แม่ปากร้ายยุค​ 80 180 ยังอยากเรียนอยู่เหรอ?

Now you are reading แม่ปากร้ายยุค​ 80 Chapter 180 ยังอยากเรียนอยู่เหรอ? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 180 ยังอยากเรียนอยู่เหรอ?

หลินม่ายยิ้มอย่างเขินอาย “ไปกันได้หรือยังคะ?”

ตอนนี้ก็ค่อนข้างเย็นแล้ว เธออยากจะกินข้าวเย็นกับเขาสักมื้อแล้วค่อยขึ้นรถไฟ

ฟางจั๋วหรานพยักหน้าอย่างอ่อนโยน “ไปได้แล้วล่ะ”

ก่อนจับมือเธอเอาไว้ข้างหนึ่ง ประสานนิ้วทั้งสิบกับเธออย่างเป็นธรรมชาติ แล้วเดินออกไปด้วยกัน

หัวใจของบรรดาสาวๆ บ้าผู้ชายที่ชื่นชมฟางจั๋วหรานที่อยู่เบื้องหลังก็แตกสลายเป็นเสี่ยงๆ

บางทีพวกหล่อนคงไม่แม้แต่จะคาดคิด ว่าตนจะพ่ายแพ้ให้กับเด็กสาวบ้านนอกที่จบแค่ชั้นมัธยมต้นคนหนึ่ง

แล้วจะเรียนหนังสือไปให้ได้ประโยชน์อะไร เสริมสวยดูแลผิว แต่งตัวให้สวยไปจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อสู้ความรักลึกซึ้งของพ่อเทพบุตรที่เขามีต่อเด็กสาวที่รักไม่ได้เลย!

ถึงแม้ว่าพวกบ้าผู้ชายเหล่านั้นแต่ละคนก็เตรียมรับการโจมตีอยู่แล้ว แต่ก็ยอมรับว่านอกจากเรื่องที่ผิวไม่ได้ขาวมากแล้ว หลินม่ายก็สวยจริงๆ

ดังนั้นจึงพูดได้ว่า ไม่ว่ายุคสมัยไหนก็ล้วนมองกันที่หน้าตา หากสวยหล่อผู้นั้นก็จะมีความได้เปรียบกว่า

ผู้ชายทุกคนล้วนมีความใคร่ พวกเขาจึงให้ความสำคัญกับรูปร่างหน้าตา ต่อให้เป็นท่านศาสตราจารย์รูปงามราวกับสวรรค์สร้างเองก็ไม่มียกเว้น

หลินม่ายที่ถูกท่านศาสตราจารย์จูงมือไปท่ามกลางคนมากมาย ในใจก็เกิดฟูฟ่องขึ้นมา ทั้งภาคภูมิใจอย่างยิ่ง

ไม่นึกว่าลูกท้อเน่าอย่างตนจะเอาชนะผลซิ่ง(1)สดๆ ที่การศึกษาสูงเป็นเข่งมาได้ ในใจก็ลิงโลดขึ้นมา

แต่กลับไม่รู้เลยว่าในใจของฟางจั๋วหรานนั้นเธอไม่ใช้ลูกท้อเน่า แต่เป็นผลท้อสวรรค์ต่างหาก เป็นสมบัติสูงค่าเกินประเมินที่คนธรรมดาไม่มีทางได้วาดหวังถึง

ฟางจั๋วหรานเบี่ยงหน้ามามองเธอ แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าคุณจะมาฟังในคลาสของผมด้วย ฟังเข้าใจไหม?”

“ไม่เข้าใจค่ะ” หลินม่ายหน้าตาตื่นราวกับนกตกใจคันธนู

เธอถามขึ้นอย่างไม่กลัวขายหน้า “สถานการณ์อย่างฉันแบบนี้ ต้องเรียนอีกนานแค่ไหนถึงจะฟังคุณสอนเข้าใจกันล่ะ?

ฟางจั๋วหรานครุ่นคิดอย่างจริงจังครู่หนึ่ง ก่อนตอบกลับอย่างไม่อ้อมค้อม “ด้วยIQของคุณ อย่างเร็วก็7-8ปี อย่างช้า… ชั่วชีวิตก็คงไม่เข้าใจหรอก”

หลินม่ายแบมืออย่างหมดหนทางอยู่ในใจ เอาเถอะ ไม่น่าพูดถึงคำถามไร้สาระนี้ขึ้นมาเลย ตอนนี้เธอยกก้อนหินมาทับเท้าตัวเองแล้วสินะ

ฟางจั๋วหรานถาม “ยังอยากเรียนอยู่อีกเหรอ?”

หลินม่ายตะลึงไปเล็กน้อย เธอไม่เคยนึกถึงคำถามนี้มาก่อนเลย

“ต่อให้อยากเรียนก็เรียนไม่ไหวแล้วล่ะ ความรู้ที่เรียนมาฉันคืนให้คุณครูไปหมดแล้ว แต่ครูกลับไม่เห็นจะคืนค่าเทอมให้เลยน่ะสิ ฮ่าๆ!”

“ลืมไปแล้วก็ไม่เป็นไร ผมช่วยเสริมให้คุณได้นะ” ฟางจั๋วหรานแนะนำ “อย่างนั้นลองเข้าร่วมการสอบเข้าดูดีไหม? ถ้าสอบติดแล้วคุณก็เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยคนหนึ่งแล้ว”

หลินม่ายพูดอย่างอึดอัดใจ “ฉันจบมาแค่ชั้นมัธยมต้น คุณ…จะให้ฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยเหรอคะ?”

ฟางจั๋วหรานตกตะลึง “ผมนึกว่าคุณจบชั้นมัธยมปลายมาตลอดเลย”

“คุณเห็นฉันอายุมากแล้ว ก็เลยนึกว่าฉันจบมัธยมปลายมาใช่ไหมคะ? ที่ฉันเพิ่งจะจบมัธยมต้นตอนอายุ17 เป็นเพราะว่าฉันเข้าเรียนช้าน่ะคะ”

หลินม่ายไม่เหมือนกับพี่สาวพี่ชาย ที่พอถึงวัยที่จะเข้าเรียนก็สามารถเข้าเรียนได้ทันที

พ่อกับแม่ไม่เคยคิดจะให้เธอเข้าเรียนเลย เธอคอยศึกษาด้วยตัวเองกับหลินเพ่ยพี่น้องของตนมาตลอด

กระทั่งวันหนึ่งที่ฝนตกกระหน่ำ ซุนกุ้ยเซียงแม่แท้ๆ ของเธอกลัวว่าหลินเพ่ยที่เรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนจะไม่มีร่มกันฝน ตอนเลิกเรียนกลับมาเดี๋ยวจะเปียกฝนไม่สบาย จึงให้เธอเอาร่มไปส่งให้

ตอนที่เธอมาถึงนอกห้องเรียนของหลินเพ่ย ก็เห็นอาจารย์คณิตศาสตร์กำลังออกโจทย์ให้นักเรียนทำ สุดท้ายทั้งชั้นเรียนไม่มีใครที่แก้ได้เลยสักคน

เธอพูดขั้นตอนการแก้โจทย์ขึ้นจากข้างนอกหน้าต่าง ทำให้อาจารย์คณิตศาสตร์ที่ให้คุณค่ากับผู้มีความสามารถคนนั้นตะลึงงัน

อาจารย์คณิตศาสตร์ได้พาเธอเข้ามาในห้องเรียนทันที แล้วทดสอบเธอในด้านต่างๆ

ปรากฏว่าเธอมีพรสวรรค์ในการเรียนอย่างมากเป็นพิเศษ ด้วยเหตุนี้จึงไปหาคู่สามีภรรยาหลินเจี้ยนกั๋ว ขอให้ส่งเรียนเข้าเรียน

แต่สามีภรรยาหลินเจี้ยนกั๋วนั้นยอมที่ไหนกัน?

หลินม่ายได้รับหน้าที่การงานแล้ว หากเธอไปเรียนหนังสือ รายได้ของบ้านก็จะลดลงไม่ใช่เหรอ?

อีกอย่างเรียนหนังสือไม่ต้องใช่เงินอย่างนั้นเหรอ?

ด้วยเหตุนี้คู่สามีภรรยาทั้งสองให้ตายก็ไม่ยอมตกลง

อาจารย์คณิตศาสตร์คนนั้นโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ บอกว่าจะไปฟ้องร้องพวกเขาที่กระทรวงศึกษาธิการ

การไม่ส่งลูกเข้ารับการศึกษาเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย

และด้วยการข่มขู่นี้ คู่สามีภรรยาซุนกุ้ยเซียงถึงได้ส่งหลินม่ายเข้าเรียนโดยไม่เต็มใจอย่างยิ่ง

ในตอนนั้นหลินม่ายก็อายุปาเข้าไป12ปีแล้ว

ฟางจั๋วหรานฟังประวัติการเติบโตของเธอจบ ก็พูดขึ้น “งั้นคุณก็ใช้เวลา5ปี เรียนบทเรียนของชั้นประถมและมัธยมต้นทั้งหมดเลยเหรอ?”

“ค่ะ” หลินม่ายพยักหน้า “ชั้นประถมใช้เวลา3ปี ชั้นมัธยมต้นใช้เวลา2ปี”

“เป็นคนฉลาดมากจริงๆ” ฟางจั๋วหรานอุทานขึ้น ก่อนจะถามอย่างค่อนข้างเหลือเชื่อ “คุณบอกว่าพี่สาวของคุณเข้าเรียนตอนอายุ7ขวบตามปกติ แต่หล่อนเพิ่งจะเรียนจบมัธยมต้นตอนอายุ 20 ปี ทำไมหล่อนถึงใช้เวลานานเรียนหนังสือนานขนาดนั้นกัน?”

หลินม่ายพูดอย่างดูแคลน “หล่อนโง่ล่ะมั้งคะ”

เธอไม่ได้พูดเกินจริงเลยแม้แต่น้อย หลินเพ่ยนั้นโง่จริงๆ

มัธยมต้น3ปี หล่อนใช้เวลาเรียนปีสามไปตั้ง6ปี และอยากจะสอบเข้ามัธยมปลายไปเป็นคนในเมือง

น่าเสียดายที่สอบไม่ติดเสียที สุดท้ายหล่อนก็แอบอ้างชื่อกับคะแนนของเธอเพื่อเข้ามัธยมปลาย

เมื่อพูดถึงตรงนี้ หลินม่ายก็หัวเราะ “เพื่อนร่วมห้องต่างก็เรียกหลินเพ่ยว่าเป็นวีรบุรุษแห่งสงครามต่อต้าน เรียนมัธยมต้นก็ยังเรียนเสียจนถึงขั้นบรรลุสัจธรรมเลย”

ฟางจั๋วหรานไม่มีความสนใจต่อพี่สาวที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาคนนี้ของหลินม่ายแม้แต่น้อย “ดูสิคุณมีพรสวรรค์ในการเรียนขนาดนี้ ไม่เรียนก็น่าเสียดายเกินไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นคุณเรียนต่ออีกครั้งเถอะนะ”

หลินม่ายไม่ได้ปฏิเสธออกมา ในใจนึกสงสัยกับเจตนารมณ์ของฟางจั๋วหรานที่อยากให้เธอเรียนต่อขึ้นมา

บางทีอาจคิดว่าเธอมีระดับการศึกษาต่ำ จึงอายจะโชว์เธอให้ใครเห็นอยู่บ้างล่ะมั้ง

ฟางจั๋วหรานเห็นเธอนิ่งเงียบไป ก็โน้มน้าวเธอต่อ “การศึกษาเล่าเรียนไว้เยอะๆ จะเป็นประโยชน์ต่อการทำธุรกิจของคุณในอนาคต วิสัยทัศน์เปิดกว้าง วุฒิภาวะก็สูงขึ้น”

หลินม่ายพยักหน้า “อย่างนั้นก็ได้ค่ะ เอาตามที่คุณว่าก็แล้วกัน”

ฟางจั๋วหรานพูดถูกต้อง วุฒิการศึกษายิ่งสูง วิสัยทัศน์ก็ยิ่งกว้างขวาง และวุฒิภาวะก็ยิ่งสูงขึ้น

หม่าเถิงเถิงที่หาเงินกับเด็ก หม่าอวิ๋นอวิ้นที่หาเงินกับผู้หญิง…สองมหาเศรษฐีสองคนนี้ มีใครที่วุฒิการศึกษาต่ำบ้าง!

หรือแม้แต่ปิแอร์ เกตส์ที่ชาวโลกสรรเสริญ ถึงจะบอกว่าออกจากชั้นมัธยมกลางคัน แต่ภายหลังที่ธุรกิจประสบความสำเร็จแล้ว เขาก็ยังเรียนมหาวิทยาลัยเพื่อศึกษาเพิ่มเติม แสดงให้เห็นว่าพลังของความรู้นั้นมีความสำคัญมากแค่ไหน!

เธอต้องการไปถึงจุดสูงสุดของชีวิต ดังนั้นเธอจึงยังต้องการความรู้นั้น

อีกอย่างหากเธออยากจะอยู่กับฟางจั๋วหรานไปตลอดชีวิต ก็ต้องก้าวตามเขาไปให้ทัน พัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง

ไม่อย่างนั้นในชีวิตแต่งงานหลังจากนี้ อาจจะทำให้ความรักจืดจางลง เพราะตนการศึกษาต่ำต้อยเกินไป จนพูดคนละภาษากับเขาก็ได้

ฟางจั๋วหรานเห็นเธอตอบตกลง ก็ยกยิ้มบางอย่างอดไม่ได้

เขาอยากให้หลินม่ายเรียนต่อ แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อสนองความฟุ้งเฟ้อของตัวเอง แต่เพื่อประโยชน์ของเธอทั้งหมด เขาหวังว่าชีวิตของเธอจะสวยงามยิ่งขึ้น

ทั้งสองกินอาหารเย็นที่วิทยาลัย

ระหว่างทางกลับที่พัก ฟางจั๋วหรานซื้อโคล่าที่เดิมทีไม่น่าพบเห็นในยุคนี้ให้เธอสองกระป๋องพร้อมกับห่านย่างกวางตุ้งหนึ่งตัว ให้เธอพกไว้กินบนรถไฟ

เขาพาเธอมาส่งขึ้นรถไฟตู้นอนอย่างปลอดภัยด้วยตัวเอง หลังจากกำชับสองสามประโยคแล้ว จึงลงจากรถไปอย่างอาวรณ์

อีกทั้งยังย้ำให้เธอโทรศัพท์มารายงานความปลอดภัยกับเขาทันทีที่กลับไปถึง เมื่อพนักงานต้อนรับของที่พักได้รับสายแล้วจะมาบอกเขาเอง

หลินม่ายพยักหน้าอย่างน่าเอ็นดู

มีแฟนหนุ่มรูปหล่อการศึกษาสูงเป็นเรื่องดี ไปที่ไหนใครก็เปิดไฟเขียวให้

ในสถานีรถไฟ หากคนอื่นมาส่งมากที่สุดก็ได้แค่ส่งที่สถานี

แต่ฟางจั๋วหรานยิ้มให้เจ้าพนักงานรถไฟ พูดเพราะๆ สองสามคำ เจ้าตัวก็ให้เขาพาเธอมาส่งบนโบกี้รถไฟแล้ว

ฟางจั๋วหรานเดินจากไปไม่นาน รถไฟก็เริ่มมีเสียงดังกึงกังขึ้นมา

หลินม่ายไม่ดื่มน้ำ ทั้งไม่กินห่านย่างหอมฉุยตัวนั้นด้วย

โต้วโต้วยังไม่เคยดื่มโคล่า เธออยากเก็บไว้ให้โต้วโต้วสักกระป๋อง

คุณปู่คุณย่าฟางทั้งสองคนอยู่เมืองตัวมาตั้งนาน ไม่รู้ว่าเคยดื่มโคล่าหรือยัง ไม่ว่าเขาจะเคยหรือไม่เคย ก็เก็บไว้ให้กระป๋องหนึ่งแล้วกัน

หากเคยดื่มมาได้ลิ้มรสอีกรอบ ก็เพียงแค่เป็นรสอร่อยติดลิ้น หากยังไม่เคยดื่มก็เป็นการลองอะไรใหม่ๆ พอดี

ห่านย่างเองพวกโต้วโต้วก็ยังไม่เคยกินเหมือนกัน เก็บเอาไว้ให้พวกเขาลองชิมอะไรใหม่ๆ แล้วกัน

เชิงอรรถ

(1)ผลซิ่ง หมายถึงลูกแอปริคอต ผลไม้ที่คล้ายกับลูกท้อมีถิ่นกำเนิดและพื้นที่ปลูกหลักอยู่ที่ประเทศจีน มีผลเล็กกว่าลูกท้อ ผลกลม มีร่องกลางผลชัดเจน เปลือกบาง มีขนคล้ายกำมะหยี่ปกคลุม เนื้อแห้งและแน่น มีรสชาติเปรี้ยวหอม ออกสีน้ำตาลส้ม

สารจากผู้แปล

มีแฟนคอยสนับสนุนให้ชีวิตพัฒนาขึ้นแบบนี้มันดีจังเลยน้า

ไหหม่า(海馬)

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *