เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ 166 หายนะของหนิงฉิง อาจารย์เว่ยรับลูกศิษย์

Now you are reading เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ Chapter 166 หายนะของหนิงฉิง อาจารย์เว่ยรับลูกศิษย์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฉินซูหลานต่อสายไปอย่างกะทันหัน

 

 

จึงทำให้อจารย์เว่ยกังวลใจมาตลอดทาง เขารีบมาที่โรงพยาบาล เมื่อได้พบกับฉินหร่านเขาก็ถึงจะโล่งใจขึ้นมาได้ 

 

 

เป็นเพราะเสียงของเขา หนิงฉิงที่อยู่ด้านข้างถึงกับรู้สึกตัว

 

 

เธอหันไปมองฉินหร่านอย่างไม่อยากจะเชื่อและหันไปมองอาจารย์เว่ย พูดออกมาแทบไม่มีเสียง “อาจารย์เว่ย?”

 

 

ตอนที่ฉินอวี่เข้าร่วมแข่งขัน หนิงฉิงก็เคยพบอาจารย์เว่ยมาแล้ว

 

 

ไม่ว่าจะเป็นการแสดงปิดท้ายของเขา หรือตอนที่เขาคอมเมนต์ฉินอวี่ หรือหลังจากได้ยินคำบอกเล่าจากปากคนอื่นและคนตระกูลเสิ่นอยู่บ่อยครั้ง

 

 

ตอนที่นายท่านเสิ่นเอ่ยถึงอาจารย์เว่ยก็มักจะพูดด้วยความยำเกรงและไม่กล้าพูดมาก

 

 

หนิงฉิงเองก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยคิดมาก่อนว่าถ้าหากอาจารย์เว่ยรับฉินอวี่เป็นลูกศิษย์จะเป็นอย่างไร…

 

 

เธอรู้จักอาจารย์เว่ย แต่อาจารย์เว่ยกลับไม่รู้จักเธอ

 

 

การที่มีคนจำตัวเองได้ อาจารย์เว่ยก็ไม่ได้แปลกใจ เขาเพียงพยักหน้าให้หนิงฉิงเป็นมารยาทด้วยท่าทีที่ทั้งเฉยเมยและห่างเหิน

 

 

พอฉินหร่านที่เดินกลับไปได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เธอก็หันหน้ามา

 

 

ทันทีที่หันไปก็เห็นอาจารย์เว่ยและยังมีชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างอาจารย์เว่ย

 

 

“อาจารย์เว่ย พวกคุณมาได้ยังไงคะ?” ฉินหร่านผงะไปสักพักถึงจะตอบสนอง เธอเอียงกายและหยุดเท้า

 

 

เธอไม่รู้ว่าจะต้องปฏิบัติตัวแบบไหนกับอาจารย์เว่ยไปชั่วขณะ

 

 

อาจารย์เว่ยหัวเราะ เขาเดินไปข้างหน้าอย่างเป็นกันเองโดยไม่มีพิธีรีตองหรือท่าทีห่างเหิน น้ำเสียงเป็นไปโดยธรรมชาติ “ภูเขาไม่มาหา ฉันก็จะไปหาภูเขาเอง”

 

 

เขาไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องเฉินซูหลาน

 

 

“ปีหน้าสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ?” ฉินหร่านรู้ดีว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องรับลูกศิษย์ เธอยืนนิ่งอย่างสุขุม “ยายหนูให้คุณมาเหรอคะ?”

 

 

อาจารย์เว่ยยิ้มอย่างใจเย็น “ไม่ง่ายเลยที่เธอจะยอมผ่อนปรน แน่นอนว่าฉันให้ความสำคัญเธอ ถ้าฉันไม่รอจนถึงปีหน้าแล้วเธอเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา ลูกศิษย์ที่ฉันสนใจไปกับคนอื่น ฉันจะไปร้องไห้กับใครกัน?”

 

 

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่อาจารย์เว่ยจะทำเช่นนี้

 

 

ตอนนั้นเขาปลีกตัวออกจากผู้คนและไปอาศัยอยู่ที่เมืองหนิงไห่เป็นเวลาครึ่งปี

 

 

ฉินหร่านยอมรับวิธีการพูดของเขาด้วยความจำยอม

 

 

“คุณฉิน” ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างอาจารย์เว่ยโค้งให้ฉินหร่านด้วยความเคารพ

 

 

ตอนที่อยู่เมืองหนิงไห่เป็นเวลาครึ่งปี ชายวัยกลางคนคนนี้ก็ไปด้วย เนื่องจากเขารู้ว่าอาจารย์เว่ยเสียพลังใจไปไม่น้อยสำหรับลูกศิษย์คนนี้ ดังนั้นเขาจึงเคารพในตัวฉินหร่านมาก

 

 

ฉินหร่านพยักหน้าและยิ้ม จากนั้นก็ทักทายเขาอย่างสุภาพ “อาไห่”

 

 

ทั้งสามคุยกันในขณะที่เดินเข้าห้องเฉินซูหลานไป

 

 

น้ำเสียงคุ้นเคยเหมือนรู้จักกันมานาน

 

 

จากบทสนทนาของพวกเขาไม่ได้ยากที่จะเข้าใจ ฉินหร่านรู้จักกับพวกอาจารย์เว่ยมาแล้วหลายปี เห็นได้ชัดว่าอาจารย์เว่ยมาที่นี่เพราะฉินหร่าน

 

 

และที่สำคัญที่สุดคือฉินหร่านก็ดูเหมือนกำลังพิจารณาเรื่องนี้อยู่

 

 

หนิงฉิงยืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับท่อนไม้ ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

 

 

เหมือนมีฟ้าผ่าลงมาที่หัว

 

 

เธอเจออาจารย์เว่ยที่อวิ๋นเฉิง? และที่สำคัญคือเขารู้จักฉินหร่านได้อย่างไร ยังอยากรับฉินหร่านเป็นลูกศิษย์ด้วย?

 

 

หนิงฉิงมองทั้งสามคุยกันขณะที่เดินเข้าห้องเฉินซูหลาน อาจารย์เว่ยผู้มากบารมีและมีชื่อเสียงตามคำบอกเล่าของบรรดาคนในตระกูลเสิ่นปฏิบัติต่อฉินหร่านอย่างที่เรียกได้ว่าโอนอ่อนผ่อนตาม

 

 

เธอยืนนิ่งไม่มีแรงแม้แต่จะกดลิฟต์

 

 

หนิงฉิงทราบดีว่าฐานะในเมืองหลวงพิจารณาคุณสมบัติและประสบการณ์เป็นหลัก ไม่ต้องพูดถึงตระกูลเสิ่น แม้แต่ตระกูลไต้ก็ยังเทียบกับตระกูลเว่ยได้ยาก

 

 

ไม่เพียงแค่เส้นสายส่วนตัวของตระกูลเว่ย แต่ความสำเร็จของอาจารย์เว่ยในศาสตร์ไวโอลินเพียงอย่างเดียวนั้นไต้หรานยังเทียบไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตระกูลเสิ่นหรือตระกูลหลิน

 

 

ยังห่างชั้นกันมาก

 

 

ดังนั้นหนิงฉิงจึงคิดอยู่หลายครั้งว่าถ้าหากอาจารย์เว่ยรับฉินอวี่เป็นลูกศิษย์สถานการณ์จะเป็นอย่างไร

 

 

พอตอนนี้ได้เห็นว่าครูเว่ยรอนแรมไกลมาอวิ๋นเฉิงเพื่อรับฉินหร่านเป็นลูกศิษย์ ไม่ต้องพูดถึงว่าเรื่องนี้จะหยุดอยู่กับแค่หนิงฉิง หากข่าวกระจายไปถึงเมืองหลวงก็คงสั่นสะเทือนกันทั้งวงการ

 

 

เฉินซูหลานเคยบอกหนิงฉิงแล้วว่าฉินหร่านฝึกเล่นไวโอลินมาตลอด

 

 

แต่หนิงฉิงกลับไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้มากนัก ไม่ต้องบอกว่าอาจารย์สวี่ไม่สอนเธอแล้ว หากจะพูดถึงด้านการเรียนเพียงอย่างเดียว อาจารย์ที่สอนให้ฉินอวี่เก่งกว่าอาจารย์ในเมืองหนิงไห่มาก

 

 

ในด้านนี้ตระกูลหลินใจกว้างกับฉินอวี่มาโดยตลอด แม้แต่ไวโอลินยังสั่งทำในราคาห้าแสนเก้าหมื่นหยวน

 

 

แต่ไม่ว่าหนิงฉิงจะคิดอย่างไร เธอก็นึกไม่ถึงว่าอาจารย์เว่ยจะสนใจในตัวฉินหร่านและอยากรับฉินหร่านเป็นลูกศิษย์

 

 

ถ้าฉินหร่านตกลงล่ะ หนิงฉิงเอามือกุมหน้าอกด้วยมือที่สั่นเทา เธอแทบจะจินตนาการได้ว่ามันจะเป็นอย่างไร!

 

 

แต่ในวินาทีต่อมาหนิงฉิงก็จำบทสนทนาระหว่างเธอกับฉินหร่านขึ้นได้ เหมือนโดนตบหัวจนเธอได้สติในพริบตา เลือดในกายเย็นไปครึ่งตัว

 

 

หนิงฉิงมองไปทางประตูห้องเฉินซูหลาน เธอเกือบจะรู้สึกได้ว่าลำไส้ในท้องมีความเสียใจที่จับตัวกันอยู่กลืนกินหัวใจเธอ

 

 

ถ้าห้านาทีก่อนหน้านี้…

 

 

หนิงฉิงกดลิฟต์ลงด้วยมือที่แข็งทื่อเหมือนเครื่องจักร

 

 

คนขับรถตระกูลหลินรออยู่ข้างล่าง เธอกลับไปถึงบ้านตระกูลหลินด้วยท่าทางแข็งทื่อ

 

 

นั่งบนโซฟา แม้ตอนนี้จะเป็นช่วงต้นหน้าหนาวแต่เธอกลับรินน้ำเย็นให้ตัวเองหนึ่งแก้ว จิบน้ำลงไปก็ไม่อาจปกปิดใจที่เหมือนมีดเฉือนได้

 

 

ในเวลานี้นายท่านหลินและคนอื่นยังไม่ไปไหน

 

 

พวกเขากำลังลงมาจากชั้นบนและกำลังปรึกษากันว่าจะหาเวลาไปเยี่ยมเฉินซูหลานที่โรงพยาบาลด้วยกัน

 

 

ในอดีตเรื่องเหล่านี้แทบจะไม่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นเลย

 

 

เมื่อเห็นหนิงฉิงนั่งบนโซฟาด้วยสีหน้าที่ดูไม่ค่อยดี นายท่านหลินก็ถามอย่างอ่อนโยน “เป็นอะไรล่ะ อาการแม่เธอไม่ค่อยดีเหรอ?”

 

 

หลินฉีก็มองมา

 

 

หนิงฉิงวางแก้วน้ำพลางส่ายหน้า

 

 

ทว่าสายตากลับดูเลื่อนลอย

 

 

เป็นเพราะไต้หรานรับฉินอวี่เป็นลูกศิษย์ พวกเขาถึงมีท่าทีแบบนี้ หนิงฉิงอดคิดไม่ได้ว่าถ้าพวกเขารู้ว่าอาจารย์เว่ยต้องการรับฉินหร่านเป็นลูกศิษย์ ไม่รู้ว่าพวกเขาจะมีท่าทีอย่างไร?

 

 

**

 

 

โรงพยาบาล

 

 

ฉินหร่านขยับเก้าอี้สองตัวเพื่อให้อาจารย์เว่ยและอาไห่นั่ง

 

 

ส่วนเธอก็พิงเตียงผู้ป่วยของเฉินซูหลาน

 

 

เฉินซูหลานพิงหมอนด้วยหน้าตาที่สดใส ดูก็รู้ว่าสภาพจิตใจดีขึ้นมาก “ลำบากอาจารย์เว่ยจริงๆที่อุตส่าห์มาถึงที่นี่”

 

 

เมื่ออาจารย์เว่ยเห็นท่าทีของเธอ หัวใจก็จมดิ่งแต่ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า เขายิ้ม “มาหนึ่งเที่ยวไม่ได้ลูกศิษย์ดีดีไป ผมก็ไม่ถือที่จะต้องมาอีกหลายๆครั้ง”

 

 

เนื่องจากพวกเขายังถือว่าไม่ค่อยสนิทกัน แต่อาจารย์เว่ยก็ย่อมรู้โดยธรรมชาติว่าแม้ฉินหร่านจะไม่ยอมฟังคำพูดของคนอื่น แต่คำพูดของเฉินซูหลานเธอจะไม่ฟังไม่ได้

 

 

เฉินซูหลานเอ่ยขึ้นมาว่าเรื่องไหว้ครูอาจจะเร็วก่อนกำหนด

 

 

ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจารย์เว่ยคงดีใจมากจนอยากวิ่งรอบโรงพยาบาลสักสองรอบ

 

 

อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาอย่างลึกซึ้งถึงความหมายในสิ่งที่เฉินซูหลานทำแล้ว ความดีใจของอาจารย์เว่ยก็มลายหายไป

 

 

ฉินหร่านไม่ฟังคำพูดที่เป็นทางการของทั้งสอง เธอเปิดโทรศัพท์นั่งพิงอยู่บนเตียงผู้ป่วย วีแชทของกู้ซีฉือก็เหมือนจะไม่มีความเคลื่อนไหว

 

 

เขาไม่ได้ส่งผลตรวจมา

 

 

ส่วนของเหยียนซีก็ไม่มีความเคลื่อนไหวเช่นกัน

 

 

หลังจากเธอส่งเพลงที่แต่งในเวอร์ชั่นครบถ้วนสมบูรณ์แล้วให้เหยียนซี อีกฝ่ายก็เงียบหายไป

 

 

เป็นแบบนี้แทบจะทุกครั้งหลังจากที่เธอส่งเค้าโครงโดยรวมไปแล้ว เหยียนซีก็มักจะส่งวีแชทมารบกวนไม่หยุดเพื่อเร่งให้เธอเขียนเสร็จไวๆ

 

 

แต่พอเธอส่งเพลงให้หมดแล้ว อีกฝ่ายกลับเงียบหายไปตั้งวันสองวัน

 

 

“งั้นก็หาฤกษ์หายามมาวันนึง” เฉินซูหลานและอาจารย์เว่ยพูดคุยกันจนถึงแก่เวลา อาจารย์เว่ยผงะไปสักพัก จากนั้นก็พูดด้วยหน้าระรื่น “การรับลูกศิษย์ของผมถึงแม้จะไม่ได้จัดงานใหญ่ แต่ก็มีหลายคนที่ต้องเชิญมา”

 

 

เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันของเฉินซูหลาน อีกทั้งที่นี่ยังเป็นอวิ๋นเฉิง ไม่ใช่ถิ่นของเขา ดังนั้นอาจารย์เว่ยจึงได้วางแผนไว้แล้วระหว่างเดินทางมาว่าจะข้ามเรื่องพิธีการไปก่อน

 

 

จนกว่าจะถึงปีหน้าตอนที่ฉินหร่านไปเมืองหลวง เขาจะจัดงานใหญ่

 

 

**

 

 

โรงแรมที่อาจารย์เว่ยพักในตอนกลางคืน

 

 

โรงแรมระดับห้าดาวแห่งเดียวในอวิ๋นเฉิง

 

 

เป็นโรงแรมที่สมาคมไวโอลินแห่งอวิ๋นเฉิงจัดเตรียมไว้ให้เขา รวมไปถึงรถบีเอ็มดับเบิ้ลยูอีกหนึ่งคัน

 

 

พอฉินหร่านเห็นโรงแรมก็พบว่าเขาเลือกโรงแรมเดียวกับกู้ซีฉือ

 

 

หลังจากส่งอาจารย์เว่ยไปถึงโรงแรม อาไห่ก็พาฉินหร่านกลับไปที่โรงเรียน

 

 

แม้อวิ๋นเฉิงจะไม่ใช่ถิ่นของอาจารย์เว่ย แต่ชื่อเสียงของเขาก็มีผลทุกที่

 

 

หลังจากที่อาไห่พาฉินหร่านไปส่ง อาจารย์เว่ยก็สวมแว่นตาพลิกดูปฏิทินเพื่อเลือกวัน

 

 

จากนั้นก็วางแผนเชิญคน มีหลายคนจากสมาคมไวโอลินแห่งอวิ๋นเฉิงที่ต้องเชิญ

 

 

“ใช่แล้ว เจียงหุยก็อยู่อวิ๋นเฉิงไม่ใช่เหรอ?” อาจารย์เว่ยเปิดสมุดโทรศัพท์และหันไปมองอาไห่

 

 

การแสดงของเขามักจะมีผู้ชมอยู่หลายคนซึ่งแทบจะเป็นคนจากตระกูลเจียง ตระกูลสวี และตระกูลเฉิง ในบรรดาคนเหล่านี้เขากับเจียงหุยเคยทานข้าวด้วยกันอยู่หลายครั้งซึ่งถือว่าเป็นมิตรภาพต่างวัย  

 

 

อาไห่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “ได้ยินมาว่าคุณชายเจียงถูกส่งตัวมาที่เมืองอวิ๋นเฉิง”

 

 

“งั้นก็ดีเลย” อาจารย์เว่ยเพิ่มเจียงหุยอีกหนึ่งคนในรายชื่อข้างๆ

 

 

เฉินซูหลานเองก็วางแผนเรื่องที่จะเชิญคนมาเช่นกัน

 

 

กลุ่มญาติจากตระกูลหลินและตระกูลหนิงล้วนเป็นพวกเสือสิงห์กระทิงแรด เฉินซูหลานไม่คิดจะแจ้งพวกเขา

 

 

ส่วนที่เหลือก็เป็นเพื่อนๆของฉินหร่านและยังมีพวกมู่หนาน

 

 

พานหมิงเย่ว์ มู่หนานไม่ต้องพูดถึง ซ่งลี่ว์ถิงยังกลับมาไม่ได้ชั่วคราว ส่วนกู้ซีฉือก็ไม่รู้ว่ายังอยู่ในอวิ๋นเฉิงหรือไม่…

 

 

เฉินซูหลานให้พยาบาลรับจ้างหยิบปากกากับกระดาษมาให้เธอ ดึกมากแล้วแต่เธอยังไม่นอน บรรจงเขียนชื่อลงไปทีละคน 

 

 

พยาบาลรับจ้างก้มหน้าดูก็อดแปลกใจไม่ได้ “ป้าเฉิน ตัวหนังสือคุณสวยจัง”

 

 

ด้วยการลากเส้นของปากกา ตวัดปากกาดังมังกรร่อน ทั้งมีพลังและอ่อนช้อยงดงาม

 

 

เฉินซูหลานยิ้มอย่างสบายๆ เธอวางปากกาและหรี่ตาเล็กน้อย พลันนึกถึงเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนนั้นขึ้นมา

 

 

เธอครุ่นคิดอยู่สักพักก็หยิบมือถือขึ้นมาโทรหาเฉิงเจวี้ยน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ 166 หายนะของหนิงฉิง อาจารย์เว่ยรับลูกศิษย์

Now you are reading เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ Chapter 166 หายนะของหนิงฉิง อาจารย์เว่ยรับลูกศิษย์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฉินซูหลานต่อสายไปอย่างกะทันหัน

 

 

จึงทำให้อจารย์เว่ยกังวลใจมาตลอดทาง เขารีบมาที่โรงพยาบาล เมื่อได้พบกับฉินหร่านเขาก็ถึงจะโล่งใจขึ้นมาได้ 

 

 

เป็นเพราะเสียงของเขา หนิงฉิงที่อยู่ด้านข้างถึงกับรู้สึกตัว

 

 

เธอหันไปมองฉินหร่านอย่างไม่อยากจะเชื่อและหันไปมองอาจารย์เว่ย พูดออกมาแทบไม่มีเสียง “อาจารย์เว่ย?”

 

 

ตอนที่ฉินอวี่เข้าร่วมแข่งขัน หนิงฉิงก็เคยพบอาจารย์เว่ยมาแล้ว

 

 

ไม่ว่าจะเป็นการแสดงปิดท้ายของเขา หรือตอนที่เขาคอมเมนต์ฉินอวี่ หรือหลังจากได้ยินคำบอกเล่าจากปากคนอื่นและคนตระกูลเสิ่นอยู่บ่อยครั้ง

 

 

ตอนที่นายท่านเสิ่นเอ่ยถึงอาจารย์เว่ยก็มักจะพูดด้วยความยำเกรงและไม่กล้าพูดมาก

 

 

หนิงฉิงเองก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยคิดมาก่อนว่าถ้าหากอาจารย์เว่ยรับฉินอวี่เป็นลูกศิษย์จะเป็นอย่างไร…

 

 

เธอรู้จักอาจารย์เว่ย แต่อาจารย์เว่ยกลับไม่รู้จักเธอ

 

 

การที่มีคนจำตัวเองได้ อาจารย์เว่ยก็ไม่ได้แปลกใจ เขาเพียงพยักหน้าให้หนิงฉิงเป็นมารยาทด้วยท่าทีที่ทั้งเฉยเมยและห่างเหิน

 

 

พอฉินหร่านที่เดินกลับไปได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เธอก็หันหน้ามา

 

 

ทันทีที่หันไปก็เห็นอาจารย์เว่ยและยังมีชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างอาจารย์เว่ย

 

 

“อาจารย์เว่ย พวกคุณมาได้ยังไงคะ?” ฉินหร่านผงะไปสักพักถึงจะตอบสนอง เธอเอียงกายและหยุดเท้า

 

 

เธอไม่รู้ว่าจะต้องปฏิบัติตัวแบบไหนกับอาจารย์เว่ยไปชั่วขณะ

 

 

อาจารย์เว่ยหัวเราะ เขาเดินไปข้างหน้าอย่างเป็นกันเองโดยไม่มีพิธีรีตองหรือท่าทีห่างเหิน น้ำเสียงเป็นไปโดยธรรมชาติ “ภูเขาไม่มาหา ฉันก็จะไปหาภูเขาเอง”

 

 

เขาไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องเฉินซูหลาน

 

 

“ปีหน้าสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ?” ฉินหร่านรู้ดีว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องรับลูกศิษย์ เธอยืนนิ่งอย่างสุขุม “ยายหนูให้คุณมาเหรอคะ?”

 

 

อาจารย์เว่ยยิ้มอย่างใจเย็น “ไม่ง่ายเลยที่เธอจะยอมผ่อนปรน แน่นอนว่าฉันให้ความสำคัญเธอ ถ้าฉันไม่รอจนถึงปีหน้าแล้วเธอเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา ลูกศิษย์ที่ฉันสนใจไปกับคนอื่น ฉันจะไปร้องไห้กับใครกัน?”

 

 

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่อาจารย์เว่ยจะทำเช่นนี้

 

 

ตอนนั้นเขาปลีกตัวออกจากผู้คนและไปอาศัยอยู่ที่เมืองหนิงไห่เป็นเวลาครึ่งปี

 

 

ฉินหร่านยอมรับวิธีการพูดของเขาด้วยความจำยอม

 

 

“คุณฉิน” ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างอาจารย์เว่ยโค้งให้ฉินหร่านด้วยความเคารพ

 

 

ตอนที่อยู่เมืองหนิงไห่เป็นเวลาครึ่งปี ชายวัยกลางคนคนนี้ก็ไปด้วย เนื่องจากเขารู้ว่าอาจารย์เว่ยเสียพลังใจไปไม่น้อยสำหรับลูกศิษย์คนนี้ ดังนั้นเขาจึงเคารพในตัวฉินหร่านมาก

 

 

ฉินหร่านพยักหน้าและยิ้ม จากนั้นก็ทักทายเขาอย่างสุภาพ “อาไห่”

 

 

ทั้งสามคุยกันในขณะที่เดินเข้าห้องเฉินซูหลานไป

 

 

น้ำเสียงคุ้นเคยเหมือนรู้จักกันมานาน

 

 

จากบทสนทนาของพวกเขาไม่ได้ยากที่จะเข้าใจ ฉินหร่านรู้จักกับพวกอาจารย์เว่ยมาแล้วหลายปี เห็นได้ชัดว่าอาจารย์เว่ยมาที่นี่เพราะฉินหร่าน

 

 

และที่สำคัญที่สุดคือฉินหร่านก็ดูเหมือนกำลังพิจารณาเรื่องนี้อยู่

 

 

หนิงฉิงยืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับท่อนไม้ ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

 

 

เหมือนมีฟ้าผ่าลงมาที่หัว

 

 

เธอเจออาจารย์เว่ยที่อวิ๋นเฉิง? และที่สำคัญคือเขารู้จักฉินหร่านได้อย่างไร ยังอยากรับฉินหร่านเป็นลูกศิษย์ด้วย?

 

 

หนิงฉิงมองทั้งสามคุยกันขณะที่เดินเข้าห้องเฉินซูหลาน อาจารย์เว่ยผู้มากบารมีและมีชื่อเสียงตามคำบอกเล่าของบรรดาคนในตระกูลเสิ่นปฏิบัติต่อฉินหร่านอย่างที่เรียกได้ว่าโอนอ่อนผ่อนตาม

 

 

เธอยืนนิ่งไม่มีแรงแม้แต่จะกดลิฟต์

 

 

หนิงฉิงทราบดีว่าฐานะในเมืองหลวงพิจารณาคุณสมบัติและประสบการณ์เป็นหลัก ไม่ต้องพูดถึงตระกูลเสิ่น แม้แต่ตระกูลไต้ก็ยังเทียบกับตระกูลเว่ยได้ยาก

 

 

ไม่เพียงแค่เส้นสายส่วนตัวของตระกูลเว่ย แต่ความสำเร็จของอาจารย์เว่ยในศาสตร์ไวโอลินเพียงอย่างเดียวนั้นไต้หรานยังเทียบไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตระกูลเสิ่นหรือตระกูลหลิน

 

 

ยังห่างชั้นกันมาก

 

 

ดังนั้นหนิงฉิงจึงคิดอยู่หลายครั้งว่าถ้าหากอาจารย์เว่ยรับฉินอวี่เป็นลูกศิษย์สถานการณ์จะเป็นอย่างไร

 

 

พอตอนนี้ได้เห็นว่าครูเว่ยรอนแรมไกลมาอวิ๋นเฉิงเพื่อรับฉินหร่านเป็นลูกศิษย์ ไม่ต้องพูดถึงว่าเรื่องนี้จะหยุดอยู่กับแค่หนิงฉิง หากข่าวกระจายไปถึงเมืองหลวงก็คงสั่นสะเทือนกันทั้งวงการ

 

 

เฉินซูหลานเคยบอกหนิงฉิงแล้วว่าฉินหร่านฝึกเล่นไวโอลินมาตลอด

 

 

แต่หนิงฉิงกลับไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้มากนัก ไม่ต้องบอกว่าอาจารย์สวี่ไม่สอนเธอแล้ว หากจะพูดถึงด้านการเรียนเพียงอย่างเดียว อาจารย์ที่สอนให้ฉินอวี่เก่งกว่าอาจารย์ในเมืองหนิงไห่มาก

 

 

ในด้านนี้ตระกูลหลินใจกว้างกับฉินอวี่มาโดยตลอด แม้แต่ไวโอลินยังสั่งทำในราคาห้าแสนเก้าหมื่นหยวน

 

 

แต่ไม่ว่าหนิงฉิงจะคิดอย่างไร เธอก็นึกไม่ถึงว่าอาจารย์เว่ยจะสนใจในตัวฉินหร่านและอยากรับฉินหร่านเป็นลูกศิษย์

 

 

ถ้าฉินหร่านตกลงล่ะ หนิงฉิงเอามือกุมหน้าอกด้วยมือที่สั่นเทา เธอแทบจะจินตนาการได้ว่ามันจะเป็นอย่างไร!

 

 

แต่ในวินาทีต่อมาหนิงฉิงก็จำบทสนทนาระหว่างเธอกับฉินหร่านขึ้นได้ เหมือนโดนตบหัวจนเธอได้สติในพริบตา เลือดในกายเย็นไปครึ่งตัว

 

 

หนิงฉิงมองไปทางประตูห้องเฉินซูหลาน เธอเกือบจะรู้สึกได้ว่าลำไส้ในท้องมีความเสียใจที่จับตัวกันอยู่กลืนกินหัวใจเธอ

 

 

ถ้าห้านาทีก่อนหน้านี้…

 

 

หนิงฉิงกดลิฟต์ลงด้วยมือที่แข็งทื่อเหมือนเครื่องจักร

 

 

คนขับรถตระกูลหลินรออยู่ข้างล่าง เธอกลับไปถึงบ้านตระกูลหลินด้วยท่าทางแข็งทื่อ

 

 

นั่งบนโซฟา แม้ตอนนี้จะเป็นช่วงต้นหน้าหนาวแต่เธอกลับรินน้ำเย็นให้ตัวเองหนึ่งแก้ว จิบน้ำลงไปก็ไม่อาจปกปิดใจที่เหมือนมีดเฉือนได้

 

 

ในเวลานี้นายท่านหลินและคนอื่นยังไม่ไปไหน

 

 

พวกเขากำลังลงมาจากชั้นบนและกำลังปรึกษากันว่าจะหาเวลาไปเยี่ยมเฉินซูหลานที่โรงพยาบาลด้วยกัน

 

 

ในอดีตเรื่องเหล่านี้แทบจะไม่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นเลย

 

 

เมื่อเห็นหนิงฉิงนั่งบนโซฟาด้วยสีหน้าที่ดูไม่ค่อยดี นายท่านหลินก็ถามอย่างอ่อนโยน “เป็นอะไรล่ะ อาการแม่เธอไม่ค่อยดีเหรอ?”

 

 

หลินฉีก็มองมา

 

 

หนิงฉิงวางแก้วน้ำพลางส่ายหน้า

 

 

ทว่าสายตากลับดูเลื่อนลอย

 

 

เป็นเพราะไต้หรานรับฉินอวี่เป็นลูกศิษย์ พวกเขาถึงมีท่าทีแบบนี้ หนิงฉิงอดคิดไม่ได้ว่าถ้าพวกเขารู้ว่าอาจารย์เว่ยต้องการรับฉินหร่านเป็นลูกศิษย์ ไม่รู้ว่าพวกเขาจะมีท่าทีอย่างไร?

 

 

**

 

 

โรงพยาบาล

 

 

ฉินหร่านขยับเก้าอี้สองตัวเพื่อให้อาจารย์เว่ยและอาไห่นั่ง

 

 

ส่วนเธอก็พิงเตียงผู้ป่วยของเฉินซูหลาน

 

 

เฉินซูหลานพิงหมอนด้วยหน้าตาที่สดใส ดูก็รู้ว่าสภาพจิตใจดีขึ้นมาก “ลำบากอาจารย์เว่ยจริงๆที่อุตส่าห์มาถึงที่นี่”

 

 

เมื่ออาจารย์เว่ยเห็นท่าทีของเธอ หัวใจก็จมดิ่งแต่ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า เขายิ้ม “มาหนึ่งเที่ยวไม่ได้ลูกศิษย์ดีดีไป ผมก็ไม่ถือที่จะต้องมาอีกหลายๆครั้ง”

 

 

เนื่องจากพวกเขายังถือว่าไม่ค่อยสนิทกัน แต่อาจารย์เว่ยก็ย่อมรู้โดยธรรมชาติว่าแม้ฉินหร่านจะไม่ยอมฟังคำพูดของคนอื่น แต่คำพูดของเฉินซูหลานเธอจะไม่ฟังไม่ได้

 

 

เฉินซูหลานเอ่ยขึ้นมาว่าเรื่องไหว้ครูอาจจะเร็วก่อนกำหนด

 

 

ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจารย์เว่ยคงดีใจมากจนอยากวิ่งรอบโรงพยาบาลสักสองรอบ

 

 

อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาอย่างลึกซึ้งถึงความหมายในสิ่งที่เฉินซูหลานทำแล้ว ความดีใจของอาจารย์เว่ยก็มลายหายไป

 

 

ฉินหร่านไม่ฟังคำพูดที่เป็นทางการของทั้งสอง เธอเปิดโทรศัพท์นั่งพิงอยู่บนเตียงผู้ป่วย วีแชทของกู้ซีฉือก็เหมือนจะไม่มีความเคลื่อนไหว

 

 

เขาไม่ได้ส่งผลตรวจมา

 

 

ส่วนของเหยียนซีก็ไม่มีความเคลื่อนไหวเช่นกัน

 

 

หลังจากเธอส่งเพลงที่แต่งในเวอร์ชั่นครบถ้วนสมบูรณ์แล้วให้เหยียนซี อีกฝ่ายก็เงียบหายไป

 

 

เป็นแบบนี้แทบจะทุกครั้งหลังจากที่เธอส่งเค้าโครงโดยรวมไปแล้ว เหยียนซีก็มักจะส่งวีแชทมารบกวนไม่หยุดเพื่อเร่งให้เธอเขียนเสร็จไวๆ

 

 

แต่พอเธอส่งเพลงให้หมดแล้ว อีกฝ่ายกลับเงียบหายไปตั้งวันสองวัน

 

 

“งั้นก็หาฤกษ์หายามมาวันนึง” เฉินซูหลานและอาจารย์เว่ยพูดคุยกันจนถึงแก่เวลา อาจารย์เว่ยผงะไปสักพัก จากนั้นก็พูดด้วยหน้าระรื่น “การรับลูกศิษย์ของผมถึงแม้จะไม่ได้จัดงานใหญ่ แต่ก็มีหลายคนที่ต้องเชิญมา”

 

 

เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันของเฉินซูหลาน อีกทั้งที่นี่ยังเป็นอวิ๋นเฉิง ไม่ใช่ถิ่นของเขา ดังนั้นอาจารย์เว่ยจึงได้วางแผนไว้แล้วระหว่างเดินทางมาว่าจะข้ามเรื่องพิธีการไปก่อน

 

 

จนกว่าจะถึงปีหน้าตอนที่ฉินหร่านไปเมืองหลวง เขาจะจัดงานใหญ่

 

 

**

 

 

โรงแรมที่อาจารย์เว่ยพักในตอนกลางคืน

 

 

โรงแรมระดับห้าดาวแห่งเดียวในอวิ๋นเฉิง

 

 

เป็นโรงแรมที่สมาคมไวโอลินแห่งอวิ๋นเฉิงจัดเตรียมไว้ให้เขา รวมไปถึงรถบีเอ็มดับเบิ้ลยูอีกหนึ่งคัน

 

 

พอฉินหร่านเห็นโรงแรมก็พบว่าเขาเลือกโรงแรมเดียวกับกู้ซีฉือ

 

 

หลังจากส่งอาจารย์เว่ยไปถึงโรงแรม อาไห่ก็พาฉินหร่านกลับไปที่โรงเรียน

 

 

แม้อวิ๋นเฉิงจะไม่ใช่ถิ่นของอาจารย์เว่ย แต่ชื่อเสียงของเขาก็มีผลทุกที่

 

 

หลังจากที่อาไห่พาฉินหร่านไปส่ง อาจารย์เว่ยก็สวมแว่นตาพลิกดูปฏิทินเพื่อเลือกวัน

 

 

จากนั้นก็วางแผนเชิญคน มีหลายคนจากสมาคมไวโอลินแห่งอวิ๋นเฉิงที่ต้องเชิญ

 

 

“ใช่แล้ว เจียงหุยก็อยู่อวิ๋นเฉิงไม่ใช่เหรอ?” อาจารย์เว่ยเปิดสมุดโทรศัพท์และหันไปมองอาไห่

 

 

การแสดงของเขามักจะมีผู้ชมอยู่หลายคนซึ่งแทบจะเป็นคนจากตระกูลเจียง ตระกูลสวี และตระกูลเฉิง ในบรรดาคนเหล่านี้เขากับเจียงหุยเคยทานข้าวด้วยกันอยู่หลายครั้งซึ่งถือว่าเป็นมิตรภาพต่างวัย  

 

 

อาไห่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “ได้ยินมาว่าคุณชายเจียงถูกส่งตัวมาที่เมืองอวิ๋นเฉิง”

 

 

“งั้นก็ดีเลย” อาจารย์เว่ยเพิ่มเจียงหุยอีกหนึ่งคนในรายชื่อข้างๆ

 

 

เฉินซูหลานเองก็วางแผนเรื่องที่จะเชิญคนมาเช่นกัน

 

 

กลุ่มญาติจากตระกูลหลินและตระกูลหนิงล้วนเป็นพวกเสือสิงห์กระทิงแรด เฉินซูหลานไม่คิดจะแจ้งพวกเขา

 

 

ส่วนที่เหลือก็เป็นเพื่อนๆของฉินหร่านและยังมีพวกมู่หนาน

 

 

พานหมิงเย่ว์ มู่หนานไม่ต้องพูดถึง ซ่งลี่ว์ถิงยังกลับมาไม่ได้ชั่วคราว ส่วนกู้ซีฉือก็ไม่รู้ว่ายังอยู่ในอวิ๋นเฉิงหรือไม่…

 

 

เฉินซูหลานให้พยาบาลรับจ้างหยิบปากกากับกระดาษมาให้เธอ ดึกมากแล้วแต่เธอยังไม่นอน บรรจงเขียนชื่อลงไปทีละคน 

 

 

พยาบาลรับจ้างก้มหน้าดูก็อดแปลกใจไม่ได้ “ป้าเฉิน ตัวหนังสือคุณสวยจัง”

 

 

ด้วยการลากเส้นของปากกา ตวัดปากกาดังมังกรร่อน ทั้งมีพลังและอ่อนช้อยงดงาม

 

 

เฉินซูหลานยิ้มอย่างสบายๆ เธอวางปากกาและหรี่ตาเล็กน้อย พลันนึกถึงเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนนั้นขึ้นมา

 

 

เธอครุ่นคิดอยู่สักพักก็หยิบมือถือขึ้นมาโทรหาเฉิงเจวี้ยน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+