แม่ปากร้ายยุค​ 80 13 หล่อนไม่ใช่แม่ของฉัน

Now you are reading แม่ปากร้ายยุค​ 80 Chapter 13 หล่อนไม่ใช่แม่ของฉัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 13 หล่อนไม่ใช่แม่ของฉัน

ดั่งคำโบราณกล่าวไว้ว่าอย่าตัดสินคนอื่นจากเสื้อผ้าที่สวมใส่ หลินม่ายคุ้นเคยจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว เพราะเหตุนี้จึงไม่ได้ใส่ใจนัก

กระทั่งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงปกติ “ที่นี่คือห้องของหมอฟางจั๋วหลานใช่ไหมคะ?”

แววรังเกียจในดวงตาของเด็กสาวคนนั้นทวีคูณขึ้นทันที “เธอเป็นใคร?”

“ฉันคือคนที่คุณย่าฟางไหว้วานให้มาส่งเกาลัดให้หมอฟางค่ะ” หลินม่ายเอ่ยพลางยื่นตะกร้าน้อยที่บรรจุเกาลัดไว้ออกไป

เด็กสาวรับมาแล้วมองแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เธอไปได้แล้ว”

หลินม่ายกลับไม่ขยับ “เธอบอกฉันมาก่อนว่าเธอคือใคร? กลับไปฉันจะได้บอกคุณย่าฟางถูกว่าฉันให้เกาลัดกับใครไปแล้ว”

เด็กสาวแสดงสีหน้าหมดความอดทน “บอกคุณย่าฟางไปว่าฉันคือแฟนสาวของหมอฟาง”

กล่าวจบ ก็ทำท่าจะปิดประตู แต่แล้วก็ได้ยินเสียงของผู้ชายดังมาจากข้างใน “หรงหรง เธอคุยกับใครอยู่น่ะ?”

หลินม่ายรีบตะโกนเสียงดังทันที “หมอฟางจั๋วหรานใช่ไหมคะ? ฉันคือคนที่คุณย่าฟางไหว้วานให้มาส่งเกาลัดให้คุณ”

ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลามีราศีของปัญญาชนแผ่ขยายออกมาทั้งตัวคนหนึ่งคนออกมาจากในห้อง จากนั้นก็ปรายตามองพิจารณาหลินม่ายตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า แล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบางเบา “ทำไมถึงไม่เคยเจอเธอมาก่อน?”

หลินม่ายมองไปยังเด็กสาวที่มีสีหน้ามาดร้ายเสียเต็มประดาแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงราบเรียบ “คุณไม่ต้องเจอฉันหรอกค่ะ ฉันเป็นแค่ตัวแทนคุณย่าฟางมาส่งเกาลัดให้คุณเท่านั้น ต่อไปคงไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก”

กล่าวจบก็พยักหน้า และพาตัวตัวเดินจากไป

แต่ก็ไม่วายมีเสียงของเด็กสาวที่ชื่อว่าหรงหรงคนนั้นเอ่ยขึ้นจากด้านหลัง “เด็กสาวชนบทแต่งงานกันเร็วขนาดนี้เลยเหรอ? ดูท่าผู้หญิงตัวดำคนนั้นน่าจะมีอายุราว ๆ สิบหกสิบเจ็ดปี แต่มีลูกอายุสามสี่ขวบแล้ว”

ฟางจั๋วหรานเอ่ยเสียงเรียบ “เธอแน่ใจได้ยังไงว่าสาวน้อยคนนั้นคือลูกของหล่อน อาจจะเป็นน้องสาวของหล่อนก็ได้”

“ฉันได้ยินสาวน้อยคนนั้นเรียกหล่อนว่าแม่”

หลินม่ายได้ยินแต่ไม่ได้ใส่ใจ เธอและพวกเขาคือคนละสังคมกัน ต่อไปคงไม่มีทางได้สานสัมพันธ์กันอีก ต่อให้แฟนสาวของฟางจั๋วหรานจะพูดโกหก มันก็ไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้กับเธอ ไม่จำเป็นต้องอธิบาย

ตัวตัวยังเด็ก แต่การได้ยินนับว่าไวต่อความรู้สึกมาก บทสนทนาของหรงหรงและฟางจั๋วหรานดังเข้ามาในหูของหล่อนอย่างชัดเจน

ระหว่างที่เดินลงมาก็ไม่วายหันกลับไปมองบนตึก ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส “หล่อนไม่ใช่แม่ของหนู หล่อนคือคุณน้า”

ประตูห้องของฟางจั๋วหรานปิดลงขณะที่หล่อนพูดพอดี ปิดกั้นเสียงของหล่อนไว้ข้างนอก

หลินม่ายเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “ทำไมหนูถึงเรียกผู้หญิงทุกคนที่เจอว่าคุณน้าละ?”

ตัวตัวเอ่ยถามอย่างไร้เดียงสาว่า “ก็คุณเป็นผู้ใหญ่ ทั้งยังเด็กกว่าแม่ของหนู ไม่ควรเรียกว่าน้าเหรอคะ?”

หลินม่ายเดาว่าก่อนหน้านั้นหล่อนคงเป็นเด็กที่ไม่ค่อยได้ใกล้ชิดใครมากนัก จึงแยกไม่ออกว่าควรเรียกสรรพนามผู้อื่นว่ายังไง ถึงได้เรียกมั่วซั่ว

คิดจะนำเกาลัดมาขายในเมือง ก็ต้องกินข้าวในเมือง และต้องใช้คูปองอาหาร

หลินม่ายอาศัยความทรงจำในอดีต พาตัวตัวไปยังตลาดมืดอย่างชำนาญทาง จ่ายแค่ห้าเหมาก็ซื้อคูปองอาหารจำนวน 5 ชั่งได้แล้ว

เมื่อเห็นคนขายคูปองเนื้อ เธอจึงจ่ายอีกสองเหมาเพื่อซื้อคูปองเนื้อหนึ่งชั่ง แล้วรีบตรงไปซื้อเนื้อในตลาดของรัฐที่ใกล้ที่สุดทันที

เวลานี้ยังเร็วเกินไปที่จะซื้อเนื้อติดมัน มีแค่เนื้อไม่ติดมันขายเท่านั้น

โชคดีที่หลินม่ายชอบกินเนื้อไม่ติดมัน ดังนั้นจึงซื้อเนื้อไม่ติดมันหนึ่งชั่ง จากนั้นก็พาตัวตัวไปขึ้นรถไฟรอบสี่โมงครึ่ง

เนื่องจากเป็นสถานีต้นทาง รถไฟขบวนนี้จึงมีผู้โดยสารไม่เยอะมากนัก

หลินม่ายพาตัวตัวมานั่งยังที่ว่างที่หนึ่ง

ตัวตัวดูกระตือรือร้นยิ่งกว่าตอนที่อยู่กับเธอเมื่อครู่เสียอีก หล่อนถามเธอด้วยน้ำเสียงไพเราะสดใส “คุณน้า เราซื้อเนื้อชิ้นนี้กลับไปกินใช่ไหมคะ?”

“แน่นอน” หลินม่ายได้ยินสำเนียงเหอหนานของหล่อน จึงเอ่ยถามว่า “บ้านหนูอยู่ที่ไหนของเหอหนานเหรอ?”

“หมู่บ้านเสี่ยวหลี่จวงค่ะ”

“เมืองไหนอำเภอไหนหนูรู้ไหม?”

ตัวตัวส่ายหน้าอย่างว่างเปล่า “ไม่รู้ค่ะ”

“แล้วหนูมาฮั่นโขวได้ยังไง?”

“แม่พาหนูมาฮั่นโขวค่ะ”

“แล้วแม่หนูพาหนูมาฮั่นโขวทำไม?”

หลินม่ายอยากถามคำถามเหล่านี้มานานแล้ว แต่วันนี้เธอไม่มีกะจิตกะใจจะไถ่ถาม

ตอนที่กินบะหมี่แห้งร้อนในร้านอาหารของรัฐเธอพอมีเวลาถามอยู่ แต่รอบตัวมีลูกค้าเต็มไปหมด จึงไม่สะดวกถามออกไป

“บอกว่าจะพาหนูมาหาพ่อที่ฮั่นโขว”

“แล้วพลัดหลงกับแม่ได้ยังไงล่ะ?”

ตัวตัวก้มหน้าลง และเอ่ยเสียงเบา “ไม่ได้พลัดหลงกับแม่หรอกค่ะ แม่ต่างหากที่ให้หนูรออยู่ที่นั่น บอกว่าจะไปซื้อซาลาเปาให้หนูกิน พอแม่ไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย”

……ที่แท้ก็เป็นเด็กที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้งนี่เอง

เดิมทีหลินม่ายแอบคิดว่าตนมีโชคอยู่ในใจ ที่เด็กคนนี้อาจจะพลัดหลงกับพ่อแม่

แต่ต่อให้เธออยากมีลูก เธอก็ไม่อยากให้ตัวตัวพลัดหลงกับพ่อแม่ รอให้พ่อแม่ของหล่อนกลับมาตามหาหล่อนดีกว่า

บาดแผลทางใจของเด็กที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้งต้องใช้เวลารักษาไปตลอดชีวิต เธอยอมให้ตัวเองรับเลี้ยงตัวตัวไม่ได้ แต่จะไม่ยอมเห็นหล่อนต้องมีแผลทางใจที่ใหญ่ขนาดนี้

“แยกทางกับแม่มากี่วันแล้ว?”

“สองวัน”

หลินม่ายตกตะลึง “แล้วในสองวันนี้หนูใช้ชีวิตยังไง?”

“คนที่เดินผ่านไปผ่านมาให้ขนมและน้ำหนูกินบ้าง”

หลินม่ายครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามอย่างนุ่มนวล “ตัวตัว หนูอยากมีแม่ไหม?”

ตัวตัวมองเธอทันที ราวกับไม่ค่อยเข้าใจความหมายของเธอ

หลินม่ายจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลกว่าเดิม “ต่อไปฉันจะเป็นแม่ของหนูเองดีไหม?”

ตัวตัวเงยหน้ามองพิจารณาเธออยู่เนิ่นนาน จากนั้นก็พยักหน้า “หนูจะเป็นเด็กดี จะเชื่อฟังแม่อย่างดีค่ะ”

หลินม่ายไม่ได้รังเกียจความสกปรก ยื่นมือโอบกอดหล่อนไว้ “เรามาเปลี่ยนชื่อกันดีกว่า ดีไหม ชื่อว่าโต้วโต้ว(豆豆)”

ทันทีที่ได้ยินชื่อนี้ตัวตัว(多多)ก็คิดไปไกล การเติบโตของหล่อนมีประสบการณ์ที่เจ็บปวดเป็นชนักติดหลัง ชื่อโต้วโต้วคงไม่ลำบากแบบนี้แน่

ตัวตัวตอบรับอย่างเชื่อฟัง

หลังจากลงจากรถไฟ หลินม่ายก็พาโต้วโต้วไปบ้านคุณย่าฟางทันที 

เมื่อคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางเห็นเธอที่เพิ่งออกไปช่วงเช้ากลับมาในช่วงบ่าย จึงเกิดความประหลาดใจ “ไหนหนูบอกว่าจะต้องเข้าเมืองไปขายเกาลัดไง ที่กลับมาแบบนี้เพราะขายเกาลัดหมดแล้วหรือยังไม่ได้เข้าเมืองกันแน่?”

“ขายหมดแล้วค่ะ”

หลินม่ายหยิบเงินที่พกติดตัวออกมา ยื่นธนบัตรที่มีรูปประชาชนสามัคคีใบหนึ่งให้คุณย่าฟาง “ขอบคุณคุณย่าฟางมากนะคะ”

คุณย่านฟางหนีบธนบัตรใบนั้นพลางเอ่ยว่า “หาเงินได้ไหม? ถ้ายังหาไม่ได้ก็ไม่ต้องรีบร้อนคืนฉันหรอก”

หลินม่ายชูเนื้อไม่ติดมันในมือขึ้นสูง “หาเงินได้แล้วค่ะ ถ้าไม่มีเงินฉันจะซื้อเนื้อกลับมาได้ยังไงคะ คืนนี้เราจะกินเกี๊ยวน้ำกัน”

ในมณฑลหู จะเรียกหุนทุน(1)ว่าเกี๊ยวน้ำ ส่วนเกี๊ยวแบบทางเหนือจะเรียกว่าเกี๊ยว

คุณย่าฟางรับเนื้อไม่ติดมันมาชั่งน้ำหนักในมือ “น่าจะประมาณหนึ่งชั่ง จะห่อเกี๊ยวน้ำได้เท่าไหร่กันเชียว? เราสี่คนจะไปพอกินอะไร ไม่สู้ห่อเกี๊ยวแบบทางเหนือดีกว่า”

หลินม่ายเสนอว่าจะห่อเกี๊ยวน้ำ เพราะในอดีตธุรกิจแรกเริ่มที่เธอทำคือขายเกี๊ยวน้ำ การห่อเกี๊ยวน้ำทั้งเร็วทั้งขายดี

แต่คุณย่าฟางอยากห่อเกี๊ยวแบบทางเหนือ เช่นนั้นก็แล้วแต่นางแล้วกัน

คาดว่าคุณย่าฟางคงจะไม่ได้กินเนื้อมาระยะหนึ่งแล้ว พอจะได้กินเกี๊ยวทางเหนือ จึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ใบหน้ายิ้มแย้มเบิกบานใจยิ่งกว่าดอกเบญจมาศที่เบ่งบานเสียอีก “กุยช่ายในสวนโตได้ที่พอดี ฉันจะไปเก็บมาสักสองชั่ง”

กล่าวจบนางก็หยิบมีดทำครัว ถือตะกร้าเล็กออกไปทันที

คุณย่าฟางชี้ไปยังโต้วโต้วและถามว่า “แล้วนี่ลูกเต้าเหล่าใครกันเนี่ย?”

หลินม่ายกะพริบตาใส่นาง “ต่อไปนี้หล่อนคือลูกของฉันค่ะ”

คุณย่าฟางมองพิจารณาโต้วโต้วที่ดูสกปรกมอมแมมไปทั้งตัว หลินม่ายยังคงแสดงสีหน้านั้น ลอบคิดในใจว่ายังไม่เข้าใจตรงไหน

ขณะที่นางจะเดินไปต้มน้ำให้โต้วโต้วได้อาบนั้น จู่ ๆ ก็ถูกหลินม่ายขวางไว้

ลูกของเธอ เธอดูแลเองได้ เพราะเหตุนี้เธอจึงเดินไปต้มน้ำและอาบน้ำให้โต้วโต้วจนหอมฟุ้งด้วยตัวเอง

ขณะอาบน้ำแล้วเห็นโต้วโต้วซูบผอมจนเหลือแต่หนังติดกระดูก หลินม่ายก็ยิ่งปวดใจ

…………………………………………………………………………………………………………………………

(1)馄饨 (húntun หุนทุน) หรือ 馄炖 (húndùn หุนตุ้น) เป็นเกี๊ยวของจีนภาคใต้ที่เราคุ้นหน้าตาคุ้นลิ้น ภาษาจีนเรียกว่า หุนทุน ใช้แป้งห่อรูปสี่เหลี่ยม มีทั้งอย่างหนาและอย่างบาง แป้งแผ่นหนาใช้ห่อหุนทุนชนิดใหญ่ (大馄饨 ต้าหุนทุน) แผ่นบางใช้ห่อหุนทุนชนิดเล็ก (小馄饨 เสี่ยวหุนทุน) ซึ่งก็คือเกี๊ยวบ้านเรานั่นเอง

ส่วนเกี๊ยวในแบบทางเหนือจะเรียกว่าเจียวจื่อ (饺子) เป็นเกี๊ยวที่ห่อด้วยแป้งแผ่นกลม หนากว่าแป้งที่ห่อหุนทุน แล้วนำไปนึ่ง/ต้ม/ย่าง/ทอด จะมีความคล้ายกับเกี๊ยวเกาหลีที่เรียกว่ามันดู(만두) หรือเกี๊ยวญี่ปุ่นที่เรียกว่าเกี๊ยวซ่า(餃子)

คุณหมอหลานชายคุณย่าฟางจะเป็นสามีในอนาคตของม่ายจื่อชาตินี้หรือเปล่าคะ เขาดูหล่อมีออร่าพระเอกจังเลยค่ะ

ได้เวลาขุนโต้วโต้วแล้ว นับจากนี้ม่ายจื่อจะเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวดูแลหนูเอง

ไหหม่า(海馬)

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *