เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ 259 ฉินหร่านใช้มือขวาเขียนข้อความบรรทัดหนึ่งต่อหน้าเธอ

Now you are reading เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ Chapter 259 ฉินหร่านใช้มือขวาเขียนข้อความบรรทัดหนึ่งต่อหน้าเธอ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

บุกเข้ามา?

 

 

คำพูดของยามทำให้หลินฉีตื่นตระหนกยิ่ง

 

 

ยุคสมัยนี้แล้วยังมีคนบุกเขามาอีกหรือ? แล้วทำไมถึงบุกเข้ามาได้?

 

 

แท้จริงแล้วเป็นใครกันแน่?

 

 

หลินฉีไม่รู้ว่าเหตุใดในใจถึงอยู่ไม่สุข เขาวางตะเกียบ ยืนขึ้นออกไปดูด้านนอกว่าเกิดอะไรขึ้น

 

 

ประตูใหญ่มีเสียงคนถีบเข้ามาดัง “ปัง”

 

 

จากนั้นคนกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาเป็นแถวยาว คนพวกนี้มีใบหน้าดุร้าย ราวกับว่าร่างกายแต่ละคนมีกลิ่นอายของการนองเลือด ทั้งยังมีอาวุธอยู่ที่เอว คนรับใช้ที่ใกล้ประตูแต่ละคนเดินโซเซถอยหลังไปหลายก้าวทันที พลางมองคนแปลกหน้ากลุ่มนั้นที่พรวดพราดเข้ามาอย่างหวาดผวา!

 

 

คนเหล่านี้แบ่งออกเป็นสองแถวและต่างยืนหลังตรง จากประตูทางเข้าถึงห้องรับรอง จากนั้นมีร่างของคนกลุ่มหนึ่งจากประตูทางเข้าด้านหลังเดินมาอย่างไม่รีบร้อน

 

 

ลู่จ้าวอิ่งและผู้บัญชาการเฉียนเดินนำ ด้านหลังยังมีเฉิงมู่และซือลี่หมิงสองคน

 

 

ท้ายสุดเป็นเจียงหุยที่ดูเหมือนแค่มาดูอะไรสนุกๆ เท่านั้น

 

 

ก่อนคิดขึ้นมาได้ว่าปีที่แล้วก็เคยเจอเหตุการณ์เดียวกันกับตอนที่เฉินซูหลานป่วยหนัก

 

 

โดยเฉพาะสีหน้าของลู่จ้าวอิ่งและหลินฉีที่จำได้อย่างชัดเจน

 

 

“คุณชายท่านนี้ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรหรือครับ?” เขาวางตะเกียบ เดินหน้าสองก้าว ใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้มอบอุ่นเหมือนอย่างเคย

 

 

เมื่อสายตาสบกับเจียงหุยที่อยู่ด้านหลัง ก็ยิ่งช็อกกว่าเดิม

 

 

“เจียง…” หลินฉีอ้าปากค้าง ไม่กล้ามองข้ามคนพวกนี้ เดิมจะเรียกเจียงหุย

 

 

ทว่าคำแรกไม่ทันออกจากปาก ก็ถูกเจียงหุยขัดไว้ “ไม่ต้องสนใจฉัน ฉันแค่ตามมาดูเท่านั้น”

 

 

เขาโบกมือ จากนั้นเลิกคิ้วมองลู่จ้าวอิ่ง

 

 

ใบหน้าเย็นชาของลู่จ้าวอิ่ง ล้วนไม่เหลือคราบของความเป็นมิตร เขากวาดตามองคนบนโต๊ะ จากนั้นหยุดอยู่ที่เมิ่งซินหราน “เอาตัวไป!”

 

 

เขาไม่พูดให้มากความ เพียงออกคำสั่งโดยตรง

 

 

บอดีการ์ดกลุ่มนั้นตรงไปจับเมิ่งซินหรานที่ไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

 

 

หลินฉี ฉินอวี่ และหนิงฉิงที่อยู่บนโต๊ะอาหารล้วนตกใจจนพูดไม่ออก พวกเขายืนขึ้น สีหน้าของหลินฉีเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ “ซินหรานไปฆ่าใคร สิ่งที่พวกแกทำมันผิดกฎหมายชัดๆ!”

 

 

สกุลเมิ่งมอบหมายให้หลินฉีดูแลเมิ่งซินหราน แล้วหลินฉีจะปล่อยให้เธอโดนจับไปได้อย่างไร?

 

 

ลู่จ้าวอิ่งไม่สนใจหลินฉีแม้แต่น้อย คนระดับนี้ไม่มีอะไรที่ต้องสนใจ

 

 

พวกเขานำตัวเมิ่งซินหรานที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ออกไป

 

 

“หัวหน้าหลิว!” หลินฉีมองชายคนหนึ่งที่อยู่หน้าสุด เป็นคนเดียวที่เขารู้จักท่ามกลางคนกลุ่มนี้

 

 

หัวหน้าหลิวไม่พูดอะไร เท้าของเขาหยุดชะงักลงมองหลินฉีแวบหนึ่ง จากนั้นกดเสียงต่ำพูดอย่างไม่แยแสว่า “หัวหน้าหลิน พวกเราจับคุณหนูเมิ่งตามกฎหมายทุกประการ ส่วนสาเหตุละก็ ถ้าคุณไม่อยากให้ความมั่นคงของสกุลหลินหายไป ทางที่ดีคืออย่าสงสัยให้มากและยุ่งให้น้อยจะดีที่สุด”

 

 

หลินฉีตามออกไป เห็นเพียงลู่จ้าวอิ่งที่อยู่ท้ายรถ

 

 

ตาของเขาโกรธเป็นไฟ พลางกุมขมับ แท้จริงแล้วเมิ่งซินหรานไปหาเรื่องใครกันแน่?!

 

 

“พ่อคะ นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะ?” ฉินอวี่ก็ตามออกมา

 

 

หลินฉีส่ายหน้า โทรศัพท์หาบ้านสกุลเมิ่ง ระหว่างคิ้วเต็มไปด้วยความตึงเครียด “ตอนนี้พ่อก็ไม่รู้ ต้องโทรบอกสกุลเมิ่งก่อน”

 

 

สกุลเมิ่งมอบหมายให้เมิ่งซินหรานอยู่ที่บ้านสกุลหลิน ตอนนี้เกิดเรื่องขึ้น หลินฉีจะปิดบังสกุลเมิ่งได้อย่างไร

 

 

**

 

 

ณ โรงพยาบาล

 

 

ฉินหร่านนอนโรงพยาบาลเพื่อสังเกตอาการหนึ่งวัน พรุ่งนี้ถึงกลับบ้านได้

 

 

เฟิงโหลวเฉิงกับพานหมิงเย่ว์ล้วนอยู่ด้วย

 

 

ในห้องผู้ป่วย เฉียวเซิงกับหลินซือหรานกลัวว่าฉินหร่านอาจจะคิดอะไรฟุ้งซ่านจึงไม่ไปไหน พ่อบ้านเฉิงกลัวว่าคนพวกนี้จะไม่รู้เรื่องรู้ราว จึงพาหมอประจำตระกูลมาดูแลฉินหร่านด้วย

 

 

ทำให้ตอนนี้มีหมอประจำตระกูลดูแลอยู่ข้างฉินหร่าน

 

 

ถึงแม้ว่าเป็นผู้ป่วยVIP พื้นที่กว้างกว่าห้องผู้ป่วยทั่วไป ทว่าคนอยู่ด้วยกันเยอะแบบนี้ทำให้รู้สึกแออัดกันเล็กน้อย

 

 

“มือซ้าย?” เฟิงโหลวเฉิงไม่ได้นั่ง เพียงเปิดอ่านข้อมูลบาดเจ็บของเธอ จากนั้นมองแขนเฝือกมือซ้ายที่ถูกชน พลางรู้สึกเบาใจเล็กน้อย “เป็นความโชคดีในโชคร้าย ทำใจให้สงบเถอะ เรื่องอื่นไม่ต้องคิดมาก”

 

 

หัวคิ้วของเฟิงโหลวเฉิงตกลง ไอแห่งความชั่วร้ายปกคลุมใบหน้าของเขา

 

 

กล้าทำร้ายมือของฉินหร่าน ไม่ว่าเป็นใครหน้าไหน เขาจะให้อีกฝ่ายเข้าคุกขังลืมไปให้ได้

 

 

เฉียวเซิงไม่รู้ว่าเฟิงโหลวเฉิงคิดอะไรอยู่ เพียงได้ยินคำพูดของเฟิงโหลวเฉิง จึงสบตาอย่างไม่ตั้งใจ ฉินหร่านได้รับบาดเจ็บมือซ้าย ทำไมเป็นเรื่องโชคดีในโชคร้ายได้?

 

 

แม้แต่เรื่องสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็เข้าร่วมไม่ได้เเล้ว…

 

 

พานหมิงเย่ว์ยังคงไม่พูดอะไร เธอรอให้คนอื่นพูดจบ พลางคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดด้วยน้ำเสียงอันเบา “พวกนายออกไปก่อนแป๊บนึงได้ไหม?” ฉันมีเรื่องจะพูดกับเธอเป็นการส่วนตัวน่ะ”

 

 

เฟิงโหลวเฉิงมองแผลของฉินหร่าน ก่อนถอนหายใจด้วยความโล่งเบาๆ จากนั้นถึงมีอารมณ์ทำเรื่องอย่างอื่น พลางพยักหน้า หยิบโทรศัพท์โทรหาผู้บัญชาการเฉียน

 

 

เฉียวเซิงออกไปข้างนอก

 

 

พวกเขาเพิ่งเดินออกมา หลินซือหรานอยู่ที่ประตูก็เห็นหลินจิ่นเซวียนเดินออกมาจากลิฟต์

 

 

“คุณอาเฟิง” หลินจิ่นเซวียนกับเฟิงฉือมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทั้งยังเคยพบเฟิงโหลวเฉิงหลายครั้ง

 

 

แม้จะรู้จักฉินหร่านกับเฟิงโหลวเฉิงแต่ว่าตอนนี้เจอเฟิงโหลวเฉิงที่หน้าห้องฉินหร่านเขาจึงพูดอย่างมีมารยาทปนตกใจ

 

 

เฟิงโหลวเฉิงถือโทรศัพท์ มองหลินจิ่วเซวียนอยู่แวบหนึ่ง ก่อนผงกหัวเล็กน้อย จากนั้นก็คิดอะไรขึ้นมาได้ “เธอมาคนเดียวเหรอ?”

 

 

หลินจิ่วเซวียนเม้มปาก นึกถึงท่าทีของหนิงฉิงที่โต๊ะกินข้าว ทำให้ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาต้องพูดอย่างไร

 

 

หากบอกว่ามือของฉินอวี่ได้รับบาดเจ็บ หนิงฉิงคงรีบรุดมาก่อนละมั้ง?

 

 

เมื่อไม่ได้รับคำตอบ เฟิงโหลวเฉิงก็คาดเดาได้แล้ว ก่อนพูดด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง “เธอมาหาหรานหร่านสินะ รอแป๊บนึงก่อน หมิงเย่ว์คุยกับเธออยู่ข้างใน”

 

 

**

 

 

บ่ายวันนั้น หลินฉีไม่สามารถติดต่อกับสกุลเมิ่งในเมืองหลวงได้

 

 

เขาโทรหาหัวหน้าหลิวก็ไม่สามารถสอบถามข่าวคราวของเมิ่งซินหรานได้

 

 

ดูเหมือนฉากหน้าในอวิ๋นเฉิงมองไม่เห็นแม้แต่พายุกระหน่ำเลยแม้แต่น้อย ในใจของหลินฉีกระสับกระส่าย

 

 

วันที่หกเดือนหกของเช้าของวันนี้ เขาเพิ่งได้รับสายจากสกุลเมิ่งทางนั้น

 

 

เสียงของคุณเมิ่งฟังดูเหนื่อยล้ายิ่ง “พี่เขย สกุลเมิ่งต้องจบสิ้นแล้ว…”

 

 

ใบหน้าของหลินฉีตื่นตระหนก “เป็นไปได้อย่างไร? หรือว่าเพราะเรื่องของซินหราน?”

 

 

หลังจากคำพูดของหัวหน้าหลิวเมื่อวาน หลินฉีก็รับรู้ได้ว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา ในใจรู้สึกกังวลมาโดยตลอด ทำให้นอนไม่หลับทั้งคืน

 

 

“ฉันก็ไม่รู้ ได้ยินว่าเธอตกเป็นผู้สงสัยคดีลอบฆาตกรรมบุคคลสำคัญของอวิ๋นเฉิงคนหนึ่งโดยเจตนา เมื่อคืนนี้สกุลเมิ่งก็ถูกจับกุมไป ฉันอยู่เมืองหลวงไม่เจอใครเลย ไม่รู้ว่าเธอจะฆ่าใครกันแน่ ถ้าเกิดรู้ ก็พอยังมีโอกาสรอดอยู่…”

 

 

แม้ไม่เคยเห็นหน้าอีกฝ่าย แต่ก็ทำให้สกุลเมิ่งได้รับความตายได้ ทั้งชื่อแซ่ของคนที่เกี่ยวข้องล้วนไม่กล้าเปิดเผย คุณเมิ่งไม่รู้ว่าเมิ่งซินหรานตั้งใจฆ่าใครกันแน่!

 

 

“เจต…เจตนาฆ่า?” ในเวลานี้หลินฉีเพียงคิดถึงเรื่องเมื่อวานที่ฉินหร่านโดนรถชน

 

 

อีกทั้งลู่จ้าวอิ่ง เจียงหุย คนพวกนี้ล้วนเป็นคนรู้จักของฉินหร่าน

 

 

ในหัวของเขาจับประเด็นนี้ได้ ก่อนยืนขึ้นพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ถ้าเป็นแบบนี้ ฉันพอรู้แล้วว่าเธออยากฆ่าใคร”

 

 

หลินฉีอธิบายอย่างรวบรัดเรื่องฉินหร่านไม่กี่ประโยค

 

 

“ป้าจาง ป้าไปเรียกคุณนายลงมา” หลินฉีพูดกับคุณเมิ่งจบก็ตัดสายไป

 

 

ป้าจางขึ้นไปเรียกหนิงฉิง

 

 

เมื่อหนิงฉิงเดินลงมา ก็เพิ่งรับโทรศัพท์จากคุณเมิ่ง

 

 

น้ำเสียงของคุณเมิ่งในโทรศัพท์มีความอ่อนโยนและเป็นมิตร ทำให้หนิงฉิงรู้สึกไม่สบายใจ

 

 

ความจริงความสัมพันธ์ของหนิงฉิงกับสกุลเมิ่งนับว่าอึดอัดยิ่ง ทว่าเพราะเกี่ยวพันกับฉินอวี่ ไม่กี่เดือนมานี้สกุลเมิ่งกับหนิงฉิงจึงสนิทกันมากขึ้น

 

 

ฉินอวี่อยู่เมืองหลวงแทบจะหัวเดียวกระเทียมลีบ ส่วนมากพึ่งพาแต่สกุลเฉิ่นและสกุลเมิ่ง

 

 

เมื่อก่อนแม้หนิงฉิงไม่เคยได้ยินเรื่องความสามารถของสกุลเมิ่ง ใครจะไปคิดว่าจะมีวันนี้ที่คุณเมิ่งและสกุลเมิ่งคนพวกนั้นจะขอร้องตัวเองอย่างนอบน้อม

 

 

เธอเหนื่อยเต็มทนที่ต้องมารับสาย

 

 

ก่อนไปหยิบกระเป๋าของตัวเอง พลางมองหลินฉี “พวกเราไปกัน”

 

 

**

 

 

อีกฟากหนึ่ง

 

 

เดิมเมิ่งซินหรานคิดว่าตนจะถูกสอบสวนหรืออาจโดนทรมานอย่างรุนแรง ซึ่งเธอได้เตรียมคำพูดไว้แล้ว

 

 

ทว่ากลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย

 

 

อีกฝ่ายไม่มีการซักถาม และไม่มีการทารุณกรรม เพียงแค่ขังตนไว้ในคุกแห่งหนึ่งที่ไม่มีคน

 

 

ตลอดบ่ายและช่วงเย็น คนพวกนั้นเพียงส่งข้าวและน้ำมาให้จากหน้าต่างเหล็กบานเล็กสองครั้ง

 

 

บนตัวของเมิ่งซินหรานไม่มีโทรศัพท์ และไม่มีนาฬิกา

 

 

เธอไม่รู้ว่าตอนนี้ผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว และไม่รู้ว่าถึงเวลาสอบแล้วหรือยัง ในที่สุดเธอที่เงียบมาโดยตลอดก็ทนไม่ไหว เริ่มร้องตะโกนและทุบประตูอย่างบ้าคลั่ง

 

 

ทั้งยังขู่พวกเขาอีกด้วย

 

 

เธอตะโกนจนคอแหบแห้ง ก่อนมีคนเปิดประตู พาเธอไปห้องสอบสวน

 

 

ห้องสอบสวนด้านในมีโต๊ะหนึ่งตัว เก้าอี้สองตัว โดยเก้าอี้ตัวหนึ่งวางอยู่ด้านหน้า

 

 

เมิ่งซินหรานเห็นฉินหร่านนั่งอยู่บนเก้าอี้อีกตัว “แกมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”

 

 

เมื่อสายตาของเธอสะดุดที่มือข้างซ้ายของฉินหร่าน จึงหลบสายตาอย่างไม่ตั้งใจ

 

 

เธอถูกขังอยู่นานสองนาน เพราะเรื่องที่คุ้มค่าพอต่อความสุขเพียงเรื่องเดียว

 

 

ดูจากท่าทางแล้วฉินหร่านไม่สามารถเข้าร่วมการสอบได้จริง ๆ

 

 

“ทำทุกวิถีทางเพื่อให้มือซ้ายของฉันบาดเจ็บแบบนี้ เพราะไม่อยากให้ฉันเข้าสอบได้ใช่ไหม?” ฉินหร่านหมุนปากกาด้วยมือขวา พลางนั่งพิงเก้าอี้เลิกคิ้วถามด้วยท่าทีเย็นชาและโหดเหี้ยม

 

 

เมิ่งซินหรานไม่พูดอะไร เธอห้ามใจตัวเอง ก่อนนั่งลงตรงข้ามฉินหร่าน “ฉันไม่รู้ว่าแกพูดเรื่องอะไร”

 

 

ฉินหร่านยิ้ม

 

 

เธอไม่พูดอะไร เพียงใช้มือขวาหยิบปากกาเขียนข้อความบรรทัดหนึ่งลงสมุดบันทึกต่อหน้าอีกฝ่าย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ 259 ฉินหร่านใช้มือขวาเขียนข้อความบรรทัดหนึ่งต่อหน้าเธอ

Now you are reading เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ Chapter 259 ฉินหร่านใช้มือขวาเขียนข้อความบรรทัดหนึ่งต่อหน้าเธอ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

บุกเข้ามา?

 

 

คำพูดของยามทำให้หลินฉีตื่นตระหนกยิ่ง

 

 

ยุคสมัยนี้แล้วยังมีคนบุกเขามาอีกหรือ? แล้วทำไมถึงบุกเข้ามาได้?

 

 

แท้จริงแล้วเป็นใครกันแน่?

 

 

หลินฉีไม่รู้ว่าเหตุใดในใจถึงอยู่ไม่สุข เขาวางตะเกียบ ยืนขึ้นออกไปดูด้านนอกว่าเกิดอะไรขึ้น

 

 

ประตูใหญ่มีเสียงคนถีบเข้ามาดัง “ปัง”

 

 

จากนั้นคนกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาเป็นแถวยาว คนพวกนี้มีใบหน้าดุร้าย ราวกับว่าร่างกายแต่ละคนมีกลิ่นอายของการนองเลือด ทั้งยังมีอาวุธอยู่ที่เอว คนรับใช้ที่ใกล้ประตูแต่ละคนเดินโซเซถอยหลังไปหลายก้าวทันที พลางมองคนแปลกหน้ากลุ่มนั้นที่พรวดพราดเข้ามาอย่างหวาดผวา!

 

 

คนเหล่านี้แบ่งออกเป็นสองแถวและต่างยืนหลังตรง จากประตูทางเข้าถึงห้องรับรอง จากนั้นมีร่างของคนกลุ่มหนึ่งจากประตูทางเข้าด้านหลังเดินมาอย่างไม่รีบร้อน

 

 

ลู่จ้าวอิ่งและผู้บัญชาการเฉียนเดินนำ ด้านหลังยังมีเฉิงมู่และซือลี่หมิงสองคน

 

 

ท้ายสุดเป็นเจียงหุยที่ดูเหมือนแค่มาดูอะไรสนุกๆ เท่านั้น

 

 

ก่อนคิดขึ้นมาได้ว่าปีที่แล้วก็เคยเจอเหตุการณ์เดียวกันกับตอนที่เฉินซูหลานป่วยหนัก

 

 

โดยเฉพาะสีหน้าของลู่จ้าวอิ่งและหลินฉีที่จำได้อย่างชัดเจน

 

 

“คุณชายท่านนี้ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรหรือครับ?” เขาวางตะเกียบ เดินหน้าสองก้าว ใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้มอบอุ่นเหมือนอย่างเคย

 

 

เมื่อสายตาสบกับเจียงหุยที่อยู่ด้านหลัง ก็ยิ่งช็อกกว่าเดิม

 

 

“เจียง…” หลินฉีอ้าปากค้าง ไม่กล้ามองข้ามคนพวกนี้ เดิมจะเรียกเจียงหุย

 

 

ทว่าคำแรกไม่ทันออกจากปาก ก็ถูกเจียงหุยขัดไว้ “ไม่ต้องสนใจฉัน ฉันแค่ตามมาดูเท่านั้น”

 

 

เขาโบกมือ จากนั้นเลิกคิ้วมองลู่จ้าวอิ่ง

 

 

ใบหน้าเย็นชาของลู่จ้าวอิ่ง ล้วนไม่เหลือคราบของความเป็นมิตร เขากวาดตามองคนบนโต๊ะ จากนั้นหยุดอยู่ที่เมิ่งซินหราน “เอาตัวไป!”

 

 

เขาไม่พูดให้มากความ เพียงออกคำสั่งโดยตรง

 

 

บอดีการ์ดกลุ่มนั้นตรงไปจับเมิ่งซินหรานที่ไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

 

 

หลินฉี ฉินอวี่ และหนิงฉิงที่อยู่บนโต๊ะอาหารล้วนตกใจจนพูดไม่ออก พวกเขายืนขึ้น สีหน้าของหลินฉีเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ “ซินหรานไปฆ่าใคร สิ่งที่พวกแกทำมันผิดกฎหมายชัดๆ!”

 

 

สกุลเมิ่งมอบหมายให้หลินฉีดูแลเมิ่งซินหราน แล้วหลินฉีจะปล่อยให้เธอโดนจับไปได้อย่างไร?

 

 

ลู่จ้าวอิ่งไม่สนใจหลินฉีแม้แต่น้อย คนระดับนี้ไม่มีอะไรที่ต้องสนใจ

 

 

พวกเขานำตัวเมิ่งซินหรานที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ออกไป

 

 

“หัวหน้าหลิว!” หลินฉีมองชายคนหนึ่งที่อยู่หน้าสุด เป็นคนเดียวที่เขารู้จักท่ามกลางคนกลุ่มนี้

 

 

หัวหน้าหลิวไม่พูดอะไร เท้าของเขาหยุดชะงักลงมองหลินฉีแวบหนึ่ง จากนั้นกดเสียงต่ำพูดอย่างไม่แยแสว่า “หัวหน้าหลิน พวกเราจับคุณหนูเมิ่งตามกฎหมายทุกประการ ส่วนสาเหตุละก็ ถ้าคุณไม่อยากให้ความมั่นคงของสกุลหลินหายไป ทางที่ดีคืออย่าสงสัยให้มากและยุ่งให้น้อยจะดีที่สุด”

 

 

หลินฉีตามออกไป เห็นเพียงลู่จ้าวอิ่งที่อยู่ท้ายรถ

 

 

ตาของเขาโกรธเป็นไฟ พลางกุมขมับ แท้จริงแล้วเมิ่งซินหรานไปหาเรื่องใครกันแน่?!

 

 

“พ่อคะ นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะ?” ฉินอวี่ก็ตามออกมา

 

 

หลินฉีส่ายหน้า โทรศัพท์หาบ้านสกุลเมิ่ง ระหว่างคิ้วเต็มไปด้วยความตึงเครียด “ตอนนี้พ่อก็ไม่รู้ ต้องโทรบอกสกุลเมิ่งก่อน”

 

 

สกุลเมิ่งมอบหมายให้เมิ่งซินหรานอยู่ที่บ้านสกุลหลิน ตอนนี้เกิดเรื่องขึ้น หลินฉีจะปิดบังสกุลเมิ่งได้อย่างไร

 

 

**

 

 

ณ โรงพยาบาล

 

 

ฉินหร่านนอนโรงพยาบาลเพื่อสังเกตอาการหนึ่งวัน พรุ่งนี้ถึงกลับบ้านได้

 

 

เฟิงโหลวเฉิงกับพานหมิงเย่ว์ล้วนอยู่ด้วย

 

 

ในห้องผู้ป่วย เฉียวเซิงกับหลินซือหรานกลัวว่าฉินหร่านอาจจะคิดอะไรฟุ้งซ่านจึงไม่ไปไหน พ่อบ้านเฉิงกลัวว่าคนพวกนี้จะไม่รู้เรื่องรู้ราว จึงพาหมอประจำตระกูลมาดูแลฉินหร่านด้วย

 

 

ทำให้ตอนนี้มีหมอประจำตระกูลดูแลอยู่ข้างฉินหร่าน

 

 

ถึงแม้ว่าเป็นผู้ป่วยVIP พื้นที่กว้างกว่าห้องผู้ป่วยทั่วไป ทว่าคนอยู่ด้วยกันเยอะแบบนี้ทำให้รู้สึกแออัดกันเล็กน้อย

 

 

“มือซ้าย?” เฟิงโหลวเฉิงไม่ได้นั่ง เพียงเปิดอ่านข้อมูลบาดเจ็บของเธอ จากนั้นมองแขนเฝือกมือซ้ายที่ถูกชน พลางรู้สึกเบาใจเล็กน้อย “เป็นความโชคดีในโชคร้าย ทำใจให้สงบเถอะ เรื่องอื่นไม่ต้องคิดมาก”

 

 

หัวคิ้วของเฟิงโหลวเฉิงตกลง ไอแห่งความชั่วร้ายปกคลุมใบหน้าของเขา

 

 

กล้าทำร้ายมือของฉินหร่าน ไม่ว่าเป็นใครหน้าไหน เขาจะให้อีกฝ่ายเข้าคุกขังลืมไปให้ได้

 

 

เฉียวเซิงไม่รู้ว่าเฟิงโหลวเฉิงคิดอะไรอยู่ เพียงได้ยินคำพูดของเฟิงโหลวเฉิง จึงสบตาอย่างไม่ตั้งใจ ฉินหร่านได้รับบาดเจ็บมือซ้าย ทำไมเป็นเรื่องโชคดีในโชคร้ายได้?

 

 

แม้แต่เรื่องสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็เข้าร่วมไม่ได้เเล้ว…

 

 

พานหมิงเย่ว์ยังคงไม่พูดอะไร เธอรอให้คนอื่นพูดจบ พลางคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดด้วยน้ำเสียงอันเบา “พวกนายออกไปก่อนแป๊บนึงได้ไหม?” ฉันมีเรื่องจะพูดกับเธอเป็นการส่วนตัวน่ะ”

 

 

เฟิงโหลวเฉิงมองแผลของฉินหร่าน ก่อนถอนหายใจด้วยความโล่งเบาๆ จากนั้นถึงมีอารมณ์ทำเรื่องอย่างอื่น พลางพยักหน้า หยิบโทรศัพท์โทรหาผู้บัญชาการเฉียน

 

 

เฉียวเซิงออกไปข้างนอก

 

 

พวกเขาเพิ่งเดินออกมา หลินซือหรานอยู่ที่ประตูก็เห็นหลินจิ่นเซวียนเดินออกมาจากลิฟต์

 

 

“คุณอาเฟิง” หลินจิ่นเซวียนกับเฟิงฉือมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทั้งยังเคยพบเฟิงโหลวเฉิงหลายครั้ง

 

 

แม้จะรู้จักฉินหร่านกับเฟิงโหลวเฉิงแต่ว่าตอนนี้เจอเฟิงโหลวเฉิงที่หน้าห้องฉินหร่านเขาจึงพูดอย่างมีมารยาทปนตกใจ

 

 

เฟิงโหลวเฉิงถือโทรศัพท์ มองหลินจิ่วเซวียนอยู่แวบหนึ่ง ก่อนผงกหัวเล็กน้อย จากนั้นก็คิดอะไรขึ้นมาได้ “เธอมาคนเดียวเหรอ?”

 

 

หลินจิ่วเซวียนเม้มปาก นึกถึงท่าทีของหนิงฉิงที่โต๊ะกินข้าว ทำให้ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาต้องพูดอย่างไร

 

 

หากบอกว่ามือของฉินอวี่ได้รับบาดเจ็บ หนิงฉิงคงรีบรุดมาก่อนละมั้ง?

 

 

เมื่อไม่ได้รับคำตอบ เฟิงโหลวเฉิงก็คาดเดาได้แล้ว ก่อนพูดด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง “เธอมาหาหรานหร่านสินะ รอแป๊บนึงก่อน หมิงเย่ว์คุยกับเธออยู่ข้างใน”

 

 

**

 

 

บ่ายวันนั้น หลินฉีไม่สามารถติดต่อกับสกุลเมิ่งในเมืองหลวงได้

 

 

เขาโทรหาหัวหน้าหลิวก็ไม่สามารถสอบถามข่าวคราวของเมิ่งซินหรานได้

 

 

ดูเหมือนฉากหน้าในอวิ๋นเฉิงมองไม่เห็นแม้แต่พายุกระหน่ำเลยแม้แต่น้อย ในใจของหลินฉีกระสับกระส่าย

 

 

วันที่หกเดือนหกของเช้าของวันนี้ เขาเพิ่งได้รับสายจากสกุลเมิ่งทางนั้น

 

 

เสียงของคุณเมิ่งฟังดูเหนื่อยล้ายิ่ง “พี่เขย สกุลเมิ่งต้องจบสิ้นแล้ว…”

 

 

ใบหน้าของหลินฉีตื่นตระหนก “เป็นไปได้อย่างไร? หรือว่าเพราะเรื่องของซินหราน?”

 

 

หลังจากคำพูดของหัวหน้าหลิวเมื่อวาน หลินฉีก็รับรู้ได้ว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา ในใจรู้สึกกังวลมาโดยตลอด ทำให้นอนไม่หลับทั้งคืน

 

 

“ฉันก็ไม่รู้ ได้ยินว่าเธอตกเป็นผู้สงสัยคดีลอบฆาตกรรมบุคคลสำคัญของอวิ๋นเฉิงคนหนึ่งโดยเจตนา เมื่อคืนนี้สกุลเมิ่งก็ถูกจับกุมไป ฉันอยู่เมืองหลวงไม่เจอใครเลย ไม่รู้ว่าเธอจะฆ่าใครกันแน่ ถ้าเกิดรู้ ก็พอยังมีโอกาสรอดอยู่…”

 

 

แม้ไม่เคยเห็นหน้าอีกฝ่าย แต่ก็ทำให้สกุลเมิ่งได้รับความตายได้ ทั้งชื่อแซ่ของคนที่เกี่ยวข้องล้วนไม่กล้าเปิดเผย คุณเมิ่งไม่รู้ว่าเมิ่งซินหรานตั้งใจฆ่าใครกันแน่!

 

 

“เจต…เจตนาฆ่า?” ในเวลานี้หลินฉีเพียงคิดถึงเรื่องเมื่อวานที่ฉินหร่านโดนรถชน

 

 

อีกทั้งลู่จ้าวอิ่ง เจียงหุย คนพวกนี้ล้วนเป็นคนรู้จักของฉินหร่าน

 

 

ในหัวของเขาจับประเด็นนี้ได้ ก่อนยืนขึ้นพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ถ้าเป็นแบบนี้ ฉันพอรู้แล้วว่าเธออยากฆ่าใคร”

 

 

หลินฉีอธิบายอย่างรวบรัดเรื่องฉินหร่านไม่กี่ประโยค

 

 

“ป้าจาง ป้าไปเรียกคุณนายลงมา” หลินฉีพูดกับคุณเมิ่งจบก็ตัดสายไป

 

 

ป้าจางขึ้นไปเรียกหนิงฉิง

 

 

เมื่อหนิงฉิงเดินลงมา ก็เพิ่งรับโทรศัพท์จากคุณเมิ่ง

 

 

น้ำเสียงของคุณเมิ่งในโทรศัพท์มีความอ่อนโยนและเป็นมิตร ทำให้หนิงฉิงรู้สึกไม่สบายใจ

 

 

ความจริงความสัมพันธ์ของหนิงฉิงกับสกุลเมิ่งนับว่าอึดอัดยิ่ง ทว่าเพราะเกี่ยวพันกับฉินอวี่ ไม่กี่เดือนมานี้สกุลเมิ่งกับหนิงฉิงจึงสนิทกันมากขึ้น

 

 

ฉินอวี่อยู่เมืองหลวงแทบจะหัวเดียวกระเทียมลีบ ส่วนมากพึ่งพาแต่สกุลเฉิ่นและสกุลเมิ่ง

 

 

เมื่อก่อนแม้หนิงฉิงไม่เคยได้ยินเรื่องความสามารถของสกุลเมิ่ง ใครจะไปคิดว่าจะมีวันนี้ที่คุณเมิ่งและสกุลเมิ่งคนพวกนั้นจะขอร้องตัวเองอย่างนอบน้อม

 

 

เธอเหนื่อยเต็มทนที่ต้องมารับสาย

 

 

ก่อนไปหยิบกระเป๋าของตัวเอง พลางมองหลินฉี “พวกเราไปกัน”

 

 

**

 

 

อีกฟากหนึ่ง

 

 

เดิมเมิ่งซินหรานคิดว่าตนจะถูกสอบสวนหรืออาจโดนทรมานอย่างรุนแรง ซึ่งเธอได้เตรียมคำพูดไว้แล้ว

 

 

ทว่ากลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย

 

 

อีกฝ่ายไม่มีการซักถาม และไม่มีการทารุณกรรม เพียงแค่ขังตนไว้ในคุกแห่งหนึ่งที่ไม่มีคน

 

 

ตลอดบ่ายและช่วงเย็น คนพวกนั้นเพียงส่งข้าวและน้ำมาให้จากหน้าต่างเหล็กบานเล็กสองครั้ง

 

 

บนตัวของเมิ่งซินหรานไม่มีโทรศัพท์ และไม่มีนาฬิกา

 

 

เธอไม่รู้ว่าตอนนี้ผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว และไม่รู้ว่าถึงเวลาสอบแล้วหรือยัง ในที่สุดเธอที่เงียบมาโดยตลอดก็ทนไม่ไหว เริ่มร้องตะโกนและทุบประตูอย่างบ้าคลั่ง

 

 

ทั้งยังขู่พวกเขาอีกด้วย

 

 

เธอตะโกนจนคอแหบแห้ง ก่อนมีคนเปิดประตู พาเธอไปห้องสอบสวน

 

 

ห้องสอบสวนด้านในมีโต๊ะหนึ่งตัว เก้าอี้สองตัว โดยเก้าอี้ตัวหนึ่งวางอยู่ด้านหน้า

 

 

เมิ่งซินหรานเห็นฉินหร่านนั่งอยู่บนเก้าอี้อีกตัว “แกมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”

 

 

เมื่อสายตาของเธอสะดุดที่มือข้างซ้ายของฉินหร่าน จึงหลบสายตาอย่างไม่ตั้งใจ

 

 

เธอถูกขังอยู่นานสองนาน เพราะเรื่องที่คุ้มค่าพอต่อความสุขเพียงเรื่องเดียว

 

 

ดูจากท่าทางแล้วฉินหร่านไม่สามารถเข้าร่วมการสอบได้จริง ๆ

 

 

“ทำทุกวิถีทางเพื่อให้มือซ้ายของฉันบาดเจ็บแบบนี้ เพราะไม่อยากให้ฉันเข้าสอบได้ใช่ไหม?” ฉินหร่านหมุนปากกาด้วยมือขวา พลางนั่งพิงเก้าอี้เลิกคิ้วถามด้วยท่าทีเย็นชาและโหดเหี้ยม

 

 

เมิ่งซินหรานไม่พูดอะไร เธอห้ามใจตัวเอง ก่อนนั่งลงตรงข้ามฉินหร่าน “ฉันไม่รู้ว่าแกพูดเรื่องอะไร”

 

 

ฉินหร่านยิ้ม

 

 

เธอไม่พูดอะไร เพียงใช้มือขวาหยิบปากกาเขียนข้อความบรรทัดหนึ่งลงสมุดบันทึกต่อหน้าอีกฝ่าย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+