แม่ปากร้ายยุค​ 80 611 กระต่ายน้อยน่ารักมาก

Now you are reading แม่ปากร้ายยุค​ 80 Chapter 611 กระต่ายน้อยน่ารักมาก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 611 กระต่ายน้อยน่ารักมาก

ฟู่เฉียงกล่าว “หลังจากที่เขาสอนทักษะทั้งหมดให้ผลจนครบถ้วนก็จากไปแล้วครับ เขาไม่อยากอาศัยอยู่ในบ้านของผม เพราะสภาพแวดล้อมของครอบครัวเราไม่ดี”

หลินม่ายพยักหน้า “แน่นอน ถ้าในปีนี้นายทำเงินได้เยอะแล้ว ก็สร้างบ้านอิฐหลังใหญ่ให้ครอบครัวเพื่อยกระดับสภาพความเป็นอยู่เสียเลยสิ”

ฟู่เฉียงเกาศีรษะและพูดอย่างเขินอาย “ผมวางแผนที่จะทำเงินให้มากขึ้นในปีนี้เพื่อช่วยเหลือคนยากจนในชุมชนของเราน่ะครับ”

หลินม่ายตกตะลึง

เธอรู้ว่าฟู่เฉียงต้องการช่วยคนยากจนเหล่านั้น ซึ่งน่าจะเป็นเพราะอิทธิพลของเธอ

แต่เธอช่วยฟู่เฉียงเพราะเธอมีความสามารถที่จะช่วยเขาได้

ครอบครัวของฟู่เฉียงยังไม่หลุดพ้นจากความยากจนโดยสิ้นเชิง แต่เขากลับต้องการช่วยเหลือผู้อื่น นี่เป็นการตัดสินใจที่น่านับถือ

หลินม่ายรู้สึกว่าเธออาจจะเป็นคนเห็นแก่ตัว เพราะเธอจะช่วยเหลือผู้อื่นเพื่อโตเมื่อว่าตนเองมีชีวิตที่ดีแล้วเท่านั้น

หากยังมีชีวิตที่ยากลำบาก เธอจะไม่ใช้เงินช่วยเหลือคนอื่น ไม่ว่าอย่างไรก็ควรให้ตัวเองมีชีวิตที่สุขสบายก่อน

คนยากจนเหล่านั้นไม่ต้องการความช่วยเหลือ แต่พวกเขาต้องการเงิน

ในเมื่อฟู่เฉียงต้องการช่วยคนยากจนเหล่านั้น นั่นก็คือทางเลือกของเขา หลินม่ายไม่ควรไปห้ามปราม

แต่หลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว เธอก็อดไม่ได้ที่จะกล่าว “นายทำงานทุกอย่างทั้งในและนอกบ้านด้วยตัวคนเดียวเหรอ?”

ฟู่เฉียงยิ้ม “จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงล่ะครับ? ผมไม่ใช่ยอดมนุษย์ที่มีสามหัวและหกแขน ไม่มีทางทำทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียวหรอก งานทุกอย่างในบ้านของผม พ่อแม่และน้องชายจะเป็นคนรับผิดชอบ”

“หมายความว่านายเป็นคนเดียวที่ออกไปทำงานข้างนอกเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวใช่ไหม?”

ฟู่เฉียงพยักหน้า “ใช่ครับ” เขาตอบกลับด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความสงสัย เขาอยากรู้ว่าทำไมพี่สะใภ้ถึงพูดเรื่องนี้

หลินม่ายกล่าว “ในเมื่อครอบครัวของตัวเองก็ยังลำบากและนายยังไม่สามารถสร้างความมั่งคั่งที่มั่นคงให้กับครอบครัวได้ แล้วทำไมถึงคิดที่จะใช้เงินของตัวเองช่วยเหลือผู้อื่น?”

หลังฟู่เฉียงถูกสอบสวน เขาพูดอย่างเบื่อหน่าย “ผมเห็นว่าพี่สะใภ้ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ ดังนั้นผมจึงต้องการที่จะช่วยเหลือผู้อื่นด้วย”

“แน่นอนว่าการคิดจะช่วยเหลือผู้คนในชุมชนถือเป็นสิ่งที่ดี”

หลินม่ายกล่าวก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ฉันช่วยเหลือนายก็เพราะว่าฉันมีความสามารถที่จะช่วยเหลือได้ ไม่ใช่ว่าเอ็นดูเขาเอ็นเราขาด และฉันยังคงยืนยันว่าก่อนจะช่วยเหลือใครควรทำให้ครอบครัวของตัวเองมีชีวิตที่ดีก่อน ในเมื่อครอบครัวของเรามั่นคงแล้วก็ไม่ใช่ปัญหาหากจะช่วยเหลือผู้อื่น”

หลินม่ายไม่เคยชื่นชมคนที่เพิกเฉยต่อชีวิตความเป็นอยู่ของสมาชิกในครอบครัวตัวเองและเห็นแก่ความสบายของบุคคลอื่น

ฟู่เฉียงฟังสิ่งที่หลินม่ายพูดก่อนจะตอบกลับ “ผมเข้าใจแล้วครับว่าผมควรทำอะไร”

หลินม่ายเดินทางกลับบ้านและเริ่มทำกระต่ายย่างฝอย

เมื่อเห็นว่าหลินม่ายกำลังจะฆ่ากระต่ายน้อยน่ารัก โต้วโต้วก็กังวลมากจนเกือบจะร้องไห้

แต่หลินม่ายบอกหล่อนว่ากระต่ายแสนน่ารักนี้คืออาหารเพื่อการยังชีพของมนุษย์

เด็กน้อยจ้องมองผู้เป็นแม่ด้วยความสงสัย

เธอใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงเต็มในการทำกระต่ายย่าง จากนั้นเนื้อกระต่ายสดใหม่แสนอร่อยก็ถูกนำออกมาจากเตา

นอกจากนี้ยังมีซุปเครื่องในกระต่ายหม้อใหญ่ที่ใส่ผักชี เห็ด และเต้าหู้

กระต่ายย่างหั่นฝอยและซุปเครื่องในกระต่ายวางอยู่บนโต๊ะ คุณปู่ฟาง คุณย่าฟาง และหลินม่ายต่างร่วมกันรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย

กระต่ายย่างที่หั่นด้วยมือโดยหลินม่ายมีรสชาติกลมกล่อมและนุ่มลิ้น

ทุกคนเคี้ยวอย่างระมัดระวัง สูดดมกลิ่นหอมระหว่างฟันเป็นเวลานาน กระต่ายนี้รสชาติดีอย่างมาก

คู่สามีภรรยาอย่างปู่และย่าฟางก็รับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย

มีเพียงโต้วโต้วเท่านั้นที่น้ำตาไหลพรากขณะมองพวกเขากินกระต่ายน้อยน่ารัก

หลินม่ายรู้สึกขบขันในใจ แต่เธอไม่กล้าหัวเราะออกมา

เธอหยิบขากระต่ายให้หนูน้อยโต้วโต้ว “ลูกไม่ชอบกินกระต่ายน้อยใช่ไหม? ลองกินนี่ดูสิ นี่คือส่วนที่อร่อยที่สุด หลังกินแล้วลูกอาจจะชอบก็ได้”

โต้วโต้วพยายามอดทน แต่กลิ่นหอมของเนื้อกระต่ายที่หั่นฝอยได้ลอยอวลอยู่ใต้จมูกเล็ก ๆ ของหล่อน

ในที่สุด น้ำลายก็ไหลออกมาจากมุมปากของเด็กน้อย หล่อนจับขากระต่ายย่างขึ้นและกัดกินในทันที

หลังจากกัดกิน หล่อนก็ยิ้มทันทีและพูดกับหลินม่ายด้วยแววตาสับสน “แม่ กระต่ายน้อยแสนน่ารักมีไว้เป็นอาหารจริงด้วย”

หลินม่าย คุณปู่ฟาง และคุณย่าฟางต่างหัวเราะเมื่อได้ยินสิ่งนี้

วันต่อมา หลินม่ายปล่อยให้คุณปู่ฟาง คุณย่าฟาง และโต้วโต้วไปเดินเล่น

จากนั้นเธอก็เรียกผู้รับซื้อสินค้าเกษตรมาซื้อกระต่ายโตเต็มวัยจำนวนห้าสิบตัวจากครอบครัวของฟู่เฉียง

เธอขับรถกลับไปยังเจียงเฉิงโดยตั้งใจจะไปมหาวิทยาลัยเกษตรหัวจง และหาศาสตราจารย์ที่รู้วิธีรักษาโรคระบาดสัตว์ปีกมาช่วยชาวบ้าน พร้อมทั้งดูว่าจะสามารถรักษาโรคระบาดสัตว์ปีกได้หรือไม่

เธอเป็นเกษตรกร จึงรู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเกษตรกรในการเลี้ยงสัตว์ปีกและการปศุสัตว์

การตายของสัตว์ปีกไม่ใช่การสูญเสียเพียงเล็กน้อยสำหรับพวกเขา

เมื่อเธอมาที่มหาวิทยาลัยเกษตรหัวจงและอธิบายจุดประสงค์ของเธอกับอาจารย์หลายคน ก็มีอาจารย์จำนวนมากที่ต้องการไปยังชนบทเพื่อช่วยเกษตรกรแก้ปัญหาของพวกเขาโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

ปัญญาชนในยุคนี้ใจดีอย่างมากและมักช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความรู้ของพวกเขา

แต่ครอบครัวของอาจารย์เกษียณเหล่านั้นต่อต้านการกระทำเช่นนี้อย่างมาก

เดือนนี้เป็นเดือนที่มีอุณหภูมิสูงสุดของปีและสภาพอากาศในชนบทก็โหดร้ายทารุณเป็นอย่างมาก จะทำอย่างไรหากเกิดโรคลมแดดระหว่างการทำงาน?

หลินม่ายรู้สึกว่าความกังวลของสมาชิกในครอบครัวนั้นไม่สมเหตุสมผล

แต่อาจารย์ที่เธอมาเพื่อปรึกษาก็มีอายุมากถึงเจ็ดสิบปีแล้ว หากพวกเขาเกิดโรคลมแดดขึ้นมาระหว่างการทำงานจริงก็เป็นการยากที่จะช่วยชีวิต

เธอจึงล้มเลิกแผนการที่จะขอให้อาจารย์ที่เกษียณอายุเดินทางไปชนบทเพื่อวินิจฉัยและรักษาโรคระบาดของสัตว์ปีก

เมื่อหลินม่ายกำลังจะเดินทางกลับ อาจารย์วัยเกษียณคนหนึ่งก็ห้ามปรามและขอให้เธอนำนักศึกษารุ่นน้องหรือนักศึกษาปริญญาโทไปช่วยแก้ปัญหา

เมื่อหลินม่ายได้ยินดังนั้นก็รู้สึกได้ว่าเป็นความคิดที่ดี

บรรดานักศึกษาอายุยังน้อย แข็งแรง และจะไม่เป็นโรคลมแดดอย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาล้วนเป็นรุ่นน้อง หากได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการรักษาโรคระบาดในสัตว์ปีกก็ถือเป็นความรู้เพิ่มเติมให้กับพวกเขา

เธอขอให้อาจารย์เกษียณอายุเหล่านั้นแนะนำนักศึกษาระดับปริญญาโทให้ และตกลงที่จะจ่ายค่าอาหาร ที่อยู่อาศัย ค่าจ้างวันละสิบหยวน และค่าฝีมือในกรณีที่สามารถรักษาโรคระบาดในสัตว์ปีกได้สำเร็จ

แน่นอนว่าเมื่อได้ยินข้อเสนอที่มีรายได้เป็นจำนวนมากเช่นนี้ นักศึกษาระดับปริญญาโทคนหนึ่งก็ตอบตกลงทันที

วันนั้นหลินม่ายขับรถพาพวกเขาไปยังชนบท จองห้องพักเกสต์เฮ้าส์ในเมือง จัดอาหารให้พวกเขาสามมื้อต่อวัน แล้วนัดหัวหน้าหมู่บ้านให้นำพวกเขาไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ เพื่อรักษาโรคระบาดในสัตว์ปีกสำหรับเกษตรกร

หลินม่ายขับรถกลับไปยังเจียงเฉิงทันทีโดยไม่หยุดพัก

กระต่ายเนื้อถูกส่งกลับไปยังเจียงเฉิงและจะต้องถูกเพิ่มเติมลงไปในเมนูอาหาร

กระต่ายจำนวนห้าสิบตัวถูกส่งไปยังร้านเหรินเจียนเยียนหั่วเท่านั้น

ทันทีที่หลินม่ายมาถึงร้านเหรินเจียนเยียนหั่ว เธอขอให้วังเสี่ยวลี่จัดจ้างพนักงานเพื่อเชือดกระต่าย ลอกหนังกระต่าย และติดต่อโรงงานขนสัตว์เพื่อขายพวกมัน

เธอเรียกคูร์บานพร้อมผู้ช่วยอีกสองคนของเขามาพร้อมสอนวิธีทำกระต่ายอย่างฝอยให้พวกเขา

พวกเขารู้วิธีย่างลูกแกะทั้งตัว จึงเรียนรู้วิธีฉีกกระต่ายย่างด้วยมือได้อย่างง่ายดาย

ชายหนุ่มทั้งสองเรียนรู้วิธีการหั่นกระต่ายย่างด้วยมือจากหลินม่าย พวกเขาไม่ได้ทำตามเธอทุกประการ แต่กลับมีความคิดเห็นของตัวเอง

การผสานคุณลักษณะของเนื้อแกะย่างทั้งตัวเข้ากับกระต่ายย่างทำให้เนื้อกระต่ายย่างมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และอร่อยยิ่งขึ้น

คืนนั้นพวกเขาขายกระต่ายย่างได้มากกว่าสามสิบตัว

กระต่ายย่างของหลินม่ายจะไม่มีหัวกระต่าย

ถึงกระนั้นเธอก็ไม่ทิ้งหัวกระต่าย และนำไปขอให้พ่อครัวทำหัวกระต่ายตุ๋นรสเผ็ด

ในสายตาของพ่อครัว หัวกระต่ายก็เหมือนกับหัวไก่และหัวเป็ด เป็นวัตถุดิบที่ถูกทิ้งเป็นของเหลือและไม่มีใครกิน

ในชีวิตที่แล้วของหลินม่าย หัวไก่และหัวเป็ดจะปรากฏเฉพาะบนแผงขายปิ้งย่างหลังปี 2020 แน่นอนว่าไม่มีใครเคยกินสิ่งเหล่านี้มาก่อน

ซึ่งหัวกระต่ายรสเผ็ดที่เป็นที่นิยมในเสฉวนและฉงชิ่งในปัจจุบันก็ไม่เป็นที่นิยมในยุคนี้เช่นกัน

ดังนั้นพ่อครัวในยุคนี้จึงไม่เคยได้ยินใครกินหัวกระต่าย แต่เมื่อหลินม่ายขอให้เขาทำหัวกระต่ายรสเผ็ด เขาจึงจำเป็นต้องทำและทดลองในทุกวิธี ไม่มีอะไรเกินความสามารถและความพยายามของพ่อครัวหรอกจริงไหม?

หลินม่ายยิ้มขณะกล่าวกับเขา “ลองทำดูก่อนสิ หากรสชาติอร่อยฉันจะแถมให้กับลูกค้าที่ซื้อกระต่ายอย่างทั้งตัว”

แน่นอนว่าเธอไม่ได้ตั้งใจจะทำกำไรกับการลองทำหัวกระต่ายรสเผ็ดครั้งแรกนี้ แต่เพื่อให้ผู้บริโภคได้ลิ้มลองรสชาติอันโอชะ

เมื่อทุกคนตกหลุมรักการกินหัวกระต่ายรสเผ็ด ก็ถึงเวลาที่เธอจะทำเงิน

หลังจากจัดการทุกอย่างในร้านเหรินเจียนเยียนหั่วเสร็จสิ้น หลินม่ายก็เดินทางกลับไปยังชนบทเพื่ออาศัยอยู่กับคุณปู่ฟาง คุณยายฟาง และโต้วโต้วที่นั่นเป็นเวลาห้าวัน

ในช่วงห้าวันนี้ นักศึกษาปริญญาโทที่ได้รับเชิญจากมหาวิทยาลัยเกษตรหัวจงได้มาเพื่อทำการรักษาโรคระบาดจากไก่และเป็ด

หลินม่ายให้โบนัสอีกหนึ่งร้อยหยวนแก่เขา

นักศึกษาปริญญาโทมีความสุขมากและบอกหลินม่ายว่า หากต้องการให้เขาช่วยเหลือสิ่งใดอีกในอนาคตก็สามารถเรียกได้เสมอ

สภาพครอบครัวของเขาไม่ค่อยดีนัก เขาจึงต้องหารายได้พิเศษจากหลินม่ายเพื่อมาจุนเจือครอบครัว

หลินม่ายยังต้องการผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้การสนับสนุนด้านเทคนิคแก่เกษตรกรในท้องถิ่นเป็นครั้งคราว เธอจึงตกลงตามคำร้องขอของนักศึกษาปริญญาโททันที

ห้าวันต่อมา หลินม่ายเดินทางกลับบ้านพร้อมกับคุณปู่ฟางและโต้วโต้ว

เมื่อพวกเขาเปิดประตูวิลล่า พวกเขาก็ต้องตะลึงกับสิ่งที่เห็น

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

แรงมากม่ายจื่อ เชือดกระต่ายให้ลูกเห็นอีก

มีเซอร์ไพร์สอะไรจากพี่หมอหรือเปล่านะ

ไหหม่า(海馬)

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด