แม่ปากร้ายยุค​ 80 230 แผนเรียกร้องค่าเสียหายไม่ได้ผล

Now you are reading แม่ปากร้ายยุค​ 80 Chapter 230 แผนเรียกร้องค่าเสียหายไม่ได้ผล at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 230 แผนเรียกร้องค่าเสียหายไม่ได้ผล

หลินม่ายสืบเท้าเดินเข้าไปใกล้อีกสองสามก้าว พอเห็นเหตุการณ์ใกล้ ๆ แล้ว สีหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยความโกรธ

ไม่ว่าลูกค้ารายไหนจะเดินเข้าไปใกล้แผงขายเซาเข่าของเธอก็ตาม พวกเขาก็ถูกนักเลงที่เฮ่อเชิ่งจ้างมาไล่ตะเพิดออกไปหมด

คนเหล่านั้นกรูออกจากร้านแล้วมาห้อมล้อมหน้าแผงขายของ พยายามขัดขวางธุรกิจของเธออย่างชัดเจน!

ขณะที่หลินม่ายเดินมาถึงหน้าร้าน ชายผู้เป็นพ่อคนหนึ่งพาเด็กชายอายุประมาณเจ็ดถึงแปดขวบที่มีรูปร่างผอมบางเดินผ่านหน้าร้านไป

ทันทีที่เด็กชายได้กลิ่นหอมตลบของยี่หร่า ก็น้ำลายสอด้วยความอยากกิน

เขาเหยียดนิ้วเล็ก ๆ แห้ง ๆ ของตัวเองชี้ไปทางแผงขายเซาเข่าของหลินม่าย “พ่อฮะ ผมอยากกิน”

ผู้เป็นพ่อก้มลงพูดกับลูกชายด้วยความรัก “ลูกเข้าไปนั่งรอในร้านเถอะ เดี๋ยวพ่อจะซื้อให้”

ขณะที่เด็กชายกำลังจะเดินเข้าไปในร้าน นักเลงคนหนึ่งก็เดินออกมาขวางทาง “ไอ้หนู พวกเราจองโต๊ะในร้านนี้ไว้แล้ว นายเข้าไปนั่งข้างในไม่ได้!”

พ่อของเด็กชายคนนั้นมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่านักเลงคนนี้ไม่ได้พูดเล่น

เขาไม่ต้องการสร้างปัญหา จึงก้มลงกำชับกับลูกชายว่า “ลูกยืนรอพ่ออยู่ตรงนี้นะ” จากนั้นเขาก็เบียดตัวผ่านนักเลงพวกนั้นเข้าไปเพื่อต่อแถวซื้อเซาเข่า

พวกนักเลงกลับผลักเขาออกมา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร “มาเบียดอะไรตรงนี้วะ ไปต่อแถวสิ!”

ชายคนนั้นหันมองไปรอบ ๆ ก่อนจะถามด้วยความอดทน “แล้วหางแถวอยู่ตรงไหนล่ะ?”

พวกนักเลงระเบิดหัวเราะเสียงดัง “แค่หางแถวนายยังหาไม่เจอเลย แล้วยังอยากจะซื้อเซาเข่าอีกเรอะ? ออกไปให้พ้น!”

ชายคนนั้นหันกลับไปมองลูกชายของตัวเอง เห็นว่าเขายังคงมองมาทางเขาด้วยสายตาคาดหวัง

ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากขอร้องอย่างสุภาพ “ได้โปรดเห็นใจฉันหน่อยเถอะ เราขอซื้อเซาเข่าแค่ไม้เดียว ลูกชายฉันมีภาวะเบื่ออาหาร กินอะไรไม่ค่อยได้ วันนี้เป็นครั้งแรกที่เขาเรียกร้องอยากกินเซาเข่า…”

นักเลงพวกนั้นก็ยังคงทำตัวเป็นอันธพาลอยู่วันยังค่ำ “พวกเราก็เป็นโรคขาดสารอาหารเหมือนกันว่ะ กินอะไรไม่ได้เลยนอกจากเซาเข่า คงแบ่งให้ลูกนายไม่ได้ ฮ่าๆ!”

หลี่หมิงเฉิงทนดูอยู่นานจนไม่อาจทนได้อีกต่อไป

พอเห็นว่านักเลงกลุ่มนี้ทำตัวไร้มนุษยธรรมเกินไป แถมยังรังแกแม้กระทั่งคนป่วย เขาก็รีบเดินอาด ๆ ออกมาจากร้านทันที แล้วตะคอกใส่นักเลงพวกนั้น “ถ้าพวกนายอยากซื้อเซาเข่าก็ควักเงินออกมาจ่ายซะ ถ้าทำไม่ได้ก็ไสหัวออกจากร้านนี้ไป!”

พวกนักเลงกรูเข้ามาล้อมหลี่หมิงเฉิงทันที ผลักอกเขาแล้วพูดว่า “ไอ้เด็กเมื่อวานซืน แกกำลังดูถูกใครอยู่วะ? เชื่อไหมว่าแค่หมัดเดียวพวกเราก็ล้มแกได้!”

หลินม่ายไม่รอช้ารีบวิ่งเข้าไปในครัว ก่อนจะก้าวยาว ๆ ออกมาพร้อมกับมีดอีโต้โดยที่ทุกคนไม่ทันโต้ตอบอะไร

เธอตะโกนเสียงดังใส่พวกนักเลง “พวกแกอยากสร้างปัญหานักใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นมัวเอะอะโวยวายอยู่ทำไมกันล่ะ? สู้กันแบบแทงมีดขาวแล้วชักออกมาเป็นมีดแดงสิ มาเลย ชักมีดของแกออกมา! ดูซิว่าวันนี้ใครจะตายก่อนใคร!”

พวกนักเลงตื่นตะลึงกันหมด

พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าเจ้าของร้านสาวที่ดูอ่อนโยนและอ่อนแอคนนี้จะดุร้ายถึงขั้นคว้ามีดทำครัวออกมา แล้วท้าตีรันฟันแทงกับพวกเขา

หลินม่ายเห็นว่าตัวเองสามารถทำให้พวกนักเลงสงบลงได้แล้ว จึงหันไปพูดกับคนงานที่เฝ้าหน้าแผงเซาเข่าว่า “ช่วยทำเซาเข่าให้เด็กคนนั้นที”

มือย่างไม่รอช้า เขาหยิบเซาเข่าจำนวนมากกว่ายี่สิบไม้ขึ้นมา แล้วจัดการย่างจนสุกหอมทั่วภายในอึดใจเดียว แล้วยื่นให้พ่อของเด็กชายคนนั้น “ให้ลูกของคุณกินเยอะ ๆ นะ”

ชายคนนั้นรู้สึกสะเทือนใจมาก ยืนกรานว่าจะจ่ายเงินให้

หลินม่ายโบกมือ “ไม่ต้องจ่ายหรอกค่ะ สุขภาพร่างกายของเด็กสำคัญกว่า”

โจวฉายอวิ๋นเดินออกมา ผลักสองพ่อลูกออกไปให้ห่างจากบริเวณหน้าร้าน “ถ้าลูกชายคุณกินแล้วอร่อย วันข้างหน้าก็อย่าลืมมาอุดหนุนพวกเรานะ ตอนนี้พวกคุณออกไปก่อนเถอะ ตอนนี้ที่นี่ไม่ค่อยปลอดภัย”

สองพ่อลูกกล่าวขอบคุณก่อนจะเดินจากไป

ป้าหูที่เห็นว่านักเลงพวกนี้ขี้ขลาดตาขาวขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ก็รีบสาดเชื้อเพลิงเข้ากองไฟ “ฉันก็นึกว่าพวกนายจะแน่ ผู้หญิงคนนั้นแค่คว้ามีดทำครัวออกมาขู่ พวกนายก็ไม่กล้าขยับตัวซะแล้ว แบบนี้ยังกล้าเรียกตัวเองว่านักเลงอีกเหรอ!”

พวกนักเลงรู้สึกไม่พอใจในคำปรามาสของป้าหู จึงเตรียมตัวที่จะเคลื่อนไหว

หลินม่ายตะโกนไปทางป้าหูด้วยสีหน้าเย็นชา “คุณทำตัวร้ายกาจขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย? เห็นเรื่องคอขาดบาดตายเป็นเรื่องสนุกไปซะได้ เอาแต่ยั่วยุอารมณ์ชาวบ้านอยู่นั่นแหละ หรือคิดว่าต่อให้เราจะเป็นหรือตายก็ไม่ได้มีผลอะไรกับตัวเอง”

หลังจากพูดจบเธอก็หันหน้าไปทางพวกนักเลงอีกครั้ง “ยายป้าคนนี้ตั้งตัวเป็นศัตรูกับฉันเรื่องการค้าขายมาโดยตลอด หล่อนต้องการยืมมือของพวกนายมาทำให้ฉันต้องลำบาก ถ้าพวกนายยอมตกเป็นเบี้ยให้หล่อนใช้งาน งั้นก็เข้ามาเลย ฉันไม่กลัวพวกนายหรอก!”

ในบรรดาพวกนักเลง มีนักเลงแค่ไม่กี่กลุ่มที่รังเกียจการถูกหลอกใช้เป็นมือปืนที่สุด

คำพูดแค่ไม่กี่ประโยคของหลินม่าย ทำให้พวกเขาเข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้ง ทุกคนโกรธจนระเบิดอารมณ์ออกมาทันที รีบปรี่เข้าไปที่แผงขายอาหารว่างของป้าหู แล้วเริ่มทำลายข้าวของในร้านทิ้งทันที ปากก็สบถสาปแช่ง “อยากหลอกใช้พวกข้านักใช่ไหม! เห็นพวกข้าเป็นตัวตลกหรือไง!”

ป้าหูพยายามเข้าไปหยุดการกระทำของคนเหล่านั้น

แต่นักเลงพวกนี้ต่างก็เป็นชายฉกรรจ์ที่ยังหนุ่มแน่น แถมยังมีนิสัยหยาบคายเป็นที่หนึ่ง หล่อนหรือจะมีแรงกำลังพอสู้? หล่อนหรือจะหยุดใครได้? ในที่สุดก็ถูกนักเลงคนหนึ่งผลักจนล้มลงกับพื้น

ป้าหูนึกถึงกลอุบายเก่า ๆ ของตัวเองขึ้นมาได้ ตั้งใจว่าจะใช้จังหวะนี้เรียกร้องค่าเสียหาย

หล่อนรีบกลิ้งเกลือกไปกับพื้น ร้องไห้ฟูมฟายเสียงดัง “ทุบตีคน คนพวกนี้กำลังจะทุบตีฉันจนตายแล้ว!”

พวกนักเลงได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งตามมาเตะและกระทบหล่อนซ้ำ พูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม “ลองแหกปากอีกครั้งสิ ฉันจะทำให้แกตายสมใจ!”

เสียงร้องโหยหวนของป้าหูเงียบกริบลงทันใด

หล่อนลืมไปเสียสนิทว่านักเลงพวกนี้ไม่คำนึงถึงมนุษยธรรมใด ๆ อยู่แล้ว แน่นอนว่าพวกเขาไม่กลัวแผนเรียกร้องค่าเสียหายของหล่อน

ลูกชาย ลูกสะใภ้ และลูกสาวของป้าหูได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากชั้นบน ก็รีบลงมาที่ชั้นล่างเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น

ภาพตรงหน้าทำให้พวกเขาตัวสั่นเทาด้วยความกลัว ก่อนจะกลับไปซ่อนตัวอยู่ที่ชั้นบนตามเดิม

ไม่มีใครกล้ายั่วโมโหพวกนักเลงทั้งนั้น!

ถึงแม้นักเลงพวกนี้จะไม่ทำเรื่องเลวร้ายถึงขั้นฆ่าคนหรือวางเพลิงเผา แต่ก็สร้างความรบกวนให้พวกเขาไม่น้อย

อีกทั้งยังไม่สามารถโทรแจ้งตำรวจได้ นอกเสียจากจะมั่นใจว่าตำรวจจะจับกุมพวกเขาได้ทั้งหมด

เพราะถ้าตำรวจยังปล่อยให้พวกเขาลอยนวลแม้คนสองคน พวกเขาก็จะตามพรรคพวกมาแก้แค้นไม่จบสิ้น คราวนี้พวกเขามีแต่ตายกับตาย

ป้าหูนอนตัวงออยู่บนพื้น เฝ้ามองนักเลงพวกนั้นทุบทำลายข้าวของในร้าน ก่อนที่พวกเขาจะเดินจากไปเพราะสาแก่ใจแล้ว

ถึงเพื่อนบ้านและผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาจะชะโงกหน้าออกมาดูเหตุการณ์ที่หน้าประตูเป็นครั้งคราว แต่พวกเขาก็เดินจากไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้ามาช่วย

ลูกชาย ลูกสะใภ้ และลูกสาวของป้าหูรอจนกว่าเสียงอึกทึกโครมครามที่ชั้นล่างจะเงียบลง จึงค่อย ๆ ย่องลงบันไดไปยังชั้นล่าง แล้วหันมองบริเวณรอบ ๆ ร้าน

เมื่อเห็นว่าสภาพในร้านเละเทะราวกับมีปีศาจบุกเข้ามา สายตาของพวกเขาก็ว่างเปล่าสิ้นหวัง ลูกสะใภ้โกรธจัด ชี้หน้าแม่สามีของตัวเองแล้วดุด่า “สร้างแต่ปัญหาดีนัก ไม่ทำให้ครอบครัวต้องสูญเงินสักวันมันจะตายหรือไง!”

แม้แต่ลูกชายของป้าหูยังมองผู้เป็นแม่ด้วยสายตาขยะแขยง ส่วนลูกสาวก็ด่าทอผสมโรงอีกแรง ป้าหูรู้สึกหดหู่จนแทบอยากจะกระอักเลือดออกมา

แม้หลินม่ายจะเบี่ยงเบนความสนใจของพวกนักเลงให้ออกไประบายความโกรธกับป้าหูได้สำเร็จ แต่ไม่ได้หมายความว่าปัญหาในร้านของเธอจะสิ้นสุดเสียทีเดียว

นักเลงพวกนั้นปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การก่อกวนใหม่ เมื่อใดก็ตามที่มีลูกค้าเดินเข้ามา พวกเขาจะถลกแขนเสื้อโชว์รอยสักน่ากลัวบนแขน พร้อมกับถลึงตามองอีกฝ่ายอย่างดุร้าย

ลูกค้าเห็นแบบนั้นก็หันหลังกลับไปโดยทันที ทำให้กิจการแผงอาหารยังคงซบเซา

โจวฉายอวิ๋นและพนักงานคนอื่น ๆ ไม่พอใจแต่ไม่กล้าพูด

หลินม่ายเดินเข้าไปหาคนเหล่านั้นพร้อมกับมีดในมือ จ้องมองพวกนักเลงด้วยสายตาเย็นชา “พวกเขาจ่ายเงินให้พวกนายแค่เท่าไหร่เชียว คุ้มแล้วเหรอกับการทำงานเกินตัวแบบนี้! ตอนนี้เจ้าหน้าที่รัฐกำลังปราบปรามอันธพาลอย่างเข้มงวด พวกนายคงไม่ยอมส่งตัวเองเข้าคุกด้วยเงินไม่ถึงแปดเหมาหรอกใช่ไหม!”

ผู้ชายคนหนึ่งที่มีท่าทางเหมือนเป็นหัวหน้าแก๊งพูดด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ “พวกเราสร้างปัญหาให้เธอตรงไหนกัน เราควักเงินซื้ออาหารกินด้วยซ้ำ ยังไม่พอใจอีกเหรอ?”

หลี่หมิงเฉิงชี้ไปที่ซาลาเปาไม่กี่ลูกซึ่งพวกเขาซื้อไว้ตั้งแต่เช้า แถมยังวางทิ้งไว้บนโต๊ะราวกับเป็นของเซ่นไหว้ แล้วพูดด้วยความไม่พอใจ “นี่เรียกว่าซื้อกินงั้นเหรอ?”

หัวหน้าแก๊งถามยอกย้อน “ถ้าไม่เรียกว่าซื้อกินแล้วจะให้เรียกว่าอะไรวะ?”

นักเลงคนอื่น ๆ โห่ร้องสนับสนุน “ถ้านี่ยังไม่เรียกว่าซื้อกินอีก ถ้าอย่างนั้นก็เรียกตำรวจมาจับเลยสิวะ!”

หลี่หมิงเฉิงและคนอื่น ๆ ได้แต่มองหน้านักเลงนิ่งเงียบเพราะทำอะไรไม่ถูก

หลินม่ายพยายามสงบสติอารมณ์ลง “ถ้าอย่างนั้นฉันขอเสนอข้อแลกเปลี่ยน ฉันจะเลี้ยงเซาเข่าพวกนาย แต่นายอย่าได้มายืนล้อมเตาย่างของฉันอีก”

เมื่อเห็นว่าพวกนักเลงไม่มีทีท่าว่าจะเห็นด้วย เธอก็พูดเสริมขึ้นมา “แค่คืนนี้คืนเดียว แล้วพรุ่งนี้นายอยากจะทำอะไรก็ทำ”

แค่คืนเดียวก็คืนเดียว วันพรุ่งนี้ก็กลับเป็นปกติแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้แผนการกดดันหลินม่ายก็จะไม่ได้รับผลกระทบ

พวกนักเลงสบตากัน หลังจากนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย

หลินม่ายกำชับกับพนักงานในร้านว่าจะต้องปฏิบัติกับนักเลงกลุ่มนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นทุกคนจึงกลับเข้าไปในครัวตามเดิม

โจวฉายอวิ๋นกับหลี่หมิงเฉิงเดินเข้ามาหาเธออย่างไม่เห็นด้วย

โจวฉายอวิ๋นถึงกับบ่นอุบ “ม่ายจื่อ เธอคิดบ้าอะไรอยู่กันแน่ พวกมันมาที่นี่เพื่อสร้างปัญหา แต่เธอยังเลี้ยงเซาเข่าให้พวกมันกินฟรี ๆ อีก! แค่ติดสินบนด้วยเซาเข่าน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่เธอยังอนุญาตให้พวกเขากลับมาสร้างปัญหาให้เราในวันพรุ่งนี้อีกเนี่ยนะ!”

หลินม่ายโบกมือ “ฉันทำแบบนี้เพราะฉันมีเหตุผล พี่อย่าตั้งคำถามให้มากมายเลย”

โจวฉายอวิ๋นและหลี่หมิงเฉิงจึงไม่มีทางเลือก นอกจากต้องถอยออกมาทั้งที่ไม่ค่อยพอใจ

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เออสม อยากหาเรื่องม่ายจื่อไม่หยุดนัก โดนกรรมตามสนองทันตาเห็นเลยยัยป้าหู

ไหหม่า(海馬)

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *