แม่ปากร้ายยุค​ 80 138 หยิบมาทั้งหมด

Now you are reading แม่ปากร้ายยุค​ 80 Chapter 138 หยิบมาทั้งหมด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 138 หยิบมาทั้งหมด

ฟางจั๋วหรานมองแผ่นหลังของเธอค่อยๆ ลับไปจากสายตาของตน แล้วจึงค่อยก้มหน้าลงกินข้าว

ซี่โครงหมูยี่หร่านั้นหอมอร่อยมาก แพทย์และพยาบาลทุกคนที่เดินผ่านห้องพักของเขาต่างก็อดถามไม่ได้ว่าเขากินของอร่อยอะไรอยู่

แพทย์ชายสองสามคนที่คิดไปเองว่าตนพอจะสนิทสนมกับฟางจั๋วหรานได้วิ่งเข้ามา คิดจะลองดีแย่งอาหารจากปากเสือ ก็ได้ถูกเขาไล่ตะเพิดออกไป

ในวันที่อากาศร้อนระอุ สาวน้อยต้องเหงื่อไหลไคลย้อยทำของอร่อยให้เขากิน แล้วเขาจะแบ่งให้คนอื่นกินได้อย่างไร?

อย่างนั้นจะไม่เป็นการทรยศน้ำใจของสาวน้อยคนนั้นเกินไปหรอกเหรอ?

หลินม่ายถือลิ้นจี่กลับมาถึงร้าน โจวฉายอวิ๋นที่ไม่เคยเห็นลิ้นจี่ก็ถามว่ามันคืออะไรด้วยความสงสัยใคร่รู้

หลินม่ายหยิบลิ้นจี่ให้หล่อนกำหนึ่ง “ลิ้นจี่น่ะ เป็นผลไม้ที่หยางกุ้ยเฟยหนึ่งในสี่สาวงามชอบกินที่สุด”

โจวฉายอวิ๋นไม่เคยเรียนหนังสือ แล้วจะไปรู้ได้อย่างไรว่าหยางกุ้ยเฟยคือใคร?

หลังจากชิมลิ้นจี่เข้าไปลูกหนึ่ง ก็สัมผัสถึงความอร่อยล้ำ หล่อนจึงเหล่ตาถาม “ศาสตราจารย์ฟางให้มาเหรอ?”

หลินม่ายแสร้งส่งเสียงอืมคำหนึ่งอย่างเรียบเฉย แล้วหยิบลิ้นจี่ให้หลี่หมิงเฉิงกำหนึ่ง ก่อนจะถือลิ้นจี่ขึ้นไปชั้นบน

โจวฉายอวิ๋นเดินไปข้างๆ หลี่หมิงเฉิง มองแผ่นหลังของหลินม่ายที่ขึ้นไปชั้นบน สีหน้าฉงนสงสัย “นายว่า ทั้งที่ศาสตราจารย์ดีกับม่ายจื่อมากแท้ๆ พอมีผลไม้อร่อยๆ ก็มอบให้หล่อนทันที แต่ทำไมเขาถึงไม่ยอมจีบหล่อนเสียทีล่ะ พวกเราต้องแอบช่วยดันเขาสักหน่อยหรือเปล่า?”

หลี่หมิงเฉิงที่กำลังกินลิ้นจี่อยู่ พอได้ยินคำพูดนั้น ลิ้นจี่ในปากก็พลันหมดความหวานไปในพริบตา

ที่เขายอมถอยออกมาก็นับว่าถึงขีดจำกัดของเขาแล้ว ไม่นึกว่าโจวฉายอวิ๋นจะนึกเพ้อเจ้ออยากให้เขาช่วยฟางจั๋วหราน หล่อนคิดบ้าอะไรอยู่กันน่ะ!

ทุกวันหลังมื้อเย็น โต้วโต้วจะนั่งดูรายการสำหรับเด็กอยู่ในห้องนั่งเล่น

หลินม่ายเอาลิ้นจี่ให้หล่อนกิน เด็กน้อยกินลิ้นจี่ไปเพียงหนึ่งลูกก็ตะโกนลั่นอย่างมีความสุข “ลิ้นจี่อร่อยจริงๆ !”

หลินม่ายเองก็ปอกลิ้นจี่ลูกหนึ่งใส่เข้าปากตัวเองเช่นกัน “งั้นพรุ่งนี้เวลาเจอคุณอาฟาง หนูต้องบอกขอบคุณเขาด้วยนะ เพราะเขาเป็นคนให้ลิ้นจี่พวกนี้มา”

แม่หนูน้อยขานรับด้วยความเต็มใจ

หล่อนกินลิ้นจี่เข้าไปหลายลูกในคำเดียว แล้วพูดกับหลินม่าย “คุณอาฟางดีกับพวกเราขนาดนี้ หนูอยากให้คุณอาฟางมาเป็นคุณพ่อของหนูจังเลย”

หลินม่ายถึงกับเคว้งคว้างกลางอากาศ “หนูแค่คิดในใจก็พอแล้ว แต่อย่าพูดออกมาเด็ดขาดเลยนะ ไม่อย่างนั้นแม่คงไม่มีหน้าจะเอาไปไว้ไหนแล้ว”

แม่หนูน้อยถามอย่างงุนงง “ทำไมล่ะคะ? แม่ไม่ชอบคุณอาฟางเหรอ?”

“เอ่อ… คำว่าชอบมันมีหลายแบบน่ะ หนูยังเด็กเกินไป ไม่เข้าใจหรอกจ้ะ”

……

ฟางจั๋วหรานเพิ่งกินอาหารเย็นเสร็จ พยาบาลคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาบอกเขาอย่างรีบร้อนว่าอาการของผู้ป่วยคนหนึ่งไม่คงที่ ให้เขาไปช่วยดูอาการสักหน่อย

ฟางจั๋วหรานวางกล่องข้าวลงแล้ววิ่งออกไปทันที

โหมวตานที่เพิ่งจะให้ยาคนไข้ออกมาเห็นเขาเดินไปอย่างรีบร้อน กระทั่งประตูห้องพักแพทย์ก็ลืมปิด

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็เดินไปหน้าประตูห้องพักของฟางจั๋วหรานอย่างรวดเร็ว หล่อนมองซ้ายมองขวา เห็นว่ารอบข้างไม่มีใคร จึงแทรกตัวเข้าไปในทันทีพร้อมกับปิดประตู

เมื่อกี้หล่อนเดินผ่านห้องพักแพทย์ของฟางจั๋วหราน ก็ได้ยินหลินม่ายคุยกับฟางจั๋วหรานโดยไม่ได้ตั้งใจ เธอไม่เพียงเอาอาหารเย็นมาให้เขา แต่ยังเอามื้อดึกมาด้วย

ของที่อยู่ในกระติกเก็บความร้อนนี้คืออาหารมื้อดึกสินะ

โหมวตานเปิดฝากระติกเก็บความร้อนด้วยมือสั่นเทา กลิ่นหอมของซุปไก่พลันโชยมาเตะจมูก

……ในมือของตนมีมียาถ่ายอยู่พอดี

หากใส่ยาถ่ายลงไปในน้ำซุปไก่นี้สักเล็กน้อย แล้วศาสตราจารย์ฟางดื่มมันเข้าไปทั้งแบบนี้ จะต้องส่งผลกระทบต่องานแน่ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเกลียดหลินม่ายไปเลยก็ได้

ที่ตอนนี้ศาสตราจารย์ฟางเห็นหล่อนก็ทำเป็นไม่สนใจ แถมยังแสดงสีหน้ารังเกียจ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะหลินม่ายยัยสารเลวนั่น

ระหว่างตนกับศาสตราจารย์คงเป็นไปไม่ได้แล้ว อย่างนั้นยัยสารเลวนั่นก็อย่าคิดจะได้คบกับศาสตราจารย์ฟางเลย!

แต่ถ้าใส่ยาถ่ายลงไปในซุปไก่จริงๆ เกิดตอนกลางดึกมีคนไข้วิกฤตที่ต้องให้ศาสตราจารย์ฟางผ่าตัดขึ้นมาจะทำอย่างไร นั่นเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวกับชีวิตคนเลยนะ!

ในตอนที่โหมวตานกำลังทะเลาะกับตัวเองอยู่นั้น ประตูก็ถูกคนไขเปิดออกอย่างรวดเร็ว

โหมวตานหันหน้ากลับไป มองฟางจั๋วหรานและหัวหน้าพยาบาลด้วยความตระหนกลนลาน

ไม่คิดไม่ถึงเลยสักนิดว่าฟางจั๋วหรานจะไปแล้วย้อนกลับมา นอกจากนั้นยังกลับมาพร้อมกับหัวหน้าพยาบาลด้วย

นับตั้งแต่วันที่โหมวตานปรักปรำหลินม่ายต่อหน้าเขา ฟางจั๋วหรานก็เกลียดหล่อนเข้ากระดูกดำ

เมื่อครู่ตอนที่เขาไปตรวจคนไข้วิกฤต ก็บังเอิญเห็นโหมวตานจ้องมองห้องพักแพทย์ของตนที่ลืมปิดประตูไว้ไม่วางตา

หลังจากตรวจอาการของคนไข้วิกฤตอย่างรวดเร็ว และถ่ายทอดวิธีการรักษาให้กับแพทย์เจ้าของไข้แล้ว เขาก็ออกมาจากห้องผู้ป่วยอย่างเร่งรีบ

เพียงแวบแรกที่เห็นประตูที่เปิดอยู่ของห้องพักแพทย์ปิดลง ความคิดแรกนั้นก็คือโหมวตานคงจะแอบเข้าไปข้างในแล้ว

ด้วยเหตุนี้เขาจึงจงใจเรียกหัวหน้าพยาบาลมาจับคนร้ายด้วยกัน ไม่นึกว่าจะจับคนร้ายได้จริงๆ

ฟางจั๋วหรานเหลือบมองกระติกเก็บความร้อนที่ถูกเปิดออกเล็กน้อย สีหน้าพลันเย็นยะเยือก เขาเอ่ยเสียงเย็น “คุณทำลับๆ ล่อๆ เข้ามาในห้องพักของผม คิดจะทำอะไรกันครับ?”

โหมวตานพูดอย่างตื่นตระหนก “ฉัน… ฉันจะเข้ามาแจ้งคุณว่าอาการของคนไข้เตียง4 ของห้องผู้ป่วยหมายเลข9 ไม่ค่อยสู้ดีน่ะค่ะ…”

ฟางจั๋วหรานถาม “คุณมาแจ้งผม แล้วทำไมต้องปิดประตูด้วยล่ะ?”

ความแข็งแกร่งทางจิตวิทยาของโหมวตานดีมาก ในยามนี้เธอได้สงบสติอารมณ์จากความตื่นตระหนกในตอนแรกลงได้แล้ว ก่อนแสร้งทำเป็นสับสนมึนงงได้อย่างสมจริงสมจัง

“ฉันทำเหรอคะ? คงจะปิดไปโดยไม่ได้ตั้งใจน่ะค่ะ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” พูดจบยังกระพริบตาปริบๆ อย่างผู้บริสุทธิ์อีกด้วย

ฟางจั๋วหรานไม่เคยโต้เถียงกับใครมาก่อน จึงหันไปพูดกับพยาบาล “โหมวตานพูดความจริงหรือเปล่า ผมคิดว่าคุณน่าจะสามารถตัดสินได้นะครับ พยาบาลที่จิตใจสกปรกคิดไม่ซื่อแบบนี้ อย่าให้มาอยู่ในแผนกศัลยกรรมเลยดีกว่า ผมกลัวว่าหล่อนจะก่อปัญหาขึ้นมา แล้วโรงพยาบาลจะรับผิดชอบไม่ไหว”

หัวหน้าพยาบาลพาโหมวตานตรงไปเบื้องหน้าเตียง4 ของห้องผู้ป่วยหมายเลข9 เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงกับญาติคนไข้ในทันที

“เมื่อครู่ตอนที่พยาบาลของเราคนนี้มาให้ยากับคนไข้ ได้ทำการตรวจเบื้องต้นกับคนไข้หรือเปล่าคะ?”

ญาติคนไข้ส่ายหน้ายืนยันอย่างหนักแน่น “เปล่าค่ะ”

หัวหน้าพยาบาลถามอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นตอนนั้นเธอได้บอกว่าคนไข้มีอาการไม่ดีอะไรหรือเปล่าคะ?”

ญาติคนไข้เริ่มไม่สบอารมณ์ “พ่อของฉันอาการดีมากแท้ๆ แล้วหล่อนจะมาบอกว่าพ่อฉันอาการไม่ดีได้ยังไง นี่จะแช่งกันอย่างนั้นเหรอ?”

เมื่อถามถึงตรงนี้ ความจริงก็ปรากฏราวกับน้ำลดตอผุด

หัวหน้าพยาบาลเองก็ไม่ได้อ่อนข้อ พูดกับโหมวตานในทันที “พรุ่งนี้ฉันจะย้ายเธอไปทำงานที่แผนกผู้ป่วยฉุกเฉิน วันนี้เธอก็อย่าได้ก่อเรื่องอะไรให้ฉันอีกล่ะ ไม่อย่างนั้นฉันจะไล่เธอออกทันที!”

โหมวตานหน้าซีดเผือด

เมื่อเสร็จสิ้นงานของทั้งวัน หลังจากอาบน้ำเสร็จ หลินม่ายก็นอนลงบนเตียงด้วยความเหนื่อยอ่อน

ไม่รู้ว่าทำไม พอหลับตาลง ก็เอาแต่นึกถึงมือใหญ่อันเรียวยาวเกลี้ยงเกลา แต่ก็ยังเห็นข้อกระดูกใหญ่ของผู้ชายชัดเจนของฟางจั๋วหรานขึ้นมา

ในใจร้องว่าจบเห่แล้วๆ ไม่หยุด ทำไมตนถึงเอาแต่คิดถึงเขากัน หรือว่าแค่มือคู่หนึ่ง ก็รู้สึกอ่อนระทวยแล้วเหรอ?

ตนเป็นคนที่กลับชาติมาเกิด มาใจเต้นกับผู้ชายคนหนึ่งแบบนี้ได้อย่างไรกัน ให้ตายเถอะ…

เช้าวันต่อมา ฟางจั๋วหรานออกเวรดึก ก็มากินมื้อเช้าที่ร้านของหลินม่าย เมื่อเห็นขอบตาดำคล้ำของเธอ ก็นึกไปว่าเป็นเพราะทำงานหนักเกินไป

เขาเอ่ยโน้มน้าว “หาเงินเป็นเรื่องสำคัญ แต่ร่างกายนั้นสำคัญกว่านะ อย่าทำตัวเองเหนื่อยจนเสียสุขภาพสิ”

หลินม่ายตอบอย่างขอไปที แล้วหลบไปที่อื่นไกลๆ รู้สึกอึดอัดที่จะเผชิญหน้ากับเขาเล็กน้อย

แต่โต้วโต้วนั้นกลับวิ่งเข้ามาอย่างร่าเริง บอกกับฟางจั๋วหรานว่าลิ้นจี่อร่อยมาก

ฟางจั๋วหรานแอบถามหล่อน “คุณแม่หนูกินเยอะหรือเปล่า?”

หนูน้อยเข้าไปกระซิบที่ข้างหูเขา “เยอะค่ะ!”

ชายหนุ่มยกยิ้มที่มุมปาก

หลังกินมื้อเช้าเสร็จ ฟางจั๋วหรานก็หอบร่างกายอันอ่อนล้ากลับบ้าน

เขาทำงานตัวเป็นเกลียวติดต่อกันมา24ชั่วโมง ระหว่างนั้นยังทำการผ่าตัดอีกสองเคส ต่อให้ร่างกายทำมาจากเหล็กก็เหนื่อยได้เหมือนกัน

สื่อเจินเซียงสะพายกระเป๋าหนังกำลังจะไปทำงาน พลันเหลือบไปเห็นฟางจั๋วหรานที่เดินผ่านหน้าร้านของหล่อนไป

หล่อนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะไล่ตามเขาไป แล้วตะโกนเรียก “ศาสตราจารย์ฟาง”

ฟางจั๋วหรานหันมองหล่อนอย่างเย็นชา “คุณยังคิดจะมาตามราวีผมอีกเหรอ คราวก่อนผมสั่งสอนคุณเบาเกินไปใช่ไหม?”

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ยัยโหมวตานโดนเล่นงานแล้ว หมดเสี้ยนหนามไปแล้วหนึ่ง

ฝันเห็นแต่เขาแบบนี้ ใจเรามันไม่เป็นของเราแล้วน่ะสิม่ายจื่อ

ไหหม่า(海馬)

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *