เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ 277 โอกาส

Now you are reading เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ Chapter 277 โอกาส at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฉินหร่านไม่พูดอะไรมาก ทั้งไม่สนใจสายตาที่จับจ้องมาที่เธอ ก่อนถือบัตรเดินขึ้นชั้นสอง  

 

 

คราแรกเถียนเซียวเซียวก็มองฉินหร่านด้วยสายตาราบเรียบ  

 

 

เธอเป็นคนอับโชคมาโดยตลอด มิเช่นนั้นการที่เธอเดบิวต์เป็นดารามาตั้งแต่เด็ก เข้าวงการมาไม่รู้กี่ปี ก็เป็นแค่ดาราปลายแถว อยู่อีกหรือ  

 

 

ทว่าตอนนี้…  

 

 

เถียนเซียวเซียวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทันที ก่อนส่งข้อความหาผู้จัดการประโยคหนึ่งอย่างเงียบๆ   

 

 

[เหมือนว่าฉันจะได้โชคก้อนใหญ่โดยบังเอิญนะ]  

 

 

ผู้จัดการตอบกลับอย่างรวดเร็ว  

 

 

[เธอช่วยตื่นจากฝันหน่อย เธอน่ะเป็นตัวอับโชคมานานแล้วนะ (อิโมจิยิ้ม)]  

 

 

เถียนเซียวเซียว […]  

 

 

เธอตามหลังฉินหร่านไปติดๆ ก่อนชะงักอยู่ครู่หนึ่งเมื่อพบว่าผู้ชายที่อยู่ข้างตัวเองคือวังจือเฟิง  

 

 

ทั้งสองมองหน้ากันแต่ไม่มีใครพูดอะไร จากนั้นตามฉินหร่านไปอย่างรู้ใจกันอัตโนมัติ  

 

 

ใครจะไปรู้ ฉินหร่านอายุแค่นี้แต่อยู่ระดับห้า คงมีอาจารย์ในสมาคมไม่น้อยอยากแย่งเธอมาเป็นศิษย์ ถึงเวลานั้นอาจารย์คงยกฉินหร่านเป็นศิษย์คนโปรดไปแล้ว…  

 

 

อีกทั้งยังงทำให้สองคนได้ทำความรู้จักกับบุคคลชั้นนำได้  

 

 

ฉินหร่านเดินเข้าไปในลิฟต์ ก่อนรูดบัตรของตัวเอง จากนั้นกดชั้นสอง  

 

 

รูปแบบชั้นหนึ่งและชั้นสองไม่มีความแตกต่างกัน  

 

 

ปกติแล้วห้อง201เป็นห้องเรียนทั่วไปที่อาจารย์ประจำชั้นสองสอน ส่วนห้องอื่นเป็นห้องฝึกซ้อม  

 

 

ด้านซ้ายมือเป็นห้องฝึกซ้อมของนักเรียนระดับสี่ ขวามือเป็นห้องฝึกซ้อมของนักเรียนระดับห้า ฉินหร่านเดินไปทางขวามือ  

 

 

ห้องฝึกซ้อมก็ใช้ระบบรูดการ์ด หากบัตรประตูมีไฟขึ้นแสดงว่ามีคนใช้ห้องอยู่ด้านใน ถ้าไม่มีไฟขึ้นแสดงว่าไม่มีคนอยู่  

 

 

ฉินหร่านเดินเข้าไปในห้องไฟประตูที่ไม่มีคน  

 

 

พื้นที่ในห้องฝึกซ้อมกว้างขวางมาก ทั้งยังมีคอมพิวเตอร์สี่ตัว ด้านในล้วนเป็นเนื้อหาการสอนของรัฐ M วางบนชั้นวางหนังสือแถวสอง ชั้นวางหนังสือแถวแรกคือบันทึกของผู้อาวุโส ทั้งยังมีบทความสำคัญของไวโอลินระดับนานาชาติที่แปลโดยทางสมาคม  

 

 

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นข้อมูลสำคัญที่สุดของสมาคม ไม่สามารถถ่ายสำเนาหรือนำออกไปได้  

 

 

อีกทั้งระดับข้อมูลที่เปิดเผยในแต่ละชั้นก็ไม่เหมือนกัน   

 

 

อาจารย์สวีเคยแนะนำตอนอยู่ห้องฝึกซ้อมชั้นหนึ่งแล้ว ที่นั่นไม่มีชั้นหนังสือ และไม่มีบันทึกสำคัญของเหล่าผู้อาวุโสของสมาคม  

 

 

แน่นอนว่าจำนวนหนังสือที่จัดวางไว้ในห้องระดับสี่มีไม่มากเท่าระดับห้า  

 

 

วังจือเฟิงเดินไปที่ชั้นหนังสือด้วยความตื่นเต้น ก่อนหยิบบทความแปลสำคัญของไวโอลินระดับนานาชาติแล้วเริ่มนั่งอ่านบนพื้น  

 

 

ฉินหร่านหยิบแผ่นรายการหนังสือในกระเป๋า  

 

 

ล้วนเป็นรายการแจกแจงที่อาจารย์เว่ยมอบให้เธอ เธอสามารถหาได้ตั้งแต่ชั้นวางหนังสือด้านบน  

 

 

จากชั้นวางหนังสือชั้นบนก็เจอหนังสือที่ตัวเองต้องการ ฉินหร่านเดินไปยังโต๊ะหนังสือที่ว่างอยู่ ก่อนดึงเก้าอี้ลงนั่ง  

 

 

เมื่อเถียนเซียวเซียวและวังจือเฟิงมองมาที่เธอ เธอก็ใส่หูฟังสีดำไปพลาง พลิกหน้าหนังสือพลาง ทั้งสองคนต่างอยู่เงียบๆ ไม่ได้เข้าไปรบกวนเธอ  

 

 

วังจือเฟิงนั่งอ่านหนังสือบนพื้นต่อด้วยความกระตือรือร้นอย่างยิ่ง ส่วนเถียนเซียวเซียวเดินไปซ้อมไวโอลินที่ข้างหน้าต่าง  

 

 

**  

 

 

พวกของฉินหร่านทั้งสามคนนอกจากออกมากินข้าวกลางวัน ก็ไม่ได้ออกมาจากห้องฝึกซ้อมอีก วังจือเฟิงมองหาหนังสือไวโอลินคลาสสิคอยู่นานก็หาไม่เจอ  

 

 

หลังจากฉินหร่านอ่านหนังสือเล่มหนึ่งได้ระยะหนึ่งแล้ว ก็จดบางอย่างลงสมุดบันทึก จากนั้นก็ลองซ้อมไวโอลิน  

 

 

เถียนเซียวเซียวยังคงซ้อมไวโอลินอยู่ หลังจากได้ยินฉินหร่านเล่นไวโอลินครั้งแรก เธอก็วางไวโอลินของตัวเองลงเงียบๆ   

 

 

วันแรกทั้งสามคนไม่ได้สนิทสนมกันมากนัก โดยเฉพาะฉินหร่านไม่ค่อยเข้าใกล้ใคร เพราะปกติก็เป็นคนไม่พูดอยู่แล้ว  

 

 

วันที่สอง เถียนเซียวเซียวกับวังจือเฟิงเริ่มสนิทกันเล็กน้อย ทว่าทั้งสองยังคงไม่สามารถเข้าถึงหัวหน้ากลุ่มอย่างฉินหร่านได้ แต่ก็แอดวีแชทของฉินหร่านได้สำเร็จ  

 

 

วันที่สาม ทั้งสองคนถามฉินหร่านอยู่หลายคำถาม ถึงรู้ว่าฉินหร่านเป็นคนที่สนิทได้ง่ายมากและกลายเป็นคนพูดเยอะ  

 

 

ห้าโมงครึ่งตอนเย็น  

 

 

ทั้งสามคนกำลังเตรียมตัวออกมา  

 

 

“พวกเธอสองคนก็เพิ่งสอบเข้ามหาลัยปีนี้เหรอ?” การเป็นนักเรียนของสมาคมมีการจำกัดอายุเช่นเดียวกัน คือ15-22ปี ได้ยินมาว่าฉินหร่านกับเถียนเซียวเซียวก็เพิ่งเข้าร่วมการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ทำให้วังจือเฟิงรู้สึกดีใจ “งั้นพวกเธอทั้งสองคนก็สอบพร้อมกับทั่วประเทศสิ?”  

 

 

ตอนนี้การสอบของทุกเมืองล้วนใช้ระบบเดียวกัน  

 

 

เมื่อพูดถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัย เดิมคนที่พูดน้อยอย่างวังจือเฟิงก็เริ่มร้องขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง “พวกเธอเรียนสายศิลป์หรือสายวิทย์คณิตล่ะ? ปีนี้ข้อสอบสายวิทย์คณิตไม่เหมือนปีที่ผ่านมาเลย รายชื่อสองอันดับแรกของการสอบเข้ามหาวิทยาลัยปีนี้เปลี่ยนไปยิ่งกว่าครั้งไหนๆ”  

 

 

เถียนเซียวเซียวหยิบโทรศัพท์ตัวเองติดต่อกับผู้จัดการ ก่อนตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก “ฉันสอบศิลปศาสตร์”  

 

 

ฉินหร่านมองไปข้างหน้า ก่อนสอดมือเข้ากระเป๋าตอบอย่างสั้นๆ ว่า “วิทย์คณิต”  

 

 

วังจือเฟิงเดินไปหาฉินหร่านพูดกับเธอเรื่องข้อสอบสายวิทย์คณิต   

 

 

เฉิงเจวี้ยนมารับฉินหร่านตรงเวลาพอดี  

 

 

ปกติแล้วเขาจะจอดรถบนถนนอีกฝั่งหนึ่ง และเพื่อไม่ให้มีผลกระทบด้านลบต่อฉินหร่าน จึงน้อยมากที่จะลงจากรถ เพียงนั่งรอที่ตำแหน่งคนขับ  

 

 

และเนื่องจากป้ายทะเบียนรถของเขาค่อนข้างหรูหรามีระดับ  

 

 

วันนี้เขาก็นั่งที่ตำแหน่งคนขับดังเดิม มือข้างหนึ่งห้อยขอบรถ อีกข้างถือโทรศัพท์คุยกับเฉิงเวินหรู “รู้แล้ว เดี๋ยวผมกลับไป”  

 

 

ไม่รู้อีกฝ่ายพูดอะไร เขาพลันเลิกคิ้วขึ้น “ไม่ได้ ไม่พาไปด้วยหรอก ที่บ้านสกุลเฉิงมีคนเยอะเกินไป”  

 

 

ขณะกำลังคุยโทรศัพท์อยู่นั้นก็มองออกไปนอกหน้าต่าง มองเพียงปราดเดียวก็เห็นกลุ่มของฉินหร่านทั้งสามคน  

 

 

วังจือเฟิงยืนใกล้ฉินหร่าน ทั้งพูดคุยกับเธออย่างออกรสออกชาติ ทั้งสองคนน่าจะมีอายุเท่ากัน ดูเหมือนพูดคุยกันถูกคอยิ่ง  

 

 

ฉินหร่านวางมือข้างหนึ่งไว้หลังหัว ยังคงมีท่าทีของเด็กสาวที่เข้าสังคม แต่ผู้ชายที่อยู่ด้านข้างคนนั้นพูดเสียงดังขนาดนั้น ดูเหมือนว่าเธอก็ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดแต่อย่างใด  

 

 

“วางนะ” เฉิงเจวี้ยนหรี่ตา เขาตัดสายโทรศัพท์  

 

 

พูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแสยิ่ง  

 

 

เฉิงเวินหรูที่อยู่ปลายสายเมื่อเห็นสายของตัวเองถูกตัดก็พลันเลิกคิ้วด้วยความสงสัย  

 

 

เฉิงเจวี้ยนเปิดประตูรถลงไป เดินตรงไปสองก้าว  

 

 

ขณะนี้เวลาห้าโมงกว่า ดวงอาทิตย์ยังไม่ลับขอบฟ้า ทว่าแสงจากดวงอาทิตย์สาดส่องมาที่ร่างอันสูงโปร่งของเขาขณะที่หลังตกกระทบกับลำแสง เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ก็เห็นหน้าตาของเขาชัดเจนยิ่งขึ้น  

 

 

แม้ว่าสองสามวันมานี้เถียนเซียวเซียวกับวังจือเฟิงจะเห็นใบหน้าที่งดงามของฉินหร่านจนชินตาแล้ว ทว่าก็ยังทึ่งกับหน้าตาและเสน่ห์อันน่าดึงดูดของคนที่เดินเข้ามา  

 

 

“วันนี้ช้าไปกี่นาที” เฉิงเจวี้ยนดึงมือฉินหร่านอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง พลางประครองฝ่ามือไว้ แต่ไม่ได้มองเธอ พลางใช้สายตามองเถียนเซียวเซียวและวังจือเฟิง ถามด้วยความสุภาพ “ทั้งสองคนจะไปไหน ต้องให้ไปส่งหรือเปล่า?”  

 

 

ตั้งแต่เด็กที่คลุกคลีอยู่ในวงการบันเทิง เถียนเซียวเซียวจึงรู้ท่าทีดี เธอหยิบแว่นตาดำ พลางยิ้ม “ไม่ต้องค่ะ เดี๋ยวมีคนมารับฉันกับวังจือเฟิงค่ะ”  

 

 

ทั้งสองฝ่ายบอกลากันอย่างสุภาพ  

 

 

เมื่อรอรถคันนั้นจากไป เถียนเซียวเซียวจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก  

 

 

วังจือเฟิงไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ดูเหมือนว่าเขาคิดอะไรขึ้นมาได้ “จริงสิ ปีนี้รายชื่อคนที่สอบได้ที่หนึ่งระดับประเทศสาขาวิทย์คณิตคือฉินหร่านนี่! ทั้งสองมีชื่อเหมือนกัน! บังเอิญจริงๆ!”  

 

 

ชื่อของคนที่สอบได้อันดับหนึ่งระดับประเทศกระจายไปทั่ว แต่ไม่มีสื่อไหนกล้าลงรูปสักช่อง ทั้งไม่มีสื่อช่องไหนได้สัมภาษณ์เธอ  

 

 

เพียงให้สัมภาษณ์กับครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับเธอไม่กี่ประโยค ทว่าก็เป็นบทความบรรยาย ไม่มีสื่อช่องไหนกล้าปล่อยรูป  

 

 

ในโลกออนไลน์ก็เสิร์ชไม่เจอข่าวคราวใดๆ ของเธอ เพียงรู้ว่าเธอเป็นคนเมืองหลวง และเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง  

 

 

ผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่งของประเทศปีนี้แตกต่างจากที่ผ่านมาอย่างมาก ดังนั้นทุกคนล้วนอยากขุดคุ้ยเธอ หลังจากนั้นถึงมีข่าวลือออกมาว่า ผู้ที่ได้อันดับหนึ่งของประเทศเป็นถึงผู้ทรงอิทธิพล ไม่อาจปล่อยข้อมูลให้รั่วไหลได้  

 

 

ชาวเน็ตถึงเข้าใจว่า น่าจะเป็นคนใหญ่คนโตจริงๆ จึงไม่คิดวุ่นวายอีก  

 

 

แต่ก็มีกลุ่มคนจำนวนมากเมื่อถึงสอบปลายภาคก็ต่างกราบไหวปรมาจารย์ฉิน  

 

 

“ชื่อเดียวกันเฉยๆ มั้ง” เถียนเซียวเซียวไม่ค่อยสนใจคนอื่นนัก นักเรียนส่วนใหญ่ที่เรียนไวโอลินก็มาจากสายศิลปศาสตร์  

 

 

ผู้จัดการของเธอเพิ่งขับรถมาถึง เถียนเซียวเซียวหันมาโบกมือให้วังจือเฟิงก่อนเดินขึ้นรถ  

 

 

วังจือเฟิงยืนอยู่ที่เดิมอยู่ครู่ใหญ่พลางพึมพำกับตัวเอง “บังเอิญจริงๆ”  

 

 

ทั้งแซ่กับชื่อก็ไม่ต่างกันเลย  

 

 

**  

 

 

ในรถเฉิงเจวี้ยน  

 

 

“ตอนเย็นฉันจะกลับไปกินข้าวที่บ้านเดิม” เขานั่งอยู่ตำแหน่งคนขับ รอฉินหร่านคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย ก่อนออกรถ “ส่งเธอกลับบ้านก่อนนะ”  

 

 

“อืม” ฉินหร่านเท้าคาง คุยแชทกับหลินซือหรานอย่างเอื่อยเฉื่อย  

 

 

หลินซือหรานก็เลือกมหาวิทยาลัยเมืองหลวง คะแนนของเธอไม่มีปัญหาอะไรมากกับสอบเข้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวง พรุ่งนี้เธอกับทางบ้านเตรียมตัวเดินทางมายังเมืองหลวง หนึ่งเพื่อมาหาฉินหร่าน สองเพื่อเข้าร่วมพิธีไหว้ครูของฉินหร่าน  

 

 

เฉิงเจวี้ยนขับรถกลับมาที่ถิงหลานก่อนตรงไปยังบ้านสกุลเฉิงในเมืองหลวง  

 

 

ถนนเส้นนี้รถติดเล็กน้อย  

 

 

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมงกว่าเวลาประมาณเกือบทุ่มเขาถึงเดินทางมาถึงบ้านสกุลเฉิง  

 

 

ณ บ้านสกุลเฉิง  

 

 

เฉิงเวินหรูกำลังสนทนาอยู่กับเลขาหลี่ สองมือของเธอกอดอก ยืนอยู่บนระเบียงด้านบนมองไปยังภูเขาปลอมอีกฝั่ง พลางมุ่นหัวคิ้ว “มั่นใจรึ?”  

 

 

“ที่งานประมูลมีเพียงดอกไม้จีนขวดเดียวเท่านั้นครับ” เลขาหลี่ขมวดคิ้ว “ส่วนเรื่องคนขาย ผมไม่เจอข้อมูลอะไรเลย แต่ว่า…ดูเหมือนว่าคุณชายใหญ่กำลังตามหาโอวหยางเวยครับ”  

 

 

“ให้เขาหาไปเถอะ” เฉิงเวินหรูโบกมืออย่างไม่สนใจ “ขอแค่หาดอกไม้จีนได้ ก็มั่นใจได้ว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับพ่อฉัน”  

 

 

เลขาหลี่พยักหน้า  

 

 

ขณะทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ตรงบริเวณทางเดินภูเขาปลอมฝั่งนั้นก็มีร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน ขณะที่ด้านข้างมีเสียงคนสองคนพูดขึ้นว่า “นายน้อยสาม”  

 

 

เป็นเฉิงเจวี้ยน  

 

 

เฉิงเวินหรูหยุดพูด ก่อนก้มหน้าลง “ถ้านายไม่กลับมาอีก พี่ชายใหญ่คงพูดกรอกหูพ่อเรื่องปีที่แล้วอีกแน่”  

 

 

เฉิงเจวี้ยนไม่ได้สนใจ ตอบด้วยท่าทีเกียจคร้านเล็กน้อยว่า “ให้เขาพูดไป”  

 

 

“แล้ว แม่สาวน้อยของเธอคนนั้นไม่คิดจะมาหาฉันบ้างเลยเหรอ?” เฉิงเวินหรูตามเขาไปที่บ้านใหญ่ พูดด้วยน้ำเสียงติดตลก “ฉันเตรียมของขวัญให้แล้วนะ”  

 

 

แม้เธอจะมีอายุสามสิบกว่าแล้ว แต่ก็ดูแลตัวเองอย่างดี หางตาของเธอไม่มีแม้แต่ริ้วรอย  

 

 

“ช่วงนี้เธอสบายดี” เฉิงเจวี้ยนวางมือบนท้ายทอย ใบหน้ายิ้มแย้มอย่างขอไปที “พอดีมะรืนนี้เพื่อนของเธอจะมาหา”  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ 277 โอกาส

Now you are reading เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ Chapter 277 โอกาส at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฉินหร่านไม่พูดอะไรมาก ทั้งไม่สนใจสายตาที่จับจ้องมาที่เธอ ก่อนถือบัตรเดินขึ้นชั้นสอง  

 

 

คราแรกเถียนเซียวเซียวก็มองฉินหร่านด้วยสายตาราบเรียบ  

 

 

เธอเป็นคนอับโชคมาโดยตลอด มิเช่นนั้นการที่เธอเดบิวต์เป็นดารามาตั้งแต่เด็ก เข้าวงการมาไม่รู้กี่ปี ก็เป็นแค่ดาราปลายแถว อยู่อีกหรือ  

 

 

ทว่าตอนนี้…  

 

 

เถียนเซียวเซียวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทันที ก่อนส่งข้อความหาผู้จัดการประโยคหนึ่งอย่างเงียบๆ   

 

 

[เหมือนว่าฉันจะได้โชคก้อนใหญ่โดยบังเอิญนะ]  

 

 

ผู้จัดการตอบกลับอย่างรวดเร็ว  

 

 

[เธอช่วยตื่นจากฝันหน่อย เธอน่ะเป็นตัวอับโชคมานานแล้วนะ (อิโมจิยิ้ม)]  

 

 

เถียนเซียวเซียว […]  

 

 

เธอตามหลังฉินหร่านไปติดๆ ก่อนชะงักอยู่ครู่หนึ่งเมื่อพบว่าผู้ชายที่อยู่ข้างตัวเองคือวังจือเฟิง  

 

 

ทั้งสองมองหน้ากันแต่ไม่มีใครพูดอะไร จากนั้นตามฉินหร่านไปอย่างรู้ใจกันอัตโนมัติ  

 

 

ใครจะไปรู้ ฉินหร่านอายุแค่นี้แต่อยู่ระดับห้า คงมีอาจารย์ในสมาคมไม่น้อยอยากแย่งเธอมาเป็นศิษย์ ถึงเวลานั้นอาจารย์คงยกฉินหร่านเป็นศิษย์คนโปรดไปแล้ว…  

 

 

อีกทั้งยังงทำให้สองคนได้ทำความรู้จักกับบุคคลชั้นนำได้  

 

 

ฉินหร่านเดินเข้าไปในลิฟต์ ก่อนรูดบัตรของตัวเอง จากนั้นกดชั้นสอง  

 

 

รูปแบบชั้นหนึ่งและชั้นสองไม่มีความแตกต่างกัน  

 

 

ปกติแล้วห้อง201เป็นห้องเรียนทั่วไปที่อาจารย์ประจำชั้นสองสอน ส่วนห้องอื่นเป็นห้องฝึกซ้อม  

 

 

ด้านซ้ายมือเป็นห้องฝึกซ้อมของนักเรียนระดับสี่ ขวามือเป็นห้องฝึกซ้อมของนักเรียนระดับห้า ฉินหร่านเดินไปทางขวามือ  

 

 

ห้องฝึกซ้อมก็ใช้ระบบรูดการ์ด หากบัตรประตูมีไฟขึ้นแสดงว่ามีคนใช้ห้องอยู่ด้านใน ถ้าไม่มีไฟขึ้นแสดงว่าไม่มีคนอยู่  

 

 

ฉินหร่านเดินเข้าไปในห้องไฟประตูที่ไม่มีคน  

 

 

พื้นที่ในห้องฝึกซ้อมกว้างขวางมาก ทั้งยังมีคอมพิวเตอร์สี่ตัว ด้านในล้วนเป็นเนื้อหาการสอนของรัฐ M วางบนชั้นวางหนังสือแถวสอง ชั้นวางหนังสือแถวแรกคือบันทึกของผู้อาวุโส ทั้งยังมีบทความสำคัญของไวโอลินระดับนานาชาติที่แปลโดยทางสมาคม  

 

 

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นข้อมูลสำคัญที่สุดของสมาคม ไม่สามารถถ่ายสำเนาหรือนำออกไปได้  

 

 

อีกทั้งระดับข้อมูลที่เปิดเผยในแต่ละชั้นก็ไม่เหมือนกัน   

 

 

อาจารย์สวีเคยแนะนำตอนอยู่ห้องฝึกซ้อมชั้นหนึ่งแล้ว ที่นั่นไม่มีชั้นหนังสือ และไม่มีบันทึกสำคัญของเหล่าผู้อาวุโสของสมาคม  

 

 

แน่นอนว่าจำนวนหนังสือที่จัดวางไว้ในห้องระดับสี่มีไม่มากเท่าระดับห้า  

 

 

วังจือเฟิงเดินไปที่ชั้นหนังสือด้วยความตื่นเต้น ก่อนหยิบบทความแปลสำคัญของไวโอลินระดับนานาชาติแล้วเริ่มนั่งอ่านบนพื้น  

 

 

ฉินหร่านหยิบแผ่นรายการหนังสือในกระเป๋า  

 

 

ล้วนเป็นรายการแจกแจงที่อาจารย์เว่ยมอบให้เธอ เธอสามารถหาได้ตั้งแต่ชั้นวางหนังสือด้านบน  

 

 

จากชั้นวางหนังสือชั้นบนก็เจอหนังสือที่ตัวเองต้องการ ฉินหร่านเดินไปยังโต๊ะหนังสือที่ว่างอยู่ ก่อนดึงเก้าอี้ลงนั่ง  

 

 

เมื่อเถียนเซียวเซียวและวังจือเฟิงมองมาที่เธอ เธอก็ใส่หูฟังสีดำไปพลาง พลิกหน้าหนังสือพลาง ทั้งสองคนต่างอยู่เงียบๆ ไม่ได้เข้าไปรบกวนเธอ  

 

 

วังจือเฟิงนั่งอ่านหนังสือบนพื้นต่อด้วยความกระตือรือร้นอย่างยิ่ง ส่วนเถียนเซียวเซียวเดินไปซ้อมไวโอลินที่ข้างหน้าต่าง  

 

 

**  

 

 

พวกของฉินหร่านทั้งสามคนนอกจากออกมากินข้าวกลางวัน ก็ไม่ได้ออกมาจากห้องฝึกซ้อมอีก วังจือเฟิงมองหาหนังสือไวโอลินคลาสสิคอยู่นานก็หาไม่เจอ  

 

 

หลังจากฉินหร่านอ่านหนังสือเล่มหนึ่งได้ระยะหนึ่งแล้ว ก็จดบางอย่างลงสมุดบันทึก จากนั้นก็ลองซ้อมไวโอลิน  

 

 

เถียนเซียวเซียวยังคงซ้อมไวโอลินอยู่ หลังจากได้ยินฉินหร่านเล่นไวโอลินครั้งแรก เธอก็วางไวโอลินของตัวเองลงเงียบๆ   

 

 

วันแรกทั้งสามคนไม่ได้สนิทสนมกันมากนัก โดยเฉพาะฉินหร่านไม่ค่อยเข้าใกล้ใคร เพราะปกติก็เป็นคนไม่พูดอยู่แล้ว  

 

 

วันที่สอง เถียนเซียวเซียวกับวังจือเฟิงเริ่มสนิทกันเล็กน้อย ทว่าทั้งสองยังคงไม่สามารถเข้าถึงหัวหน้ากลุ่มอย่างฉินหร่านได้ แต่ก็แอดวีแชทของฉินหร่านได้สำเร็จ  

 

 

วันที่สาม ทั้งสองคนถามฉินหร่านอยู่หลายคำถาม ถึงรู้ว่าฉินหร่านเป็นคนที่สนิทได้ง่ายมากและกลายเป็นคนพูดเยอะ  

 

 

ห้าโมงครึ่งตอนเย็น  

 

 

ทั้งสามคนกำลังเตรียมตัวออกมา  

 

 

“พวกเธอสองคนก็เพิ่งสอบเข้ามหาลัยปีนี้เหรอ?” การเป็นนักเรียนของสมาคมมีการจำกัดอายุเช่นเดียวกัน คือ15-22ปี ได้ยินมาว่าฉินหร่านกับเถียนเซียวเซียวก็เพิ่งเข้าร่วมการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ทำให้วังจือเฟิงรู้สึกดีใจ “งั้นพวกเธอทั้งสองคนก็สอบพร้อมกับทั่วประเทศสิ?”  

 

 

ตอนนี้การสอบของทุกเมืองล้วนใช้ระบบเดียวกัน  

 

 

เมื่อพูดถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัย เดิมคนที่พูดน้อยอย่างวังจือเฟิงก็เริ่มร้องขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง “พวกเธอเรียนสายศิลป์หรือสายวิทย์คณิตล่ะ? ปีนี้ข้อสอบสายวิทย์คณิตไม่เหมือนปีที่ผ่านมาเลย รายชื่อสองอันดับแรกของการสอบเข้ามหาวิทยาลัยปีนี้เปลี่ยนไปยิ่งกว่าครั้งไหนๆ”  

 

 

เถียนเซียวเซียวหยิบโทรศัพท์ตัวเองติดต่อกับผู้จัดการ ก่อนตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก “ฉันสอบศิลปศาสตร์”  

 

 

ฉินหร่านมองไปข้างหน้า ก่อนสอดมือเข้ากระเป๋าตอบอย่างสั้นๆ ว่า “วิทย์คณิต”  

 

 

วังจือเฟิงเดินไปหาฉินหร่านพูดกับเธอเรื่องข้อสอบสายวิทย์คณิต   

 

 

เฉิงเจวี้ยนมารับฉินหร่านตรงเวลาพอดี  

 

 

ปกติแล้วเขาจะจอดรถบนถนนอีกฝั่งหนึ่ง และเพื่อไม่ให้มีผลกระทบด้านลบต่อฉินหร่าน จึงน้อยมากที่จะลงจากรถ เพียงนั่งรอที่ตำแหน่งคนขับ  

 

 

และเนื่องจากป้ายทะเบียนรถของเขาค่อนข้างหรูหรามีระดับ  

 

 

วันนี้เขาก็นั่งที่ตำแหน่งคนขับดังเดิม มือข้างหนึ่งห้อยขอบรถ อีกข้างถือโทรศัพท์คุยกับเฉิงเวินหรู “รู้แล้ว เดี๋ยวผมกลับไป”  

 

 

ไม่รู้อีกฝ่ายพูดอะไร เขาพลันเลิกคิ้วขึ้น “ไม่ได้ ไม่พาไปด้วยหรอก ที่บ้านสกุลเฉิงมีคนเยอะเกินไป”  

 

 

ขณะกำลังคุยโทรศัพท์อยู่นั้นก็มองออกไปนอกหน้าต่าง มองเพียงปราดเดียวก็เห็นกลุ่มของฉินหร่านทั้งสามคน  

 

 

วังจือเฟิงยืนใกล้ฉินหร่าน ทั้งพูดคุยกับเธออย่างออกรสออกชาติ ทั้งสองคนน่าจะมีอายุเท่ากัน ดูเหมือนพูดคุยกันถูกคอยิ่ง  

 

 

ฉินหร่านวางมือข้างหนึ่งไว้หลังหัว ยังคงมีท่าทีของเด็กสาวที่เข้าสังคม แต่ผู้ชายที่อยู่ด้านข้างคนนั้นพูดเสียงดังขนาดนั้น ดูเหมือนว่าเธอก็ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดแต่อย่างใด  

 

 

“วางนะ” เฉิงเจวี้ยนหรี่ตา เขาตัดสายโทรศัพท์  

 

 

พูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแสยิ่ง  

 

 

เฉิงเวินหรูที่อยู่ปลายสายเมื่อเห็นสายของตัวเองถูกตัดก็พลันเลิกคิ้วด้วยความสงสัย  

 

 

เฉิงเจวี้ยนเปิดประตูรถลงไป เดินตรงไปสองก้าว  

 

 

ขณะนี้เวลาห้าโมงกว่า ดวงอาทิตย์ยังไม่ลับขอบฟ้า ทว่าแสงจากดวงอาทิตย์สาดส่องมาที่ร่างอันสูงโปร่งของเขาขณะที่หลังตกกระทบกับลำแสง เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ก็เห็นหน้าตาของเขาชัดเจนยิ่งขึ้น  

 

 

แม้ว่าสองสามวันมานี้เถียนเซียวเซียวกับวังจือเฟิงจะเห็นใบหน้าที่งดงามของฉินหร่านจนชินตาแล้ว ทว่าก็ยังทึ่งกับหน้าตาและเสน่ห์อันน่าดึงดูดของคนที่เดินเข้ามา  

 

 

“วันนี้ช้าไปกี่นาที” เฉิงเจวี้ยนดึงมือฉินหร่านอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง พลางประครองฝ่ามือไว้ แต่ไม่ได้มองเธอ พลางใช้สายตามองเถียนเซียวเซียวและวังจือเฟิง ถามด้วยความสุภาพ “ทั้งสองคนจะไปไหน ต้องให้ไปส่งหรือเปล่า?”  

 

 

ตั้งแต่เด็กที่คลุกคลีอยู่ในวงการบันเทิง เถียนเซียวเซียวจึงรู้ท่าทีดี เธอหยิบแว่นตาดำ พลางยิ้ม “ไม่ต้องค่ะ เดี๋ยวมีคนมารับฉันกับวังจือเฟิงค่ะ”  

 

 

ทั้งสองฝ่ายบอกลากันอย่างสุภาพ  

 

 

เมื่อรอรถคันนั้นจากไป เถียนเซียวเซียวจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก  

 

 

วังจือเฟิงไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ดูเหมือนว่าเขาคิดอะไรขึ้นมาได้ “จริงสิ ปีนี้รายชื่อคนที่สอบได้ที่หนึ่งระดับประเทศสาขาวิทย์คณิตคือฉินหร่านนี่! ทั้งสองมีชื่อเหมือนกัน! บังเอิญจริงๆ!”  

 

 

ชื่อของคนที่สอบได้อันดับหนึ่งระดับประเทศกระจายไปทั่ว แต่ไม่มีสื่อไหนกล้าลงรูปสักช่อง ทั้งไม่มีสื่อช่องไหนได้สัมภาษณ์เธอ  

 

 

เพียงให้สัมภาษณ์กับครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับเธอไม่กี่ประโยค ทว่าก็เป็นบทความบรรยาย ไม่มีสื่อช่องไหนกล้าปล่อยรูป  

 

 

ในโลกออนไลน์ก็เสิร์ชไม่เจอข่าวคราวใดๆ ของเธอ เพียงรู้ว่าเธอเป็นคนเมืองหลวง และเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง  

 

 

ผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่งของประเทศปีนี้แตกต่างจากที่ผ่านมาอย่างมาก ดังนั้นทุกคนล้วนอยากขุดคุ้ยเธอ หลังจากนั้นถึงมีข่าวลือออกมาว่า ผู้ที่ได้อันดับหนึ่งของประเทศเป็นถึงผู้ทรงอิทธิพล ไม่อาจปล่อยข้อมูลให้รั่วไหลได้  

 

 

ชาวเน็ตถึงเข้าใจว่า น่าจะเป็นคนใหญ่คนโตจริงๆ จึงไม่คิดวุ่นวายอีก  

 

 

แต่ก็มีกลุ่มคนจำนวนมากเมื่อถึงสอบปลายภาคก็ต่างกราบไหวปรมาจารย์ฉิน  

 

 

“ชื่อเดียวกันเฉยๆ มั้ง” เถียนเซียวเซียวไม่ค่อยสนใจคนอื่นนัก นักเรียนส่วนใหญ่ที่เรียนไวโอลินก็มาจากสายศิลปศาสตร์  

 

 

ผู้จัดการของเธอเพิ่งขับรถมาถึง เถียนเซียวเซียวหันมาโบกมือให้วังจือเฟิงก่อนเดินขึ้นรถ  

 

 

วังจือเฟิงยืนอยู่ที่เดิมอยู่ครู่ใหญ่พลางพึมพำกับตัวเอง “บังเอิญจริงๆ”  

 

 

ทั้งแซ่กับชื่อก็ไม่ต่างกันเลย  

 

 

**  

 

 

ในรถเฉิงเจวี้ยน  

 

 

“ตอนเย็นฉันจะกลับไปกินข้าวที่บ้านเดิม” เขานั่งอยู่ตำแหน่งคนขับ รอฉินหร่านคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย ก่อนออกรถ “ส่งเธอกลับบ้านก่อนนะ”  

 

 

“อืม” ฉินหร่านเท้าคาง คุยแชทกับหลินซือหรานอย่างเอื่อยเฉื่อย  

 

 

หลินซือหรานก็เลือกมหาวิทยาลัยเมืองหลวง คะแนนของเธอไม่มีปัญหาอะไรมากกับสอบเข้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวง พรุ่งนี้เธอกับทางบ้านเตรียมตัวเดินทางมายังเมืองหลวง หนึ่งเพื่อมาหาฉินหร่าน สองเพื่อเข้าร่วมพิธีไหว้ครูของฉินหร่าน  

 

 

เฉิงเจวี้ยนขับรถกลับมาที่ถิงหลานก่อนตรงไปยังบ้านสกุลเฉิงในเมืองหลวง  

 

 

ถนนเส้นนี้รถติดเล็กน้อย  

 

 

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมงกว่าเวลาประมาณเกือบทุ่มเขาถึงเดินทางมาถึงบ้านสกุลเฉิง  

 

 

ณ บ้านสกุลเฉิง  

 

 

เฉิงเวินหรูกำลังสนทนาอยู่กับเลขาหลี่ สองมือของเธอกอดอก ยืนอยู่บนระเบียงด้านบนมองไปยังภูเขาปลอมอีกฝั่ง พลางมุ่นหัวคิ้ว “มั่นใจรึ?”  

 

 

“ที่งานประมูลมีเพียงดอกไม้จีนขวดเดียวเท่านั้นครับ” เลขาหลี่ขมวดคิ้ว “ส่วนเรื่องคนขาย ผมไม่เจอข้อมูลอะไรเลย แต่ว่า…ดูเหมือนว่าคุณชายใหญ่กำลังตามหาโอวหยางเวยครับ”  

 

 

“ให้เขาหาไปเถอะ” เฉิงเวินหรูโบกมืออย่างไม่สนใจ “ขอแค่หาดอกไม้จีนได้ ก็มั่นใจได้ว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับพ่อฉัน”  

 

 

เลขาหลี่พยักหน้า  

 

 

ขณะทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ตรงบริเวณทางเดินภูเขาปลอมฝั่งนั้นก็มีร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน ขณะที่ด้านข้างมีเสียงคนสองคนพูดขึ้นว่า “นายน้อยสาม”  

 

 

เป็นเฉิงเจวี้ยน  

 

 

เฉิงเวินหรูหยุดพูด ก่อนก้มหน้าลง “ถ้านายไม่กลับมาอีก พี่ชายใหญ่คงพูดกรอกหูพ่อเรื่องปีที่แล้วอีกแน่”  

 

 

เฉิงเจวี้ยนไม่ได้สนใจ ตอบด้วยท่าทีเกียจคร้านเล็กน้อยว่า “ให้เขาพูดไป”  

 

 

“แล้ว แม่สาวน้อยของเธอคนนั้นไม่คิดจะมาหาฉันบ้างเลยเหรอ?” เฉิงเวินหรูตามเขาไปที่บ้านใหญ่ พูดด้วยน้ำเสียงติดตลก “ฉันเตรียมของขวัญให้แล้วนะ”  

 

 

แม้เธอจะมีอายุสามสิบกว่าแล้ว แต่ก็ดูแลตัวเองอย่างดี หางตาของเธอไม่มีแม้แต่ริ้วรอย  

 

 

“ช่วงนี้เธอสบายดี” เฉิงเจวี้ยนวางมือบนท้ายทอย ใบหน้ายิ้มแย้มอย่างขอไปที “พอดีมะรืนนี้เพื่อนของเธอจะมาหา”  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+