่า “ผู้อาวุโสคิดจะจัดการซิ่งเอ๋อร์อย่างไรหรือ?”

สวี่ชีอันตอบอย่างตรงไปตรงมา “จัดการตามคดีแหละ เจ้าคิดว่าเหตุใดไฉซิ่งเอ๋อร์ถึงต้องเชิญผู้มีฝีมือในแต่ละด้าน รวมถึงฝ่ายทางการมาร่วมชุมนุมมือสังหารมารด้วยล่ะ?”

หลี่หลิงซู่ตอบอย่างคนชาญฉลาด “เพื่อควบคุมไฉเสียนและยับยั้งคดีฆาตกรรม”

“ถูกต้อง หลังจากนางกระตุ้นไฉเสียนให้ฆ่าไฉเจี้ยนหยวน ไฉเสียนก็หลบหนีออกจากจวนสกุลไฉ ตระเวนสังหารไปทั่วเซียงโจว ซึ่งไม่ได้อยู่ในสิ่งที่นางคาดคิดเอาไว้ เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือแผนการ

“คงคิดหาทางแก้ไข และไม่อยากให้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น จึงเป็นสาเหตุที่นางจัดชุมนุมมือสังหารมาร กล่าวได้อีกอย่างว่า ชุมนุมมือสังหารมารไม่ได้อยู่ในแผนเดิมของนาง”

จริงๆ แล้วแผนการของไฉซิ่งเอ๋อร์นั้นเรียบง่ายมาก นำความลับที่มีติดตัวในการกระตุ้นไฉเสียนสังหารไฉเจี้ยนหยวน เพื่อล้างแค้นให้กับสามีที่ถูกฆ่าตาย จากนั้นก็ข่มขู่ด้วยการใช้ไฉหลานเป็นตัวประกัน เพื่อควบคุมไฉเสียน

ทว่าคืนนั้นไฉเสียนกลับออกไปเข่นฆ่านอกจวนสกุลไฉ แม้ว่าจะคิดเก็บไฉเสียนไว้ แต่คดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นมันก็อยู่นอกเหนือแผนการของไฉซิ่งเอ๋อร์ เพื่อควบคุมสถานการณ์ไม่ให้เลวร้ายไปกว่านี้ นางจึงจัดงานชุมนุมมือสังหารมารขึ้นมา

คดีนี้ยากซับซ้อนยิ่งกว่าคดีที่สวี่ชีอันเคยสืบเสียอีก

“ข้ายังอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับตำหนักความลับสวรรค์ให้มากกว่านี้ นอกจากนี้ อย่างไรสุสานใหญ่นั่นก็จะมีต้องโอกาสได้สำรวจในอนาคตอยู่ดี” สวี่ชีอันเอ่ย

หลี่หลิงซู่เงียบอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าก็ไม่ได้รอเนื้อหาต่อจากนั้นของอีกฝ่าย ขมวดคิ้วพูดว่า “ดังนั้น?”

ข้าจะเลื่อนโทษประหารชีวิตให้นาง…จากนั้นสวี่ชีอันก็กล่าว “ชู้รักของเจ้าจะยังไม่ตายหรอก”

สุสานใหญ่แห่งนั้นต้องอันตรายมากแน่ ในอนาคตคงได้ใช้ไฉซิ่งเอ๋อร์เป็นเครื่องมือ หากตายในนั้น ชีวิตของนางก็ควรเป็นไปตามนั้น ถ้าไม่ตาย เขาก็จะขจัดตบะในตัวไฉซิ่งเอ๋อร์ แล้วให้หลี่หลิงซู่พากลับไปจำคุกตลอดชีวิตที่นิกายสวรรค์

หลี่หลิงซู่ถอนหายใจด้วยสีหน้าซับซ้อน ก่อนจะพูดเรื่องอื่น “ถึงสำนักพุทธจะสร้างความรำคาญให้กับผู้คน แต่ก็ยังมีขอบเขต ตระกูลไฉน่าจะไม่มีปัญหาอะไร”

สวี่ชีอันตอบ ‘อืม’ จากนั้นเขาก็หยุดเดินกะทันหัน พลันสอดมือเข้าไปบริเวณอกด้วยทีท่าประหลาดใจ แล้วล้วงยันต์ใบหนึ่งออกมา

ยันต์กำลังส่องแสงอ่อนๆ ท่ามกลางความมืด

ต่อจากนั้น หลี่หลิงซู่ก็ได้ยินเสียงนุ่มนวลหวานหูกล่าวว่า “เจ้าอยู่ที่ใด?”

จุดที่เชื่อมต่อกันระหว่างชิงโจวและยงโจวนั้น มีเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งอยู่ ทว่าด้วยสายลมหนาวพัดผ่านตลอดเวลา จึงทำให้เกิดเสียงร้องแหลมอันดูระทม

ฉีฮวนตานเซียงผู้ที่มีผิวสีเข้มแต่งกายด้วยชุดหลากสีสัน เดินเข้าไปในตรอกซอยเล็กๆ ที่ทั้งสกปรกและคละคลุ้งด้วยกลิ่นฉี่ จากนั้นเขาก็ก้มตัวลง แล้วแบมือออกตรงช่องรูบนกำแพง

ทันใดนั้นเองหนูขนาดใหญ่สีดำคล้ำตัวหนึ่งก็โผล่ออกมาจากรูกำแพง และกระโดดไปอยู่บนมือของเขา

ฉีฮวนตานเซียงหันศีรษะไปด้านข้าง ฟังเสียงอะไรบางอย่าง ขณะนั้นเองก็นำหนูกลับเข้าไปในรูกำแพง เงยหน้าพูดว่า “สหายของข้าได้บอกว่าเจ้าเด็กนั่นเพิ่งผ่านที่นี่ไป”

ภายใต้แสงจันทร์ยามค่ำคืน ได้ปรากฏหกร่างเงาที่กำลังยืนบนชายคาทั้งสองฝั่งในตรอกซอยเล็กๆ นี้

ชายหนุ่มผู้ที่อยู่ตรงกลางเผยรอยยิ้มบางๆ ทำให้ดูมีภาพลักษณ์อ่อนโยนและถ่อมตัว

เขายิ้มเอ่ย “สมแล้วที่เป็นผู้ถูกปราณมังกรอาศัย มีโชคชะตาอันใหญ่หลวง ถึงสามารถหลุดรอดจากเงื้อมมือพวกเราได้ตลอด น้องหยวนซวง สังเกตดูหน่อยซิว่าเขาจะหนีไปที่ใด”

รูม่านตาของสวี่หยวนซวงเปล่งแสงวับวาบ ตั้งสมาธิมองไปในที่ไกลๆ ตอนนั้นเองก็เห็นจุดห่างไกลจุดหนึ่งในทิศตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนจะมีประกายแสงสีทองวาบผ่านดวงตา

“ไปทางยงโจว” นางเอ่ยเสียงเรียบ

นักพรตเฒ่าเจียวเยี่ยหรี่ตา มองจากเบื้องสูง ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าเด็กนั่นพละกำลังไม่ได้แข็งแกร่ง ทว่ากลับเชี่ยวชาญทุกวิชาของคนอันธพาล อืม ช่างเป็นจอมยุทธ์พเนจรที่อดทนต่อความยากลำบากต่างๆ ในยุทธภพเสียจริง ส่วนที่ยงโจวนั่นกำลังจัดงานชุมนุมกลุ่มจอมยุทธ์อยู่ คาดว่าคงคิดจะต้อนเสือไปกินหมาป่า เพื่อกำจัดพวกเรา”

หากพวกเขาอยู่ระหว่างเส้นทางที่จะไปยงโจว คงได้พบผู้ถูกปราณมังกรอาศัย เจ้าเด็กนั่นมีพลังตบะที่ไม่แข็งแกร่งอยู่ระดับหลอมวิญญาณขั้นเจ็ดเท่านั้น

ทว่ากลับมีสัญชาตญาณเฉียบแหลมเป็นอย่างยิ่ง ทั้งมีเคล็ดวิชามากมายที่สร้างความปวดหัวให้กับผู้คนได้ และสามารถรอดพ้นอันตรายจากเงื้อมมือของพวกเขาได้ทุกครั้ง

หลิ่วหงเหมียนแห่งหอหมื่นบุปผาบิดเอวไปมา พลางยิ้มหวานพูดว่า “ก็พอดีเลยไม่ใช่หรือ การไปยงโจวนี้ บางทีพวกเราอาจได้ประโยชน์มากกว่าที่คิดไว้ก็ได้นะ”

เมื่อนางเหลือบมองจีเสวียนที่เงียบไม่พูดจา ราวกับคิดบางอย่างอยู่ในใจ ก่อนจะเอ่ยว่า “เจ้าเมือง ไฉนดูคิดหนักนักเล่า คืนนี้มิสู้ให้ข้าช่วยคลายความกลัดกลุ้มใจดีหรือไม่?”

จีเสวียนฝืนยิ้ม “พี่สาว เจ้าอย่ามาแสวงหาความเบิกบานใจกับข้าเลย ใครบ้างไม่รู้ว่าเจ้าคือหลิ่วหงเหมียนอสรพิษโฉมสะคราญผู้โด่งดัง แต่หยวนไหวยังเด็กอยู่ เหมาะแก่ให้เจ้าไปฝึกฝนนะ”

สวี่หยวนไหวพลันเผยสีหน้าเคร่งเครียด

หลิ่วหงเหมียนกวาดสายตามองหญิงสาวข้างกาย แล้วป้องปากยิ้มน้อยๆ “ก็กลัวว่าใครบางคนจะฉีกข้าเป็นชิ้นๆ เอาน่ะสิ”

สวี่หยวนซวงแค่นเสียงเย็นชาทันใด

จีเสวียนจึงพูดขึ้นว่า “ข้าเพียงแค่คิดเท่านั้น แล้วราชครูได้เตรียมแผนสำรองเอาไว้แล้วใช่หรือไม่”

จากนั้นทุกคนมองไปทางเดียวกันหมด

“การรวบรวมปราณมังกรในครั้งนี้ ไม่ว่าจะสำนักพุทธก็ดี สำนักโหราจารย์ก็ดี หรือกระทั่งสำนักพ่อมด ล้วนมียอดฝีมือขั้นสามเข้าร่วมด้วยทั้งนั้น มีแต่พวกเราที่ไม่มี ทว่าด้วยสติปัญญาของราชครู จะคาดเดาถึงสิ่งไม่ได้เชียวหรือ?”

จีเสวียนลูบเครา “หากจะบอกว่าราชครูไม่มีแผนสำรอง ข้าก็ทำใจเชื่อไม่ได้หรอก”

สวี่ชีอันถือใบยันต์พลางตอบกลับว่า “กำลังไปยงโจว”

เขาอ้าปากอยู่สักพัก ราวกับกำลังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เงียบไป

“อีกสามวันให้หลังก็จะถึงเมืองยงโจว”

“ก็ดี…”

จากนั้นแสงสว่างของยันต์ก็ดับลง

เอาละสิๆ ราชครูจะมานอนกับข้าแล้ว…สวี่ชีอันคิดสับสนอยู่ในใจ

“ผู้อาวุโส คนเมื่อครู่นี้คือใครหรือ?”

หลี่หลิงซู่ตกตะลึงกับน้ำเสียงอันน่าประทับใจของหญิงสาว

“ก็แค่หญิงสาวหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นแหละ” สวี่ชีอันโอ้อวดอย่างอ้อมๆ ต่อหน้าเทพบุตร

‘ช่างน่าเสียดาย ดูท่าสวีเชียนจะมีรสนิยมเป็นของตัวเองโดยเฉพาะ ไม่ชื่นชอบคนงาม กลับชื่นชอบหญิงสาวหน้าตาธรรมดาทั่วไป…’ หลังจากหลี่หลิงซู่ตอบแค่ ‘อ้อ’ ก็ไม่ถามอะไรอีก

เหตุใดชายหนุ่มผู้นี้ไม่ถามอะไรต่อเล่า ข้ายังไม่ได้เล่นตัวเลยนะ…สวี่ชีอันก็เอ่ยเพียง ‘อืม’ แล้วเดินหน้าต่อ

ขืนอธิบายไปก็จะดูขัดกับตัวตนของสวีเชียน

ถึงอย่างไรอีกสามวันราชครูก็จะมาแล้ว ถึงเวลานั้นจะโอ้อวดต่อหน้าก็ยังไม่สาย จะได้เรียกให้ชายเจ้าชู้แห่งนิกายสวรรค์มาดูให้รู้ว่าสุดยอดสาวงามนั้นเป็นอย่างไร

……………………………………………………..

[1] บิดาผู้เมตตากำกระบี่ในมือ ฟาดฟันใส่ร่างขาดสะบั้น เป็นประโยคที่ดัดแปลงมาจากบทกลอน《游子吟》 ที่เกี่ยวกับความรักของแม่ช่วงสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งแต่เดิมคือ มารดาผู้เมตตาถือเส้นด้ายในมือ เย็บเสื้อให้บุตรที่จะเดินทางไกลสวม

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด