แม่ปากร้ายยุค​ 80 336 สอบเข้าชั้นมัธยมปลาย

Now you are reading แม่ปากร้ายยุค​ 80 Chapter 336 สอบเข้าชั้นมัธยมปลาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 336 สอบเข้าชั้นมัธยมปลาย

เหยียนเหวินเล่อยิ้ม “เธอทำได้แน่นอน ต่อจากนี้ไปเธออย่าได้สร้างเรื่องใส่ร้ายใครอีก”

ว่านฮุ่ยกัดฟันอย่างลับ ๆ ลอบพ่นคำสบประมาทในใจ ห้ามฉันใส่ร้ายใครต่อจากนี้ หมายความว่ายังไงกัน แค่พูดตรง ๆ ว่าจากนี้ไปไม่ได้รับอนุญาตให้ใส่ร้ายหลินม่ายอีกยังชัดเจนกว่า!

เขาบอกว่าตัวเองไม่ได้สนใจหลินม่าย แต่กลับพยายามปกป้องทุกวิถีทาง!

หล่อนพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ฉันจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว”

เหยียนเหวินเล่อพยักหน้า “ดีมาก”

จากนั้นก็เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นจริงจัง “เพราะถ้ายังมีครั้งต่อไป เราสองคนจะกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกันทันที”

ว่านฮุ่ยยิ้มรับอย่างไม่เต็มใจ

ผู้ชายคนนี้ต้องชอบหลินม่ายมากแค่ไหนกันนะ เพื่อเธอแล้ว เขาถึงกับยอมขู่ด้วยถ้อยคำร้ายแรงอย่างกลายเป็นคนแปลกหน้า โดยไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์ที่มีต่อกันมานานหลายปี

ทันทีที่หลินม่ายเลิกเรียน เธอก็เก็บข้าวของแล้วเดินจากไปตามลำพัง

ทันทีที่เดินพ้นจากประตูโรงเรียน ก็เห็นฟางจั๋วหรานยืนรอเธออยู่ก่อนแล้ว

วันนี้ศาสตราจารย์ฟางสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงขายาวสีน้ำเงินเข้ม แต่งกายสุภาพสง่างาม แต่กลับเป็นเสมือนสิ่งล่อใจซึ่งปรากฏขึ้นในระหว่างที่กำลังนั่งสมาธิ

สาว ๆ หลายคนที่เดินผ่านต่างเหลียวกลับมามองเขาด้วยความหลงใหล

หลินม่ายเรียกชื่อเขาด้วยความดีใจ รีบวิ่งตรงเข้าไปหาเขาทันที “คุณกลับมาแล้ว นั่งเครื่องนานหลายชั่วโมงคงทำให้คุณเหนื่อยไม่น้อยเลยสินะ ทำไมถึงไม่กลับบ้านไปนอนพักผ่อนสักหน่อยล่ะคะ?”

“ผมคิดถึงคุณน่ะสิ ไว้ค่อยกลับไปนอนต่อหลังจากกินอิ่มแล้วก็ได้”

ว่าแล้วฟางจั๋วหรานก็ยื่นถุงกระดาษในมือให้หลินม่าย แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ผลสอบเป็นยังไงบ้าง?”

“ฉันสอบได้ 577 คะแนน ถือเป็นผลสอบเข้ามัธยมปลายที่ดีที่สุดเลยล่ะ”

หลินม่ายมองไปที่โลโก้บนถุงกระดาษตรงหน้า แล้วพูดด้วยความตื่นเต้น “กระเป๋า LV? คุณซื้อกระเป๋า LV ให้ฉันจริง ๆ เหรอคะ?”

ถึงเธอจะไม่ใช่คนยึดติดการใช้กระเป๋าแบรนด์เนมมากนัก แต่เธอก็ดีใจมากที่ฟางจั๋วหรานยอมจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อซื้อมันเป็นของขวัญให้เธอ

สาว ๆ คนไหนบ้างไม่ชอบที่แฟนตัวเองเป็นพ่อบุญทุ่ม?

เหตุผลหลักไม่ใช่เพราะชอบความฟุ้งเฟ้อ แต่เป็นเพราะรู้สึกว่าตัวเองได้รับความใส่ใจ

ผู้ชายที่ยอมเสียเงินเพื่อซื้ออะไรบางอย่างแพง ๆ ให้คุณ คุณคิดว่าเขารักคุณมากแค่ไหนกัน?

ชาติที่แล้ว แม้แต่เงินแค่หนึ่งเฟิน อู๋เสี่ยวเจี๋ยนยังลังเลที่จะจ่ายให้

แต่กับหลินเพ่ยแล้ว เขากลับไม่ลังเลเลยที่จะควักเงินให้หล่อนใช้จ่าย

พอเธอถามซักไซ้หนักเข้า คนสารเลวนั่นก็โกหกว่ายิ่งเธอสำคัญกับเขามากเท่าไร เขายิ่งใช้จ่ายเงินให้น้อยลงเท่านั้น ส่วนเงินที่มีอยู่เขามักจะใช้จ่ายไปกับคนที่ไม่สำคัญ

แถมยังอ้างด้วยว่าจำนวนเงินไม่ใช้มาตรวัดความรู้สึกที่แท้จริง ความรู้สึกที่ไม่มีเงินมาเกี่ยวข้องต่างหาก ถึงจะเป็นความรู้สึกที่แท้จริง

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เธออยากถามกลับเหลือเกินว่าในเมื่อความสัมพันธ์ที่วัดกันด้วยจำนวนเงินไม่ใช่สิ่งที่มาจากใจอย่างแท้จริง ถ้าอย่างนั้นเขาเอาเงินไปปรนเปรอพ่อแม่ทำไมกัน?

เอาเงินที่มีไปมอบให้กับหนุ่มโสดข้างบ้านไม่ดีกว่าเหรอ หรือแจกจ่ายคนจรจัดและผู้สูงอายุก็ยังได้!

ไม่งั้นความสัมพันธ์ฉันพ่อแม่ลูกระหว่างเขากับผู้เฒ่าทั้งสองก็ถือเป็นการเสแสร้งเหมือนกันน่ะสิ?

น่าเสียดายที่ตอนนั้นเธอรักเขามาก จนไม่กล้าถามอะไรทำนองนั้นออกไป

พอนึกถึงตัวเองในชาติที่แล้ว หลินม่ายรู้สึกว่าตัวเองช่างทำตัวไร้ค่า

ฟางจั๋วหรานเป็นคนเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยและรู้สึกมีคุณค่าในฐานะที่เป็นผู้หญิง ทั้งยังทำให้เธอได้รู้ว่าความรู้สึกของการได้รับความรักนั้นสวยงามแค่ไหน…

ตอนแรกฟางจั๋วหรานตั้งใจจะชื่นชมที่เธอทำผลสอบออกมาดี แต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นว่าเธอรู้จักกระเป๋ายี่ห้อนี้ จึงถามด้วยความสงสัย “คุณไปรู้จักแบรนด์นี้มาจากไหน?”

ช่วงปี 1980 ผู้คนส่วนใหญ่ยังไม่นิยมการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือย น้อยคนนักที่จะรู้จักแบรนด์หรูหราเหล่านี้

หลินม่ายชะงักค้าง เธอเผยไต๋ตัวเองอีกแล้วหรือนี่

เธอหัวเราะกลบเกลื่อนสองครั้ง “ฉันได้ยินมาจากพี่เถาอีกทีหนึ่ง หล่อนคร่ำหวอดอยู่ในวงการแฟชั่น มีหรือจะไม่รู้จักแบรนด์เสื้อผ้า รองเท้า รวมถึงกระเป๋าที่ว่านี่ด้วย!”

ฟางจั๋วหรานโล่งใจเมื่อได้ยินคำอธิบายจากเธอ

เขายกมือขึ้นลูบศีรษะน้อย ๆ ของหญิงสาว “คุณทำผลสอบออกมาดีมาก อยากได้รางวัลอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า ผมจะได้ซื้อให้คุณ”

หลินม่ายใส่ใบรับรองผลการศึกษา ประกาศนียบัตร รวมถึงรูปถ่ายจบการศึกษาลงในกระเป๋า LV “คุณซื้อกระเป๋า LV ใบนี้ให้ฉันแล้วนี่คะ ยังจะให้อะไรฉันอีก?”

“ของชิ้นนี้ไม่นับ”

หลินม่ายคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า “ฉันไม่อยากได้อะไรเป็นพิเศษ ขอกีตาร์สักตัวก็พอแล้วค่ะ”

ฟางจั๋วหรานประหลาดใจอีกครั้ง “คุณเล่นกีตาร์เป็นด้วยเหรอ?”

หลินม่ายไม่ได้เล่นกีตาร์เป็นแค่อย่างเดียว แต่ยังเป่าฟลุต เล่นเปียโน และเครื่องดนตรีอื่น ๆ ได้อีกหลายชนิด

ถึงชาติที่แล้วเธอจะเรียนรู้การเล่นเครื่องดนตรีพวกนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ก็ได้รับใบรับรองทุกชนิด

“เปล่าค่ะ” เธอส่ายหน้า “ฉันแค่อยากเรียน”

ฟางจั๋วหรานพยักหน้า “ได้ เดี๋ยวผมสอนเอง”

ทั้งสองไปที่บ้านของป้าติงเพื่อแวะรับโต้วโต้วกับฉีฉี จากนั้นค่อยเดินกลับบ้านพร้อมกัน

พอเดินผ่านหน้าร้านของตัวเอง พนักงานในร้านหันไปเห็นหลินม่ายโดยบังเอิญ ก็รีบตะโกนเสียงดัง “เถ้าแก่เนี้ยกลับมาแล้ว!”

พนักงานคนอื่น ๆ ต่างโห่ร้องด้วยความยินดี กรูออกมาจากในครัวแล้วถามเป็นเสียงเดียวกันว่า “เถ้าแก่เนี้ย ผลสอบเป็นยังไงบ้าง?”

หลินม่ายทำท่าทางเป็นเชิงว่าไม่เลว พูดด้วยความภาคภูมิใจ “ฉันสอบได้ 577 คะแนน ผ่านเกณฑ์สอบเข้าชั้นมัธยมปลายได้”

พอทุกคนได้ยินแบบนั้น ต่างก็พ่นคำชื่นชมเธอไม่หยุดหย่อน

คำสรรเสริญเยินยอเหล่านั้นทำให้เธอรู้สึกเก้อเขินเกินกว่าจะทนฟังต่อ

หลินม่ายโบกไม้โบกมือห้าม ก่อนจะแจกจ่ายอั่งเปาจำนวนสิบหยวนให้กับทุกคน

ทุกคนได้อั่งเปาแล้วก็ยิ่งยกยอเธอยิ่งกว่าเดิม

เพื่อเป็นการฉลองที่หลินม่ายได้รับผลการเรียนดีสำหรับสอบเข้าเรียนต่อชั้นมัธยมปลาย ฟางจั๋วหรานจึงพาหลินม่ายและเด็กน้อยทั้งสองคนไปที่ภัตตาคารเจียงเฉิงเพื่อรับประทานอาหารมื้อใหญ่

หลินม่ายไม่ค่อยตื่นเต้นกับอาหารจานอื่น แต่สำหรับเมนูที่มีเนื้อวัวแล้วถือเป็นข้อยกเว้น

นั่นก็เพราะว่าในยุคนี้กระแสความนิยมในการบริโภคเนื้อวัวยังไม่เป็นที่แพร่หลาย แต่จะเป็นที่นิยมในหมู่ชนกลุ่มน้อยที่ไม่กินเนื้อหมู

แม้แต่ในตลาดสดฝูตัวตัวของเธอที่มีเนื้อสัตว์ขายแทบทุกประเภท ก็ยังไม่มีเนื้อวัววางจำหน่าย

ฟางจั๋วหรานสังเกตว่าหลินม่ายและเด็กน้อยทั้งสองชอบกินเนื้อวัวเป็นพิเศษ จึงสั่งอาหารที่มีเนื้อวัวมาเพิ่มอีกหลายจาน

ผู้ใหญ่และเด็กน้อยกินอาหารทุกจานอย่างเอร็ดอร่อย แล้วตามฟางจั๋วหรานกลับบ้านทั้งที่พุงกางอย่างนั้น

เด็กน้อยทั้งสองกินอิ่มจนเกินขนาด หนำซ้ำวันนี้ยังเป็นวันที่อากาศร้อน ดังนั้นจึงง่วงนอนตั้งแต่เดินอยู่บนถนน

ฟางจั๋วหรานอุ้มเด็กชายไว้ในมือข้างหนึ่ง อีกมือหนึ่งก็จับจูงเด็กหญิงที่กำลังดึงชายเสื้อด้านหลังของเขา มุ่งตรงกลับบ้านอย่างไม่รอช้า

ทันทีที่กลับมาถึง ฟางจั๋วหรานก็วางร่างเด็กน้อยทั้งสองลงบนเตียงเพื่อให้พวกเขาหลับปุ๋ยต่อไป ก่อนจะเดินออกมาหาหลินม่าย

หญิงสาวเอาแต่โอดครวญว่าตัวเองอิ่มเหมือนท้องจะแตกตายมาตลอดทาง เขาจึงอยากเช็กดูว่าเธอเป็นอะไรร้ายแรงไหม จำเป็นต้องไปโรงพยาบาลหรือเปล่า

นึกไม่ถึงว่าหลินม่ายไม่ได้รออยู่ในห้องนั่งเล่น

ประตูห้องน้ำเปิดค้างอยู่ แสดงว่าเธอคงอยู่ในห้องนอน

ฟางจั๋วหรานผลักประตูที่เปิดแง้มอยู่ครึ่งหนึ่งออก เห็นว่าหญิงสาวนอนอยู่บนเตียง

พอได้ยินเสียงเขาเดินเข้ามา หลินม่ายก็พยายามลืมตาที่หรี่ปรือแล้วคร่ำครวญว่า “ฉันกินอิ่มเกินไป ถ้าท้องระเบิดขึ้นมาฉันจะทำยังไงดี?”

ฟางจั๋วหรานยิ้มด้วยความขบขัน ก่อนจะนั่งลงบนขอบเตียง

จากนั้นก็ใช้นิ้วมือเรียวยาวเปิดผ้าห่มลินินผืนบางที่คลุมร่างหลินม่ายออก ก่อนจะเอื้อมมือไปปลดกระดุมเสื้อเพื่อให้เธอรู้สึกสบายตัวมากขึ้น

หลินม่ายจ้องมองชายหนุ่มที่กำลังเปลื้องเสื้อผ้าของตัวเองอยู่ด้วยความตกใจ ปัดมือเขาออกพลางถามว่า “คุณจะทำอะไรน่ะ?”

ฟางจั๋วหรานถามกลับอย่างยียวน “คุณคิดว่าผมอยากทำอะไรล่ะ?”

หลินม่ายกระแอมในลำคอ กลอกตาขึ้นเพดาน “ฉันจะไปรู้เหรอ?”

ฟางจั๋วหรานบีบจมูกน้อย ๆ ของเธอ “ผมแค่อยากตรวจดูอาการคุณเท่านั้นเอง ดูซิว่าท้องคุณอืดแค่ไหน หรืออยากไปจบที่โรงพยาบาลดีล่ะ”

หลินม่ายพูดด้วยความเขินอาย “อย่างนี้นี่เอง”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ต่อให้ฉันจะไม่สบายตัวขนาดไหน คุณก็ไม่เห็นต้องมาปลดกระดุมฉันโดยพลการเลยนี่”

ฟางจั๋วหรานถาม “งั้นคุณจะปลดเองดี ๆ หรือจะให้ผมปลดให้?”

“ฉันเอง ฉันเอง!” หลินม่ายรีบปลดกระดุมเสื้อตัวเองอย่างรวดเร็วจากบนลงล่าง

เธอไม่อยากโดนคนที่เป็นถึงศาสตราจารย์บ่น เพราะกลัวว่าตัวเองอาจทนฟังไม่ได้แน่…

พอเห็นว่าหลินม่ายปลดกระดุมเม็ดที่สามจากบนลงล่างด้วยใบหน้าแดงก่ำ ฟางจั๋วหรานก็แกล้งหยอกเธอเล่น “ปลดแค่สามเม็ดล่างก็พอแล้ว”

ทำไมไม่บอกให้มันเร็วกว่านี้ล่ะ!

หลินม่ายค้อนขวับทันที

เธอติดกระดุมสองเม็ดบน จากนั้นก็ปลดกระดุมสามเม็ดล่างตามที่เขาบอก

ฟางจั๋วหรานยื่นมือไปกดบริเวณหน้าท้องของเธอ

ครั้งแรก ฟางจั๋วหรานไม่ได้ออกแรงกดมากมาย

แต่ครั้งที่สองกับครั้งที่สาม เขากดมือลงไปหนักกว่าครั้งแรก จนหลินม่ายเกือบจะกัดปลายลิ้นตัวเอง

เธอกัดฟันแน่น มือทั้งสองข้างจับชายเสื้อไว้มั่น ราวกับถูกแก๊งนอกกฎหมายจับไปทรมานอย่างไรอย่างนั้น แต่ต่อให้เจ็บแค่ไหนก็ไม่กล้าร้องออกมาเสียงดัง

โชคดีที่หลังจากฟางจั๋วหรานออกแรงกดเป็นครั้งที่ห้า การตรวจสอบร่างกายก็เสร็จสิ้น “ไม่เป็นไร ยังไม่อยู่ในระดับที่เกินขีดจำกัด กินยาช่วยย่อยอาหารสักสองเม็ดก็สบายท้องแล้ว”

ที่บ้านมีเด็กที่มีโรคประจำตัวอย่างโต้วโต้ว ดังนั้นจึงมียาสามัญประจำบ้านที่จำเป็นหลายอย่าง

ฟางจั๋วหรานเดินไปที่ห้องอาหาร ค้นกระปุกยาช่วยย่อยอาหารจากในตู้ เทออกมาสองเม็ด ก่อนจะรินน้ำอุ่นใส่ก้าว แล้วเดินกลับเข้าไปในห้องเพื่อให้หลินม่ายกินยา

พอเห็นว่าเธอหลับตาพริ้มแล้ว เขาก็ออกจากบ้านไปอย่างเงียบ ๆ

หลินม่ายตื่นนอนอีกทีก็เกือบบ่ายโมงแล้ว ไม่รู้สึกอึดอัดแน่นท้องอีกต่อไป

คราวนี้ฟางจั๋วหรานไม่เพียงซื้อกระเป๋า LV มาฝากเธอเท่านั้น แต่ยังซื้อของว่างประจำถิ่นกลับมาฝากเธออีกด้วย

อากาศร้อนแบบนี้ เก็บไว้นาน ๆ ขนมจะเสียเอาได้

หลินม่ายตั้งใจว่าจะเอาขนมที่ได้มาไปแบ่งให้หลี่หมิงเฉิงและเถาจืออวิ๋น

ที่สำคัญ เธอว่าจะขอให้หลี่หมิงเฉิงเอาอาหารเสริมกับของว่างที่ฟางจั๋วหรานซื้อมาฝากให้กับคุณปู่ฟางและภรรยาของเขาเป็นพิเศษ ไปฝากพวกเขาตอนที่แวะไปรับซื้อวัตถุดิบจากเมืองซื่อเหม่ยในวันพรุ่งนี้

หลินม่ายพาเด็กน้อยทั้งสองไปฝากไว้ที่บ้านของป้าติงก่อน จากนั้นก็หอบถุงใบน้อยใหญ่ตรงไปที่บ้านของหลี่หมิงเฉิง

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

พี่หมอนี่มันลูกรักพระเจ้าจริงๆ แต่งตัวยังไงก็หล่อจนคนเหลียวมอง

สถานการณ์ชวนให้คิดลึกอีกแล้ว ม่ายจื่อยังไม่ยี่สิบน้า

ไหหม่า(海馬)

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *