แม่ปากร้ายยุค​ 80 520 ผู้ช่วยชีวิต

Now you are reading แม่ปากร้ายยุค​ 80 Chapter 520 ผู้ช่วยชีวิต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 520 ผู้ช่วยชีวิต

ติงไห่เฟิงรีบพูดว่า “ไม่ต้องรอถึงพรุ่งนี้หรอกครับ ทันทีที่รู้ว่าเกิดเหตุไฟไหม้ ผมสั่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งหมดไปไล่ปิดประตูทางเข้าออกทั้งหมดแล้ว ทั้งยังส่งคนไปลาดตระเวนรอบกำแพงโรงงานด้วย คนวางเพลิงไม่น่าฉวยโอกาสหลบหนีออกไปได้ ต้องซ่อนตัวอยู่สักที่ในโรงงานนี้แหละ เราจะเริ่มทำการค้นหาแบบครอบคลุมทันที ไม่นานต้องเจอตัวแน่”

เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองปรึกษากันสองสามคำ ก่อนจะตกลงทำตามคำขอของติงไห่เฟิง

ถ้าจะทำการค้นหาแบบครอบคลุม การพึ่งพากำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจแค่สองนายไม่เพียงพออย่างแน่นอน

หากประสานงานขอกำลังตำรวจมาเพิ่มก็ดูจะเกินกว่าเหตุ

ถึงคดีลอบวางเพลิงจะเข้าขั้นคดีร้ายแรง แต่ก็ไม่ใช่คดีที่มีความจำเป็นต้องรีบเร่งคลี่คลายในทันที

ต่อให้ตำรวจชั้นผู้น้อยอยากทำแบบนั้น แต่เบื้องบนไม่มีทางอนุมัติง่าย ๆ

เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองนายจึงขอความร่วมมือจากทีมรักษาความปลอดภัยของติงไห่เฟิง

หลินม่ายที่ไม่มีอะไรทำจึงอาสาช่วยพวกเขาค้นหา

เธอและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งขึ้นไปตรวจค้นอาคารสำนักงานทั้งสามชั้น

คนทั้งสองค้นหาจากชั้นล่างขึ้นไปยังชั้นบนพร้อมกัน คาดเดาว่าคนลอบวางเพลิงที่ไร้ทางหนีอาจถูกบังคับให้ต้องขึ้นไปหลบอยู่ชั้นบน ทีนี้การจับกุมตัวอีกฝ่ายก็จะยิ่งง่ายเหมือนจับเต่าใส่ไห

ชั้นแรกถูกตรวจสอบอย่างรวดเร็ว แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติ ทั้งสองจึงค้นหาต่อไป แต่ก็ยังไม่พบเบาะแสอะไรบนชั้นสอง

พวกเขาขึ้นไปบนชั้นสามแล้วทำการตรวจค้นอีกครั้ง ไม่นานห้องทำงานทุกห้องบนชั้นสามก็ถูกตรวจสอบอย่างรวดเร็ว

หลินม่ายและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทยอยเดินออกมาจากห้องต่าง ๆ

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยผายมือให้หลินม่าย เป็นเชิงบอกว่าเขาไม่เจออะไร

หลินม่ายก็ผายมือออก บอกว่าเธอเองก็ไม่เจออะไรเหมือนกัน

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจึงชี้ไปที่ชั้นล่าง “หัวหน้าหลิน งั้นผมขอลงไปตรวจค้นเพิ่มเติมกับหัวหน้าติงและคนอื่น ๆ นะครับ”

หลินม่ายพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็วิ่งลงไปจนไม่เห็นแม้แต่เงา

ทันทีที่หลินม่ายได้ยินว่าไฟไหม้โรงงานตัดเสื้อ ด้วยอารามตกใจ ตอนที่เธอกระวีกระวาดออกมาจากบ้านจึงสวมแค่รองเท้าแตะ ตอนนี้นับประสาอะไรกับวิ่งหนี ต่อให้เดินก็เดินเร็วกว่านี้ไม่ได้แล้ว

แต่พอเธอลากรองเท้าแตะไปหยุดอยู่ตรงหัวมุมของบันได ก็หยุดชะงักฝีเท้าอย่างกะทันหัน

เธอจำได้ว่าครั้งล่าสุดที่ตัวเองไปส่งอาหารมื้อเย็นให้ฟางจั๋วหราน นักศึกษาคนหนึ่งของฟางจั๋วหรานเข้ามาตามหาเขาพอดี

ตอนนั้นเธอกลัวมากว่าถ้าอีกฝ่ายเห็นว่าตัวเองกับฟางจั๋วหรานอยู่ใกล้ชิดกันในห้องสองต่อสอง นักศึกษาแพทย์คงเอาไปนินทากันเสีย ๆ หาย ๆ ดังนั้นจึงเอาแต่ซ่อนตัวอยู่หลังม่านทึบ

เช่นเดียวกันกับตอนที่เธอเดินเข้ามาในห้องทำงานดังกล่าว เธอไม่ทันได้ตรวจสอบหลังม่านด้วยซ้ำ คาดว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกคนก็คงไม่ทันตรวจสอบหลังม่านเช่นกัน

ถ้าคนวางเพลิงซ่อนตัวอยู่หลังม่านพอดีล่ะ ปลาตัวนั้นจะเล็ดลอดหลุดจากตาข่ายไปได้ไหม?

พอคิดมาถึงตรงนี้ เธอก็หันหลังกลับแล้วเดินขึ้นไปชั้นบนอีกครั้ง ตั้งใจว่าจะตรวจสอบม่านทึบทั้งหมดในห้องทำงานทุกห้องบนชั้นสาม

ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบชั้นหนึ่งและชั้นสองให้เสียเวลา

ถ้าคนวางเพลิงซ่อนตัวอยู่หลังม่านทึบในห้องชั้นหนึ่งหรือชั้นสอง ป่านนี้เขาคงหนีออกจากห้องทำงานนั้นไปแล้ว เธอตัดสินใจตรงขึ้นไปบนชั้นสามเพื่อเสี่ยงโชคดู

หลินม่ายเปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานแรกบนชั้นสาม เห็นว่าผ้าม่านถูกเปิดกว้างทิ้งไว้

เช่นเดียวกันกับห้องที่สอง

การเปิดผ้าม่านถือเป็นเรื่องปกติในช่วงเวลาทำการ

ถึงตอนนี้จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่อากาศตอนกลางวันในช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงก็ยังร้อนมาก

ระหว่างทำงาน ทุกคนจะเปิดผ้าม่านเพื่อช่วยระบายอากาศ ซึ่งหลินม่ายไม่ได้บังคับว่าหลังจากเลิกงานแล้วต้องรูดม่านปิดเสมอไป

ตัดสินจากสถานการณ์ปกติของทั้งสองห้องแล้ว ไม่น่ามีใครรูดผ้าม่านปิดหลังเลิกงาน

ดังนั้นถ้าห้องไหนถูกรูดม่านปิด แสดงว่าคนวางเพลิงอาจซ่อนอยู่ข้างหลังม่านผืนนั้น

ในที่สุดเมื่อหลินม่ายเดินมาจนถึงห้องทำงานของตัวเองแล้วเปิดประตูเข้าไป เธอก็ตกตะลึง

ม่านกำมะหยี่สีแดงขอบทองในห้องทำงานของเธอ ถูกรูดมาปิดผนังห้องทั้งหมด

หลินม่ายเพิ่มความระวังตัวขึ้นทันที รีบก้าวถอยหลังออกไปด้านนอก

ไม่ว่าหลังม่านผืนนี้จะมีคนวางเพลิงซ่อนตัวอยู่หรือไม่ก็ตาม เธอไม่สามารถตรวจสอบด้วยตัวคนเดียว

เพราะถ้าคนวางเพลิงมีอาวุธสังหารอยู่ในมือ การก้าวไปข้างหน้าแล้วชักม่านเปิดอย่างหุนหันพลันแล่นถือเป็นเรื่องอันตราย

เธอกำลังจะหันไปเรียกใครสักคนที่อยู่ชั้นล่าง จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวดังมาจากข้างหลัง

ก่อนที่เธอจะหันหน้ากลับไป ก็ถูกของแข็งบางอย่างกระแทกเข้าที่ท้ายทอยอย่างแรง

เธอไม่ทันแม้แต่จะตะโกนขอความช่วยเหลือ ถึงกับหมดสติล้มลงกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง

พอตื่นขึ้นอีกครั้ง ก็สำลักควันที่พวยพุ่งเข้ามาเหมือนระลอกคลื่น

กลิ่นฉุนไหม้ของควันไฟรุนแรงมากจนทำให้ดวงตามองอะไรไม่เห็น

ถึงอย่างนั้นหลินม่ายก็ยังพยายามลืมตาขึ้น เพื่อดูว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน

อาศัยแสงจากเปลวเพลิงที่สว่างจ้า ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอจะติดอยู่ในห้องทำงานของตัวเอง

หลินม่ายคลำหาทิศทางของประตู แล้วพยายามคลานไปทางนั้น

ถ้าเกิดไฟไหม้ การคลานไปกับพื้นเป็นวิธีที่ถูกต้องที่สุดในการเอาตัวรอด สามารถเลี่ยงการสูดควันให้น้อยที่สุด

หลายครั้งที่ผู้เสียชีวิตในกองเพลิงไม่ได้ถูกไฟคลอกตาย แต่เสียชีวิตจากการสูดดมควันไฟมากเกินไปจนขาดออกซิเจน

ถึงหลินม่ายกำลังคลานอยู่ แต่เธอกลับรู้สึกหายใจลำบาก ราวกับมีฝ่ามือใหญ่ที่มองไม่เห็นเข้ามาบีบคอของเธอไว้แน่น

ในที่สุดเมื่อเธอคลานไปถึงบานประตูและพยายามจะเปิดประตู ก็พบว่ามันถูกล็อกจากด้านนอก ไม่ว่าออกแรงแค่ไหนก็ไม่สามารถเปิดได้

ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจ คนวางเพลิงต้องการเผาเธอให้ตายสินะ

ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ตื่นตระหนกจนเกินไป ฟังจากเสียงที่ดังมาจากชั้นล่าง เธอรู้ว่าตอนนี้มีหลายคนที่กำลังพยายามหาทางช่วยเธออยู่

สาเหตุที่พวกเขาไม่ผลีผลามขึ้นมาโดยตรง คงเป็นเพราะเปลวเพลิงลุกลามใหญ่โตเกินจะฝ่า ทุกคนจึงคิดหาวิธีอื่นเพื่อจะช่วยเธอออกมา

ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่สามารถนั่งรอความช่วยเหลืออยู่เฉย ๆ ต้องหาตำแหน่งที่ปลอดภัยเพื่อเอาตัวรอดก่อน

เธออยู่ในห้องทำงานตัวเองต่อไปไม่ได้แน่ เปลวเพลิงพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า ขืนฝืนอยู่ต่อไป เธอคงตายเพราะขาดออกซิเจนหรือไม่ก็ถูกไฟคลอก

หลินม่ายจับกำแพงเพื่อพยุงตัวขึ้น พอยืนได้ก็ถอยหลังไปสองสามก้าว เปลวเพลิงที่ลุกไหม้อยู่ด้านหลังแทบจะโลมเลียเสื้อผ้าของเธออยู่แล้ว

จากนั้นก็โถมตัวไปข้างหน้าสุดแรง เตะไปที่บานประตูไม้ของห้องทำงาน

ประตูไม้โดนแรงเตะเข้าก็สั่นคลอนจนเปิดออกในที่สุด

ชั้นล่างเต็มไปด้วยคนงานและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงงานตัดเสื้อ และตำรวจสองนายที่อยู่ในอาการตื่นตระหนกไม่แพ้กัน

ทุกคนโห่ร้องทันทีเมื่อเห็นหลินม่ายเดินโซซัดโซเซออกมาจากห้องทำงาน

คนงานหลายคนตื่นเต้นมากจนร้องไห้ “สวรรค์ทรงโปรด คุณหลินยังไม่ตาย!”

ติงไห่เฟิงรายงานสถานการณ์ให้หลินม่ายฟังผ่านโทรโข่ง ว่าเปลวไฟบนชั้นสองหนาทึบเกินไป จนพวกเขาไม่สามารถวิ่งฝ่าขึ้นไปได้ ทั้งยังถามเธอว่าพอจะวิ่งฝ่าเปลวเพลิงลงมาได้ไหม

ไฟลุกโชนสูงขนาดนี้ก็จริง แต่ถึงวิ่งฝ่าขึ้นไปจากด้านล่างไม่ได้ ก็ใช่ว่าจะวิ่งฝ่าลงมาจากด้านบนไม่ได้เสียเลย

ตอนนี้หลินม่ายอ้าปากตอบกลับอะไรไม่ได้เนื่องจากขาดออกซิเจน หลังจากได้ยินคำแนะนำ เธอก็หันหลังกลับแล้ววิ่งไปที่บันได

ทว่าพอเธอวิ่งไปถึงบันไดแล้ว ร่างกายก็พลันแข็งทื่อ

ตอนแรกที่ซื้อโรงงานนี้มา ประตูลูกกรงเหล็กที่อยู่ตรงบันไดทางขึ้นชั้นสามของอาคารโรงงานถูกปล่อยทิ้งไว้ เพราะมันมีน้ำหนักมากเกินกว่าจะเปิดปิดบ่อย ๆ

แต่ตอนนี้ ประตูลูกกรงเหล็กอันเดียวกันกลับถูกคล้องไว้ด้วยโซ่เหล็กขนาดใหญ่

หลินม่ายรู้สึกถึงความสิ้นหวัง

โซ่เหล็กหลายเส้นซึ่งคล้องอยู่บนประตูเหล็กทั้งหนาและมีน้ำหนักมากจนเธอไม่สามารถยกมันออกจากกันได้

แต่ในเมื่อคิดว่าพอจะทำลายได้ เธอก็พยายามออกแรงอย่างสุดความสามารถเพื่อคลายพันธนาการ ถึงแม้สภาพของเธอจะไม่น่ามองก็ตามแต่

เปรียบเทียบกับชีวิตแล้ว ความอับอายไม่มีค่าพอให้พูดถึงสำหรับเธอ

โซ่เหล็กพวกนั้นหนามาก ต่อให้หวงเฟยหงกลับชาติมาเกิดใหม่ก็ไม่มีทางดึงไหวแน่

หลินม่ายคิดจะเดินย้อนกลับไปที่ทางเดิน เพื่อบอกคนที่อยู่ชั้นล่างว่าเธอถูกขังอยู่บนชั้นสาม และขอให้ติงไห่เฟิงส่งคนไปหากุญแจมาเปิดล็อก

ทันใดนั้นเธอก็จำได้ว่าไฟบนชั้นสองรุนแรงเกินไป ไม่มีใครสามารถฝ่าขึ้นมาได้ทั้งนั้น

คงโหดร้ายเกินไปถ้าเธอตะโกนขอให้คนที่อยู่ชั้นล่างวิ่งฝ่าไฟขึ้นมาส่งกุญแจให้เธอ

หลินม่ายต้องคิดหาวิธีอื่น

ขณะนั้นเอง เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบก็ดังขึ้นมาจากชั้นล่างจากที่ไกล ๆ

อะไรกัน? มีคนวิ่งฝ่าเปลวไฟขึ้นมาเหรอ!

หลินม่ายพลันกระตือรือร้นขึ้นทันที คว้าโซ่เหล็กสองเส้นที่คล้องอยู่บนประตูเหล็ก แล้วออกแรงเขย่าประตูอย่างบ้าคลั่ง

เธอเขย่าประตูลูกกรงเหล็กเสียงดัง ทำให้เกิดเสียงโลหะกระทบกันโครมคราม ระหว่างนั้นก็ตะโกนไปด้วย “ประตูเหล็กถูกล็อกไว้ นายมีกุญแจไหม? ถ้าไม่มีกุญแจก็หาค้อนหนัก ๆ มาทุบเอาก็ได้”

ทันทีที่เธอพูดจบ ฟางจั๋วหรานที่ห่อตัวเองด้วยผ้านวมชุ่มน้ำก็วิ่งฝ่าเปลวเพลิงออกมา

เมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นเขา หลินม่ายก็ตื่นเต้นมากจนน้ำตาไหล

ทันทีที่ฟางจั๋วหรานมาถึง เขาก็ยัดผ้าขนหนูเปียกและผ้านวมชุ่มน้ำให้เธอผ่านประตูลูกกรงเหล็กโดยทันที

จากนั้นก็ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ใช้คลุมตัวไว้เร็ว!”

หลินม่ายมองผ่านไปยังเปลวเพลิงที่กำลังลุกลามเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ได้ยินเสียงฉู่ฉ่าเมื่อสิ่งของต่าง ๆ ถูกไฟเผา แต่ชายหนุ่มกลับใช้ผ้าขนหนูเปียก ๆ แค่ผืนเดียวปิดปากและจมูกตัวเองเอาไว้ “คุณต่างหากที่ควรเอาผ้านวมห่อร่างตัวเองไว้ ไฟกำลังจะลามมาคลอกตัวคุณอยู่แล้ว”

“เอาผ้านวมคลุมตัวเดี๋ยวนี้!” เส้นเลือดบนหน้าผากของฟางจั๋วหรานปูดโปนแทบจะระเบิดออก “หลินม่าย คุณอยากทำให้ผมเป็นบ้าตายหรือไง?”

สาวน้อยคนนี้มีไหวพริบในการจัดการสิ่งต่าง ๆ เป็นเลิศ แต่ทำไมวันนี้เธอถึงไม่ฉลาดเอาเสียเลย?

เมื่อเห็นว่าเขายืนกรานเสียงแข็งว่าจะส่งผ้านวมชุ่มน้ำให้เธอ หลินม่ายก็ไม่กล้าลังเลอีกต่อไป รีบยื่นมือไปรับมันไว้แล้วเอามาห่อรอบร่างตัวเอง

ถ้ามัวแต่เกี่ยงกันไปมา บางทีพวกเขาอาจจมทะเลเพลิงด้วยกันทั้งคู่

ขณะที่หลินม่ายห่อผ้านวมชุ่มน้ำไว้รอบร่าง ฟางจั๋วหรานก็เอื้อมไปถอดกิ๊บเหล็กตัวเล็กออกจากเส้นผมของแฟนสาว ยืดมันให้ตรง แล้วใช้มันแหย่เข้าไปในรูกุญแจ

หลินม่ายให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี หดไหล่ให้มากที่สุด ห่อตัวเองด้วยผ้านวมจนไม่ต่างจากเส้นก๋วยจั๊บ พร้อมที่จะบีบตัวออกไปทุกเมื่อ

ฟางจั๋วหรานออกแรงสะกิดมันสองสามครั้ง ในที่สุดลูกกุญแจอันใหญ่ก็คลายล็อก

ทันทีที่ประตูลูกกรงเหล็กถูกเปิดออกจนเกิดช่องว่างแคบ ๆ หลินม่ายแทบทนรอต่อไปไม่ได้อีก

ทันทีที่ยกมือขึ้นจับลูกกรงเหล็ก ความร้อนฉ่าก็ลวกไปทั่วฝ่ามือจนสะดุ้งโหยง ก่อนที่มือเล็กของเธอจะถูกมือใหญ่ของฟางจั๋วหรานดึงไปกุมไว้ แล้วโอบร่างบอบบางของเธอเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนเขา

“ไป” ฟางจั๋วหรานพูดเสียงแผ่วต่ำ แต่น้ำเสียงกลับหนักแน่น ใช้ร่างกายตัวเองเป็นโล่คอยปกป้องเธอขณะเดินผ่านกลุ่มควันหนาทึบ ฝ่าเข้าไปในกองไฟ แล้วรีบวิ่งลงไปสู่ชั้นล่าง

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ร้ายกาจมากคนวางเพลิง ขนาดจงใจให้โดนไฟคลอกตายแบบนี้นี่โดนโทษประหารแล้วมั้ง

พี่หมอนี่สุดยอดวีรบุรุษจริงๆ ค่ะ

ไหหม่า(海馬)

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *