เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ 338 ผู้สืบทอด

Now you are reading เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ Chapter 338 ผู้สืบทอด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แผ่นหลังอันเยือกเย็น และน่าเกรงขาม

ทำให้เหลิ่งเพ่ยซานชะงักไปครู่หนึ่ง เธอเดินไปหาหนานฮุ่ยเหยา “คนนั้น…”

“คนที่มาเก็บของให้หร่านหร่านน่ะ เธอจะไม่อยู่ที่หอแล้ว” หนานฮุ่ยเหยาหันหน้าพลางอธิบาย

คนที่บ้าน?

เหลิ่งเพ่ยซานขบคิด

เฉิงมู่เก็บของเสร็จเรียบร้อย มือด้านซ้ายถือกระเป๋าเสื้อผ้าสีดำ ด้านขวาอุ้มกระถางดอกไม้ไว้ด้วยร่างกายกำยำ ประสาทสัมผัสทั้งห้าที่เย็นยะเยือก แม้ใบหน้าไร้รอยยิ้ม แต่แววตากลับเปล่งประกายราวกับแสงจันทร์ในฤดูหนาว

“คุณชายเฉิงมู่?” เหลิ่งเพ่ยซานเรียกด้วยน้ำเสียงแห้งแหบ

ขณะที่เฉิงมู่กำลังลากสัมภาระออกไปอย่างสบายอารมณ์ เมื่อได้ยินเสียงของเหลิ่งเพ่ยซาน จึงหยุดเดินแล้วหันมองเธอแวบหนึ่ง ก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเมทของฉินหร่าน ก่อนเดินไปหาเพื่อทักทายเธอด้วยความสุภาพ

“หนูเป็นรุ่นน้องของโอวหยางเวยค่ะ พวกเราเคยเจอกันแล้วที่งานเลี้ยงวันเกิดครั้งก่อนของพี่เขาน่ะค่ะ” นิ้วมือของเหลิ่งเพ่ยซานจิกอยู่บนฝ่ามือ

งานเลี้ยงวันเกิดของโอวหยางเวยจัดอย่างใหญ่โต ล้วนเป็นคนมีหน้ามีตาในเมืองหลวง คนที่เหลิ่งเพ่ยซานรู้จักมีไม่มาก

ทว่ารู้จักกับเฉิงมู่ที่ยืนอยู่กลางสุดท่ามกลางกลุ่มคนจำนวนมาก

เมื่อได้ยิน “โอวหยางเวย” สามคำ ท่าทีเกรงใจของเฉิงมู่ก็หายไป แต่แฝงไว้ราวกับเหล็กแข็งดังเดิม

เขาไม่เหมือนกับฉินหร่านหรือเฉิงเจวี้ยน ที่สามารถจดจำได้ทุกรายละเอียด และเช่นเดียวกับเหลิ่งเพ่ยซานคนนี้ ในเมืองหลวงมีคนตั้งมากมาย เขาไม่สามารถจดจำได้ทุกคน

หากเหลิ่งเพ่ยซานพูดถึงเรื่องนี้เมื่อปีก่อน เฉิ่งมู่อาจจะหยุดทักทายเธอก็ได้

ทว่าตอนนี้โอวหยางเวยไม่ใช่นางฟ้าสำหรับเขาอีกต่อไปแล้ว และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ…

เฉิงจินและเฉิงสุ่ยเคยเตือนเขาเรื่องโอวหยางเวยอย่างเป็นจริงเป็นจัง

เฉิงมู่ไม่ใช่คนมีไหวพริบดี แต่คำพูดของพี่ๆ แต่ละคนเขาล้วนจำได้ขึ้นใจ

เหลิ่งเพ่ยซานไม่เคยคุยกับเฉิงมู่มาก่อน แต่เคยได้ยินคนอื่นพูดเรื่องเฉิงมู่มาบ้างเกี่ยวกับคนของสกุลเฉิง เมื่อก่อนเธอทำได้เพียงมองดูอยู่ห่างๆ ที่งานเลี้ยงของโอวหยางเวยเท่านั้น

เมื่อเห็นเฉิงมู่ทำท่าทีเหมือนจะหยุดเดินแต่สุดท้ายก็ลากกระเป๋าออกไปเช่นนี้ เหลิงเพ่ยซานทำได้เพียงยิ้ม พลางยกมือทัดผมไว้หลังหู พูดอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “พี่สาวของหนูใกล้สอบเข้าตำแหน่งเจ้าหน้าที่ระดับกลางแล้ว…”

เฉิงมู่ไม่มีแม้แต่ท่าทีสนใจพลางลากกระเป๋าเดินลงชั้นล่างราวกับหุ่นยนต์

หอพักด้านใน เหลิ่งเพ่ยซานมองแผ่นหลังของเฉิงมู่ ก่อนสลัดรอยยิ้มบนใบหน้า

เธอนั่งลงเก้าอี้ตัวเองอย่างหมดแรง

หยางอี๋วางหนังสือบนโต๊ะ “เธอรู้จักกับคนในบ้านฉินหร่านด้วยเหรอ?”

“รู้จัก…” เหลิ่งเพ่ยซานถือโทรศัพท์ สายตาหันออกมองนอกระเบียง

หนานฮุ่ยเหยาลากเก้าอี้แล้วนั่งลง ก่อนเกยคางลงบนนิ้วมืออย่างเอื่อยเฉื่อยพลางยิ้ม “เธอได้ยินไหมว่าเขาสกุลเฉิงเลยนะ คนในมหาลัยไม่มีใครกล้ายุ่งกับคนสกุลนี้ได้ หลังจากนี้ก็รีบๆ เกาะขาหร่านหร่านเอาไว้ให้ดีละกัน”

หยางอี๋พยักหน้าเห็นด้วย “พูดอีกก็ถูกอีก”

สองคนนี้ยังมีอารมณ์มาหัวเราะอยู่ได้ แต่เหลิ่งเพ่ยซานกลับรู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าขำเลยสักนิด

เฉิงมู่คือลูกน้องที่ผู้อาวุโสแห่งบ้านสกุลเฉิงให้ความสำคัญที่สุด สามารถเข้าออกบ้านเดิมของสกุลเฉิงได้ เรื่องนี้คนในวงในต่างรู้กันดี ว่าโดยปกติแล้วเมื่อผู้สืบทอดเจอเฉิงมู่ต้องให้ความเคารพด้วย

เช่นนั้นคนที่ฉินหร่านบอกว่าแฟนที่ทำงานแล้วก็คือเฉิงมู่น่ะหรือ?

ทำไมเธอถึงไปเกี่ยวดองกับคนในบ้านสกุลเฉิงได้…

**

ณ บ้านสกุลสวี

อาจารย์ใหญ่สวีอาศัยอยู่ในรัฐ M เกือบสามเดือนเต็มเพื่อเปิดตลาด หลังจากกลับมาที่เมืองหลวงแล้วใช้เวลาหนึ่งอาทิตย์จัดการกับเรื่องของบ้านสกุลสวีให้เรียบร้อย

“คุณปู่ครับ” สวีเหยากวงลุกจากเก้าอี้ด้วยใบหน้าเย็นชา

“หลังจากนี้เรื่องของสกุลมาสที่รัฐ M ก็ยกให้แกไปจัดการก็แล้วกัน ส่วนสถาบันวิจัยฝั่งนั้นปู่ได้หาคนที่มารับช่วงต่อเเล้ว” อาจารย์ใหญ่สวีมองออกไปนอกหน้าต่าง

ก่อนหน้านี้เขาคิดเอาไว้ถ้าหากสามารถจับคู่สวีเหยากวงกับฉินหร่านได้คงเป็นเรื่องดี

ช่วงเวลานั้นสกุลสวีเป็นตระกูลที่มีอำนาจอย่างมากในการดูแลควบคุมเรื่องต่างๆ และมีสิทธิ์ในการจัดการสถาบันวิจัย……

ทั้งยังหลบสายตาจากสาธารณชนเพื่อส่งสวีเหยากวงเข้าโรงเรียนมัธยมฯเหิงซวน สุดท้ายเขากลับถูกใจผู้หญิงที่ชื่อฉินอวี่อะไรก็ไม่ทราบ ส่วนฉินหร่านก็ถูกคนสกุลเฉิงเอาไปอีก ครั้งที่สวีเหยากวงได้ยินเฉิงเจวี้ยนหยิบเรื่องนี้มาพูดตอนอยู่อวิ๋นเฉิง ณ ตอนนั้นก็ไม่ทราบเช่นกันว่าใครคือผู้ที่รับช่วงต่อ ตลอดจนหลังสอบเข้ามหาลัยแล้ว ฉินหร่านสอบวิชาฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ได้คะแนนเต็ม เขาจึงตระหนักรู้เรื่องนี้ได้…

ดังนั้นเขาจึงรีบรุดมาที่อวิ๋นเฉิง เพื่อสอบถามฉินหร่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทว่าแม้แต่หน้าก็ไม่ได้เจอ เขาจึงกลับรัฐ M ไป

“ครับ คุณปู่” สวีเหยากวงและประธานสวีคุยกันอยู่สักพักก็ออกจากห้องหนังสือไป

เมื่อสวีเหยากวงเดินออกไปแล้ว ประธานสวีก็โทรหาฉินหร่าน

ตอนนี้ฉินหร่านอยู่ห้องหนังสือด้านบน

เฉิงเจวี้ยนกำลังใช้โทรศัพท์เล่นเกม และช่วยฉินหลิงบันทึกหน้าจอไปด้วย

หลังจากเขาส่งวิดีโอบันทึกหน้าจอให้ฉินหลิงแล้ว ผ่านไปพักใหญ่ฉินหลิงจึงตอบกลับมาประโยคหนึ่ง

[นายเล่นไม่เร็วเท่าพี่สาวฉันเลย]

เฉิงเจวี้ยนกัดบุหรี่ พลางค่อยๆ หรี่ตา

ขณะที่เขากำลังส่งข้อความตอบกลับฉินหลิง ก็มีข้อความหนึ่งปรากฏบนแถบหน้าจอโทรศัพท์ ด้านบนมีตัวอักษรเพียงคำเดียวเท่านั้น คือคำว่า

สวี

ฉินหร่านเป็นคนบันทึกรายชื่อไปเรื่อย

บ้างก็ นก บ้างก็มังกร

เมื่อเฉิงเจวี้ยนเห็นดังนั้น จึงไม่คิดว่ามีชื่อสวีที่เหมือนชื่อร้านบาร์บีคิวด้วยด้วย

นับว่าเป็นคำที่เคยเห็นอยู่บ่อยๆ

เฉิงเจวี้ยนรับโทรศัพท์พลางเดินขึ้นไปด้านบน ก่อนตอบอีกฝ่ายอย่างสุภาพว่า “รอก่อนนะครับ เธออ่านหนังสืออยู่ห้องด้านบน”

ประธานสวีที่อยู่ปลายสายตอบอย่างเยือกเย็น “ทำไมถึงเป็นนายได้?”

ครั้งที่อยู่อวิ๋นเฉิง ประธานสวียอมให้เขาคุ้มครองผู้สืบทอดในอนาคต แต่ในมุมมองของเฉิงเจวี้ยนที่พาเธอไป ถือว่าประธานสวีเสียเปรียบกว่ามาก

“ผู้อาวุโสสวี?” เฉิงเจวี้ยนเงียบไปสักพัก พลันหยุดอยู่ที่บันไดครู่หนึ่งก่อนเดินขึ้นข้างบนต่อ “คุณรอก่อนนะครับ”

เขาเปิดประตูห้องหนังสือ ขณะนั้นฉินหร่านกำลังจับปากกาเขียนเลกเชอร์วิชาคณิตศาสตร์อยู่

“เป็นผู้อาวุโสสวี” เฉิงเจวี้ยนยื่นโทรศัพท์ให้ฉินหร่าน

ฉินหร่านวางปากกาลง ก่อนรับโทรศัพท์มา “ประธานสวีเหรอคะ?”

“พอมีเวลาไหม?” ประธานสวียืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง สายตามองออกไปด้านนอกด้วยแววตานุ่มลึก “พวกเรามาคุยเรื่องของอวิ๋นเฉิงต่อเถอะ”

“เดี๋ยวก่อนค่ะ” ฉินหร่านวางมือไว้บนขมับ “รอให้สอบกลางภาคเสร็จก่อน”

“สอบกลางภาคงั้นรึ?” ประธานสวีพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ พลางเปลี่ยนมือถือโทรศัพท์ “เธอเรียนภาควิชาอะไร?”

ฉินหร่านตอบตามความจริง

ประธานสวี: “…ก็ดี” เป็นสองสาขาที่นับว่ายากเอาเรื่อง ทว่าก็เรียนตรงสายงาน

ฉินหร่านให้สัญญาไว้แล้ว และตัวเองก็อยู่ที่เมืองหลวง ประธานสวีจึงไม่ได้เร่งรัดอะไรมากนัก แน่นอนว่าคำสัญญาของเธอไม่ใช่เรื่องโกหกหลอกลวงเขา

อีกทั้งเรื่องผู้สืบทอดของเขาก็ไม่อาจใจร้อนได้ เมื่อพัวพันถึงอำนาจระดับสูง ถึงเวลานั้นเมืองหลวงคงเกิดเรื่องวุ่นวายอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้ที่อยู่ที่นี่เขาได้เตรียมตัวหาวิธีรับมือด้านต่างๆ ไว้แล้ว

ทั้งสองพูดคุยกันไม่กี่ประโยค ก็วางสาย

ฉินหร่านเอนตัวพิงเก้าอี้ ยื่นโทรศัพท์ให้เฉิงเจวี้ยน

ในมือของเฉิงเจวี้ยนประคองแก้วชาที่เหลืออยู่เล็กน้อย เขาวางแก้วลงก่อนรินน้ำเติมใหม่ แต่ไม่ได้รับโทรศัพท์ที่เธอส่งมาให้

ฉินหร่านเลิกคิ้ว หัวคิ้วพลางขมวดเข้าหากัน “คุณ…”

เดิมทีเธอนึกว่าเฉิงเจวี้ยนจะถามเรื่องประธานสวี

เฉิงเจวี้ยนยื่นมือลากเก้าอี้ตัวหนึ่งเข้ามา พลางชี้โทรศัพท์ของเธอ ก่อนพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “น้องชายเธอด่าฉัน”

ด่าเขา?

ฉินหร่านก้มอ่านข้อความในวีแชทก็เห็นข้อความที่ฉินหลิงส่งมา

เธอถือโทรศัพท์พลางตอบฉินหลิงอย่างช้าๆ สองประโยค

[เขาก็เหมือนกับนายตอนเล่นครั้งแรกนั่นแหละ]

[นายอ่อนกว่าเขา]

เมื่อตอบฉินหลิงเสร็จ ฉินหร่านมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนส่งโทรศัพท์ให้เขา

เฉิงเจวี้ยนรับมาพลางอ่านอย่างพอใจ แล้วลุกขึ้นพร้อมถือโทรศัพท์ของเธอเดินออกไป เมื่อถึงประตูห้องหนังสือ เขาเปิดหน้าแชทของฉินหลิง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังออนอยู่ เขาก็ตอบกลับไปประโยคหนึ่ง

[ไอกร๊วก (อิโมจิยิ้ม) ]

ไม่ถึงวินาที เมื่อมั่นใจว่าฉินหลิงอ่านข้อความนี้แล้ว เขาก็ลบข้อความนั้นออกอย่างรวดเร็ว ก่อนส่งอิโมจิยิ้มตัวหนึ่งกลับไป

**

ด้านล่าง เฉิงมู่ลากกระเป๋าสัมภาระของฉินหร่านกลับมาเรียบร้อยแล้ว เขาวางกระเป๋าไว้กลางห้องรับรองแขก ก่อนวางกระถางดอกไม้ไว้ขอบหน้าต่างด้วยความระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าใบของดอกไม้ร่วง หัวคิ้วก็มุ่ยเข้าหากันอัตโนมัติ คุณหนูฉินดูแลดอกไม้ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ

“กลับมาแล้วเหรอ?” เขาเพิ่งจัดการกับข้าวของเสร็จ ก็เห็นเฉิงจินเดินขึ้นมาจากห้องต้นไม้ ด้านล่าง

เฉิงจินกวาดตามองข้าวของที่อยู่กลางห้องรับรองแวบหนึ่ง “นายท่านเจวี้ยนให้ฉันกลับมา”

“นั่งก่อนสิ” เฉิงเจี้ยนเล่นเกมอย่างสบายอารมณ์

เฉิงมู่ที่ถือพลั่วอยู่นั้นนั่งลงพร้อมเฉิงจิน “มีเรื่องอะไรเหรอครับ?”

“เป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญมากๆ” เฉิงเจวี้ยนตอบอย่างไม่รีบร้อน “เฉิงจินนายใช้เวลาเท่าไหร่ในการย้ายแหล่งศูนย์กลางเงินทุนกลับมา?”

“ศูนย์กลางทั้งหมดเลยเหรอครับ? เหมือนกับอวิ๋นกวงกรุ๊ปรึเปล่าครับ?” เฉิงจินประหลาดใจ

เฉิงเจวี้ยนพิงโซฟาตอบ “ประมาณนั้น”

“อวิ๋นกวงกรุ๊ปใช้เวลาหนึ่งปี ปีที่แล้วพวกเขาก็เริ่มเข้าพักที่เมืองหลวงแล้ว แต่ว่าเรามีฐานที่ตั้งในเมืองหลวงอยู่หลายที่ ถ้าหากจะย้ายจริงๆ ก็เร็วกว่าพวกเขาเดือนนึงได้ แต่ว่า…ท่านเจวี้ยน คุณแน่ใจแล้วเหรอ?” มุมปากของเฉิงจินโค้งลง

นี่คิดอยากให้เมืองหลวงลุกเป็นไฟเลยหรือ?

“แน่ใจสิ” ในมือของเฉิงเจวี่ยนยังคงเล่นเกมอย่างต่อเนื่อง “เห็นแก่หน้าผู้อาวุโสสวี ฉันคงปฏิเสธไม่ได้”

เฉิงจินมองเฉิงเจวี้ยน ขนาดแม้แต่นายท่านเฉิงยังไม่ไว้หน้า แล้วจะให้หน้ากับผู้อาวุโสสวีเนี่ยนะ?

แต่ว่า…

เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับผู้อาวุโสสวีเล่า?

เมื่อเล่นเกมจบไปแล้วหนึ่งรอบ เฉิงเจวี้ยนมองดูที่หน้าจอ จากนั้นแคปหน้าจอส่งให้ฉินหลิง

เฉิงจินหยิบโน้ตบุ๊กทำงานในกระเป๋าออกมา ก่อนเข้าสู่ระบบอย่างรวดเร็ว เขาชำเลืองมองเฉิงเจวี้ยนแวบหนึ่ง “งั้นให้ผมจะเรียกประชุมระดับสูงเพื่อเรียนเรื่องนี้โดยเฉพาะรึเปล่าครับ?”

เขากุมโทรศัพท์ไว้ “เริ่มเลยเถอะ”

เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องอื่น เพียงปรายตามองชั้นบนก่อนยกมือขึ้นก่ายหน้าผากอย่างเกียจคร้าน หากพวกบรรดาผู้อาวุโสของแต่ละตระกูลรู้เรื่องผู้สืบทอดสถาบันวิจัยที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงแล้วล่ะก็ คงนั่งกันไม่ติด…

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ 338 ผู้สืบทอด

Now you are reading เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ Chapter 338 ผู้สืบทอด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แผ่นหลังอันเยือกเย็น และน่าเกรงขาม

ทำให้เหลิ่งเพ่ยซานชะงักไปครู่หนึ่ง เธอเดินไปหาหนานฮุ่ยเหยา “คนนั้น…”

“คนที่มาเก็บของให้หร่านหร่านน่ะ เธอจะไม่อยู่ที่หอแล้ว” หนานฮุ่ยเหยาหันหน้าพลางอธิบาย

คนที่บ้าน?

เหลิ่งเพ่ยซานขบคิด

เฉิงมู่เก็บของเสร็จเรียบร้อย มือด้านซ้ายถือกระเป๋าเสื้อผ้าสีดำ ด้านขวาอุ้มกระถางดอกไม้ไว้ด้วยร่างกายกำยำ ประสาทสัมผัสทั้งห้าที่เย็นยะเยือก แม้ใบหน้าไร้รอยยิ้ม แต่แววตากลับเปล่งประกายราวกับแสงจันทร์ในฤดูหนาว

“คุณชายเฉิงมู่?” เหลิ่งเพ่ยซานเรียกด้วยน้ำเสียงแห้งแหบ

ขณะที่เฉิงมู่กำลังลากสัมภาระออกไปอย่างสบายอารมณ์ เมื่อได้ยินเสียงของเหลิ่งเพ่ยซาน จึงหยุดเดินแล้วหันมองเธอแวบหนึ่ง ก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเมทของฉินหร่าน ก่อนเดินไปหาเพื่อทักทายเธอด้วยความสุภาพ

“หนูเป็นรุ่นน้องของโอวหยางเวยค่ะ พวกเราเคยเจอกันแล้วที่งานเลี้ยงวันเกิดครั้งก่อนของพี่เขาน่ะค่ะ” นิ้วมือของเหลิ่งเพ่ยซานจิกอยู่บนฝ่ามือ

งานเลี้ยงวันเกิดของโอวหยางเวยจัดอย่างใหญ่โต ล้วนเป็นคนมีหน้ามีตาในเมืองหลวง คนที่เหลิ่งเพ่ยซานรู้จักมีไม่มาก

ทว่ารู้จักกับเฉิงมู่ที่ยืนอยู่กลางสุดท่ามกลางกลุ่มคนจำนวนมาก

เมื่อได้ยิน “โอวหยางเวย” สามคำ ท่าทีเกรงใจของเฉิงมู่ก็หายไป แต่แฝงไว้ราวกับเหล็กแข็งดังเดิม

เขาไม่เหมือนกับฉินหร่านหรือเฉิงเจวี้ยน ที่สามารถจดจำได้ทุกรายละเอียด และเช่นเดียวกับเหลิ่งเพ่ยซานคนนี้ ในเมืองหลวงมีคนตั้งมากมาย เขาไม่สามารถจดจำได้ทุกคน

หากเหลิ่งเพ่ยซานพูดถึงเรื่องนี้เมื่อปีก่อน เฉิ่งมู่อาจจะหยุดทักทายเธอก็ได้

ทว่าตอนนี้โอวหยางเวยไม่ใช่นางฟ้าสำหรับเขาอีกต่อไปแล้ว และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ…

เฉิงจินและเฉิงสุ่ยเคยเตือนเขาเรื่องโอวหยางเวยอย่างเป็นจริงเป็นจัง

เฉิงมู่ไม่ใช่คนมีไหวพริบดี แต่คำพูดของพี่ๆ แต่ละคนเขาล้วนจำได้ขึ้นใจ

เหลิ่งเพ่ยซานไม่เคยคุยกับเฉิงมู่มาก่อน แต่เคยได้ยินคนอื่นพูดเรื่องเฉิงมู่มาบ้างเกี่ยวกับคนของสกุลเฉิง เมื่อก่อนเธอทำได้เพียงมองดูอยู่ห่างๆ ที่งานเลี้ยงของโอวหยางเวยเท่านั้น

เมื่อเห็นเฉิงมู่ทำท่าทีเหมือนจะหยุดเดินแต่สุดท้ายก็ลากกระเป๋าออกไปเช่นนี้ เหลิงเพ่ยซานทำได้เพียงยิ้ม พลางยกมือทัดผมไว้หลังหู พูดอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “พี่สาวของหนูใกล้สอบเข้าตำแหน่งเจ้าหน้าที่ระดับกลางแล้ว…”

เฉิงมู่ไม่มีแม้แต่ท่าทีสนใจพลางลากกระเป๋าเดินลงชั้นล่างราวกับหุ่นยนต์

หอพักด้านใน เหลิ่งเพ่ยซานมองแผ่นหลังของเฉิงมู่ ก่อนสลัดรอยยิ้มบนใบหน้า

เธอนั่งลงเก้าอี้ตัวเองอย่างหมดแรง

หยางอี๋วางหนังสือบนโต๊ะ “เธอรู้จักกับคนในบ้านฉินหร่านด้วยเหรอ?”

“รู้จัก…” เหลิ่งเพ่ยซานถือโทรศัพท์ สายตาหันออกมองนอกระเบียง

หนานฮุ่ยเหยาลากเก้าอี้แล้วนั่งลง ก่อนเกยคางลงบนนิ้วมืออย่างเอื่อยเฉื่อยพลางยิ้ม “เธอได้ยินไหมว่าเขาสกุลเฉิงเลยนะ คนในมหาลัยไม่มีใครกล้ายุ่งกับคนสกุลนี้ได้ หลังจากนี้ก็รีบๆ เกาะขาหร่านหร่านเอาไว้ให้ดีละกัน”

หยางอี๋พยักหน้าเห็นด้วย “พูดอีกก็ถูกอีก”

สองคนนี้ยังมีอารมณ์มาหัวเราะอยู่ได้ แต่เหลิ่งเพ่ยซานกลับรู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าขำเลยสักนิด

เฉิงมู่คือลูกน้องที่ผู้อาวุโสแห่งบ้านสกุลเฉิงให้ความสำคัญที่สุด สามารถเข้าออกบ้านเดิมของสกุลเฉิงได้ เรื่องนี้คนในวงในต่างรู้กันดี ว่าโดยปกติแล้วเมื่อผู้สืบทอดเจอเฉิงมู่ต้องให้ความเคารพด้วย

เช่นนั้นคนที่ฉินหร่านบอกว่าแฟนที่ทำงานแล้วก็คือเฉิงมู่น่ะหรือ?

ทำไมเธอถึงไปเกี่ยวดองกับคนในบ้านสกุลเฉิงได้…

**

ณ บ้านสกุลสวี

อาจารย์ใหญ่สวีอาศัยอยู่ในรัฐ M เกือบสามเดือนเต็มเพื่อเปิดตลาด หลังจากกลับมาที่เมืองหลวงแล้วใช้เวลาหนึ่งอาทิตย์จัดการกับเรื่องของบ้านสกุลสวีให้เรียบร้อย

“คุณปู่ครับ” สวีเหยากวงลุกจากเก้าอี้ด้วยใบหน้าเย็นชา

“หลังจากนี้เรื่องของสกุลมาสที่รัฐ M ก็ยกให้แกไปจัดการก็แล้วกัน ส่วนสถาบันวิจัยฝั่งนั้นปู่ได้หาคนที่มารับช่วงต่อเเล้ว” อาจารย์ใหญ่สวีมองออกไปนอกหน้าต่าง

ก่อนหน้านี้เขาคิดเอาไว้ถ้าหากสามารถจับคู่สวีเหยากวงกับฉินหร่านได้คงเป็นเรื่องดี

ช่วงเวลานั้นสกุลสวีเป็นตระกูลที่มีอำนาจอย่างมากในการดูแลควบคุมเรื่องต่างๆ และมีสิทธิ์ในการจัดการสถาบันวิจัย……

ทั้งยังหลบสายตาจากสาธารณชนเพื่อส่งสวีเหยากวงเข้าโรงเรียนมัธยมฯเหิงซวน สุดท้ายเขากลับถูกใจผู้หญิงที่ชื่อฉินอวี่อะไรก็ไม่ทราบ ส่วนฉินหร่านก็ถูกคนสกุลเฉิงเอาไปอีก ครั้งที่สวีเหยากวงได้ยินเฉิงเจวี้ยนหยิบเรื่องนี้มาพูดตอนอยู่อวิ๋นเฉิง ณ ตอนนั้นก็ไม่ทราบเช่นกันว่าใครคือผู้ที่รับช่วงต่อ ตลอดจนหลังสอบเข้ามหาลัยแล้ว ฉินหร่านสอบวิชาฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ได้คะแนนเต็ม เขาจึงตระหนักรู้เรื่องนี้ได้…

ดังนั้นเขาจึงรีบรุดมาที่อวิ๋นเฉิง เพื่อสอบถามฉินหร่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทว่าแม้แต่หน้าก็ไม่ได้เจอ เขาจึงกลับรัฐ M ไป

“ครับ คุณปู่” สวีเหยากวงและประธานสวีคุยกันอยู่สักพักก็ออกจากห้องหนังสือไป

เมื่อสวีเหยากวงเดินออกไปแล้ว ประธานสวีก็โทรหาฉินหร่าน

ตอนนี้ฉินหร่านอยู่ห้องหนังสือด้านบน

เฉิงเจวี้ยนกำลังใช้โทรศัพท์เล่นเกม และช่วยฉินหลิงบันทึกหน้าจอไปด้วย

หลังจากเขาส่งวิดีโอบันทึกหน้าจอให้ฉินหลิงแล้ว ผ่านไปพักใหญ่ฉินหลิงจึงตอบกลับมาประโยคหนึ่ง

[นายเล่นไม่เร็วเท่าพี่สาวฉันเลย]

เฉิงเจวี้ยนกัดบุหรี่ พลางค่อยๆ หรี่ตา

ขณะที่เขากำลังส่งข้อความตอบกลับฉินหลิง ก็มีข้อความหนึ่งปรากฏบนแถบหน้าจอโทรศัพท์ ด้านบนมีตัวอักษรเพียงคำเดียวเท่านั้น คือคำว่า

สวี

ฉินหร่านเป็นคนบันทึกรายชื่อไปเรื่อย

บ้างก็ นก บ้างก็มังกร

เมื่อเฉิงเจวี้ยนเห็นดังนั้น จึงไม่คิดว่ามีชื่อสวีที่เหมือนชื่อร้านบาร์บีคิวด้วยด้วย

นับว่าเป็นคำที่เคยเห็นอยู่บ่อยๆ

เฉิงเจวี้ยนรับโทรศัพท์พลางเดินขึ้นไปด้านบน ก่อนตอบอีกฝ่ายอย่างสุภาพว่า “รอก่อนนะครับ เธออ่านหนังสืออยู่ห้องด้านบน”

ประธานสวีที่อยู่ปลายสายตอบอย่างเยือกเย็น “ทำไมถึงเป็นนายได้?”

ครั้งที่อยู่อวิ๋นเฉิง ประธานสวียอมให้เขาคุ้มครองผู้สืบทอดในอนาคต แต่ในมุมมองของเฉิงเจวี้ยนที่พาเธอไป ถือว่าประธานสวีเสียเปรียบกว่ามาก

“ผู้อาวุโสสวี?” เฉิงเจวี้ยนเงียบไปสักพัก พลันหยุดอยู่ที่บันไดครู่หนึ่งก่อนเดินขึ้นข้างบนต่อ “คุณรอก่อนนะครับ”

เขาเปิดประตูห้องหนังสือ ขณะนั้นฉินหร่านกำลังจับปากกาเขียนเลกเชอร์วิชาคณิตศาสตร์อยู่

“เป็นผู้อาวุโสสวี” เฉิงเจวี้ยนยื่นโทรศัพท์ให้ฉินหร่าน

ฉินหร่านวางปากกาลง ก่อนรับโทรศัพท์มา “ประธานสวีเหรอคะ?”

“พอมีเวลาไหม?” ประธานสวียืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง สายตามองออกไปด้านนอกด้วยแววตานุ่มลึก “พวกเรามาคุยเรื่องของอวิ๋นเฉิงต่อเถอะ”

“เดี๋ยวก่อนค่ะ” ฉินหร่านวางมือไว้บนขมับ “รอให้สอบกลางภาคเสร็จก่อน”

“สอบกลางภาคงั้นรึ?” ประธานสวีพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ พลางเปลี่ยนมือถือโทรศัพท์ “เธอเรียนภาควิชาอะไร?”

ฉินหร่านตอบตามความจริง

ประธานสวี: “…ก็ดี” เป็นสองสาขาที่นับว่ายากเอาเรื่อง ทว่าก็เรียนตรงสายงาน

ฉินหร่านให้สัญญาไว้แล้ว และตัวเองก็อยู่ที่เมืองหลวง ประธานสวีจึงไม่ได้เร่งรัดอะไรมากนัก แน่นอนว่าคำสัญญาของเธอไม่ใช่เรื่องโกหกหลอกลวงเขา

อีกทั้งเรื่องผู้สืบทอดของเขาก็ไม่อาจใจร้อนได้ เมื่อพัวพันถึงอำนาจระดับสูง ถึงเวลานั้นเมืองหลวงคงเกิดเรื่องวุ่นวายอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้ที่อยู่ที่นี่เขาได้เตรียมตัวหาวิธีรับมือด้านต่างๆ ไว้แล้ว

ทั้งสองพูดคุยกันไม่กี่ประโยค ก็วางสาย

ฉินหร่านเอนตัวพิงเก้าอี้ ยื่นโทรศัพท์ให้เฉิงเจวี้ยน

ในมือของเฉิงเจวี้ยนประคองแก้วชาที่เหลืออยู่เล็กน้อย เขาวางแก้วลงก่อนรินน้ำเติมใหม่ แต่ไม่ได้รับโทรศัพท์ที่เธอส่งมาให้

ฉินหร่านเลิกคิ้ว หัวคิ้วพลางขมวดเข้าหากัน “คุณ…”

เดิมทีเธอนึกว่าเฉิงเจวี้ยนจะถามเรื่องประธานสวี

เฉิงเจวี้ยนยื่นมือลากเก้าอี้ตัวหนึ่งเข้ามา พลางชี้โทรศัพท์ของเธอ ก่อนพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “น้องชายเธอด่าฉัน”

ด่าเขา?

ฉินหร่านก้มอ่านข้อความในวีแชทก็เห็นข้อความที่ฉินหลิงส่งมา

เธอถือโทรศัพท์พลางตอบฉินหลิงอย่างช้าๆ สองประโยค

[เขาก็เหมือนกับนายตอนเล่นครั้งแรกนั่นแหละ]

[นายอ่อนกว่าเขา]

เมื่อตอบฉินหลิงเสร็จ ฉินหร่านมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนส่งโทรศัพท์ให้เขา

เฉิงเจวี้ยนรับมาพลางอ่านอย่างพอใจ แล้วลุกขึ้นพร้อมถือโทรศัพท์ของเธอเดินออกไป เมื่อถึงประตูห้องหนังสือ เขาเปิดหน้าแชทของฉินหลิง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังออนอยู่ เขาก็ตอบกลับไปประโยคหนึ่ง

[ไอกร๊วก (อิโมจิยิ้ม) ]

ไม่ถึงวินาที เมื่อมั่นใจว่าฉินหลิงอ่านข้อความนี้แล้ว เขาก็ลบข้อความนั้นออกอย่างรวดเร็ว ก่อนส่งอิโมจิยิ้มตัวหนึ่งกลับไป

**

ด้านล่าง เฉิงมู่ลากกระเป๋าสัมภาระของฉินหร่านกลับมาเรียบร้อยแล้ว เขาวางกระเป๋าไว้กลางห้องรับรองแขก ก่อนวางกระถางดอกไม้ไว้ขอบหน้าต่างด้วยความระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าใบของดอกไม้ร่วง หัวคิ้วก็มุ่ยเข้าหากันอัตโนมัติ คุณหนูฉินดูแลดอกไม้ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ

“กลับมาแล้วเหรอ?” เขาเพิ่งจัดการกับข้าวของเสร็จ ก็เห็นเฉิงจินเดินขึ้นมาจากห้องต้นไม้ ด้านล่าง

เฉิงจินกวาดตามองข้าวของที่อยู่กลางห้องรับรองแวบหนึ่ง “นายท่านเจวี้ยนให้ฉันกลับมา”

“นั่งก่อนสิ” เฉิงเจี้ยนเล่นเกมอย่างสบายอารมณ์

เฉิงมู่ที่ถือพลั่วอยู่นั้นนั่งลงพร้อมเฉิงจิน “มีเรื่องอะไรเหรอครับ?”

“เป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญมากๆ” เฉิงเจวี้ยนตอบอย่างไม่รีบร้อน “เฉิงจินนายใช้เวลาเท่าไหร่ในการย้ายแหล่งศูนย์กลางเงินทุนกลับมา?”

“ศูนย์กลางทั้งหมดเลยเหรอครับ? เหมือนกับอวิ๋นกวงกรุ๊ปรึเปล่าครับ?” เฉิงจินประหลาดใจ

เฉิงเจวี้ยนพิงโซฟาตอบ “ประมาณนั้น”

“อวิ๋นกวงกรุ๊ปใช้เวลาหนึ่งปี ปีที่แล้วพวกเขาก็เริ่มเข้าพักที่เมืองหลวงแล้ว แต่ว่าเรามีฐานที่ตั้งในเมืองหลวงอยู่หลายที่ ถ้าหากจะย้ายจริงๆ ก็เร็วกว่าพวกเขาเดือนนึงได้ แต่ว่า…ท่านเจวี้ยน คุณแน่ใจแล้วเหรอ?” มุมปากของเฉิงจินโค้งลง

นี่คิดอยากให้เมืองหลวงลุกเป็นไฟเลยหรือ?

“แน่ใจสิ” ในมือของเฉิงเจวี่ยนยังคงเล่นเกมอย่างต่อเนื่อง “เห็นแก่หน้าผู้อาวุโสสวี ฉันคงปฏิเสธไม่ได้”

เฉิงจินมองเฉิงเจวี้ยน ขนาดแม้แต่นายท่านเฉิงยังไม่ไว้หน้า แล้วจะให้หน้ากับผู้อาวุโสสวีเนี่ยนะ?

แต่ว่า…

เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับผู้อาวุโสสวีเล่า?

เมื่อเล่นเกมจบไปแล้วหนึ่งรอบ เฉิงเจวี้ยนมองดูที่หน้าจอ จากนั้นแคปหน้าจอส่งให้ฉินหลิง

เฉิงจินหยิบโน้ตบุ๊กทำงานในกระเป๋าออกมา ก่อนเข้าสู่ระบบอย่างรวดเร็ว เขาชำเลืองมองเฉิงเจวี้ยนแวบหนึ่ง “งั้นให้ผมจะเรียกประชุมระดับสูงเพื่อเรียนเรื่องนี้โดยเฉพาะรึเปล่าครับ?”

เขากุมโทรศัพท์ไว้ “เริ่มเลยเถอะ”

เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องอื่น เพียงปรายตามองชั้นบนก่อนยกมือขึ้นก่ายหน้าผากอย่างเกียจคร้าน หากพวกบรรดาผู้อาวุโสของแต่ละตระกูลรู้เรื่องผู้สืบทอดสถาบันวิจัยที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงแล้วล่ะก็ คงนั่งกันไม่ติด…

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ 338 ผู้สืบทอด

Now you are reading เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ Chapter 338 ผู้สืบทอด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แผ่นหลังอันเยือกเย็น และน่าเกรงขาม

ทำให้เหลิ่งเพ่ยซานชะงักไปครู่หนึ่ง เธอเดินไปหาหนานฮุ่ยเหยา “คนนั้น…”

“คนที่มาเก็บของให้หร่านหร่านน่ะ เธอจะไม่อยู่ที่หอแล้ว” หนานฮุ่ยเหยาหันหน้าพลางอธิบาย

คนที่บ้าน?

เหลิ่งเพ่ยซานขบคิด

เฉิงมู่เก็บของเสร็จเรียบร้อย มือด้านซ้ายถือกระเป๋าเสื้อผ้าสีดำ ด้านขวาอุ้มกระถางดอกไม้ไว้ด้วยร่างกายกำยำ ประสาทสัมผัสทั้งห้าที่เย็นยะเยือก แม้ใบหน้าไร้รอยยิ้ม แต่แววตากลับเปล่งประกายราวกับแสงจันทร์ในฤดูหนาว

“คุณชายเฉิงมู่?” เหลิ่งเพ่ยซานเรียกด้วยน้ำเสียงแห้งแหบ

ขณะที่เฉิงมู่กำลังลากสัมภาระออกไปอย่างสบายอารมณ์ เมื่อได้ยินเสียงของเหลิ่งเพ่ยซาน จึงหยุดเดินแล้วหันมองเธอแวบหนึ่ง ก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเมทของฉินหร่าน ก่อนเดินไปหาเพื่อทักทายเธอด้วยความสุภาพ

“หนูเป็นรุ่นน้องของโอวหยางเวยค่ะ พวกเราเคยเจอกันแล้วที่งานเลี้ยงวันเกิดครั้งก่อนของพี่เขาน่ะค่ะ” นิ้วมือของเหลิ่งเพ่ยซานจิกอยู่บนฝ่ามือ

งานเลี้ยงวันเกิดของโอวหยางเวยจัดอย่างใหญ่โต ล้วนเป็นคนมีหน้ามีตาในเมืองหลวง คนที่เหลิ่งเพ่ยซานรู้จักมีไม่มาก

ทว่ารู้จักกับเฉิงมู่ที่ยืนอยู่กลางสุดท่ามกลางกลุ่มคนจำนวนมาก

เมื่อได้ยิน “โอวหยางเวย” สามคำ ท่าทีเกรงใจของเฉิงมู่ก็หายไป แต่แฝงไว้ราวกับเหล็กแข็งดังเดิม

เขาไม่เหมือนกับฉินหร่านหรือเฉิงเจวี้ยน ที่สามารถจดจำได้ทุกรายละเอียด และเช่นเดียวกับเหลิ่งเพ่ยซานคนนี้ ในเมืองหลวงมีคนตั้งมากมาย เขาไม่สามารถจดจำได้ทุกคน

หากเหลิ่งเพ่ยซานพูดถึงเรื่องนี้เมื่อปีก่อน เฉิ่งมู่อาจจะหยุดทักทายเธอก็ได้

ทว่าตอนนี้โอวหยางเวยไม่ใช่นางฟ้าสำหรับเขาอีกต่อไปแล้ว และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ…

เฉิงจินและเฉิงสุ่ยเคยเตือนเขาเรื่องโอวหยางเวยอย่างเป็นจริงเป็นจัง

เฉิงมู่ไม่ใช่คนมีไหวพริบดี แต่คำพูดของพี่ๆ แต่ละคนเขาล้วนจำได้ขึ้นใจ

เหลิ่งเพ่ยซานไม่เคยคุยกับเฉิงมู่มาก่อน แต่เคยได้ยินคนอื่นพูดเรื่องเฉิงมู่มาบ้างเกี่ยวกับคนของสกุลเฉิง เมื่อก่อนเธอทำได้เพียงมองดูอยู่ห่างๆ ที่งานเลี้ยงของโอวหยางเวยเท่านั้น

เมื่อเห็นเฉิงมู่ทำท่าทีเหมือนจะหยุดเดินแต่สุดท้ายก็ลากกระเป๋าออกไปเช่นนี้ เหลิงเพ่ยซานทำได้เพียงยิ้ม พลางยกมือทัดผมไว้หลังหู พูดอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “พี่สาวของหนูใกล้สอบเข้าตำแหน่งเจ้าหน้าที่ระดับกลางแล้ว…”

เฉิงมู่ไม่มีแม้แต่ท่าทีสนใจพลางลากกระเป๋าเดินลงชั้นล่างราวกับหุ่นยนต์

หอพักด้านใน เหลิ่งเพ่ยซานมองแผ่นหลังของเฉิงมู่ ก่อนสลัดรอยยิ้มบนใบหน้า

เธอนั่งลงเก้าอี้ตัวเองอย่างหมดแรง

หยางอี๋วางหนังสือบนโต๊ะ “เธอรู้จักกับคนในบ้านฉินหร่านด้วยเหรอ?”

“รู้จัก…” เหลิ่งเพ่ยซานถือโทรศัพท์ สายตาหันออกมองนอกระเบียง

หนานฮุ่ยเหยาลากเก้าอี้แล้วนั่งลง ก่อนเกยคางลงบนนิ้วมืออย่างเอื่อยเฉื่อยพลางยิ้ม “เธอได้ยินไหมว่าเขาสกุลเฉิงเลยนะ คนในมหาลัยไม่มีใครกล้ายุ่งกับคนสกุลนี้ได้ หลังจากนี้ก็รีบๆ เกาะขาหร่านหร่านเอาไว้ให้ดีละกัน”

หยางอี๋พยักหน้าเห็นด้วย “พูดอีกก็ถูกอีก”

สองคนนี้ยังมีอารมณ์มาหัวเราะอยู่ได้ แต่เหลิ่งเพ่ยซานกลับรู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าขำเลยสักนิด

เฉิงมู่คือลูกน้องที่ผู้อาวุโสแห่งบ้านสกุลเฉิงให้ความสำคัญที่สุด สามารถเข้าออกบ้านเดิมของสกุลเฉิงได้ เรื่องนี้คนในวงในต่างรู้กันดี ว่าโดยปกติแล้วเมื่อผู้สืบทอดเจอเฉิงมู่ต้องให้ความเคารพด้วย

เช่นนั้นคนที่ฉินหร่านบอกว่าแฟนที่ทำงานแล้วก็คือเฉิงมู่น่ะหรือ?

ทำไมเธอถึงไปเกี่ยวดองกับคนในบ้านสกุลเฉิงได้…

**

ณ บ้านสกุลสวี

อาจารย์ใหญ่สวีอาศัยอยู่ในรัฐ M เกือบสามเดือนเต็มเพื่อเปิดตลาด หลังจากกลับมาที่เมืองหลวงแล้วใช้เวลาหนึ่งอาทิตย์จัดการกับเรื่องของบ้านสกุลสวีให้เรียบร้อย

“คุณปู่ครับ” สวีเหยากวงลุกจากเก้าอี้ด้วยใบหน้าเย็นชา

“หลังจากนี้เรื่องของสกุลมาสที่รัฐ M ก็ยกให้แกไปจัดการก็แล้วกัน ส่วนสถาบันวิจัยฝั่งนั้นปู่ได้หาคนที่มารับช่วงต่อเเล้ว” อาจารย์ใหญ่สวีมองออกไปนอกหน้าต่าง

ก่อนหน้านี้เขาคิดเอาไว้ถ้าหากสามารถจับคู่สวีเหยากวงกับฉินหร่านได้คงเป็นเรื่องดี

ช่วงเวลานั้นสกุลสวีเป็นตระกูลที่มีอำนาจอย่างมากในการดูแลควบคุมเรื่องต่างๆ และมีสิทธิ์ในการจัดการสถาบันวิจัย……

ทั้งยังหลบสายตาจากสาธารณชนเพื่อส่งสวีเหยากวงเข้าโรงเรียนมัธยมฯเหิงซวน สุดท้ายเขากลับถูกใจผู้หญิงที่ชื่อฉินอวี่อะไรก็ไม่ทราบ ส่วนฉินหร่านก็ถูกคนสกุลเฉิงเอาไปอีก ครั้งที่สวีเหยากวงได้ยินเฉิงเจวี้ยนหยิบเรื่องนี้มาพูดตอนอยู่อวิ๋นเฉิง ณ ตอนนั้นก็ไม่ทราบเช่นกันว่าใครคือผู้ที่รับช่วงต่อ ตลอดจนหลังสอบเข้ามหาลัยแล้ว ฉินหร่านสอบวิชาฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ได้คะแนนเต็ม เขาจึงตระหนักรู้เรื่องนี้ได้…

ดังนั้นเขาจึงรีบรุดมาที่อวิ๋นเฉิง เพื่อสอบถามฉินหร่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทว่าแม้แต่หน้าก็ไม่ได้เจอ เขาจึงกลับรัฐ M ไป

“ครับ คุณปู่” สวีเหยากวงและประธานสวีคุยกันอยู่สักพักก็ออกจากห้องหนังสือไป

เมื่อสวีเหยากวงเดินออกไปแล้ว ประธานสวีก็โทรหาฉินหร่าน

ตอนนี้ฉินหร่านอยู่ห้องหนังสือด้านบน

เฉิงเจวี้ยนกำลังใช้โทรศัพท์เล่นเกม และช่วยฉินหลิงบันทึกหน้าจอไปด้วย

หลังจากเขาส่งวิดีโอบันทึกหน้าจอให้ฉินหลิงแล้ว ผ่านไปพักใหญ่ฉินหลิงจึงตอบกลับมาประโยคหนึ่ง

[นายเล่นไม่เร็วเท่าพี่สาวฉันเลย]

เฉิงเจวี้ยนกัดบุหรี่ พลางค่อยๆ หรี่ตา

ขณะที่เขากำลังส่งข้อความตอบกลับฉินหลิง ก็มีข้อความหนึ่งปรากฏบนแถบหน้าจอโทรศัพท์ ด้านบนมีตัวอักษรเพียงคำเดียวเท่านั้น คือคำว่า

สวี

ฉินหร่านเป็นคนบันทึกรายชื่อไปเรื่อย

บ้างก็ นก บ้างก็มังกร

เมื่อเฉิงเจวี้ยนเห็นดังนั้น จึงไม่คิดว่ามีชื่อสวีที่เหมือนชื่อร้านบาร์บีคิวด้วยด้วย

นับว่าเป็นคำที่เคยเห็นอยู่บ่อยๆ

เฉิงเจวี้ยนรับโทรศัพท์พลางเดินขึ้นไปด้านบน ก่อนตอบอีกฝ่ายอย่างสุภาพว่า “รอก่อนนะครับ เธออ่านหนังสืออยู่ห้องด้านบน”

ประธานสวีที่อยู่ปลายสายตอบอย่างเยือกเย็น “ทำไมถึงเป็นนายได้?”

ครั้งที่อยู่อวิ๋นเฉิง ประธานสวียอมให้เขาคุ้มครองผู้สืบทอดในอนาคต แต่ในมุมมองของเฉิงเจวี้ยนที่พาเธอไป ถือว่าประธานสวีเสียเปรียบกว่ามาก

“ผู้อาวุโสสวี?” เฉิงเจวี้ยนเงียบไปสักพัก พลันหยุดอยู่ที่บันไดครู่หนึ่งก่อนเดินขึ้นข้างบนต่อ “คุณรอก่อนนะครับ”

เขาเปิดประตูห้องหนังสือ ขณะนั้นฉินหร่านกำลังจับปากกาเขียนเลกเชอร์วิชาคณิตศาสตร์อยู่

“เป็นผู้อาวุโสสวี” เฉิงเจวี้ยนยื่นโทรศัพท์ให้ฉินหร่าน

ฉินหร่านวางปากกาลง ก่อนรับโทรศัพท์มา “ประธานสวีเหรอคะ?”

“พอมีเวลาไหม?” ประธานสวียืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง สายตามองออกไปด้านนอกด้วยแววตานุ่มลึก “พวกเรามาคุยเรื่องของอวิ๋นเฉิงต่อเถอะ”

“เดี๋ยวก่อนค่ะ” ฉินหร่านวางมือไว้บนขมับ “รอให้สอบกลางภาคเสร็จก่อน”

“สอบกลางภาคงั้นรึ?” ประธานสวีพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ พลางเปลี่ยนมือถือโทรศัพท์ “เธอเรียนภาควิชาอะไร?”

ฉินหร่านตอบตามความจริง

ประธานสวี: “…ก็ดี” เป็นสองสาขาที่นับว่ายากเอาเรื่อง ทว่าก็เรียนตรงสายงาน

ฉินหร่านให้สัญญาไว้แล้ว และตัวเองก็อยู่ที่เมืองหลวง ประธานสวีจึงไม่ได้เร่งรัดอะไรมากนัก แน่นอนว่าคำสัญญาของเธอไม่ใช่เรื่องโกหกหลอกลวงเขา

อีกทั้งเรื่องผู้สืบทอดของเขาก็ไม่อาจใจร้อนได้ เมื่อพัวพันถึงอำนาจระดับสูง ถึงเวลานั้นเมืองหลวงคงเกิดเรื่องวุ่นวายอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้ที่อยู่ที่นี่เขาได้เตรียมตัวหาวิธีรับมือด้านต่างๆ ไว้แล้ว

ทั้งสองพูดคุยกันไม่กี่ประโยค ก็วางสาย

ฉินหร่านเอนตัวพิงเก้าอี้ ยื่นโทรศัพท์ให้เฉิงเจวี้ยน

ในมือของเฉิงเจวี้ยนประคองแก้วชาที่เหลืออยู่เล็กน้อย เขาวางแก้วลงก่อนรินน้ำเติมใหม่ แต่ไม่ได้รับโทรศัพท์ที่เธอส่งมาให้

ฉินหร่านเลิกคิ้ว หัวคิ้วพลางขมวดเข้าหากัน “คุณ…”

เดิมทีเธอนึกว่าเฉิงเจวี้ยนจะถามเรื่องประธานสวี

เฉิงเจวี้ยนยื่นมือลากเก้าอี้ตัวหนึ่งเข้ามา พลางชี้โทรศัพท์ของเธอ ก่อนพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “น้องชายเธอด่าฉัน”

ด่าเขา?

ฉินหร่านก้มอ่านข้อความในวีแชทก็เห็นข้อความที่ฉินหลิงส่งมา

เธอถือโทรศัพท์พลางตอบฉินหลิงอย่างช้าๆ สองประโยค

[เขาก็เหมือนกับนายตอนเล่นครั้งแรกนั่นแหละ]

[นายอ่อนกว่าเขา]

เมื่อตอบฉินหลิงเสร็จ ฉินหร่านมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนส่งโทรศัพท์ให้เขา

เฉิงเจวี้ยนรับมาพลางอ่านอย่างพอใจ แล้วลุกขึ้นพร้อมถือโทรศัพท์ของเธอเดินออกไป เมื่อถึงประตูห้องหนังสือ เขาเปิดหน้าแชทของฉินหลิง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังออนอยู่ เขาก็ตอบกลับไปประโยคหนึ่ง

[ไอกร๊วก (อิโมจิยิ้ม) ]

ไม่ถึงวินาที เมื่อมั่นใจว่าฉินหลิงอ่านข้อความนี้แล้ว เขาก็ลบข้อความนั้นออกอย่างรวดเร็ว ก่อนส่งอิโมจิยิ้มตัวหนึ่งกลับไป

**

ด้านล่าง เฉิงมู่ลากกระเป๋าสัมภาระของฉินหร่านกลับมาเรียบร้อยแล้ว เขาวางกระเป๋าไว้กลางห้องรับรองแขก ก่อนวางกระถางดอกไม้ไว้ขอบหน้าต่างด้วยความระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าใบของดอกไม้ร่วง หัวคิ้วก็มุ่ยเข้าหากันอัตโนมัติ คุณหนูฉินดูแลดอกไม้ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ

“กลับมาแล้วเหรอ?” เขาเพิ่งจัดการกับข้าวของเสร็จ ก็เห็นเฉิงจินเดินขึ้นมาจากห้องต้นไม้ ด้านล่าง

เฉิงจินกวาดตามองข้าวของที่อยู่กลางห้องรับรองแวบหนึ่ง “นายท่านเจวี้ยนให้ฉันกลับมา”

“นั่งก่อนสิ” เฉิงเจี้ยนเล่นเกมอย่างสบายอารมณ์

เฉิงมู่ที่ถือพลั่วอยู่นั้นนั่งลงพร้อมเฉิงจิน “มีเรื่องอะไรเหรอครับ?”

“เป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญมากๆ” เฉิงเจวี้ยนตอบอย่างไม่รีบร้อน “เฉิงจินนายใช้เวลาเท่าไหร่ในการย้ายแหล่งศูนย์กลางเงินทุนกลับมา?”

“ศูนย์กลางทั้งหมดเลยเหรอครับ? เหมือนกับอวิ๋นกวงกรุ๊ปรึเปล่าครับ?” เฉิงจินประหลาดใจ

เฉิงเจวี้ยนพิงโซฟาตอบ “ประมาณนั้น”

“อวิ๋นกวงกรุ๊ปใช้เวลาหนึ่งปี ปีที่แล้วพวกเขาก็เริ่มเข้าพักที่เมืองหลวงแล้ว แต่ว่าเรามีฐานที่ตั้งในเมืองหลวงอยู่หลายที่ ถ้าหากจะย้ายจริงๆ ก็เร็วกว่าพวกเขาเดือนนึงได้ แต่ว่า…ท่านเจวี้ยน คุณแน่ใจแล้วเหรอ?” มุมปากของเฉิงจินโค้งลง

นี่คิดอยากให้เมืองหลวงลุกเป็นไฟเลยหรือ?

“แน่ใจสิ” ในมือของเฉิงเจวี่ยนยังคงเล่นเกมอย่างต่อเนื่อง “เห็นแก่หน้าผู้อาวุโสสวี ฉันคงปฏิเสธไม่ได้”

เฉิงจินมองเฉิงเจวี้ยน ขนาดแม้แต่นายท่านเฉิงยังไม่ไว้หน้า แล้วจะให้หน้ากับผู้อาวุโสสวีเนี่ยนะ?

แต่ว่า…

เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับผู้อาวุโสสวีเล่า?

เมื่อเล่นเกมจบไปแล้วหนึ่งรอบ เฉิงเจวี้ยนมองดูที่หน้าจอ จากนั้นแคปหน้าจอส่งให้ฉินหลิง

เฉิงจินหยิบโน้ตบุ๊กทำงานในกระเป๋าออกมา ก่อนเข้าสู่ระบบอย่างรวดเร็ว เขาชำเลืองมองเฉิงเจวี้ยนแวบหนึ่ง “งั้นให้ผมจะเรียกประชุมระดับสูงเพื่อเรียนเรื่องนี้โดยเฉพาะรึเปล่าครับ?”

เขากุมโทรศัพท์ไว้ “เริ่มเลยเถอะ”

เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องอื่น เพียงปรายตามองชั้นบนก่อนยกมือขึ้นก่ายหน้าผากอย่างเกียจคร้าน หากพวกบรรดาผู้อาวุโสของแต่ละตระกูลรู้เรื่องผู้สืบทอดสถาบันวิจัยที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงแล้วล่ะก็ คงนั่งกันไม่ติด…

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ 338 ผู้สืบทอด

Now you are reading เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ Chapter 338 ผู้สืบทอด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แผ่นหลังอันเยือกเย็น และน่าเกรงขาม

ทำให้เหลิ่งเพ่ยซานชะงักไปครู่หนึ่ง เธอเดินไปหาหนานฮุ่ยเหยา “คนนั้น…”

“คนที่มาเก็บของให้หร่านหร่านน่ะ เธอจะไม่อยู่ที่หอแล้ว” หนานฮุ่ยเหยาหันหน้าพลางอธิบาย

คนที่บ้าน?

เหลิ่งเพ่ยซานขบคิด

เฉิงมู่เก็บของเสร็จเรียบร้อย มือด้านซ้ายถือกระเป๋าเสื้อผ้าสีดำ ด้านขวาอุ้มกระถางดอกไม้ไว้ด้วยร่างกายกำยำ ประสาทสัมผัสทั้งห้าที่เย็นยะเยือก แม้ใบหน้าไร้รอยยิ้ม แต่แววตากลับเปล่งประกายราวกับแสงจันทร์ในฤดูหนาว

“คุณชายเฉิงมู่?” เหลิ่งเพ่ยซานเรียกด้วยน้ำเสียงแห้งแหบ

ขณะที่เฉิงมู่กำลังลากสัมภาระออกไปอย่างสบายอารมณ์ เมื่อได้ยินเสียงของเหลิ่งเพ่ยซาน จึงหยุดเดินแล้วหันมองเธอแวบหนึ่ง ก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเมทของฉินหร่าน ก่อนเดินไปหาเพื่อทักทายเธอด้วยความสุภาพ

“หนูเป็นรุ่นน้องของโอวหยางเวยค่ะ พวกเราเคยเจอกันแล้วที่งานเลี้ยงวันเกิดครั้งก่อนของพี่เขาน่ะค่ะ” นิ้วมือของเหลิ่งเพ่ยซานจิกอยู่บนฝ่ามือ

งานเลี้ยงวันเกิดของโอวหยางเวยจัดอย่างใหญ่โต ล้วนเป็นคนมีหน้ามีตาในเมืองหลวง คนที่เหลิ่งเพ่ยซานรู้จักมีไม่มาก

ทว่ารู้จักกับเฉิงมู่ที่ยืนอยู่กลางสุดท่ามกลางกลุ่มคนจำนวนมาก

เมื่อได้ยิน “โอวหยางเวย” สามคำ ท่าทีเกรงใจของเฉิงมู่ก็หายไป แต่แฝงไว้ราวกับเหล็กแข็งดังเดิม

เขาไม่เหมือนกับฉินหร่านหรือเฉิงเจวี้ยน ที่สามารถจดจำได้ทุกรายละเอียด และเช่นเดียวกับเหลิ่งเพ่ยซานคนนี้ ในเมืองหลวงมีคนตั้งมากมาย เขาไม่สามารถจดจำได้ทุกคน

หากเหลิ่งเพ่ยซานพูดถึงเรื่องนี้เมื่อปีก่อน เฉิ่งมู่อาจจะหยุดทักทายเธอก็ได้

ทว่าตอนนี้โอวหยางเวยไม่ใช่นางฟ้าสำหรับเขาอีกต่อไปแล้ว และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ…

เฉิงจินและเฉิงสุ่ยเคยเตือนเขาเรื่องโอวหยางเวยอย่างเป็นจริงเป็นจัง

เฉิงมู่ไม่ใช่คนมีไหวพริบดี แต่คำพูดของพี่ๆ แต่ละคนเขาล้วนจำได้ขึ้นใจ

เหลิ่งเพ่ยซานไม่เคยคุยกับเฉิงมู่มาก่อน แต่เคยได้ยินคนอื่นพูดเรื่องเฉิงมู่มาบ้างเกี่ยวกับคนของสกุลเฉิง เมื่อก่อนเธอทำได้เพียงมองดูอยู่ห่างๆ ที่งานเลี้ยงของโอวหยางเวยเท่านั้น

เมื่อเห็นเฉิงมู่ทำท่าทีเหมือนจะหยุดเดินแต่สุดท้ายก็ลากกระเป๋าออกไปเช่นนี้ เหลิงเพ่ยซานทำได้เพียงยิ้ม พลางยกมือทัดผมไว้หลังหู พูดอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “พี่สาวของหนูใกล้สอบเข้าตำแหน่งเจ้าหน้าที่ระดับกลางแล้ว…”

เฉิงมู่ไม่มีแม้แต่ท่าทีสนใจพลางลากกระเป๋าเดินลงชั้นล่างราวกับหุ่นยนต์

หอพักด้านใน เหลิ่งเพ่ยซานมองแผ่นหลังของเฉิงมู่ ก่อนสลัดรอยยิ้มบนใบหน้า

เธอนั่งลงเก้าอี้ตัวเองอย่างหมดแรง

หยางอี๋วางหนังสือบนโต๊ะ “เธอรู้จักกับคนในบ้านฉินหร่านด้วยเหรอ?”

“รู้จัก…” เหลิ่งเพ่ยซานถือโทรศัพท์ สายตาหันออกมองนอกระเบียง

หนานฮุ่ยเหยาลากเก้าอี้แล้วนั่งลง ก่อนเกยคางลงบนนิ้วมืออย่างเอื่อยเฉื่อยพลางยิ้ม “เธอได้ยินไหมว่าเขาสกุลเฉิงเลยนะ คนในมหาลัยไม่มีใครกล้ายุ่งกับคนสกุลนี้ได้ หลังจากนี้ก็รีบๆ เกาะขาหร่านหร่านเอาไว้ให้ดีละกัน”

หยางอี๋พยักหน้าเห็นด้วย “พูดอีกก็ถูกอีก”

สองคนนี้ยังมีอารมณ์มาหัวเราะอยู่ได้ แต่เหลิ่งเพ่ยซานกลับรู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าขำเลยสักนิด

เฉิงมู่คือลูกน้องที่ผู้อาวุโสแห่งบ้านสกุลเฉิงให้ความสำคัญที่สุด สามารถเข้าออกบ้านเดิมของสกุลเฉิงได้ เรื่องนี้คนในวงในต่างรู้กันดี ว่าโดยปกติแล้วเมื่อผู้สืบทอดเจอเฉิงมู่ต้องให้ความเคารพด้วย

เช่นนั้นคนที่ฉินหร่านบอกว่าแฟนที่ทำงานแล้วก็คือเฉิงมู่น่ะหรือ?

ทำไมเธอถึงไปเกี่ยวดองกับคนในบ้านสกุลเฉิงได้…

**

ณ บ้านสกุลสวี

อาจารย์ใหญ่สวีอาศัยอยู่ในรัฐ M เกือบสามเดือนเต็มเพื่อเปิดตลาด หลังจากกลับมาที่เมืองหลวงแล้วใช้เวลาหนึ่งอาทิตย์จัดการกับเรื่องของบ้านสกุลสวีให้เรียบร้อย

“คุณปู่ครับ” สวีเหยากวงลุกจากเก้าอี้ด้วยใบหน้าเย็นชา

“หลังจากนี้เรื่องของสกุลมาสที่รัฐ M ก็ยกให้แกไปจัดการก็แล้วกัน ส่วนสถาบันวิจัยฝั่งนั้นปู่ได้หาคนที่มารับช่วงต่อเเล้ว” อาจารย์ใหญ่สวีมองออกไปนอกหน้าต่าง

ก่อนหน้านี้เขาคิดเอาไว้ถ้าหากสามารถจับคู่สวีเหยากวงกับฉินหร่านได้คงเป็นเรื่องดี

ช่วงเวลานั้นสกุลสวีเป็นตระกูลที่มีอำนาจอย่างมากในการดูแลควบคุมเรื่องต่างๆ และมีสิทธิ์ในการจัดการสถาบันวิจัย……

ทั้งยังหลบสายตาจากสาธารณชนเพื่อส่งสวีเหยากวงเข้าโรงเรียนมัธยมฯเหิงซวน สุดท้ายเขากลับถูกใจผู้หญิงที่ชื่อฉินอวี่อะไรก็ไม่ทราบ ส่วนฉินหร่านก็ถูกคนสกุลเฉิงเอาไปอีก ครั้งที่สวีเหยากวงได้ยินเฉิงเจวี้ยนหยิบเรื่องนี้มาพูดตอนอยู่อวิ๋นเฉิง ณ ตอนนั้นก็ไม่ทราบเช่นกันว่าใครคือผู้ที่รับช่วงต่อ ตลอดจนหลังสอบเข้ามหาลัยแล้ว ฉินหร่านสอบวิชาฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ได้คะแนนเต็ม เขาจึงตระหนักรู้เรื่องนี้ได้…

ดังนั้นเขาจึงรีบรุดมาที่อวิ๋นเฉิง เพื่อสอบถามฉินหร่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทว่าแม้แต่หน้าก็ไม่ได้เจอ เขาจึงกลับรัฐ M ไป

“ครับ คุณปู่” สวีเหยากวงและประธานสวีคุยกันอยู่สักพักก็ออกจากห้องหนังสือไป

เมื่อสวีเหยากวงเดินออกไปแล้ว ประธานสวีก็โทรหาฉินหร่าน

ตอนนี้ฉินหร่านอยู่ห้องหนังสือด้านบน

เฉิงเจวี้ยนกำลังใช้โทรศัพท์เล่นเกม และช่วยฉินหลิงบันทึกหน้าจอไปด้วย

หลังจากเขาส่งวิดีโอบันทึกหน้าจอให้ฉินหลิงแล้ว ผ่านไปพักใหญ่ฉินหลิงจึงตอบกลับมาประโยคหนึ่ง

[นายเล่นไม่เร็วเท่าพี่สาวฉันเลย]

เฉิงเจวี้ยนกัดบุหรี่ พลางค่อยๆ หรี่ตา

ขณะที่เขากำลังส่งข้อความตอบกลับฉินหลิง ก็มีข้อความหนึ่งปรากฏบนแถบหน้าจอโทรศัพท์ ด้านบนมีตัวอักษรเพียงคำเดียวเท่านั้น คือคำว่า

สวี

ฉินหร่านเป็นคนบันทึกรายชื่อไปเรื่อย

บ้างก็ นก บ้างก็มังกร

เมื่อเฉิงเจวี้ยนเห็นดังนั้น จึงไม่คิดว่ามีชื่อสวีที่เหมือนชื่อร้านบาร์บีคิวด้วยด้วย

นับว่าเป็นคำที่เคยเห็นอยู่บ่อยๆ

เฉิงเจวี้ยนรับโทรศัพท์พลางเดินขึ้นไปด้านบน ก่อนตอบอีกฝ่ายอย่างสุภาพว่า “รอก่อนนะครับ เธออ่านหนังสืออยู่ห้องด้านบน”

ประธานสวีที่อยู่ปลายสายตอบอย่างเยือกเย็น “ทำไมถึงเป็นนายได้?”

ครั้งที่อยู่อวิ๋นเฉิง ประธานสวียอมให้เขาคุ้มครองผู้สืบทอดในอนาคต แต่ในมุมมองของเฉิงเจวี้ยนที่พาเธอไป ถือว่าประธานสวีเสียเปรียบกว่ามาก

“ผู้อาวุโสสวี?” เฉิงเจวี้ยนเงียบไปสักพัก พลันหยุดอยู่ที่บันไดครู่หนึ่งก่อนเดินขึ้นข้างบนต่อ “คุณรอก่อนนะครับ”

เขาเปิดประตูห้องหนังสือ ขณะนั้นฉินหร่านกำลังจับปากกาเขียนเลกเชอร์วิชาคณิตศาสตร์อยู่

“เป็นผู้อาวุโสสวี” เฉิงเจวี้ยนยื่นโทรศัพท์ให้ฉินหร่าน

ฉินหร่านวางปากกาลง ก่อนรับโทรศัพท์มา “ประธานสวีเหรอคะ?”

“พอมีเวลาไหม?” ประธานสวียืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง สายตามองออกไปด้านนอกด้วยแววตานุ่มลึก “พวกเรามาคุยเรื่องของอวิ๋นเฉิงต่อเถอะ”

“เดี๋ยวก่อนค่ะ” ฉินหร่านวางมือไว้บนขมับ “รอให้สอบกลางภาคเสร็จก่อน”

“สอบกลางภาคงั้นรึ?” ประธานสวีพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ พลางเปลี่ยนมือถือโทรศัพท์ “เธอเรียนภาควิชาอะไร?”

ฉินหร่านตอบตามความจริง

ประธานสวี: “…ก็ดี” เป็นสองสาขาที่นับว่ายากเอาเรื่อง ทว่าก็เรียนตรงสายงาน

ฉินหร่านให้สัญญาไว้แล้ว และตัวเองก็อยู่ที่เมืองหลวง ประธานสวีจึงไม่ได้เร่งรัดอะไรมากนัก แน่นอนว่าคำสัญญาของเธอไม่ใช่เรื่องโกหกหลอกลวงเขา

อีกทั้งเรื่องผู้สืบทอดของเขาก็ไม่อาจใจร้อนได้ เมื่อพัวพันถึงอำนาจระดับสูง ถึงเวลานั้นเมืองหลวงคงเกิดเรื่องวุ่นวายอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้ที่อยู่ที่นี่เขาได้เตรียมตัวหาวิธีรับมือด้านต่างๆ ไว้แล้ว

ทั้งสองพูดคุยกันไม่กี่ประโยค ก็วางสาย

ฉินหร่านเอนตัวพิงเก้าอี้ ยื่นโทรศัพท์ให้เฉิงเจวี้ยน

ในมือของเฉิงเจวี้ยนประคองแก้วชาที่เหลืออยู่เล็กน้อย เขาวางแก้วลงก่อนรินน้ำเติมใหม่ แต่ไม่ได้รับโทรศัพท์ที่เธอส่งมาให้

ฉินหร่านเลิกคิ้ว หัวคิ้วพลางขมวดเข้าหากัน “คุณ…”

เดิมทีเธอนึกว่าเฉิงเจวี้ยนจะถามเรื่องประธานสวี

เฉิงเจวี้ยนยื่นมือลากเก้าอี้ตัวหนึ่งเข้ามา พลางชี้โทรศัพท์ของเธอ ก่อนพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “น้องชายเธอด่าฉัน”

ด่าเขา?

ฉินหร่านก้มอ่านข้อความในวีแชทก็เห็นข้อความที่ฉินหลิงส่งมา

เธอถือโทรศัพท์พลางตอบฉินหลิงอย่างช้าๆ สองประโยค

[เขาก็เหมือนกับนายตอนเล่นครั้งแรกนั่นแหละ]

[นายอ่อนกว่าเขา]

เมื่อตอบฉินหลิงเสร็จ ฉินหร่านมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนส่งโทรศัพท์ให้เขา

เฉิงเจวี้ยนรับมาพลางอ่านอย่างพอใจ แล้วลุกขึ้นพร้อมถือโทรศัพท์ของเธอเดินออกไป เมื่อถึงประตูห้องหนังสือ เขาเปิดหน้าแชทของฉินหลิง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังออนอยู่ เขาก็ตอบกลับไปประโยคหนึ่ง

[ไอกร๊วก (อิโมจิยิ้ม) ]

ไม่ถึงวินาที เมื่อมั่นใจว่าฉินหลิงอ่านข้อความนี้แล้ว เขาก็ลบข้อความนั้นออกอย่างรวดเร็ว ก่อนส่งอิโมจิยิ้มตัวหนึ่งกลับไป

**

ด้านล่าง เฉิงมู่ลากกระเป๋าสัมภาระของฉินหร่านกลับมาเรียบร้อยแล้ว เขาวางกระเป๋าไว้กลางห้องรับรองแขก ก่อนวางกระถางดอกไม้ไว้ขอบหน้าต่างด้วยความระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าใบของดอกไม้ร่วง หัวคิ้วก็มุ่ยเข้าหากันอัตโนมัติ คุณหนูฉินดูแลดอกไม้ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ

“กลับมาแล้วเหรอ?” เขาเพิ่งจัดการกับข้าวของเสร็จ ก็เห็นเฉิงจินเดินขึ้นมาจากห้องต้นไม้ ด้านล่าง

เฉิงจินกวาดตามองข้าวของที่อยู่กลางห้องรับรองแวบหนึ่ง “นายท่านเจวี้ยนให้ฉันกลับมา”

“นั่งก่อนสิ” เฉิงเจี้ยนเล่นเกมอย่างสบายอารมณ์

เฉิงมู่ที่ถือพลั่วอยู่นั้นนั่งลงพร้อมเฉิงจิน “มีเรื่องอะไรเหรอครับ?”

“เป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญมากๆ” เฉิงเจวี้ยนตอบอย่างไม่รีบร้อน “เฉิงจินนายใช้เวลาเท่าไหร่ในการย้ายแหล่งศูนย์กลางเงินทุนกลับมา?”

“ศูนย์กลางทั้งหมดเลยเหรอครับ? เหมือนกับอวิ๋นกวงกรุ๊ปรึเปล่าครับ?” เฉิงจินประหลาดใจ

เฉิงเจวี้ยนพิงโซฟาตอบ “ประมาณนั้น”

“อวิ๋นกวงกรุ๊ปใช้เวลาหนึ่งปี ปีที่แล้วพวกเขาก็เริ่มเข้าพักที่เมืองหลวงแล้ว แต่ว่าเรามีฐานที่ตั้งในเมืองหลวงอยู่หลายที่ ถ้าหากจะย้ายจริงๆ ก็เร็วกว่าพวกเขาเดือนนึงได้ แต่ว่า…ท่านเจวี้ยน คุณแน่ใจแล้วเหรอ?” มุมปากของเฉิงจินโค้งลง

นี่คิดอยากให้เมืองหลวงลุกเป็นไฟเลยหรือ?

“แน่ใจสิ” ในมือของเฉิงเจวี่ยนยังคงเล่นเกมอย่างต่อเนื่อง “เห็นแก่หน้าผู้อาวุโสสวี ฉันคงปฏิเสธไม่ได้”

เฉิงจินมองเฉิงเจวี้ยน ขนาดแม้แต่นายท่านเฉิงยังไม่ไว้หน้า แล้วจะให้หน้ากับผู้อาวุโสสวีเนี่ยนะ?

แต่ว่า…

เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับผู้อาวุโสสวีเล่า?

เมื่อเล่นเกมจบไปแล้วหนึ่งรอบ เฉิงเจวี้ยนมองดูที่หน้าจอ จากนั้นแคปหน้าจอส่งให้ฉินหลิง

เฉิงจินหยิบโน้ตบุ๊กทำงานในกระเป๋าออกมา ก่อนเข้าสู่ระบบอย่างรวดเร็ว เขาชำเลืองมองเฉิงเจวี้ยนแวบหนึ่ง “งั้นให้ผมจะเรียกประชุมระดับสูงเพื่อเรียนเรื่องนี้โดยเฉพาะรึเปล่าครับ?”

เขากุมโทรศัพท์ไว้ “เริ่มเลยเถอะ”

เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องอื่น เพียงปรายตามองชั้นบนก่อนยกมือขึ้นก่ายหน้าผากอย่างเกียจคร้าน หากพวกบรรดาผู้อาวุโสของแต่ละตระกูลรู้เรื่องผู้สืบทอดสถาบันวิจัยที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงแล้วล่ะก็ คงนั่งกันไม่ติด…

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+