แม่ปากร้ายยุค​ 80 256 ออกแบบชุดทำงาน

Now you are reading แม่ปากร้ายยุค​ 80 Chapter 256 ออกแบบชุดทำงาน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 256 ออกแบบชุดทำงาน

เถาจืออวิ๋นรวบเสื้อผ้าทั้งหมดลงในถุงผ้าขนาดใหญ่โดยแบ่งเป็นสามกอง แล้วส่งให้กับหลินม่าย

หลินม่ายเห็นว่าอีกฝ่ายเชื่อใจในตัวเธอมาก จึงลองพูดจาหยั่งเชิงดูว่า “คุณแน่ใจแล้วเหรอว่าจะยกเสื้อผ้าทั้งหมดนี้ให้ฉัน ไม่กลัวฉันหอบเสื้อผ้าพวกนี้หนีไปหรือไง? อย่างน้อยคุณควรตามฉันกลับไปที่บ้านสักหน่อย จะได้รู้ว่าบ้านของฉันอยู่ตรงไหน”

เถาจืออวิ๋นตอบยิ้ม ๆ “ฉันว่าฉันมองคนไม่ผิด คุณเป็นคนที่ไว้ใจได้ ไม่มีทางหอบเสื้อผ้าของฉันหนีไปแน่ ๆ ไว้หนึ่งสัปดาห์ถัดไปเราค่อยนัดเจอกันที่นี่ก็ได้”

“ไม่ต้องรอให้ถึงหนึ่งสัปดาห์หรอก ฉันสามารถขายเสื้อผ้าพวกนี้ให้หมดภายในสองคืน”

เถาจืออวิ๋นจ้องมองหลินม่ายด้วยสายตาตกตะลึง หล่อนพยายามตั้งแผงขายเสื้อผ้าพวกนี้มาสามวันแล้ว แต่กลับขายได้แค่ตัวเดียวเท่านั้น

แต่หลินม่ายกลับพูดอย่างมั่นใจว่าเธอสามารถขายให้หมดได้ภายในสองคืน

“เสื้อผ้าพวกนี้รวมแล้วมากกว่าห้าสิบตัว คงขายไม่หมดเร็วขนาดนั้นหรอก”

หลินม่ายย้ำคำเดิมอย่างหนักแน่น “ฉันขายหมดภายในสองคืนได้จริง ๆ ค่ะ”

ว่าแล้วเธอก็ออกปากชวน “ไหน ๆ ก็เจอกันโดยบังเอิญแล้ว ฉันขอออกปากชวนเสียเลย คุณกับฉีฉีแวะไปกินอาหารมื้อกลางวันที่บ้านของฉันสิคะ จะได้จำที่อยู่ได้ เผื่อคุณจะตามหาฉันได้สะดวกขึ้น”

เถาจืออวิ๋นไม่อยากตามไป แต่หลินม่ายอุ้มฉีฉีและเดินตัวปลิวออกไปแล้ว “ตามมาเร็วเข้า ฉันยังมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณอีก”

เถาจืออวิ๋นจึงไม่มีทางเลือกนอกจากรีบเก็บแผงของตัวเองอย่างรวดเร็ว แล้ววิ่งเหยาะ ๆ ตามไปสองสามก้าวให้ทันหลินม่ายที่อุ้มลูกชายของหล่อนจากไป

เด็กอายุสองขวบมีน้ำหนักมากพอประมาณแล้ว หล่อนละอายใจเกินกว่าจะปล่อยให้หลินม่ายที่ผอมบางอุ้มลูกชายของเธอไว้ในมือหนึ่ง ส่วนอีกมือยังถือถุงผ้าใบใหญ่

เถาจืออวิ๋นถามในระหว่างเดิน “คุณมีอะไรอยากคุยกับฉันเหรอคะ?”

หลินม่ายตอบสั้น ๆ ว่าเธออยากขอให้อีกฝ่ายช่วยตัดเย็บชุดทำงานให้พนักงานของเธอ

เถาจืออวิ๋นชื่นชม “คุณนี่น่าทึ่งจริง ๆ เลย! นอกจากจะเปิดร้านอาหารแล้ว ยังดูแลกิจการตลาดสดอีกด้วย”

หลินม่ายโบกมือพลางพูดอย่างถ่อมตัว “ฉันทำก็เพื่อหาเลี้ยงชีพน่ะ”

พอทั้งสองกลับไปถึงร้านอาหาร หลินม่ายก็เดินนำเถาจืออวิ๋นขึ้นไปชั้นบน เพื่อขอให้เธอช่วยออกแบบชุดทำงานให้

ชุดที่สวมใส่ในระหว่างทำงานครัว ควรเป็นชุดที่มีผ้ากันเปื้อนแบบเต็มตัว แขนยาว และมีหมวก ส่วนชุดของพนักงานขายในตลาดสดควรแตกต่างไปจากชุดของพนักงานในร้านอาหาร

พนักงานขายในตลาดต่างมีอายุเยอะแล้ว ดังนั้นไม่ควรสวมใส่ชุดที่มีลักษณะหรูหราเกินไป

แต่สำหรับแคชเชียร์ของร้านอาหาร เธอวางแผนว่าจะรับสมัครคนหนุ่มสาวที่มีหน้าตาสดใสชวนมอง ดังนั้นชุดทำงานก็ควรมีชีวิตชีวาส่งเสริมกัน

หลังจากถ่ายทอดความต้องการเรียบร้อยแล้ว หลินม่ายก็เรียกโต้วโต้วออกมาให้ช่วยเล่นเป็นเพื่อนกับฉีฉี ก่อนจะลงไปชั้นล่างเพื่อเข้าครัวทำอาหารกลางวัน

ในเมื่อหาซื้อไก่ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ใช้เนื้อห่านเพื่อทำโข่วสุ่ยจีก็แล้วกัน วันนี้มีคนร่วมโต๊ะอาหารเพิ่มขึ้นมาตั้งสองคน เธอจึงไม่กลัวว่าอาหารจะเหลือทิ้ง

พออาหารกลางวันพร้อมแล้ว โจวฉายอวิ๋นกับหลินม่ายก็ช่วยกันยกขึ้นไปชั้นบน

พอเห็นแบบนั้น เถาจืออวิ๋นก็วางปากกาในมือลงแล้วกระวีกระวาดเข้ามาช่วย

ระหว่างมื้อกลางวัน ฟางจั๋วหรานก็วิ่งขึ้นไปชั้นบนพร้อมกับครีมลดรอยแผลเป็นสองหลอดในมือ พูดด้วยความตื่นเต้น “ม่ายจื่อ ดูซิว่าผมเอาของดีอะไรมาฝากคุณ!”

ทันทีที่เขาพูดจบ สายตาก็เหลือบไปเห็นว่าในห้องนั่งเล่นมีแขกอยู่ด้วย จึงรู้สึกเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย

ไม่บ่อยนักที่หลินม่ายใช้ห้องนั่งเล่นชั้นบนเพื่อรับรองแขก

หลินม่ายรีบแนะนำเขาให้กับเถาจืออวิ๋นและลูกชายของหล่อน จากนั้นก็ถามด้วยรอยยิ้ม “ของดีที่ว่าคืออะไรหรือคะ?”

ฟางจั๋วหรานข่มความเขินอายลงไปจนสีหน้าท่าทางกลับมาสงบ จากนั้นก็ยื่นครีมลดรอยแผลเป็นสองหลอดให้เธอ

“นี่เป็นครีมลดรอยแผลเป็นที่ผมฝากเพื่อนที่เยอรมนีซื้อส่งมาให้ คุณลองทาเป็นประจำทุกวันดู ถ้ามันได้ผล ผมจะได้ซื้อมาให้คุณเพิ่มอีก”

หลินม่ายเกือบลืมรอยแผลเป็นบนหน้าผากของตัวเองไปแล้ว รอยเย็บตรงไรผมแค่จุดเล็ก ๆ ไม่ได้ส่งผลกระทบถึงขั้นใบหน้าเสียโฉมเสียหน่อย

แต่เธอรู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าฟางจั๋วหรานจะหาซื้อครีมลดรอยแผลเป็นสองขวดนี้มาได้ เธอไม่อยากทำให้เขาผิดหวัง จึงตอบรับด้วยรอยยิ้ม

หลังมื้ออาหารกลางวัน ฟางจั๋วหรานก็ขอตัวกลับไป

หลินม่ายล้างจาน เถาจืออวิ๋นก็เดินมาช่วยเธอทำความสะอาดด้วย

หล่อนยิ้มพลางพูดกับหลินม่าย “แฟนของคุณนี่หน้าตาดีจริง ๆ เลย”

เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่หลินม่ายไม่ถ่อมตัว เธอพยักหน้า “ใช่แล้ว”

เถาจืออวิ๋นถาม “แฟนคุณทำงานที่ไหนเหรอ?”

หลินม่ายตอบอย่างภาคภูมิใจ “เขาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยการแพทย์ผู่จี้ค่ะ”

เถาจืออวิ๋นดูประหลาดใจมาก “หมายความว่าเขาอายุสามสิบแล้วสินะ ฉันดูไม่ออกจริง ๆ คิดว่าเขาคงอายุประมาณยี่สิบสี่หรือยี่สิบห้า ไม่น่าเชื่อว่าเขาอายุเข้าขั้นวัยกลางคนแล้ว…”

“เขาอายุไม่ถึงสามสิบ แต่ก็ไม่ได้อายุยี่สิบสี่หรือยี่สิบห้า เขาอายุยี่สิบแปดแล้วค่ะ”

เถาจืออวิ๋น “ยี่สิบแปดก็ถือว่าอายุเยอะแล้วนะ”

หลินม่ายมองหล่อนด้วยสายตาพิกล “ทำไมคุณเอาแต่ย้ำว่าแฟนฉันแก่แล้วล่ะ?”

“ฉันเปล่าย้ำนะ แต่พูดความจริงต่างหาก”

เถาจืออวิ๋นยิ้ม แต่ในขณะที่กำลังจะพูดต่อก็เกิดความลังเลบางอย่าง หล่อนเหลือบมองหลินม่ายสองสามครั้ง ในที่สุดก็ตัดสินใจไม่พูดอะไรต่อ

หลังจากทำความสะอาดถ้วยชามเสร็จแล้ว ทั้งสองก็นั่งลงบนโซฟาตามเดิม เถาจืออวิ๋นยื่นกระดาษแบบร่างของชุดที่ออกแบบไว้ส่งให้หลินม่ายลองดู

ขณะที่หลินม่ายกำลังดูอยู่นั้น เถาจืออวิ๋นก็คอยอธิบายอยู่ข้าง ๆ “ฉันยึดการออกแบบตามคำขอของคุณ ชุดทำงานของพนักงานขายในตลาดมีรูปแบบเรียบง่ายที่สุด ใช้แค่ผ้ากันเปื้อนและปลอกแขน ในส่วนของผ้ากันเปื้อนฉันว่าจะตัดเย็บจากผ้าฝ้ายเนื้อหนาเพื่อไม่ให้เสียทรงง่ายเวลาสวมใส่ แล้วยังออกแบบให้ผ้ากันเปื้อนมีกระเป๋าขนาดใหญ่เพื่อให้พวกเขาพกพาสิ่งของต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก ชุดทำงานมีสีต่างกันตามประเภทของงาน พนักงานขายหน้าแผงใส่ชุดสีแดง พนักงานยกของใส่ชุดสีเขียวเข้ม พนักงานครัวใส่ชุดสีน้ำตาล…”

หลินม่ายพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า ไอเดียนี้เข้าท่าทีเดียว เพราะสามารถช่วยให้ลูกค้าจดจำประเภทของพนักงานได้อย่างรวดเร็ว

ทั้งยังทำให้ภายในร้านมีสีสัน มองแล้วไม่ซ้ำซากจำเจ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ละลานตาจนเกินไป

เถาจืออวิ๋นอธิบายต่อไป “สำหรับพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหาร ผ้ากันเปื้อนกับแขนเสื้อจะแต่งขอบเป็นระบาย ส่วนหมวกฉันขอปรับเป็นโบว์ผูกดีกว่า นอกจากจะดูสวยงามแล้วยังใช้งานได้จริง”

หลินม่ายพยักหน้า “เอาตามที่คุณออกแบบไว้เลย คุณตัดเย็บชุดทำงานเฉพาะของพนักงานในตลาดสดให้ฉันภายในสามวันได้ไหมคะ?”

เถาจืออวิ๋นส่ายหน้าเป็นการขอโทษ “คงไม่ได้ ฉันยังต้องกลับไปทำงาน”

ทันใดนั้นหลินม่ายก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “แล้วทำไมวันนี้คุณถึงไม่ไปทำงานล่ะ?”

เถาจืออวิ๋นมองเธอด้วยสีหน้าซับซ้อน “วันนี้วันอาทิตย์ ฉันจะไม่ไปทำงานก็ไม่แปลก ถึงคุณจะทำงานหนักแค่ไหน ก็ไม่ควรสับสนจนลืมว่าวันนี้เป็นวันหยุดนะ”

หลินม่ายตบหน้าตัวเองเบา ๆ “ฉันสับสนจนลืมวันลืมคืนจริง ๆ ถ้าทำเสร็จภายในสามวันไม่ได้ แล้วถ้ายืดเวลาออกไปเป็นห้าวันล่ะ”

“แทบเป็นไปไม่ได้เลย”

หลินม่ายจิ้มนิ้วไปที่แบบร่างพลางพูดว่า “ฉันอยากพิมพ์ภาพสัญลักษณ์ของตลาดสดกับร้านอาหารลงไปตรงช่วงอกของผ้ากันเปื้อนด้วย คุณว่าเข้าท่าไหม?”

ที่เธออยากทำแบบนั้น ก็เพราะต้องการให้ลูกค้ามองเห็นสัญลักษณ์บนผ้ากันเปื้อนของพนักงานให้บ่อยครั้งจนเป็นที่จดจำ เพื่อสร้างความประทับใจให้มากขึ้น วิธีนี้อาจช่วยให้ตลาดสดและร้านอาหารของเธอมีชื่อเสียงโด่งดัง

เถาจืออวิ๋นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ตราบใดที่ตราสัญลักษณ์ไม่ซับซ้อนเกินไป ก็น่าจะเข้าทีดีนะคะ คุณลองวาดตราสัญลักษณ์ให้ฉันดูหน่อยสิ?”

หลินม่ายหน้าแดงขึ้นมาทันที “ฉันยังไม่ได้ออกแบบเลยค่ะ แต่ว่าจะออกแบบเดี๋ยวนี้แหละ”

เธอเริ่มร่างภาพเครื่องหมายการค้าของร้านเปาห่าวซือก่อนเป็นอย่างแรก เพราะหวังว่าจะสามารถต่อยอดกิจการได้ในอนาคต

หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก เธอก็วาดตุ๊กตาเลียนแบบมนุษย์ให้เป็นมาสคอตของซาลาเปาขึ้นมาสองตัว แขนข้างหนึ่งของตุ๊กตาทั้งสองพาดโอบไหล่กัน ส่วนมืออีกข้างชูนิ้วโป้ง เป็นเชิงชื่นชมความอร่อย

หลังจากนั้นก็เขียนอักษรสามตัวพาดกลางระหว่างตุ๊กตาทั้งสอง… เปาห่าวซือ

เถาจืออวิ๋นรู้สึกตื่นตามากเมื่อเห็นแบบนั้น “น่ารักมากเลย! นึกไม่ถึงว่าคุณจะมีพรสวรรค์ด้านนี้ด้วย!”

หลินม่ายยิ้มอย่างขวยเขิน

ใช่ว่าเธอมีพรสวรรค์ทางด้านการออกแบบ แต่เนื่องจากเธอเคยใช้ชีวิตมาแล้วสองชาติ เห็นโลโก้ต่าง ๆ มานับไม่ถ้วน จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะหยิบยกมาเลียนแบบ

หลังจากนั้น เธอก็ทำการออกแบบตราสัญลักษณ์ของร้านเซาเข่าเหรินเจียนเยียนหั่วและตลาดสดฝูตัวตัว

ภาพสัญลักษณ์ของตลาดสดฝูตัวตัวเรียบง่ายมาก เป็นการเขียนชื่อตลาดเป็นอักษรห้าตัวเรียงกันในลักษณะตวัดหาง

หลินม่ายเขียนเสร็จแล้วก็ยื่นให้เถาจืออวิ๋นช่วยออกความเห็น

เถาจืออวิ๋นมองดูอยู่นาน จากนั้นก็เสนอขึ้นว่า “บางทีฉันอาจจะเขียนอักษรหางหวัดสวยกว่าคุณ”

รอจนเธอเขียนอักษรห้าตัว ‘ฝูตัวตัวไช่ฉ่าง’ เสร็จ หลินม่ายก็ก้มลงมองดู

ในที่สุดพวกเธอก็ยึดอักษรหางหวัดของเถาจืออวิ๋นเป็นตราสัญลักษณ์ของตลาดสด

ถึงหลินม่ายจะตั้งใจต่อยอดกิจการเปาห่าวซือในระยะยาว แต่เธอก็ไม่ละเลยร้านเซาเข่าเหรินเจียนเยียนหั่วที่สามารถสร้างรายได้ให้เธอในระยะเวลาอันสั้น

เธออยากให้ภาพสัญลักษณ์ของร้านเซาเข่าเหรินเจียนเยียนหั่วละเอียดและประณีตในระดับหนึ่ง จึงออกแบบด้วยความระมัดระวัง

ถ้าร้านเหรินเจียนเยียนหั่วเกิดมีชื่อเสียงเป็นที่นิยมขึ้นมาล่ะ กิจการไม่ขยายต่อยอดจนเธอมีรายได้เพิ่มขึ้นหรอกหรือ?

เกิดเป็นคนทั้งที อย่างน้อยต้องมีความฝัน

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ความฝันม่ายจื่อช่างยิ่งใหญ่นัก

ความจริงยี่สิบแปดนี่ก็ไม่แก่นะคะสำหรับตำแหน่งศาสตราจารย์ หนุ่มมากด้วยซ้ำ อย่าบู้บี้พี่หมอ

ไหหม่า(海馬)

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *