เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ 214 ตัวตนที่ซ่อนเร้น แหย่บอสใหญ่

Now you are reading เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ Chapter 214 ตัวตนที่ซ่อนเร้น แหย่บอสใหญ่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ซือลี่หมิงดูรายละเอียดที่ขยายใหญ่บนหน้าจอ ถือโทรศัพท์แนบหู “คุณเฉิงสุ่ย ไม่ผิดแน่ มีสัญลักษณ์อยู่บนนั้น”

 

 

เฉิงสุ่ยเหลือบมองเฉิงเจวี้ยนที่นั่งอยู่ในห้องพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถือโทรศัพท์ออกไปด้านนอก ลดเสียงลง“ตอนนี้นายท่านกำลังเจรจากับตระกูลมาสอยู่ นายประมูลไปก่อน”

 

 

ซือลี่หมิงคุยกับเฉิงสุ่ยไปไม่กี่คำก็วางสาย

 

 

“คุณหนูฉิน คุณว่าหุ่นยนต์นั่นดูคุ้นๆ ไหม?” เฉิงมู่ลืมเรื่องที่เขาโดนกระทบเทือนจิตใจตลอดสองวันไปชั่วขณะ เอียงหน้าถามฉินหร่าน

 

 

เฉิงมู่ไม่ได้สังเกตเสี่ยวเอ้อร์ที่อยู่ที่บ้านกู้ซีฉือโดยละเอียด เขาจึงไม่รู้ว่าบนข้อมือของเสี่ยวเอ้อร์มีสัญลักษณ์ดอกป๊อปปี้สีแดงหรือไม่

 

 

ฉินหร่านก้มหน้าเลื่อนดูโทรศัพท์ พอได้ยินเสียงเฉิงมู่ เธอก็ลืมตาเล็กน้อยและเลิกคิ้ว “ไม่”

 

 

ในที่สุดซือลี่หมิงก็ประมูลหุ่นยนต์ตัวนั้นมาได้

 

 

เขาไม่มีเงินสดอยู่ในมือและในบัตรก็มีเงินไม่พอ ดังนั้นเขาจึงให้ช่องทางการติดต่อนายพลฮอลล์ไว้ ทันทีที่คนในสถานประมูลได้ยินซือลี่หมิงแสดงสถานะของตัวเอง ก็ไม่ได้ซักไซ้ว่าเขามีเงินจ่ายหรือไม่ แค่บอกว่าอีกสองวันจะส่งกลับไป

 

 

หลังจากจัดการขั้นตอนทั้งหมดเสร็จสิ้น ซือลี่หมิงก็อธิบายว่า “นั่นคือหุ่นยนต์EA3 อวิ๋นกวงกรุ๊ปเป็นผู้พัฒนาระบบอัจฉริยะชุดที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก หุ่นยนต์เป็นแกนหลักที่โลกภายนอกสามารถเข้าถึงได้ ดังนั้นอวิ๋นกวงกรุ๊ปจึงยืนหยัดอยู่ในด้านเทคโนโลยีได้อย่างมั่นคง และยังเป็นผู้คิดค้นระบบอัจฉริยะนี้ขึ้นมาเป็นรายแรกอีกด้วย”

 

 

เฉิงหั่วสนใจระบบอัจฉริยะนี้มานานมากแล้ว

 

 

ซือลี่หมิงเองก็ไม่คิดว่าการออกมาคราวนี้จะบังเอิญเจอเข้าพอดี

 

 

“ระบบอัจฉริยะ?” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เฉิงมู่ได้ยินคำคำนี้ แต่เขารู้สึกอยู่เสมอว่าระบบอัจฉริยะที่ซือลี่หมิงพูดถึงนั้นแตกต่างจากที่เขาคิดเอาไว้

 

 

ฉินหร่านยืนอยู่ข้างๆ ติดกระดุมหมวกอย่างเงียบๆ

 

 

เห็นได้ชัดว่าซือลี่หมิงรู้ข้อมูลภายในอยู่บ้าง พอเขาเหลือบมองโทรศัพท์ก็พบว่าหัวหน้าโจวส่งข้อความมา โดยให้พวกเขารีบกลับไปเพื่อเตรียมออกเดินทางล่วงหน้า

 

 

“ฉันเคยอยู่ที่หน่วยข่าวกรองมาสักพัก เคยเห็นข้อมูลของคุณเฉิงหั่วที่นั่นด้วย เมื่อยี่สิบปีที่แล้วเหมือนจะมีปล่องภูเขาไฟในประเทศ…” ซือลี่หมิงพูดถึงตรงนี้ก็ลดเสียงลง “ดูเหมือนว่าจะเป็นอารยธรรมขั้นสูง”

 

 

ฉินหร่านใช้มือหนุนศีรษะ เมื่อได้ยินทั้งสองกำลังพึมพำกันอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะเอนตัวพลางหรี่ตาลง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ขั้นสูงอะไรกัน ไปเถอะ”

 

 

ในสายตาเฉยเมยคู่นั้นแฝงไปด้วยความล้อเลียน

 

 

**

 

 

เมื่อพวกเขากลับไปถึง หัวหน้าโจวและคนอื่นๆ ก็ได้มารวมตัวกันหมดแล้ว

 

 

ขบวนรถก็จัดเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว

 

 

มีรถสีดำเพิ่มมาอีกสองคัน ทุกคนยืนกันเป็นสองแถว

 

 

หัวหน้าโจวถือกล่องสีดำไว้ในมือ

 

 

เมื่อเห็นพวกฉินหร่านกลับมาแล้ว คิ้วที่ขมวดก็คลายลง เขานำกล่องสีดำไปใส่ไว้ในรถฉินหร่านโดยตรงพลางพูดเสียงเข้ม “คุณฉิน พวกคุณรีบขึ้นรถเถอะ พวกเราจะแยกทางกันไป”

 

 

ฉินหร่านดูก็รู้แล้วว่าของที่หัวหน้าโจวใส่ไว้ในกล่องคือสินค้าที่พวกเขามารับในครั้งนี้

 

 

เธอพยักหน้าแต่ยังไม่ได้ขึ้นรถไปในทันที เพียงเหลือบมองไปทางซือลี่หมิง

 

 

ซือลี่หมิงพยักหน้าเข้าใจทันที

 

 

เฉิงมู่เคยบอกเขาแล้วว่า ไม่ว่าคุณฉินจะไปที่ไหน จะไม่เอาของอะไรไปก็ได้ แต่กระเป๋าเป้สีดำของเธอใบนั้นจะต้องเอาไปด้วย

 

 

“ซือลี่หมิง นี่เป็นช่วงเวลาเร่งด่วน พวกนายรีบไปกันก่อน” เมื่อหัวหน้าโจวเห็นซือลี่หมิงวกกลับมาจึงห้ามเขาไว้ “นายจะไปทำอะไร?”

 

 

“คุณฉินยังมีกระเป๋าเดินทาง ผมจะไปช่วยเธอถือ” เขาออกตัวอย่างรวดเร็ว เพิ่งจะพูดจบประโยคก็หายตัวไปแล้ว

 

 

หัวหน้าโจวยังห้ามไว้ไม่ทัน

 

 

รอยแผลเป็นของฮอลล์ที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งขยับเหมือนไม่สบอารมณ์ แต่ก็ยังกลั้นโมโหไว้โดยไม่พูดอะไร

 

 

เฉิงมู่เหลือบมองฮอลล์และหัวหน้าโจวอย่างเงียบๆ คอมพิวเตอร์ของฉินหร่านเครื่องนั้นมีความสำคัญมากแค่ไหน เขาอธิบายไปก็คงไร้ประโยชน์ คนต่ำต้อยอย่างเขาพูดไม่มีน้ำหนักอยู่แล้ว

 

 

ผ่านไปไม่กี่นาที ซือลี่หมิงก็ถือกระเป๋าเดินทางพร้อมกับกระเป๋าเป้ออกมา

 

 

“ผู้กองลั่ว นายพาพวกคุณฉินไปทางอ้อม” หัวหน้าโจวหันไปมองผู้กองลั่ว “พวกเราจะไปถนนเส้น26เพื่อล่อกระสุน ความปลอดภัยของคุณฉินมอบให้เป็นหน้าที่ของนาย”

 

 

ผู้กองลั่วเป็นคนของทีมวันแห่งฝ่ายยุติธรรม ในบรรดาคนกลุ่มนี้เขาแข็งแกร่งที่สุด ทางที่ดีที่สุดควรส่งเขาไปคุ้มครองฉินหร่าน

 

 

**

 

 

กลุ่มทหารแยกออกเป็นสองกลุ่ม

 

 

หัวหน้าโจวจะเดินทางไปตามเส้นทางก่อนหน้านี้โดยให้รถขบวนใหญ่ขับไปตามทางที่พวกเขามา

 

 

ทางด้านฉินหร่านมีรถเพียงแค่สองคันและถอดธงดำออก คันแรกมีพวกฉินหร่านสามคน ส่วนอีกคันเป็นผู้กองลั่วกับคนของฝ่ายยุติธรรมสี่คน

 

 

ฉินหร่านนั่งเบาะหลัง

 

 

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นสายจากเฉิงเจวี้ยน ดูเหมือนว่าเขาเพิ่งจะเลิกยุ่งจากงาน น้ำเสียงฟังดูเหนื่อยล้า “ออกเดินทางแล้วเหรอ?”

 

 

“อือ” ฉินหร่านวางมือบนกระจกรถ เธอถอดเสื้อแจ็คเกตขนเป็ดไว้ข้างๆ นิ้วเรียวเคาะกระจกโดยไม่รู้ตัว “เสี่ยวซือบอกว่าน่าจะถึงพรุ่งนี้เช้า”

 

 

ถ้าไม่ไปทางลัด ขับรถสิบสองชั่วโมงกว่าจะถึง 

 

 

แต่ถ้าไปทางลัดก็จะถึงช่วงฟ้าสาง

 

 

เฉิงเจวี้ยนกำลังเดินออกไปข้างนอก เขาก้มหน้าติดกระดุมเสื้อโค้ตพลางเลิกคิ้ว “เที่ยวให้สนุก ถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็อย่าลงไม้ลงมือ”

 

 

เธอมักจะประมาทเวลามีเรื่องชกต่อย

 

 

เฉิงเจวี้ยนยังจำตอนที่มือขวาของเธอได้รับบาดเจ็บครั้งนั้นได้

 

 

เมื่อได้ยินที่เขาพูด ฉินหร่านก็เงียบไปพักหนึ่งและไม่ตอบในทันที

 

 

เฉิงเจวี้ยนอดทนรอ

 

 

หลังจากนั้นไม่นาน ฉินหร่านก็ร้อง “อ๊ะ” ขึ้นมาเหมือนกำลังหงุดหงิด แต่ยังพยักหน้าตอบรับ “เข้าใจแล้ว”

 

 

น้ำเสียงฟังดูไร้เรี่ยวแรง

 

 

ทั้งสองคุยกันได้ไม่กี่ประโยค เฉิงเจวี้ยนก็วางสายไปหลังจากที่เฉิงสุ่ยก็เข้ามาเรียกเขา

 

 

ฉินหร่านก้มหน้ามองดูโทรศัพท์

 

 

เฉิงมู่ที่นั่งอยู่ตำแหน่งข้างคนขับก็ได้รับสายจากเฉิงเจวี้ยนเช่นกัน

 

 

ห้าโมงเย็น

 

 

พวกเขาผ่านเขตชายแดนเข้าสู่ดินแดนภายในรัฐ M เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

 

เมื่อกลุ่มผู้กองลั่วเห็นว่าการเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น ก็ถอนหายใจเล็กน้อย

 

 

พระอาทิตย์กำลังตกดิน ซือลี่หมิงจอดรถพักผ่อน 

 

 

คราวนี้ไม่มีรถขบวนใหญ่ เฉิงมู่เองก็ได้รับคำสั่งจากเฉิงเจวี้ยนแล้ว พวกเขาจึงไม่ได้รีบร้อนอะไรขนาดนั้น เขาจุดไฟและดึงตะแกรงปิ้งย่างออกจากกระเป๋าเดินทาง

 

 

ผู้กองลั่วและอีกสี่คนก็หยิบขนมปังกับขวดน้ำออกมาจากท้ายรถ เห็นเฉิงมู่กับซือลี่หมิงหยิบเนื้อที่พ่อครัวของคฤหาสน์เตรียมไว้ให้พวกเขาออกมาย่างด้วยความแพรวพราว…

 

 

ฉินหร่านคลำกระเป๋ากางเกงก็พบว่าไม่มีทั้งลูกอมไม่มีทั้งบุหรี่

 

 

ผ่านไปได้สักพักหนึ่ง ก็เห็นเธอนั่งไขว่ห้างคาบใบหญ้าอย่างเอ้อระเหยลอยชายอยู่บนม้านั่งเล็กๆ พลางย่างเนื้อไปด้วย

 

 

“ผู้กองลั่ว” ในที่สุดคนที่อยู่ด้านหลังผู้กองลั่วก็ทนไม่ไหว แอบบ่นขึ้นมาว่า “พวกเขามาเที่ยวกันจริงๆ ใช่ไหม บนรถยังมีของของพวกเรา…”

 

 

ผู้กองลั่วเองก็ไม่สบอารมณ์ แต่ไม่ได้พูดอะไร เขาแค่ลดเสียงพูด “ไม่ต้องพูดแล้ว”

 

 

ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปคนเหล่านี้ก็ไม่ได้เคารพฉินหร่านมากมายอะไรขนาดนั้นแล้ว

 

 

รอบๆ ยังมีหิมะที่ยังไม่ละลาย

 

 

บรรยากาศฟังดูเงียบมาก มีแค่เสียงย่างเนื้อที่อยู่ในมือของพวกฉินหร่านเท่านั้น

 

 

เงียบมากจนกระทั่งเฉิงมู่รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ

 

 

เขาเงยหน้ามองไปรอบๆ ทันที จากนั้นก็เดินไปหาผู้กองลั่ว “มีการดักซุ่ม?”

 

 

ผู้กองลั่วโยนขนมปัง สีหน้าเข้มขึ้น “ขึ้นรถก่อน! พวกมันไม่ได้ไปถนนเส้น26! พวกเราโดนหลอกแล้ว!”

 

 

แต่ก็สายเกินไปแล้ว ไฟหน้าส่องจนแสบตา เสียงเบรกรถแหลมบาดหู มีรถบรรทุกขนาดกลางจอดอยู่คันหนึ่ง

 

 

กลุ่มทหารรับจ้างที่แทบจะได้กลิ่นกระหายเลือดไปทั้งตัวกระโดดลงจากรถ

 

 

ในมือยังถืออาวุธสงครามทุกรูปแบบ

 

 

“คุณหนูฉิน!” เมื่อเห็นฉินหร่านยังคงนั่งย่างเนื้อนิ่งๆ อยู่ข้างกองไฟเหมือนคนโง่ พวกผู้กองลั่วก็อดขึ้นเสียงไม่ได้

 

 

ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างผู้กองลั่วก่นด่าเสียงต่ำ “อยากตายนักใช่ไหม?”

 

 

ตอนนี้ยังจะมองเนื้อย่างของตัวเองอยู่ได้?

 

 

ทหารรับจ้างกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มีคนกว่าสามสิบคน เกมนี้ไม่จำเป็นต้องสู้ก็ตัดสินแพ้ชนะได้แล้ว

 

 

หัวหน้าทหารรับจ้างไม่ได้รีบร้อน เขาเดินเข้ามาอย่างช้าๆ ราวกับว่าของอยู่ในกระเป๋าหมดแล้ว

 

 

เมื่อเห็นว่าฉินหร่านยังคงก้มหน้า จริงจังอยู่กับการย่างเนื้อ เขาก็อดยิ้มหยอกไม่ได้

 

 

เขายกเท้าเตะตะแกรงปิ้งย่างคว่ำ

 

 

มือฉินหร่านที่กำลังตั้งใจย่างเนื้อชะงัก เธอจ้องเนื้อย่างที่จมอยู่ในขี้เถ้าพลางหรี่ตาลง เนื้อที่เธออุตส่าห์ย่างด้วยความลำบากจนถึงตอนนี้ไม่มีแล้ว

 

 

เฉิงเจวี้ยนบอกเธอว่าถ้าไม่มีอะไรอย่าลงไม้ลงมือ

 

 

ตอนนี้ ไม่มี เนื้อ กิน แล้ว

 

 

เธอหลุบตาลง แสงอันชั่วร้ายและเย็นชากำลังก่อตัวขึ้นในเบื้องลึกของดวงตา เลือดกำลังพลุ่งพล่าน เธอก้มหน้ามองเนื้อชิ้นนั้นอยู่เป็นเวลานาน

 

 

ปีศาจร้ายที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของร่างกายเหมือนโดนเจาะเป็นช่องโหว่จนระเบิดออกมา “ตูม”

 

 

“คุณหนูฉิน” ผู้กองลั่วเดินเข้ามา “ไม่ต้องนั่งย่างเนื้อแล้ว ขึ้นรถก่อน!”

 

 

คนของฝ่ายยุติธรรมสี่คน สู้แบบหนึ่งต่อสี่ได้ไม่มีปัญหา อย่างน้อยก็พอจะยื้อเวลาได้ไปอีกไม่กี่นาที

 

 

ผู้กองลั่วและคนอื่นๆ ต่างก็รู้ดีว่านี่จะต้องเป็นแผนของศัตรูอย่างแน่นอน พวกมันใช้ถนนเส้น26มาเป็นฉากบังหน้า

 

 

สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่สินค้า แต่เป็นความปลอดภัยของฉินหร่าน

 

 

สถานการณ์แบบนี้ฉินหร่านดูเหมือนจะยังไม่รู้ตัว เขาอยากด่าคนซะจริงๆ!

 

 

ในที่สุดฉินหร่านก็ลุกขึ้นยืนภายใต้การจับจ้องของทุกคน เธอยื่นมือปัดขี้เถ้าบนเนื้อย่าง

 

 

จากนั้นเงยหน้ามองไปยังกลุ่มทหารรับจ้าง หญ้าในปากเธอสั่นเล็กน้อย เธอยื่นมือเอาหญ้าออก เอียงศีรษะพลางยิ้มอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว “เมื่อกี้ ใครเตะตะแกรงเนื้อย่างฉัน?”

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ 214 ตัวตนที่ซ่อนเร้น แหย่บอสใหญ่

Now you are reading เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ Chapter 214 ตัวตนที่ซ่อนเร้น แหย่บอสใหญ่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ซือลี่หมิงดูรายละเอียดที่ขยายใหญ่บนหน้าจอ ถือโทรศัพท์แนบหู “คุณเฉิงสุ่ย ไม่ผิดแน่ มีสัญลักษณ์อยู่บนนั้น”

 

 

เฉิงสุ่ยเหลือบมองเฉิงเจวี้ยนที่นั่งอยู่ในห้องพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถือโทรศัพท์ออกไปด้านนอก ลดเสียงลง“ตอนนี้นายท่านกำลังเจรจากับตระกูลมาสอยู่ นายประมูลไปก่อน”

 

 

ซือลี่หมิงคุยกับเฉิงสุ่ยไปไม่กี่คำก็วางสาย

 

 

“คุณหนูฉิน คุณว่าหุ่นยนต์นั่นดูคุ้นๆ ไหม?” เฉิงมู่ลืมเรื่องที่เขาโดนกระทบเทือนจิตใจตลอดสองวันไปชั่วขณะ เอียงหน้าถามฉินหร่าน

 

 

เฉิงมู่ไม่ได้สังเกตเสี่ยวเอ้อร์ที่อยู่ที่บ้านกู้ซีฉือโดยละเอียด เขาจึงไม่รู้ว่าบนข้อมือของเสี่ยวเอ้อร์มีสัญลักษณ์ดอกป๊อปปี้สีแดงหรือไม่

 

 

ฉินหร่านก้มหน้าเลื่อนดูโทรศัพท์ พอได้ยินเสียงเฉิงมู่ เธอก็ลืมตาเล็กน้อยและเลิกคิ้ว “ไม่”

 

 

ในที่สุดซือลี่หมิงก็ประมูลหุ่นยนต์ตัวนั้นมาได้

 

 

เขาไม่มีเงินสดอยู่ในมือและในบัตรก็มีเงินไม่พอ ดังนั้นเขาจึงให้ช่องทางการติดต่อนายพลฮอลล์ไว้ ทันทีที่คนในสถานประมูลได้ยินซือลี่หมิงแสดงสถานะของตัวเอง ก็ไม่ได้ซักไซ้ว่าเขามีเงินจ่ายหรือไม่ แค่บอกว่าอีกสองวันจะส่งกลับไป

 

 

หลังจากจัดการขั้นตอนทั้งหมดเสร็จสิ้น ซือลี่หมิงก็อธิบายว่า “นั่นคือหุ่นยนต์EA3 อวิ๋นกวงกรุ๊ปเป็นผู้พัฒนาระบบอัจฉริยะชุดที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก หุ่นยนต์เป็นแกนหลักที่โลกภายนอกสามารถเข้าถึงได้ ดังนั้นอวิ๋นกวงกรุ๊ปจึงยืนหยัดอยู่ในด้านเทคโนโลยีได้อย่างมั่นคง และยังเป็นผู้คิดค้นระบบอัจฉริยะนี้ขึ้นมาเป็นรายแรกอีกด้วย”

 

 

เฉิงหั่วสนใจระบบอัจฉริยะนี้มานานมากแล้ว

 

 

ซือลี่หมิงเองก็ไม่คิดว่าการออกมาคราวนี้จะบังเอิญเจอเข้าพอดี

 

 

“ระบบอัจฉริยะ?” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เฉิงมู่ได้ยินคำคำนี้ แต่เขารู้สึกอยู่เสมอว่าระบบอัจฉริยะที่ซือลี่หมิงพูดถึงนั้นแตกต่างจากที่เขาคิดเอาไว้

 

 

ฉินหร่านยืนอยู่ข้างๆ ติดกระดุมหมวกอย่างเงียบๆ

 

 

เห็นได้ชัดว่าซือลี่หมิงรู้ข้อมูลภายในอยู่บ้าง พอเขาเหลือบมองโทรศัพท์ก็พบว่าหัวหน้าโจวส่งข้อความมา โดยให้พวกเขารีบกลับไปเพื่อเตรียมออกเดินทางล่วงหน้า

 

 

“ฉันเคยอยู่ที่หน่วยข่าวกรองมาสักพัก เคยเห็นข้อมูลของคุณเฉิงหั่วที่นั่นด้วย เมื่อยี่สิบปีที่แล้วเหมือนจะมีปล่องภูเขาไฟในประเทศ…” ซือลี่หมิงพูดถึงตรงนี้ก็ลดเสียงลง “ดูเหมือนว่าจะเป็นอารยธรรมขั้นสูง”

 

 

ฉินหร่านใช้มือหนุนศีรษะ เมื่อได้ยินทั้งสองกำลังพึมพำกันอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะเอนตัวพลางหรี่ตาลง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ขั้นสูงอะไรกัน ไปเถอะ”

 

 

ในสายตาเฉยเมยคู่นั้นแฝงไปด้วยความล้อเลียน

 

 

**

 

 

เมื่อพวกเขากลับไปถึง หัวหน้าโจวและคนอื่นๆ ก็ได้มารวมตัวกันหมดแล้ว

 

 

ขบวนรถก็จัดเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว

 

 

มีรถสีดำเพิ่มมาอีกสองคัน ทุกคนยืนกันเป็นสองแถว

 

 

หัวหน้าโจวถือกล่องสีดำไว้ในมือ

 

 

เมื่อเห็นพวกฉินหร่านกลับมาแล้ว คิ้วที่ขมวดก็คลายลง เขานำกล่องสีดำไปใส่ไว้ในรถฉินหร่านโดยตรงพลางพูดเสียงเข้ม “คุณฉิน พวกคุณรีบขึ้นรถเถอะ พวกเราจะแยกทางกันไป”

 

 

ฉินหร่านดูก็รู้แล้วว่าของที่หัวหน้าโจวใส่ไว้ในกล่องคือสินค้าที่พวกเขามารับในครั้งนี้

 

 

เธอพยักหน้าแต่ยังไม่ได้ขึ้นรถไปในทันที เพียงเหลือบมองไปทางซือลี่หมิง

 

 

ซือลี่หมิงพยักหน้าเข้าใจทันที

 

 

เฉิงมู่เคยบอกเขาแล้วว่า ไม่ว่าคุณฉินจะไปที่ไหน จะไม่เอาของอะไรไปก็ได้ แต่กระเป๋าเป้สีดำของเธอใบนั้นจะต้องเอาไปด้วย

 

 

“ซือลี่หมิง นี่เป็นช่วงเวลาเร่งด่วน พวกนายรีบไปกันก่อน” เมื่อหัวหน้าโจวเห็นซือลี่หมิงวกกลับมาจึงห้ามเขาไว้ “นายจะไปทำอะไร?”

 

 

“คุณฉินยังมีกระเป๋าเดินทาง ผมจะไปช่วยเธอถือ” เขาออกตัวอย่างรวดเร็ว เพิ่งจะพูดจบประโยคก็หายตัวไปแล้ว

 

 

หัวหน้าโจวยังห้ามไว้ไม่ทัน

 

 

รอยแผลเป็นของฮอลล์ที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งขยับเหมือนไม่สบอารมณ์ แต่ก็ยังกลั้นโมโหไว้โดยไม่พูดอะไร

 

 

เฉิงมู่เหลือบมองฮอลล์และหัวหน้าโจวอย่างเงียบๆ คอมพิวเตอร์ของฉินหร่านเครื่องนั้นมีความสำคัญมากแค่ไหน เขาอธิบายไปก็คงไร้ประโยชน์ คนต่ำต้อยอย่างเขาพูดไม่มีน้ำหนักอยู่แล้ว

 

 

ผ่านไปไม่กี่นาที ซือลี่หมิงก็ถือกระเป๋าเดินทางพร้อมกับกระเป๋าเป้ออกมา

 

 

“ผู้กองลั่ว นายพาพวกคุณฉินไปทางอ้อม” หัวหน้าโจวหันไปมองผู้กองลั่ว “พวกเราจะไปถนนเส้น26เพื่อล่อกระสุน ความปลอดภัยของคุณฉินมอบให้เป็นหน้าที่ของนาย”

 

 

ผู้กองลั่วเป็นคนของทีมวันแห่งฝ่ายยุติธรรม ในบรรดาคนกลุ่มนี้เขาแข็งแกร่งที่สุด ทางที่ดีที่สุดควรส่งเขาไปคุ้มครองฉินหร่าน

 

 

**

 

 

กลุ่มทหารแยกออกเป็นสองกลุ่ม

 

 

หัวหน้าโจวจะเดินทางไปตามเส้นทางก่อนหน้านี้โดยให้รถขบวนใหญ่ขับไปตามทางที่พวกเขามา

 

 

ทางด้านฉินหร่านมีรถเพียงแค่สองคันและถอดธงดำออก คันแรกมีพวกฉินหร่านสามคน ส่วนอีกคันเป็นผู้กองลั่วกับคนของฝ่ายยุติธรรมสี่คน

 

 

ฉินหร่านนั่งเบาะหลัง

 

 

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นสายจากเฉิงเจวี้ยน ดูเหมือนว่าเขาเพิ่งจะเลิกยุ่งจากงาน น้ำเสียงฟังดูเหนื่อยล้า “ออกเดินทางแล้วเหรอ?”

 

 

“อือ” ฉินหร่านวางมือบนกระจกรถ เธอถอดเสื้อแจ็คเกตขนเป็ดไว้ข้างๆ นิ้วเรียวเคาะกระจกโดยไม่รู้ตัว “เสี่ยวซือบอกว่าน่าจะถึงพรุ่งนี้เช้า”

 

 

ถ้าไม่ไปทางลัด ขับรถสิบสองชั่วโมงกว่าจะถึง 

 

 

แต่ถ้าไปทางลัดก็จะถึงช่วงฟ้าสาง

 

 

เฉิงเจวี้ยนกำลังเดินออกไปข้างนอก เขาก้มหน้าติดกระดุมเสื้อโค้ตพลางเลิกคิ้ว “เที่ยวให้สนุก ถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็อย่าลงไม้ลงมือ”

 

 

เธอมักจะประมาทเวลามีเรื่องชกต่อย

 

 

เฉิงเจวี้ยนยังจำตอนที่มือขวาของเธอได้รับบาดเจ็บครั้งนั้นได้

 

 

เมื่อได้ยินที่เขาพูด ฉินหร่านก็เงียบไปพักหนึ่งและไม่ตอบในทันที

 

 

เฉิงเจวี้ยนอดทนรอ

 

 

หลังจากนั้นไม่นาน ฉินหร่านก็ร้อง “อ๊ะ” ขึ้นมาเหมือนกำลังหงุดหงิด แต่ยังพยักหน้าตอบรับ “เข้าใจแล้ว”

 

 

น้ำเสียงฟังดูไร้เรี่ยวแรง

 

 

ทั้งสองคุยกันได้ไม่กี่ประโยค เฉิงเจวี้ยนก็วางสายไปหลังจากที่เฉิงสุ่ยก็เข้ามาเรียกเขา

 

 

ฉินหร่านก้มหน้ามองดูโทรศัพท์

 

 

เฉิงมู่ที่นั่งอยู่ตำแหน่งข้างคนขับก็ได้รับสายจากเฉิงเจวี้ยนเช่นกัน

 

 

ห้าโมงเย็น

 

 

พวกเขาผ่านเขตชายแดนเข้าสู่ดินแดนภายในรัฐ M เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

 

เมื่อกลุ่มผู้กองลั่วเห็นว่าการเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น ก็ถอนหายใจเล็กน้อย

 

 

พระอาทิตย์กำลังตกดิน ซือลี่หมิงจอดรถพักผ่อน 

 

 

คราวนี้ไม่มีรถขบวนใหญ่ เฉิงมู่เองก็ได้รับคำสั่งจากเฉิงเจวี้ยนแล้ว พวกเขาจึงไม่ได้รีบร้อนอะไรขนาดนั้น เขาจุดไฟและดึงตะแกรงปิ้งย่างออกจากกระเป๋าเดินทาง

 

 

ผู้กองลั่วและอีกสี่คนก็หยิบขนมปังกับขวดน้ำออกมาจากท้ายรถ เห็นเฉิงมู่กับซือลี่หมิงหยิบเนื้อที่พ่อครัวของคฤหาสน์เตรียมไว้ให้พวกเขาออกมาย่างด้วยความแพรวพราว…

 

 

ฉินหร่านคลำกระเป๋ากางเกงก็พบว่าไม่มีทั้งลูกอมไม่มีทั้งบุหรี่

 

 

ผ่านไปได้สักพักหนึ่ง ก็เห็นเธอนั่งไขว่ห้างคาบใบหญ้าอย่างเอ้อระเหยลอยชายอยู่บนม้านั่งเล็กๆ พลางย่างเนื้อไปด้วย

 

 

“ผู้กองลั่ว” ในที่สุดคนที่อยู่ด้านหลังผู้กองลั่วก็ทนไม่ไหว แอบบ่นขึ้นมาว่า “พวกเขามาเที่ยวกันจริงๆ ใช่ไหม บนรถยังมีของของพวกเรา…”

 

 

ผู้กองลั่วเองก็ไม่สบอารมณ์ แต่ไม่ได้พูดอะไร เขาแค่ลดเสียงพูด “ไม่ต้องพูดแล้ว”

 

 

ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปคนเหล่านี้ก็ไม่ได้เคารพฉินหร่านมากมายอะไรขนาดนั้นแล้ว

 

 

รอบๆ ยังมีหิมะที่ยังไม่ละลาย

 

 

บรรยากาศฟังดูเงียบมาก มีแค่เสียงย่างเนื้อที่อยู่ในมือของพวกฉินหร่านเท่านั้น

 

 

เงียบมากจนกระทั่งเฉิงมู่รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ

 

 

เขาเงยหน้ามองไปรอบๆ ทันที จากนั้นก็เดินไปหาผู้กองลั่ว “มีการดักซุ่ม?”

 

 

ผู้กองลั่วโยนขนมปัง สีหน้าเข้มขึ้น “ขึ้นรถก่อน! พวกมันไม่ได้ไปถนนเส้น26! พวกเราโดนหลอกแล้ว!”

 

 

แต่ก็สายเกินไปแล้ว ไฟหน้าส่องจนแสบตา เสียงเบรกรถแหลมบาดหู มีรถบรรทุกขนาดกลางจอดอยู่คันหนึ่ง

 

 

กลุ่มทหารรับจ้างที่แทบจะได้กลิ่นกระหายเลือดไปทั้งตัวกระโดดลงจากรถ

 

 

ในมือยังถืออาวุธสงครามทุกรูปแบบ

 

 

“คุณหนูฉิน!” เมื่อเห็นฉินหร่านยังคงนั่งย่างเนื้อนิ่งๆ อยู่ข้างกองไฟเหมือนคนโง่ พวกผู้กองลั่วก็อดขึ้นเสียงไม่ได้

 

 

ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างผู้กองลั่วก่นด่าเสียงต่ำ “อยากตายนักใช่ไหม?”

 

 

ตอนนี้ยังจะมองเนื้อย่างของตัวเองอยู่ได้?

 

 

ทหารรับจ้างกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มีคนกว่าสามสิบคน เกมนี้ไม่จำเป็นต้องสู้ก็ตัดสินแพ้ชนะได้แล้ว

 

 

หัวหน้าทหารรับจ้างไม่ได้รีบร้อน เขาเดินเข้ามาอย่างช้าๆ ราวกับว่าของอยู่ในกระเป๋าหมดแล้ว

 

 

เมื่อเห็นว่าฉินหร่านยังคงก้มหน้า จริงจังอยู่กับการย่างเนื้อ เขาก็อดยิ้มหยอกไม่ได้

 

 

เขายกเท้าเตะตะแกรงปิ้งย่างคว่ำ

 

 

มือฉินหร่านที่กำลังตั้งใจย่างเนื้อชะงัก เธอจ้องเนื้อย่างที่จมอยู่ในขี้เถ้าพลางหรี่ตาลง เนื้อที่เธออุตส่าห์ย่างด้วยความลำบากจนถึงตอนนี้ไม่มีแล้ว

 

 

เฉิงเจวี้ยนบอกเธอว่าถ้าไม่มีอะไรอย่าลงไม้ลงมือ

 

 

ตอนนี้ ไม่มี เนื้อ กิน แล้ว

 

 

เธอหลุบตาลง แสงอันชั่วร้ายและเย็นชากำลังก่อตัวขึ้นในเบื้องลึกของดวงตา เลือดกำลังพลุ่งพล่าน เธอก้มหน้ามองเนื้อชิ้นนั้นอยู่เป็นเวลานาน

 

 

ปีศาจร้ายที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของร่างกายเหมือนโดนเจาะเป็นช่องโหว่จนระเบิดออกมา “ตูม”

 

 

“คุณหนูฉิน” ผู้กองลั่วเดินเข้ามา “ไม่ต้องนั่งย่างเนื้อแล้ว ขึ้นรถก่อน!”

 

 

คนของฝ่ายยุติธรรมสี่คน สู้แบบหนึ่งต่อสี่ได้ไม่มีปัญหา อย่างน้อยก็พอจะยื้อเวลาได้ไปอีกไม่กี่นาที

 

 

ผู้กองลั่วและคนอื่นๆ ต่างก็รู้ดีว่านี่จะต้องเป็นแผนของศัตรูอย่างแน่นอน พวกมันใช้ถนนเส้น26มาเป็นฉากบังหน้า

 

 

สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่สินค้า แต่เป็นความปลอดภัยของฉินหร่าน

 

 

สถานการณ์แบบนี้ฉินหร่านดูเหมือนจะยังไม่รู้ตัว เขาอยากด่าคนซะจริงๆ!

 

 

ในที่สุดฉินหร่านก็ลุกขึ้นยืนภายใต้การจับจ้องของทุกคน เธอยื่นมือปัดขี้เถ้าบนเนื้อย่าง

 

 

จากนั้นเงยหน้ามองไปยังกลุ่มทหารรับจ้าง หญ้าในปากเธอสั่นเล็กน้อย เธอยื่นมือเอาหญ้าออก เอียงศีรษะพลางยิ้มอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว “เมื่อกี้ ใครเตะตะแกรงเนื้อย่างฉัน?”

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+