ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 576 ชุดดำขวางทาง

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 576 ชุดดำขวางทาง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 576 ชุดดำขวางทาง

มือยักษ์ลงมาจากฟ้า ราวกับยอดเขากดทับ ทำให้หลี่หลิงซู่รู้สึกถึงแรงกดดันที่น่าอึดอัด ไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะวิ่งหนีหรือหลบเลี่ยง ในใจเฝ้ารอแต่ความตาย

หลี่หลิงซู่จ้องมองมือยักษ์บดบังท้องฟ้าด้วยความสิ้นหวัง นัยน์ตาของเขาเหลือเพียงแสงสีทอง สติของเขาจมสู่ความมืดอันไร้สิ้นสุด

“อมิตตาพุทธ!”

เสียงท่องบทสวดปลุกเทพบุตรให้ตื่นจากสภาวะดำดิ่ง เขาหันมองรอบข้างอย่างมึนงง นี่คือโลกที่ปกคลุมไปด้วยเมฆมงคล แสงสีทองจรัสส่องประกายท่ามกลางชั้นเมฆในท้องฟ้า

เสียงสวดแว่วๆ ดังก้องที่ข้างหู

ในชั่วพริบตานี้ ภายในใจหลี่หลิงซู่โปร่งโล่ง ไม่มีความฟุ้งซ่านแม้แต่น้อย อดพนมมือขึ้นไม่ได้

“ประสกเป็นใคร”

เสียงอันกว้างไพศาลกึกก้อง ร่างยักษ์นั่งยืดตรงบนท้องฟ้าข้างหน้า ดอกบัวที่ลอยกลางอากาศมีขนาดใหญ่เท่าภูเขาลูกเล็ก พระอรหันต์คิ้วขาวที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนฐานดอกบัวยิ่งดูเหมือนยักษ์ค้ำฟ้า

หลี่หลิงซู่ยิ่งรู้สึกร่างกายเล็กจิ๋ว อยากหนีเข้าสู่ประตูแห่งธรรม

ไม่ใช่ว่าจิตใจของหลี่หลิงซู่ไม่มั่นคง การเผชิญหน้ากับพระอรหันต์ในแดนพุทธ คงน่าแปลกหากรักษาจิตใจให้สงบนิ่งอยู่ได้

มีเพียงจอมยุทธ์ที่ดื้อรั้นที่สุด จึงจะต่อต้านไม่เลื่อมใสในพุทธจิตได้

“ข้าน้อยหลี่หลิงซู่ เทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์”

เขาเผยตัวตนด้วยใจที่สงบ

คาถาของฉานซือทั่วไปยังมีแบบแผน ต้องท่องออกเสียง ส่วนคาถาของพระอรหันต์ไร้รูปมิอาจมองเห็น

“สวีเชียนอยู่ที่ไหน”

“สวนชิงซิ่งชานเมืองทางเหนือของเมืองยงโจวขอรับ” หลี่หลิงซู่ขายสหายด้วยใจที่สงบ

“มีใครข้างกาย”

พระอรหันต์ตู้ฉิงจีบมือยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้อ้าปาก เสียงน่าเกรงขามอันไพศาลดังก้องอยู่ในแดนพุทธ

“ลั่วอวี้เหิงผู้นำเต๋าแห่งนิกายมนุษย์ รวมถึงสาวงามอันดับหนึ่งของต้าฟ่ง มู่หนานจือ พระมเหสีในอ๋องสยบแดนเหนือ”

หลี่หลิงซู่เอ่ย แม้แต่เขาเองก็ไม่รับรู้ว่าน้ำเสียงดูเศร้าลง

“เขาปรารถนาสิ่งใด”

“ต้องการจับตัวผู้ถูกปราณมังกรอาศัย แต่ช้าไปก้าวหนึ่ง จึงถูกไต้ซือช่วงชิงไปก่อนเสียได้” หลี่หลิงซู่เอ่ยอย่างเสียดาย

“เหตุใดจึงเปิดเผยเจ้าออกมา”

พระอรหันต์ถามอีก

“ไม่ทราบ” หลี่หลิงซู่ส่ายหน้า แล้วเอ่ยอย่างเศร้าโศกในทันใด “สวีเชียนเดรัจฉานนี่ ข้าหนักเอาเบาสู้มาตลอดทาง เคารพนอบน้อมกับเขา เขากลับขายข้าในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ข้าน่าจะขายเขาไปก่อน ไม่เพียงคบชู้กับลั่วอวี้เหิง แม้แต่สาวงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่งก็เป็นภรรยาของเขา ไต้ซือ ความริษยาทำให้ใบหน้าของข้าน่าเกลียดน่าชัง”

เขาเหมือนผู้ศรัทธาที่เลื่อมใส ตอบคำถามของพระอรหันต์ตู้ฉิงพลางสาธยายความกลัดกลุ้มของตน

พระอรหันต์ตู้ฉิงเอ่ยอย่างช้าๆ “รูปคือความว่างเปล่า”

หลี่หลิงซู่ราวกับถูกอสนีบาตฟาด ความริษยาภายในใจมลายหายสิ้น แล้วเอ่ยพึมพำ

“รูปคือความว่างเปล่า รูปคือความว่างเปล่า”

พึมพำซ้ำไปมาไม่หยุดราวกับรู้แจ้ง

ณ โรงเตี๊ยม

นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงรวบรวมข้อมูลของวันนี้พร้อมเอ่ย

“ข้าสืบพบเรื่องหนึ่ง ก่อนหน้านี้สวีเชียนนั่นเคยมาที่ยงโจว เหมือนจะเจรจากับตระกูลกงซุนในท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง พรุ่งนี้ข้าจะไปเยี่ยมเยียนคฤหาสน์กงซุน”

พูดจบเขาก็มองไปที่เทพธิดาปิงอี๋ รอข่าวจากอีกฝ่าย

เทพธิดาปิงอี๋เอ่ยอย่างแผ่วเบา

“สองวันมานี้ เทพารักษ์ของสำนักพุทธมักจะนำภิกษุระหกระเหินไปอย่างไร้จุดหมาย พวกเขาน่าจะพักแรมอยู่ในแดนพุทธ ข้าหาโอกาสพาตัวภิกษุมาสอบสวนข้อมูลไม่ได้”

หลี่เมี่ยวเจินนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ สรุปสิ่งที่รู้กันดี “วันนี้ท่านทั้งสองบรรลุผลน้อยนัก”ไอรีนโนเวล

เทพธิดาปิงอี๋กับนักพรตเสวียนเฉิงปรายตามองนางอย่างเฉยชา

เทพธิดาปิงอี๋เอ่ยด้วยใบหน้าเรียบเฉย

“ลงภูเขาท่องโลกมาสองปีก็ไม่ได้เข้าใจการตัดอารมณ์ความรู้สึกสักนิด แต่เรียนรู้ทักษะคารมหมาหยอกไก่ไปไม่น้อย ดูท่าว่าการกักบริเวณเพื่อบำเพ็ญให้บริสุทธิ์จะมีความจำเป็นมาก”

อ่า นี่ เป็นเพราะสวี่ชีอัน…หลี่เมี่ยวเจินรีบหุบปาก

อยู่ใกล้ชาดเปื้อนแดง อยู่ใกล้หมึกเปื้อนดำ[1] ยามที่นางนำทัพที่อวิ๋นโจวยังคงเป็นเทพธิดาผู้เรียบร้อย เมื่อไปที่เมืองหลวงก็คลุกคลีกับคนสกุลสวี่อยู่ครึ่งปี ค่อยๆ ซึมซับเชื้อบ้ามาจากเขา

ขณะที่กำลังพูดก็มีเสียง ‘ก๊อก ก๊อก’ ดังขึ้นสองครั้งที่บานหน้าต่าง

นิกายสวรรค์ทั้งสามมองไปที่หน้าต่างพร้อมกัน นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงโบกมือ ก่อนบานหน้าต่างจะเปิดออก

นกกระจอกตัวหนึ่งบินเข้ามายืนอยู่ข้างโต๊ะ แล้วเอ่ยภาษามนุษย์

“ข้าน้อยสวีเชียนขอรับ”

สวีเชียน…เทพธิดาปิงอี๋กับนักบวชเต๋าเสวียนเฉิงสบตากันด้วยสีหน้าราบเรียบ

สำหรับคนของนิกายสวรรค์ที่ขาดความผันผวนทางอารมณ์ รายละเอียดเล็กน้อยเช่นนี้ก็พอจะแสดงความตื่นตระหนกภายในใจและความสนใจของพวกเขาได้

สวี่ชีอันงั้นหรือ?!

หลี่เมี่ยวเจินตาเป็นประกายในทันใด สีหน้าชื่นมื่น ทันทีที่รอยยิ้มปรากฏขึ้นก็ข่มลงไปอย่างร้อนตัว ปรายตามองท่านอาจารย์อย่างระแวดระวัง เมื่อเห็นว่านางไม่ได้สนใจตนก็เหมือนยกภูเขาออกจากอกในทันใด

“ซินกู่”

เทพธิดาปิงอี๋มองสำรวจนกกระจอก แล้วคารวะพร้อมกันกับนักบวชเต๋าเสวียนเฉิง “สหายธรรมพบกันอีกแล้ว”

“สวัสดีสหายธรรมทั้งสอง”

สวี่ชีอันข่มใจไม่ใช้ปีกประสานมือ รักษามาดอันสูงส่ง ขณะที่นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงกับเทพธิดาปิงอี๋มองสำรวจเขา เขาก็สังเกตสองยอดฝีมือจากนิกายสวรรค์เช่นกัน

นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงไว้เคราดำยาวถึงอก คู่นัยน์ตาหงส์แดงอันน่าเกรงขาม ทำให้ภาพของกวนอูฉายขึ้นมาในหัวของสวี่ชีอันโดยไม่รู้ตัว

เทพธิดาปิงอี๋เป็นหญิงสาวที่เดาอายุไม่ถูก นางมีความงามที่โดดเด่นกว่าใคร รวมถึงรูปร่างอันอวบอัดเป็นเอกลักษณ์ของหญิงวัยผู้ใหญ่ บุคลิกของนางเยือกเย็น ราวกับหุ่นไม้อันประณีตที่ไร้พลังชีวิต

ใบหน้าอันงามเลิศปราศจากอารมณ์

ส่วนสาวน้อยหลี่เมี่ยวเจินที่กระตือรือร้น สวี่ชีอันเหลือบมองและหลบสายตา

เขาเอ่ยอย่างช้าๆ

“เทพบุตรหลี่หลิงซู่ทางฝ่ายท่านกำลังท่องยุทธภพร่วมกับข้า”

นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงสีหน้าราบเรียบ น้ำเสียงนิ่งเฉย

“คนผู้นั้นอยู่ที่ไหน”

เขานิ่งเฉยเช่นนี้ไม่ใช่ว่ากำลังไม่พอใจ ทว่านิสัยของนิกายสวรรค์เป็นเช่นนี้

สวี่ชีอันเอ่ย “หลี่หลิงซู่ถูกพระอรหันต์สำนักพุทธจับตัวไปขอรับ”

พูดจบเขาก็ไม่เห็นอารมณ์เฉกเช่น ความแค้น ความตระหนก หรือความกังวลใดๆ บนใบหน้าของเทพธิดาปิงอี๋กับนักบวชเต๋าเสวียนเฉิงทั้งสิ้น ผู้อาวุโสนิกายสวรรค์ทั้งสองสีหน้าไร้ความรู้สึกเฉกเช่นเคย

สิ่งนี้ทำให้สวี่ชีอันเกิดคลางแคลงแผนการของตน

หลี่หลิงซู่ทำให้ขั้นสามของนิกายสวรรค์ทั้งสองตัดสินใจแตกหักกับสำนักพุทธได้จริงหรือ

นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงเอ่ยอย่างเฉยชา

“ชิงกลับมาก็สิ้นเรื่อง รบกวนสหายธรรมเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดด้วย”

เฮ้อ นิกายสวรรค์เช่นพวกเจ้าช่างเหลือเกินจริงๆ…สวี่ชีอันถอนหายใจ ก่อนจะผงกหัวนก

“หากไม่รังเกียจ ร่างแท้ของข้าจะมาอธิบายรายละเอียด”

เทพธิดาปิงอี๋เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ตามแต่สหายธรรมเถิด”

นกกระจอกผงกศีรษะ ก่อนจะกระพือปีกบิน

ในม่านตาโปร่งแสงของเทพธิดาปิงอี๋สะท้อนเงาของนกกระจอกที่โบยบิน แล้วถอนสายตากลับพร้อมส่งโทรจิตหานักบวชเต๋าเสวียนเฉิง

“เขาใช้วิธีการซินกู่”

จิตเดิมสถิตร่างสัตว์และซินกู่ควบคุมสัตว์ เป็นสองแนวคิด

บุคคลที่ขึ้นชื่อในอย่างแรกก็คือนักบวชเต๋าจวี๋เมา ยามที่เป็นแมว กายเนื้อของนักบวชเต๋าจะมิอาจเคลื่อนไหวได้

ซินกู่ก็เหมือนเปลี่ยนสัตว์ให้กลายเป็นร่างอวตาร ไม่ก็ควบคุมความคิดหรืออารมณ์ของสัตว์เป็นต้น

นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงพยักหน้า แล้วกล่าวเสริม

“ทักษะวิชากู่ธรรมดา ไม่แกร่งกล้าอย่างที่พวกเราคาดไว้ พลังบำเพ็ญแท้จริงของคนผู้นี้น่าจะอยู่ที่ขั้นสาม”

ก่อนหน้านี้พวกเขาตัดสินสวีเชียนเจ้าคนพรรค์นี้ว่าน่าจะอยู่ที่ขั้นสามเป็นอย่างต่ำ เป็นไปได้สูงว่าจะอยู่ขั้นสอง แต่ไม่มีทางเป็นขั้นหนึ่งได้

การพบหน้ากันในวันนี้ สำหรับผู้แข็งแกร่งระดับพวกเขา แม้จะเป็นเพียงร่างอวตารก็เพียงพอที่จะมองเห็นเบาะแสบางอย่างได้

เทพธิดาปิงอี๋กับนักบวชเต๋าเสวียนเฉิงตัดสินผ่านการควบคุมนกกระจอกด้วยวิธีการซินกู่ของสวีเชียนตามความผันผวนของจิตเดิมจากอีกฝ่าย

‘ก๊อก ก๊อก!’

บัดนี้เสียงเคาะประตูดังขึ้น

นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงเอ่ยเสียงดัง “เข้ามาได้”

เสียงประตูไม้ระแนงผลักออก ชายหนุ่มชุดคลุมฟ้าก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามายังห้องพัก

ม่านตาของนักบวชเต๋าเสวียนเฉิงกับเทพธิดาปิงอี๋โปร่งแสงพร้อมเพรียง เปิดใช้งานพลังภายใน ‘สวรรค์และมนุษย์รวมเป็นหนึ่ง’ ของนิกายสวรรค์มาสืบสาวความจริงกับสวี่ชีอัน

ทว่าในสายตาของยอดฝีมือขั้นสามของนิกายสวรรค์ทั้งสอง สวีเชียนก็เหมือนคนธรรมดาที่ไม่มีพลังบำเพ็ญ ไม่ได้ผิดปกติแต่อย่างใด

นี่ก็คือความผิดปกติที่ใหญ่ที่สุด

พลังภายใน ‘สวรรค์และมนุษย์รวมเป็นหนึ่ง’ ของนิกายสวรรค์เป็นวรยุทธ์ที่ซาบซึ้งในฟ้าดินและกลืนกลายไปกับธรรมชาติ

รูปแบบที่แสดงออกด้านนอกเปลี่ยนทุกสิ่งรอบข้างให้ใช้งานเอง

มันเป็นวิธีการตรวจสอบที่ลึกล้ำเช่นเดียวกัน

ทว่าการตรวจสอบเบาะแสของสวีเชียน ด้วยพลังบำเพ็ญขั้นสามเช่นพวกเขากลับไม่รู้สึกถึงสิ่งใดได้เลย

คนธรรมดาหรือ

สวีเชียนจะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร

นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงกับเทพธิดาปิงอี๋พยักหน้าเล็กน้อย แล้วเอ่ยทักทาย

“สหายธรรมเชิญนั่ง”

หลี่เมี่ยวเจินตาเป็นประกาย ติดหนึบอยู่กับเขา

จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินพยายามหาร่องรอยของสวี่ชีอันบนร่างของสวีเชียน ทว่านางก็ผิดหวัง สีหน้าของสวีเชียนราบเรียบและอ่อนโยน เปี่ยมไปด้วยบุคลิกสูงส่ง สุขุมและเก็บตัว

ส่วนสวี่ชีอันหน้าตาดื้อรั้น มีกลิ่นอายหนุ่มน้อยที่เฉียบคมและชอบเป็นจุดสนใจ

‘เสแสร้งได้เหมือนมาก หากไม่ใช่รู้ตัวตนของเจ้าอยู่แล้ว ข้าคงจำไม่ได้เช่นกัน มิน่าหลี่หลิงซู่ถึงถูกเจ้าหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า…’ นางพึมพำในใจ

หลังจากสวี่ชีอันนั่งลงก็ปะทะเข้ากับสายตาอันเยือกเย็นของยอดฝีมือจากนิกายสวรรค์ทั้งสอง แล้วเอ่ยเข้าประเด็น

“จะพูดก็ละอายใจ สาเหตุที่หลี่หลิงซู่ถูกสำนักพุทธจับตัวไปเป็นเพราะข้าเอง”

ในตอนนี้เองก็เล่าเรื่องที่เขากับหลี่หลิงซู่บังเอิญพบพานและท่องโลกไปด้วยกันอย่างกระชับ รวมถึงเหตุผลที่หลี่หลิงซู่ถูกพระอรหันต์จับตัวไป

ส่วนนี้เขาแก้บางอย่าง โดยบอกว่าหลี่หลิงซู่ใจร้อนเกินไป จึงถูกอีกฝ่ายล่อลวงด้วยการใช้ปราณมังกรเป็นเหยื่อล่อ

“ตอนนั้นพระอรหันต์มาด้วยตนเอง ข้ามิอาจช่วยเขาได้ ได้แต่เฝ้ามองเขาหลุดมือถูกจับตัวไป เกือบจะทิ้งชีวิต เศร้าใจยิ่งนัก”

สวี่ชีอันเอ่ยพลางปรายตามองนักบวชเต๋าเสวียนเฉิงกับเทพธิดาปิงอี๋ สีหน้าทั้งสองไร้อารมณ์ตามคาด

ไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจเห็นการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ใดๆ จากใบหน้าของนักพรตนิกายสวรรค์ได้…สวี่ชีอันพึมพำในใจ สายตาหยุดอยู่ที่ใบหน้าสวยของเทพธิดาปิงอี๋ชั่วขณะ

นี่มันสาวน้อยสามมิติในการ์ตูนของชาติก่อนไม่ใช่หรือ ไม่สิ คุณป้าสามมิติต่างหาก

นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงลังเลอยู่นาน

“สหายธรรมกับสำนักพุทธดูเหมือนจะกำลังแย่งชิงปราณมังกรอยู่”

เขากำลังสืบข้อมูลของปราณมังกรจากสวี่ชีอัน

สวี่ชีอันพยักหน้า เพื่อแสดงความจริงใจ เขาจึงเอ่ย

“ปราณมังกรเป็นวิญญาณของชีพจรมังกร หลังจากจักรพรรดิของต้าฟ่งถูกปลงพระชนม์ มันก็กระเจิดกระเจิงจากอุบัติภัยต่างๆ หากปราณมังกรกลับเข้าที่ไม่ได้ ราชวงศ์ต้าฟ่งก็มีโอกาสที่จะล่มสลาย”

นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงพยักหน้าทันที

เขากับเทพธิดาปิงอี๋เคยหารือเกี่ยวกับปราณมังกรมาหลายครั้ง พอจะคาดเดาข้อเท็จจริงได้ มั่นใจว่าคาดการณ์ไม่ผิดพลาดหลังจากได้รับการยืนยันจากสวีเชียนในวันนี้

เทพธิดาปิงอี๋ออกความเห็นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“สำนักพุทธพยายามมีส่วนร่วมกับส่วนกลางประเทศมาโดยตลอด”

สวี่ชีอันถือโอกาสเอ่ย “ข้าน้อยมาที่นี่ก็เพื่ออยากขอให้ท่านทั้งสองร่วมลงมือช่วยเหลือ ขับไล่พระอรหันต์และเทพารักษ์ของสำนักพุทธ แล้วช่วยเหลือเทพบุตรกลับมา พวกเราต่างก็ได้ประโยชน์ทั้งคู่”

‘ตอนนี้ลมปากของสวี่ชีอันบ้าระห่ำเช่นนี้แล้วหรือ…’ หลี่เมี่ยวเจินพึมพำในใจ

นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงไม่ได้ตอบทันที เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ย

“ตามที่สหายธรรมกล่าว สำนักพุทธมีหนึ่งพระอรหันต์กับสองเทพารักษ์ ยังมีพลังต่อสู้ขั้นสามของตำหนักความลับสวรรค์ รวมถึงขั้นสี่อีกกลุ่มหนึ่งด้วย ลำพังเพียงพวกเราจะขับไล่สำนักพุทธได้อย่างไร ไหนจะช่วยเหลือเทพบุตรออกมาอีก”

เทพธิดาปิงอี๋เอ่ย

“เรื่องนี้ควรรายงานองค์เทพ ให้เขาตัดสิน”

คนของนิกายสวรรค์ไม่ผูกมัดในความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์ การช่วยเหลือเทพบุตรยากเกินไป พวกเขาจึงเลือกวิธีที่น่าเชื่อถือโดยไม่ลังเล… ‘การไปพบองค์เทพ’

คิดจะใช้ความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์และมิตรภาพศิษย์ร่วมสำนักกระตุ้นให้พวกเขาลงมือเป็นเรื่องยาก

“ช้าก่อน! ”

สวี่ชีอันยกมือขึ้น “ท่านทั้งสองฟังข้าพูดให้จบก่อนค่อยตัดสิน…อันที่จริงฝ่ายของข้าก็มียอดฝีมือชั้นยอดขั้นสองอยู่คนหนึ่ง พวกท่านคุ้นหน้ากันดี”

เขาไม่ได้เก็บงำ มองไปที่ประตูพร้อมตะโกน

“ราชครู เชิญขอรับ”

เทพธิดาปิงอี๋ นักบวชเต๋าเสวียนเฉิง และหลี่เมี่ยวเจินพร้อมใจกันหันหน้ามองประตูห้อง

ไม่นานนักประตูห้องพักก็ผลักออกอีกครั้ง หญิงสูงเพรียวในเสื้อคลุมนักบวชเต๋าพร้อมด้วยหมวกคลุมหน้าเดินเข้ามา

นางโบกมือประตูห้องก็ปิดเอง แล้วถอดหมวกคลุมหน้าออกตาม

ใบหน้างดงามมีความเศร้าเบาบางเกาะตัวอยู่กลางหน้าผาก

นั่นคือลั่วอวี้เหิงผู้นำเต๋าแห่งนิกายมนุษย์ ผู้แข็งแกร่งชั้นยอดขั้นสอง

ในที่สุดใบหน้าที่ขาดอารมณ์ของนักบวชเต๋าเสวียนเฉิงกับเทพธิดาปิงอี๋ก็มีความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าเล็กน้อย

“ผู้นำเต๋าพบกันอีกแล้ว”

คนจากนิกายสวรรค์ทั้งสามคารวะอย่างใจตรงกัน

ลั่วอวี้เหิงพยักหน้า นั่งลงข้างกายสวี่ชีอันพร้อมเอ่ยเสียงนุ่ม

“ข้าจะรับผิดชอบจับกุมพระอรหันต์เอง พวกเจ้าคอยกำจัดอุปสรรคให้ข้า ถ่วงสองเทพารักษ์เอาไว้ ไม่จำเป็นต้องสู้ถึงตาย พยายามเกาะติดเอาไว้ก็พอ”

สวี่ชีอันกล่าวเสริม “เมื่อถึงเวลาซุนเสวียนจีจากสำนักโหราจารย์ก็จะลงแรงด้วยเช่นกัน”

นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงกับเทพธิดาปิงอี๋ไม่คัดค้านอีก นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงพยักหน้าน้อยๆ

“มีแผนการที่รัดกุมหรือไม่”

สวี่ชีอันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่มี จะไม่มีใครรู้ว่าท่านทั้งสองอยู่ชั่วคราว ทำศึกฉับไวเป็นแผนการที่ดีที่สุด”

หลี่เมี่ยวเจินแสร้งทำเป็นไม่รู้จักสวีเชียน ฟังอย่างเงียบๆ

นางจ้องสวี่ชีอันและมองลั่วอวี้เหิง หวนนึกย้อนอย่างละเอียด จำไม่ได้ว่าคนสกุลสวี่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอะไรกับผู้นำเต๋าของนิกายมนุษย์

นอกเมืองยงโจว

คนสัญจรกลุ่มหนึ่งเดินไปบนถนน ทางถนนเต็มไปด้วยโคลน สองข้างทางยังหลงเหลือกองหิมะที่เปื้อนโคลน

พวกเขาแบ่งออกเป็นกลุ่มเจ็ดคนของจีเสวียน รวมถึงกลุ่มภิกษุที่นำโดยจิ้งซินและจิ้งหยวน

เหมียวโหย่วฟางถูกบีบให้หมดหนทาง ต้องอยู่ในขบวนตามชายผู้นี้ออกจากเมืองยงโจว

“เหตุใดต้องออกจากเมือง”

เด็กหนุ่มสวี่หยวนไหวที่สะพายหอกขมวดคิ้วถาม

“เพราะเหล่าภิกษุชั้นสูงของสำนักพุทธมีจิตเมตตากรุณา ไม่อยากทำร้ายผู้บริสุทธิ์”

หลิ่วหงเหมียนยิ้มกริ่มตอบ คำเยาะเย้ยสอดแทรกอยู่ในน้ำเสียงและสีหน้า

จิ้งซินรูปงามยิ้มเล็กน้อย อธิบายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ประชากรยงโจวคับคั่ง เมื่อเกิดศึกใหญ่ขึ้นในเมืองฉับพลัน จะต้องบาดเจ็บล้มตายกันถ้วนหน้า เมืองฉู่โจวทางแดนเหนือก็ถูกทำลายราบเป็นหน้ากลองในศึกตะลุมบอนของผู้แข็งแกร่งขั้นสามกลุ่มหนึ่ง อีกทั้งสวีเชียนเป็นคนของราชสำนัก เขาจะต้องไม่ติดกับแน่นอน”

สวี่หยวนไหวไม่เอื้อนเอ่ยอีก คล้ายกับยอมรับความเห็นนี้

เหมียวโหย่วฟางหมดความอดทน ปากด่าพึมพำ

“จะฆ่าจะเชือดก็เข้ามา หากข้าขมวดคิ้วก็คงไม่ใช่จอมยุทธ์ ทว่าอย่างไรเสียก่อนหน้านั้นพวกเจ้าให้ข้าได้รู้เรื่องรู้ราวก่อนเถอะ”

เขามองจีเสวียนตรงหน้าเขม็ง

“เจ้าเป็นลูกพี่ของพวกเขา เจ้าอธิบายมา ข้าไปยั่วยุพวกเจ้างั้นหรือ ไล่ตามจากชิงโจวมาถึงยงโจวต้องการอะไร ข้าไปหลับนอนกับแม่เจ้าหรือลูกสะใภ้เจ้า”

นักพรตเฒ่าเจียวเยี่ยส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม

“พ่อหนุ่มปากพล่อย หากเจ้าพูดประโยคนี้ที่เมืองเฉียนหลงก็คงจะถูกประหารไปสามชั่วโคตร เอาเถอะ เจ้าอยากรู้อยากเห็น ข้าก็จะบอกเจ้า พ่อหนุ่ม ตอนนี้เจ้ามาถึงขอบเขตของขั้นหกแล้ว เหลือเพียงก้าวเดียวก็จะกลายเป็นกระดูกเหล็กผิวทองแดง ข้าขอถาม จากหลอมวิญญาณมาถึงกระดูกเหล็กผิวทองแดง เจ้าใช้เวลานานเท่าไร”

เหมียวโหย่วฟางไม่เข้าใจว่าเขาพูดถึงเรื่องนี้ทำไม จึงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์

“หนึ่งเดือน”

นักพรตเฒ่าเจียวเยี่ยถามอีก “แล้วจากระดับหลอมจิตถึงหลอมปราณ เจ้าใช้เวลานานเท่าไร”

เหมียวโหย่วฟางฮึดฮัด

“ข้าเริ่มฝึกวิทยายุทธ์ตั้งแต่เก้าขวบ ตอนนี้ก็ยี่สิบสองปี เจ้าว่าข้าใช้เวลานานเท่าไรล่ะ”

อันที่จริงเขาคิดเลขไม่เป็น จึงจงใจแสดงท่าทางไม่พอใจกลบเกลื่อนความจริงข้อนี้

นักพรตเฒ่าเจียวเยี่ยถือโอกาสถามอีกครั้ง

“หลอมปราณก็เอย หลอมวิญญาณก็เอย หรือแม้แต่กระดูกเหล็กผิวทองแดงก็ใช้เวลาทั้งสิ้น แต่เจ้ากลับใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือนเติมเต็มตันเถียนและเปิดจิตเดิม ตอนนี้แสงเทวะบนผิวกายก็ปรากฏให้เห็นรางๆ เจ้าไม่คิดว่ามันแปลกหรือ ไม่เคยคิดถึงเหตุผลหรือ”

สีหน้าของเหมียวโหย่วฟางพลันชะงัก ไม่นานนักเขาก็นึกเหตุผลออก แล้วเอ่ยฮึดฮัด

“ปู่ของข้ามีพรสวรรค์เกินมนุษย์ สติปัญญาเฉียบแหลม อิจฉางั้นหรือ”

จีเสวียนหันหน้ากลับมาพร้อมหัวเราะ

“ในแง่พรสวรรค์ ใครในที่นี้ไม่แข็งแกร่งกว่าเจ้าล่ะ หากเดาไม่ผิด เจ้าเลื่อนขั้นตลอดเส้นทางไม่ใช่เพราะพรสวรรค์ ทว่าเป็นโชคต่อเนื่องต่างหาก”

เหมียวโหย่วฟางเอ่ยอย่างฉงน

“เจ้ารู้ได้อย่างไร”

นักพรตเฒ่าเจียวเยี่ยส่ายหน้า “มนุษย์ไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก[2] เข้าใจหรือไม่”

เหมียวโหย่วฟางเงียบ คิ้วขมวดเป็นปม เหมือนกับครุ่นคิดบางอย่าง

ทันใดนั้นเขาก็พบว่าขบวนหยุดลงแล้ว กลุ่มชายฉกรรจ์พลันหยุดฝีเท้ากันอย่างรู้ใจ

แล้วจ้องถนนข้างหน้าประหนึ่งจะออกศึกใหญ่

เหมียวโหย่วฟางกวาดมองนักบวชเจียวเยี่ย หลิ่วหงเหมียนและคนอื่นๆ แต่ละคนสีหน้าเคร่งขรึม เด็กหนุ่มสะพายหอกผู้นั้นนัยน์ตาแดงฉาน คล้ายกับเจอศัตรูที่ฆ่าบิดา

หญิงสาวงดงามข้างกายเด็กหนุ่มสีหน้าซับซ้อน กัดริมฝีปากด้วยท่าทางสาวน้อยจ๋า

เหมียวโหย่วฟางทอดมองไปไกลก็เห็นคนขวางทางอยู่ข้างหน้า

ชุดคลุมดำปลิวสะบัด มือถือดาบยาวปากแคบเล่มหนึ่ง

………………………………………

[1] อยู่ใกล้ชาดเปื้อนแดง อยู่ใกล้หมึกเปื้อนดำ หมายถึงอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบใดก็จะติดนิสัยหรือพฤติกรรมนั้นมาด้วย

[2] มนุษย์ไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก หมายถึงบางครั้งก็ประสบเคราะห์ร้ายหรือถูกใส่ร้ายป้ายสีทั้งที่ไม่มีความผิดอะไรเพียงเพราะมีของล้ำค่าอยู่ในมือ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด