แม่ปากร้ายยุค​ 80 22 เจตนาไม่ดีหวังแย่งธุรกิจ

Now you are reading แม่ปากร้ายยุค​ 80 Chapter 22 เจตนาไม่ดีหวังแย่งธุรกิจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 22 เจตนาไม่ดีหวังแย่งธุรกิจ

หลินม่ายตะลึงงันไปชั่วขณะ

ที่ฟางจั๋วหรานซื้อของบำรุงผิวเหล่านี้มาให้พวกเธอสองแม่ลูกเพื่อตอบแทนน้ำใจเกาลัดถุงนั้นเหรอ?

แต่ที่ให้เกาลัดถุงนั้นไปก็เพราะเขาช่วยเธอไว้ เธอเลยตอบแทนแฟนของของเขา

แต่นอกจากเหตุผลนี้แล้ว เธอก็ยังหาเหตุผลที่ฟางจั๋วหรานต้องลงทุนซื้อของบำรุงผิวเหล่านี้มาให้พวกเธอสองแม่ลูกไม่ได้เลย

เมื่อแม่เฒ่าผางเห็นหลินม่ายเก็บของบำรุงผิวสองสามกล่องเหล่านั้นลงในกระเป๋า จึงได้เอ่ยกับเธออีกเรื่อง

“เมื่อวานหลังจากที่เธอเก็บแผงลอยและจากไปแล้ว ก็มีหญิงวัยกลางคนวิ่งมาถามเพื่อนบ้านว่าเธอบริหารกิจการยังไง ต้องมีภูมิหลังอะไรหรือไม่ ฉันว่าผู้หญิงคนนั้นต้องอยากแย่งกิจการไปจากเธอแน่นอน”

หลินม่ายจึงถามถึงรูปพรรณสัณฐานของหญิงวัยกลางคนคนนั้น

แม่เฒ่าผางได้อธิบายอย่างละเอียดว่า “หน้าแหลมแก้มตอบเหมือนลิง รูปตาเป็นสามเหลี่ยม เห็นเพียงครั้งเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนดี! “

นี่มันลักษณะหน้าตาของหญิงหน้าไหว้หลังหลอกสกุลอู๋คนนั้นใช่ไหม?

หลินม่ายออกแรงคั่วเกาลัดอย่างสุดแรงพลางเอ่ยว่า “ต่อให้หล่อนแย่งกิจการไป ถึงตอนนั้นเราก็ขวางไม่ได้น่ะค่ะ”

แม่เฒ่าผางทอดถอนใจอย่างไม่สบอารมณ์แทนเธอ

หลังจากเก็บแผงลอยในช่วงบ่ายแล้ว หลินม่ายก็พาโต้วโต้วไปเดินเล่นตลาดมืดสักหนึ่งรอบ เพื่อซื้อครีมตลับหอยและครีมไป๋เชว่หลิงอีกหนึ่งกล่อง

ด้วยความต้องหาเงิน เธอจึงไม่สนใจจะซื้อของบำรุงผิวเหล่านี้ให้พวกเธอสองแม่ลูกเลย

กระทั่งฤดูหนาวในของเมืองเจียงเฉิงมาเยือน สายลมอันหนาวเหน็บโดยทั่วไปแล้วจะไม่ทำลายผิว แต่เมื่อใดที่อยู่หน้าเตาไฟ มันจะถูกแผดเผาจนสูญเสียน้ำและแตกระแหงได้ง่าย ของบำรุงผิวเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่ต้องใช้

เมื่อซื้อของบำรุงเหล่านี้มาแล้วจึงขึ้นรถไฟกลับบ้านของคุณย่าฟางทันที แล้วหลินม่ายก็นำของบำรุงที่ฟางจั๋วหรานซื้อมาให้พวกเธอสองแม่ลูกยกให้คุณย่าฟาง

คุณย่าฟางเอ่ยด้วยความดีใจ “ฉันอายุอานามก็มากแล้ว จะใช้ครีมตลับหอยกับครีมไป๋เชว่หลิงไปทำไม? เธอเก็บไว้ใช้กับตัวเองและโต้วโต้วเถอะ”

หลินม่ายล้วงหยิบของบำรุงผิวที่ตัวเองซื้อมากออกมาจากกระเป๋า “เรามีแล้วค่ะ ของเหล่านี้เป็นของที่คุณหมอฟางซื้อมาให้คุณย่ากับคุณปู่ฟาง ฉันแค่ช่วยขนมันกลับมาให้พวกคุณเท่านั้น”

คุณย่าฟางได้ยินดังนั้นก็พาลโกรธเคือง “จั๋วหรานเจ้าเด็กคนนี้ยิ่งอยู่ยิ่งเกรงใจมากขึ้นทุกที”

คุณปู่ฟางได้ยื่นหน้าเข้ามา ให้คุณย่าฟางยกของบำรุงผิวที่เจ้าหลานตัวดีของเขาซื้อมาให้เขา

คุณย่าฟางมีสีหน้าไม่สบอารมณ์ “อาวุโสคนไหนบ้างยังต้องใช้ของบำรุงพวกนี้!”

ถึงจะพูดแบบนี้ แต่ก็ยังหยิบครีมตลับหอยให้เขากล่องหนึ่ง คุณปู่ฟางดีใจเริงร่าทีเดียว

สามวันผ่านไป ก็ถึงวันที่หลินม่ายเปิดแผงขายเกาลัดอยู่ในเมืองเจียงเฉิงมาแล้วครึ่งเดือน

เธอคิดว่าหญิงหน้าไหว้หลังหลอกสกุลอู๋คนนั้นจะมาแย่งชิงธุรกิจกับเธอหลังจากได้เข้ามาสอบถามถึงสถานการณ์การทำธุรกิจของเธอจากเพื่อนบ้านแล้ว

คาดไม่ถึงว่าหลังจากผ่านไปแล้วสามวัน หล่อนกลับไม่มีการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด ยังคงแอบซุ่มดูเธอได้ทุกวัน คาดว่ายังกังวลถึงเรื่องแผงลอยอยู่

เมื่อสามปีก่อน ถ้าจับแผงลอยของใครได้จะต้องเกิดการปะทะกันขึ้น หญิงหน้าไหว้หลังหลอกคนนั้นคงจะหวาดกลัว ถึงได้แต่เฝ้าสังเกตการณ์อย่างลังเล

หลินม่ายเมินเฉย เธอไม่ได้แย่งธุรกิจของใคร เธอแค่บริหารธุรกิจของตัวเองให้ดีก็พอ

ต่อให้หล่อนมาแย่งธุรกิจของเธอ แค่ไม่เกินเลย ทุกคนสามารถหาเงินได้หลากหลายวิธี

วันนี้เป็นวันที่สิบห้าของการตั้งแฝงขายเกาลัดในเมืองเจียงเฉิงของหลินม่าย

หลังจากที่เธอเปิดแผงลอยขายของหน้าบ้านของแม่เฒ่าผางได้ไม่นาน ก็เริ่มทำการคั่วเกาลัด ไม่นานหญิงหน้าไหว้หลักหลอกสกุลอู๋ก็พาลูกชายและลูกสะใภ้ของหล่อนแบกถุงเกาลัดมา ขนหม้อ ฟืนไม้และเตาไฟเดินเข้ามา เปิดแผงขายอยู่หน้าบ้านของเพื่อนบ้าน

หญิงเจ้าของบ้านถักทอเสื้อไหมพรมพลางกล่าวทักทายหญิงหน้าไหว้หลังหลอกคนนั้นเสียงดัง แต่ก็ยังมองเยาะเย้ยหลินม่ายแวบเดียวแทบจะตลอดเวลา

ถ้าแค่ใช้สายตานั้นเยาะเย้ย หลินม่ายไม่เก็บมาใส่ใจหรอก เธอทำธุรกิจ ไม่มีเวลามานั่งทะเลาะด้วย

แต่เมื่อหญิงวัยกลางคนในบ้านถัดไปเห็นท่าทางเธอดูไม่สนใจอะไร คิดว่าเธอคงกลัวหล่อน จึงยิ่งเยาะเย้ยหนักข้อกว่าเดิม ยุยงให้หญิงหน้าไหว้หลังหลอกนั้นกำจัดเธอ แล้วผูกขาดตลาดบนถนนทั้งสายเพียงผู้เดียว ซึ่งเรื่องนี้คงทนไม่ได้

หลินม่ายยิ้มเยาะเย้ยพลางเอ่ยว่า “คุณพี่ จะจีบปากจีบคอพูดให้เปลืองน้ำลายทำไมคะ พี่ไม่ซื้อโทรโข่งไปเลยล่ะ ไม่ว่าพี่จะพูดอะไร คนที่อยู่บนถนนเส้นนี้ทั้งสายก็คงได้ยินกันถ้วนหน้าแล้ว!”

ใบหน้าของหญิงสาวที่กำลังถักทอเสื้อไหมพรมพลันเคร่งขรึมลง จากนั้นก็หัวเราะออกมา “เธอว่าวันนี้เกาลัดเหล่านี้จะขายหมดเกลี้ยงไหม?”

หลินม่ายเอ่ยอย่างไม่ยอมแพ้ “ต่อให้ขายไม่ได้ฉันก็ไม่ให้คุณชิมสักเม็ดหรอก คุณจะมากังวลไปทำไม!”

หญิงวัยกลางคนที่นั่งถักเสื้อไหมพรมถูกคำพูดเหล่านั้นตบหน้าจนสีหน้าย่ำแย่ลงทันตา

หญิงหน้าไหว้หลังหลอกสกุลอู๋คนนั้นกลับยิ้มพลางกล่าวทายหลินม่ายด้วยรอยยิ้มที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร “เราเองก็มาเปิดแผงลอยที่นี่เหมือนกัน เธอคงไม่ว่าอะไรนะ”

หลินม่ายส่ายหน้า “ฉันจะไปว่าอะไรได้? ต่อให้คุณบริหารธุรกิจดีแค่ไหนก็ต้องเสียค่าแผงลอยเสมอ แต่ฉันไม่ต้องจ่ายค่าแผงลอยสักแดงเดียว”

สีหน้าของหญิงหน้าไหว้หลังหลอกสกุลอู๋คนนั้นหม่นหมองลงในทันที จากนั้นก็เอ่ยกับหญิงวัยกลางคนของบ้านถัดไปว่า “ฉันว่าเธอหน้าเลือดเกินไปหน่อยมั้ง หลอกฉันว่าหล่อนต้องจ่ายค่าเช่าแผงวันละหนึ่งหยวน แล้วบอกว่าจะลดราคาลงครึ่งหนึ่งเป็นห้าเหมาให้ฉัน ที่ไหนได้แผงลอยของหล่อนไม่ต้องเก็บค่าเช่าที่!”

หญิงวัยกลางคนของบ้านถัดไปรีบเข้ามาอธิบายทันที  “พวกหล่อนเป็นญาติกัน”

หญิงหน้าไหวหลังหลอกสกุลอู๋เอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “เมื่อวานเธอไม่ได้พูดแบบนี้นี่ ฉันไม่สน เธอต้องคืนเงินให้ฉันครึ่งหนึ่ง แผงลอยสองที่นี้เธอเรียกเก็บเงินได้เพียงห้าเหมาต่อหนึ่งแผงเท่านั้น”

หญิงวัยกลางคนของบ้านถัดไปกลอกตามองบนแล้วเอ่ยกลับ “แผงลอยละห้าเหมา ฉันไม่ให้เช่าหรอก!”

หญิงวัยกลางคนสกุลอู๋คนนั้นก็บ้าดีเดือดขึ้นมาทันที “เธอจะให้เช่าหรือเปล่า  ถ้าไม่ให้เช่า เราก็จะไปเช่าคนอื่นแทน ถนนเส้นนี้ยาวขนาดนี้ ไม่ได้มีครอบครัวเดียวที่อยู่ติดกับถนนเสียหน่อย!”

หญิงวัยกลางคนที่ถักเสื้อไหมพรมดูโง่ไปชั่วขณะ

หล่อนต้องเปลืองน้ำลายไปไม่น้อยกว่าจะเกลี่ยกล่อมให้หญิงหน้าไหว้หลังหลอกสกุลอู๋คนนี้ยอมเปิดแผงขายหน้าบ้านของหล่อน

ถ้าพวกหล่อนไปเปิดแผงขายหน้าบ้านของคนอื่น ก็เท่ากับว่าที่หล่อนพยายามมาทั้งหมดก็สูญเปล่า เป็นการช่วยให้ผู้อื่นประสบความสำเร็จนะสิ?

หล่อนไม่ยอมกลายเป็นตัวตลกในสายตาของแม่เฒ่าผางและหลินม่ายแน่นอน!

อีกอย่างคนบ้านสกุลอู๋ได้เปิดแผงขายอยู่หน้าบ้านของหล่อนด้วย ต่อให้คิดค่าแผงขายแผงละห้าเหมาต่อวัน แต่อย่างน้อยหล่อนก็ยังได้เงินวันละห้าเหมาในหนึ่งวัน ย่อมดีกว่าไม่มีรายได้เข้ามาแม้แต่หยวนเดียว ด้วยเหตุนี้จึงทำได้แค่ตอบรับด้วยสีหน้าถมึงทึง

แต่นับตั้งแต่พรุ่งนี้ไปจะเริ่มลดราคา ในเมื่อรับเงินในวันนี้มาแล้ว หล่อนไม่มีทางคืนให้เด็ดขาด

ทั้งสองฝ่ายจึงได้หยุดทะเลาะกัน

ไม่นาน เกาลัดของหลินม่ายก็ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนพาให้น้ำลายหก มีลูกค้าเก่าต่างแวะเวียนเข้ามาอย่างเป็นกันเอง พวกเขาคลี่ยิ้มตาหยีพลางเอ่ยว่า “เอาเกาลัดให้ฉันหนึ่งชั่งหน่อยจ้ะ”

“ได้เลยค่ะ!” หลินม่ายตอบรับอย่างยิ้มแย้ม จากนั้นก็หยิบตาชั่งขึ้นมาเตรียมชั่งปริมาณของเกาลัด

จู่ ๆ หญิงหน้าไหว้หลังหลอกสกุลอู๋ก็ตะโกนเสียงดัง “ขายเกาลัดจ้า!เกาลัดสด หอม ๆ ยั่ว ๆ จ้า หนึ่งชั่งสามเหมาเองจ้า!”

ลูกค้าเก่าคนนั้นอึ้งงันไป ก่อนจะหันไปถามว่า “เกาลัดของเธอสามเหมาต่อชั่งเหรอจ๊ะ?

หญิงหน้าไหว้หลังหลอกคนนั้นพยักหน้าทันที “ใช่จ้ะ หนึ่งชั่งสามเหมา ถ้ามาซื้อเกาลัดกับเรา ถูกลงไปตั้งหนึ่งเหมา เพียงพอที่จะซื้อหมั่นโถวได้อีกตั้งสองลูกเลยนะจ๊ะ”

หญิงวัยกลางคนของบ้านถัดไปได้ตะโกนขึ้นเสียงดังจากด้านข้าง “ใช่ ขายถูก จะได้กำจัดธุรกิจของนังข้าวนอกนาพวกนั้นไปด้วย!”

หากไม่ใช่เพราะนังข้าวนอกนานั่นมาก่อปัญหา เจ้าตัวจะกดเงินค่าเช่าของหล่อนแบบนี้ไหม !

หล่อนอยากจะขับไล่ธุรกิจของนังชั้นต่ำนั่นออกไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด

ลูกค้าเก่าเกิดหวั่นใจ แต่กลับไม่ลืมที่จะถามหลินม่ายสักเสียง “ แล้วเธอจะขายเกาลัดในวันนี้ยังไง?”

หลินม่ายมีประสบการณ์ในการทำธุรกิจมาแล้วหลายสิบปีในชีวิตก่อนหน้านั้น แม้ว่าการขายในราคาต่ำจะมีข้อได้เปรียบ แต่ถ้าเล่นกับใจคน ต่อให้ราคาสูงอย่างไรก็ยังมีคนซื้อ

เธอช่างเกาลัดบนตาชั่ง แล้วทำการคั่วเกาลัดต่อไป “คุณภาพสินค้าต่างกันน่ะค่ะ ฉันเลยขายสี่เหมาต่อชั่งเหมือนเดิม ลดให้ต่ำกว่านี้ไม่ได้แล้ว คุณไปซื้อร้านถัดไปก็ได้ค่ะ”

ยิ่งเธอดูสงบไม่อนาทรร้อนใจ ลูกค้าเก่าคนนั้นก็ได้แต่มองพิจารณาแผงลอยทั้งสองตรงหน้าหญิงหน้าไหว้หลังหลอกด้วยความลังเล

กระทั่งหญิงหน้าไหว้หลังหลอกทนไม่ไหว พรวดพราดเข้ามาหาเรื่องหลินม่ายกันซึ่งหน้า “ไม่เหมือนกันตรงไหน? มันก็คือเกาลัดเหมือนกัน!”

เกาลัดของหญิงหน้าไหว้หลังหลอกนั้นไม่หอม ลูกค้าเก่าคนนั้นจึงเกิดความสงสัยว่าสิ่งที่หลินม่ายกล่าวไว้เป็นความจริง สุดท้ายก็ซื้อเกาลัดของหลินม่าย

หญิงหน้าไหว้หลังหลอกคนนั้นโกรธเกรี้ยวเลือดขึ้นหน้า ทันทีที่ลูกค้าจากไป พวกเขาก็เริ่มด่าลูกค้าคนนั้นว่าโง่  ของถูกไม่ยอมซื้อ ดันอยากได้ของแพง

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

กระดูกมันคนละเบอร์น่ะ ของก็อปหรือจะสู้ของแท้

ไหหม่า(海馬)

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *