แม่ปากร้ายยุค​ 80 191 ไฟไหม้ปริศนา

Now you are reading แม่ปากร้ายยุค​ 80 Chapter 191 ไฟไหม้ปริศนา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 191 ไฟไหม้ปริศนา

อากาศร้อนมาก แต่ภายในห้องกลับไม่มีแม้แต่พัดลมไฟฟ้า หลินม่ายจึงร้อนจนแทบนอนไม่หลับ

หลังจากพยายามข่มตาลงจนผล็อยหลับไป ไม่ทันไรหลินม่ายก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นเพราะเสียงร้องไห้คร่ำครวญของหญิงสาวนอกห้อง

หลินม่ายเคยพบเจอกับประสบการณ์แบบนี้มาก่อนแล้ว ดังนั้นเธอจึงทำเป็นไม่สนใจ พร้อมกันนั้นก็คอยระมัดระวังตัว

ขั้นตอนของมิจฉาชีพพวกนี้ยังคงเข้าอีหรอบเดิม เสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามด้วยเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังร้องอ้อนวอนอยู่ข้างนอก “ช่วยเปิดประตูให้ฉันทีค่ะ ไม่งั้นฉันโดนผู้ชายพวกนี้ทุบตีจนตายแน่!”

หลินม่ายยิ้มเหยียดหยาม

ขืนปล่อยให้เธอเข้ามา มีหวังจุดจบของฉันคงอนาถไม่ต่างจากเธอแน่!

อยากให้ฉันเห็นใจในความเดือดร้อนของเธอเหรอ? ไม่ง่ายเสียหรอก!

จากนั้นเสียงดุ ๆ ของผู้ชายคนหนึ่งก็ดังขึ้น

เสียงหญิงสาวคนนั้นกรีดร้องเหมือนพยายามวิ่งหนี ตามด้วยเสียงฝีเท้าของผู้ชายที่วิ่งไล่ เสียงอึกทึกดำเนินไปอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสงบลงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ขณะที่หลินม่ายเอนตัวลงนอนอีกครั้งด้วยความง่วงงุน ยังไม่ทันจะผล็อยหลับ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงวิ่งและเสียงตะโกนดังขึ้นจากด้านนอก “ไฟไหม้! หนีเร็ว!”

เธอลืมตาโพลงทันที รีบผุดลุกขึ้นจากเตียง สูดลมหายใจเข้าแรง ๆ หนึ่งครั้ง ปรากฏว่าได้กลิ่นควันไฟจาง ๆ จริง

เธอรีบเอื้อมไปเปิดไฟเพื่อที่จะดูว่ามีควันลอดผ่านรอยแยกของประตูเข้ามาหรือไม่

ระหว่างนั้นหลินม่ายก็กระโดดลงจากเตียง คว้าข้าวของมีค่าใส่กระเป๋าแล้วสะพายไว้บนหลังอย่างรวดเร็ว

จากนั้นก็เข้าไปในห้องน้ำเพื่อเอาผ้าขนหนูชุบน้ำให้เปียกแล้วโพกปิดปากกับจมูกไว้ ถึงอย่างนั้นกลับไม่รีบร้อนเปิดประตูและวิ่งหนี

นั่นเป็นเพราะเธอไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นกับดักหรือเปล่า

ถ้าเป็นกับดักขึ้นมาจริง ๆ ต่อให้วิ่งหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้นคนร้ายอยู่ดี

แต่ถ้ามันไม่ใช่กับดัก หากเธอมัวลังเลอยู่แบบนี้ คงพลาดโอกาสที่ดีที่สุดเพื่อหนีเอาตัวรอด

ขณะนั้นเอง เสียงฝีเท้าหลายคู่ รวมถึงเสียงกรีดร้องของเด็กและผู้หญิงก็ดังขึ้นจากข้างนอกไม่หยุดหย่อน ดูเหมือนมีเสียงของพนักงานแทรกขึ้นมาเป็นระยะให้ผู้พักอาศัยรีบออกมาจากห้อง

สถานการณ์ด้านนอกคงไม่ใช่กับดักแน่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงลงทุนใช้จำนวนคนมากเกินไป

หลินม่ายตัดสินใจเปิดประตูออกไป ทันใดนั้นควันหนาทึบก็พวยพุ่งเข้ามาปะทะใบหน้าของเธออย่างจัง

โชคดีที่หลินม่ายใช้ผ้าขนหนูเปียกปิดปากและจมูกเอาไว้ ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบจากควันหนาทึบตรงหน้ามากนัก

หลอดไฟตรงโถงทางเดินปิดมืด ทั่วทุกหนแห่งเต็มไปด้วยความโกลาหล

หลินม่ายรีบวิ่งตรงไปที่บันได

พอเธอวิ่งลงบันไดไปภายในชั่วอึดใจเดียว ก็วิ่งออกมาพ้นจากตัวโรงแรมได้สำเร็จ เห็นว่าผู้พักอาศัยจำนวนมากต่างยืนรวมตัวกันอยู่ที่หน้าประตูโรงแรม จ้องมองเปลวไฟที่กำลังลุกโชนด้วยความหวาดกลัว

เนื่องจากพวกเขาหนีตายออกมากลางดึก ผู้ชายบางคนถึงกับผมเผ้ากระเซอะกระเซิงหรือแม้แต่เปลือยท่อนบน ในขณะที่คนอื่น ๆ ไม่มีเวลาแม้แต่จะสวมรองเท้า ได้แต่ยืนเหยียบพื้นด้วยเท้าเปล่า

มีแค่ไม่กี่คนที่แต่งตัวเรียบร้อยเหมือนหลินม่าย

อยู่ลำพังแบบนี้ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย หลินม่ายจำเป็นต้องนอนทั้ง ๆ ที่สวมใส่เสื้อผ้ามิดชิดเพื่อป้องกันอันตรายไว้ก่อน

ก่อนที่รถดับเพลิงจะมาถึง พนักงานบริกรของทางโรงแรมหลายคนต่างช่วยกันดับไฟด้วยถังดับเพลิงกันเองจนไฟดับมอดลงแล้ว จากนั้นก็เชื้อเชิญให้ทุกคนกลับขึ้นห้องพักตามเดิม

ผู้พักอาศัยพูดอย่างไม่เข้าใจ “เกิดเหตุไฟไหม้จนควันโขมงไปทั่วทั้งโรงแรมแบบนี้ ทำไมทางเดินถึงไม่เปิดไฟสักดวง…”

ผู้พักอาศัยรายอื่นพูดเสริมด้วยถ้อยคำที่รุนแรงกว่า “พวกคุณอยากให้พวกเราโดนไฟเผาจนไหม้เกรียมตายอยู่ภายในห้องหรือไง?”

คนพูดไม่คิดอะไร แต่คนฟังกลับคิด

หลินม่ายขมวดคิ้ว หรือว่านี่จะเป็นการสร้างสถานการณ์?

แต่อันธพาลพวกนั้นสร้างสถานการณ์ไฟไหม้ขึ้นมาเพื่ออะไรกันล่ะ?

เป็นไปได้ไหมว่าพวกอันธพาลวางแผนที่จะแอบเข้าไปในห้องพักเพื่อขโมยของ? อาศัยโอกาสจากตอนที่ทุกคนต่างวิ่งหนีตายกันสุดชีวิตแบบนี้ คงไม่มีใครฉุกใจหันไปล็อกประตูแน่

แต่ปัญหาก็คือ ถ้าคนพวกนั้นต้องการขโมยเงินจริงละก็ คงหลบหนีออกมาตั้งนานแล้ว

ตอนนี้ ความเป็นไปได้ในเรื่องการลักทรัพย์ไม่ค่อยสูง แต่ความเป็นไปได้ที่คนพวกนั้นจะยังแอบอยู่ภายในห้องเพื่อจุดประสงค์บางอย่างนั้นสูงกว่า

หากเป็นแบบนั้นจริง ๆ คงอันตรายมากทีเดียว ถ้าทุกคนกลับเข้าไปในห้องแล้วปิดประตู ใครจะรู้ว่าอันธพาลพวกนั้นทำเรื่องอะไรไม่ดีกับพวกเขาบ้าง!

คิดได้แบบนั้นแล้ว หลินม่ายก็ปิดล็อกประตูห้องของตัวเองจากด้านนอกทันที

ก่อนจะหันไปตะโกนบอกผู้พักอาศัยคนอื่น ๆ “ทุกคนคะ อย่าเพิ่งกลับเข้าไปในห้องของตัวเองนะ ปิดล็อกประตูจากด้านนอกเหมือนที่ฉันทำเถอะค่ะ เหตุไฟไหม้ที่เกิดขึ้นแปลกเกินไป เราต้องโทรแจ้งตำรวจ ขอให้พวกเขาเข้ามาตรวจสอบให้ได้ว่าใครเป็นคนจุดไฟเพื่อสร้างสถานการณ์กันแน่”

ผู้พักอาศัยรายอื่นทั้งเหนื่อยและง่วง จึงต้องการเข้าไปพักผ่อนโดยเร็ว “โทรหาตำรวจน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่ทำไมคุณถึงไม่ให้พวกเราเข้าไปล่ะ? พวกเขามาที่จุดเกิดเหตุเพื่อสืบสวนว่าใครเป็นคนจุดไฟ ก็ไม่ได้รบกวนการนอนของพวกเราซะหน่อย”

หลินม่ายอธิบาย “ถึงการสืบสวนของทางเจ้าหน้าที่จะไม่รบกวนการนอนของใครก็จริง แต่ฉันกลัวว่าคนที่จุดไฟจะฉวยโอกาสเมื่อกี้ซ่อนตัวอยู่ในห้องพักของใครสักคนเพื่อทำเรื่องเลวร้ายบางอย่าง ถ้าคุณไม่กลัวอุบัติเหตุก็เข้าไปได้เลยค่ะ ถึงยังไงฉันก็จะรอตำรวจเข้ามาตรวจสอบให้ชัดเจนดีกว่า”

ทุกคนได้ยินแบบนั้นก็ไม่คัดค้านเธออีก ต่างทำตามหลินม่ายโดยปิดล็อกประตูจากด้านนอก แล้วขอให้พนักงานโรงแรมช่วยโทรแจ้งตำรวจให้เข้ามาตรวจค้นห้องโดยเร็ว

ไม่นานหลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายก็เดินเข้าไปทำการตรวจค้นทีละห้อง

ถึงแม้ยุคนี้จะยังไม่มีมุ้งลวดสำหรับกันขโมย แต่หน้าต่างของห้องพักแต่ละห้องก็มีการติดตั้งเหล็กดัดเอาไว้

หากมีคนร้ายเข้าไปแอบอยู่ในห้องจริง ทางเข้าออกทางเดียวที่เหลืออยู่ก็คือประตู ดังนั้นการตามจับคนร้ายจึงไม่ใช่เรื่องยาก

พวกเขาตรวจค้นห้องพักเจ็ดถึงแปดห้องติดต่อกัน แต่กลับไม่พบอะไรเลย

ผู้พักอาศัยที่หายใจแทบไม่ทั่วท้องในตอนแรกรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง ไม่วายต่อว่าหลินม่ายว่าเธอหวาดระแวงมากเกินไป

บางคนถึงกับเดินเข้าไปขอโทษเจ้าหน้าที่ตำรวจและเชิญให้พวกเขากลับไป

หลินม่ายรีบพูดขึ้นมาว่า “พวกเขาไม่ต้องการให้ตรวจค้นก็เรื่องของเขาเถอะค่ะ คุณตำรวจทั้งสองช่วยเข้าไปตรวจค้นห้องพักของฉันด้วยนะคะ ฉันเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว ต้องป้องกันเหตุร้ายเอาไว้ก่อน”

เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ พวกเขาจัดการตรวจค้นห้องของเธอทันที

ถึงแม้ผู้พักอาศัยหลายคนจะยังยืนอยู่หน้าห้องของหลินม่ายเพื่อรับชมความตื่นเต้น แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่าห้องของเธอจะมีพวกอันธพาลซ่อนตัวอยู่จริง ๆ

ใครจะคิดว่าทันทีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองนายเปิดประตู เงาร่างของคนคนหนึ่งก็พุ่งสวนออกมา

เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองนายมีไหวพริบทันต่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน จึงสามารถจับกุมร่างเงานั้นไว้ได้อย่างรวดเร็ว

ผู้พักอาศัยอุทานด้วยความตระหนก “มีอันธพาลแอบอยู่ในห้องจริง ๆ ด้วย!”

หนึ่งในเจ้าหน้าที่ตำรวจตะคอกถามคนร้ายด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว “พูดความจริงมา แกแอบย่องเข้าไปในห้องของคนอื่นทำไม?!”

อาศัยแสงไฟจากโถงทางเดิน ทุกคนมองเห็นอย่างชัดเจนว่าคนร้ายเป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบสี่ถึงยี่สิบห้าปี สวมเสื้อลายดอก กางเกงยีน โหงวเฮ้งจากทั้งใบหน้าและร่างกายบ่งชัดว่าเขาเป็นคนร้ายโรคจิต

ถึงคนร้ายจะรู้สึกหงุดหงิด แต่ก็ยังตอบคำถามอย่างฉะฉาน “ผมไม่ได้คิดจะทำอะไรเลย แค่อยากเข้าไปขโมยของบางอย่าง แต่ยังไม่ได้ขโมยอะไรออกมาทั้งนั้น”

เจ้าหน้าที่ตำรวจหันไปถามหลินม่าย “ในห้องของคุณมีสิ่งของมีค่าไหมครับ?”

หลินม่ายคิดทบทวนอย่างรวดเร็ว

ขืนบอกว่าภายในห้องมีของมีค่า แต่พอค้นตัวคนร้ายแล้วไม่เจอของพวกนั้นขึ้นมาล่ะ

เธอจะกลายเป็นผู้ให้ความเท็จทันที ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจจะตีกรอบคนร้าย แต่กลับกลายเป็นตีกรอบตัวเองเสียอย่างนั้น

ดังนั้นเธอจึงส่ายหน้า พลางตบไปยังกระเป๋าใบเล็กที่ตัวเองสะพายอยู่ด้านหลัง “ฉันไม่ได้ทิ้งของมีค่าไว้ภายในห้องค่ะ ทุกอย่างอยู่ในกระเป๋าใบนี้แล้ว”

คนร้ายถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันทีที่ได้ยินแบบนั้น

แต่ประโยคถัดมาของหลินม่ายกลับทำให้เขาตกใจแทบเสียสติ

หลินม่ายชี้นิ้วไปทางเขาแล้วพูดต่อ “แต่ฉันเคยเห็นผู้ชายคนนี้มาก่อน”

“หืม?” เจ้าหน้าที่ตำรวจรีบถาม “คุณเคยเห็นเขาที่ไหน?”

หลินม่ายตอบอย่างจริงจัง “ตอนที่แฟนของฉันพาฉันไปกินอาหารมื้อเย็นค่ะ ฉันเห็นเขาคอยเอาแต่เดินตามหลัง แม้แต่ตอนที่แฟนของฉันมาส่งฉันที่นี่ ยังเห็นเขาเดินตามไม่เลิก แต่ตอนนั้นฉันไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าคงเป็นแค่เรื่องบังเอิญ บางทีเขาเองก็อาจจะเข้าพักที่โรงแรมนี้เหมือนกัน”

คนร้ายรีบตะโกนสวนขึ้นมา “ไร้สาระ! ฉันไม่ได้สะกดรอยตามเธอซะหน่อย!”

หลินม่ายกล่าวหาเขาแต่เขากลับไม่มีทีท่าว่าจะสลดลงเลย เธอปรายตามองอีกฝ่ายด้วยความรังเกียจ ราวกับไม่ต้องการเสวนากับเขาให้มากความ หันไปพูดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสอง “แต่การที่เขาแอบเข้ามาหลบอยู่ในห้องของฉัน นี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้วล่ะค่ะ”

เจ้าหน้าที่ตำรวจพยักหน้า “ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ เขาคงสะกดรอยตามคุณมาตั้งแต่ตอนนั้น”

สีหน้าท่าทางของหลินม่ายเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาทันที ตั้งคำถามชวนให้ขบคิดว่า “ถ้าเขาสะกดรอยตามฉันจริง แล้วเขาแอบเข้ามาในห้องของฉันเพื่ออะไรกันคะ? ในเมื่อฉันมีเงินติดตัวแค่ไม่ถึงสิบหยวนด้วยซ้ำ…”

ถ้าอีกฝ่ายไม่หวังเอาเงิน ก็คงหนีไม่พ้นหวังอยากได้ตัวเธอ

หลินม่ายเบี่ยงเบนความผิดของคนร้ายให้กลายเป็นโทษข่มขืนทันที

ยุคสมัยนี้การโจรกรรมทรัพย์สินเพียงเล็กน้อยไม่ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงเท่าใด แต่ถ้ามีความผิดฐานอาชญากรรมทางเพศ อย่างไรก็หนีไม่พ้นกินเมล็ดถั่วลิสง(1)ไปได้

……………………………………………………………………………………………………………….

วลีนี้มีความหมายแฝงว่า กินลูกปืน หรือโดนลูกปืนยิง ในบริบทข้างต้นน่าจะหมายถึงต้องโทษยิงเป้า

สารจากผู้แปล

ม่ายจื่อรอบคอบมาก เป็นเราคงกลับเข้าห้องไปนอนแล้วเพราะง่วงนอน

ไหหม่า(海馬)

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *