แม่ปากร้ายยุค​ 80 439 เถาจืออวิ๋นเหม่อลอยอีกแล้ว

Now you are reading แม่ปากร้ายยุค​ 80 Chapter 439 เถาจืออวิ๋นเหม่อลอยอีกแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 439 เถาจืออวิ๋นเหม่อลอยอีกแล้ว

ตอนแรกเธอวางแผนว่าจะเปิดรับสมัครพนักงานหลายตำแหน่งหลังเทศกาลไหว้พระจันทร์ แต่เพราะเจิ้งซวี่ตงจัดการซื้อตึกแถวไปเรียบร้อยแล้ว รอปรับปรุงอาคารเสร็จเมื่อใด ก็สามารถเปิดร้านได้ทันที

ดังนั้นเธอจำเป็นต้องรับสมัครผู้จัดการร้านเพิ่ม รวมถึงพนักงานทั้งหมดในระหว่างรอการปรับปรุง

นอกจากต้องดำเนินการเปิดรับสมัครล่วงหน้าแล้ว หลินม่ายยังวางแผนจะรับสมัครพนักงานฝ่ายบุคคล พนักงานบัญชี และพนักงานขายประจำร้านเปาห่าวซือกับร้าน Unique เพิ่ม

ถ้ามีแผนกบุคคล ในอนาคตงานรับสมัครและงานฝึกอบรมพนักงานก็จะสามารถส่งมอบให้เป็นหน้าที่ของพวกเขา

ส่วนการสรรหาพนักงานฝ่ายบัญชีนั้นตั้งใจให้คนใหม่มาเสียบแทนทังชุ่นอิง จากนั้นค่อยจัดสรรพนักงานฝ่ายบัญชีให้กับกิจการต่าง ๆ แล้วจัดตั้งแผนกบัญชีกลาง

ทังชุ่นอิงกระทำการทุจริตลงไปแล้ว ถ้าปล่อยให้หล่อนอยู่ต่อไปอีกหนึ่งวัน อาจเป็นภัยต่อบริษัทมากกว่านี้

หลินม่ายสั่งการให้โฮ่วซินอี้เขียนประกาศรับสมัครแล้วติดไว้ที่หน้าประตูโรงงาน

โฮ่วซินอี้ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับการทุจริตของทังชุ่นอิงเลย

เขาถามเพราะอดสงสัยไม่ได้ “ทำไมต้องจ้างพนักงานบัญชีเพิ่มด้วย? โรงงานเรามีแผนกบัญชีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ?”

หลินม่ายตอบกลับเบา ๆ “ทำตามที่ฉันบอกเถอะ”

เหรินเป่าจูพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง “ไหน ๆ เราก็เปิดรับสมัครแล้ว ทำไมไม่ว่าจ้างคนงานประจำโรงงานตัดเสื้อเพิ่มอีกสักสองถึงสามร้อยคนล่ะคะ เราจะได้ไม่ต้องจ้างผู้ผลิตรายอื่นให้ผลิตสินค้าแทนเป็นการเพิ่มต้นทุน”

ถึงกระบวนการ OEM จะถือเป็นเรื่องทั่วไปสำหรับบริษัทชื่อดังต่าง ๆ ในชาติที่แล้วของหลินม่าย แต่บริษัทชื่อดังเหล่านั้นอยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือแม้กระทั่งในภูมิภาคที่พัฒนาแล้ว พวกเขาใช้กลวิธีการผลิตแบบ OEM ในประเทศหรือภูมิภาคที่พัฒนาแล้วได้ ก็เพราะว่าจ้างแรงงานท้องถิ่นซึ่งมีค่าแรงถูกเป็นการลดต้นทุน

กลับกัน หลินม่ายว่าจ้างแรงงานท้องถิ่นเหมือนกัน แต่กลับไม่ได้รับกำไรจากอัตราค่าแรงที่ถูกกว่าแบบนั้น ดังนั้น การว่าจ้างผู้ผลิตรายอื่นให้ทำการผลิตสินค้าให้จึงไม่ใช่เรื่องคุ้มค่า แถมยังเป็นการเพิ่มต้นทุนจริง ๆ

หลินม่ายพยักหน้าให้เหรินเป่าจูพลางพูดว่า “ที่คุณพูดมาก็ไม่ไร้เหตุผลซะทีเดียว ฉันวางแผนจะว่าจ้างโรงงานอื่นให้ผลิตสินค้าในนามของเราแค่ช่วงที่ตรงกับเทศกาลใหญ่สองเทศกาล ทั้งไหว้พระจันทร์และวันชาติ ยังมีเวลาอย่างน้อยสองเดือนก่อนถึงวันปีใหม่และเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ หลังจากนั้นเราค่อยขยายพื้นที่โรงงานตัดเสื้อให้เสร็จสิ้นภายในสองเดือน จะได้ไม่ต้องว่าจ้างโรงงานอื่นทำ OEM ในช่วงวันหยุดอีก และสามารถขยายฐานการผลิตไปทั่วประเทศ”

จากนั้นเธอก็มองไปที่เถาจืออวิ๋น “หัวหน้าเถาคะ คุณว่าครั้งนี้เราควรรับสมัครคนงานเข้าทำงานในโรงงานของเราประมาณกี่คนดี?”

เหตุผลที่หลินม่ายถามคำถามนี้กับเธอ ก็เพราะเห็นว่าหล่อนเคยทำงานในโรงงานตัดเสื้อมานานหลายปี

ในแง่ของประสบการณ์ หล่อนค่อนข้างอาวุโสกว่าคนอื่น ๆ อาจรู้ปริมาณการผลิตและคาดคะเนจำนวนแรงงานที่ต้องการได้อย่างเหมาะสม

แต่เถาจืออวิ๋นกลับเหมือนคนหูหนวก เหม่อมองไปที่โต๊ะข้างหน้าด้วยสายตาที่ว่างเปล่า

ทุกคนหันมองเธอด้วยความสงสัยเมื่อเห็นว่าหล่อนไม่มีวี่แววว่าจะตอบ ก่อนหันมองหน้ากันเองอย่างไม่เข้าใจ

หลินม่ายถามประโยคเดิมซ้ำก็แล้ว เพิ่มระดับเสียงให้ดังขึ้นก็แล้ว แต่เถาจืออวิ๋นยังนั่งเหม่อลอยอยู่เหมือนเดิม

โฮ่วซินอี้ที่นั่งอยู่ถัดจากเถาจืออวิ๋นจึงตบโต๊ะตรงหน้าหล่อนดังปัง หล่อนถึงกลับมามีสติสัมปชัญญะได้สักที แถมยังถามด้วยความมึนงง “ประชุมจบแล้วเหรอ?”

โฮ่วซินอี้ถึงกับพูดไม่ออก “เปล่า คุณหลินกำลังถามคุณอยู่นะ”

ใบหน้าเถาจืออวิ๋นเห่อแดงขึ้นมาทันที ถามด้วยความไม่สบายใจ “เมื่อกี้หัวหน้าหลินถามว่ายังไงนะ? ฉัน… ฉันไม่ทันฟัง…”

หลินม่ายมองหล่อนด้วยความสงสัย ก่อนจะทวนประโยคคำถามที่เพิ่งพูดออกมา

เถาจืออวิ๋นนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า “ถ้าคุณไม่ต้องการจ้างงานผู้ผลิตรายอื่นให้ทำ OEM หลังจากช่วงเทศกาลอีกต่อไป งั้นก็ควรจ้างคนงานเพิ่มสักหนึ่งพันคน”

หลินม่ายเงียบไป “โรงงานเรารองรับคนงานหนึ่งพันคนไม่ได้แน่ ดูเหมือนว่าถ้าอยากจะขยายฐานการผลิต คงต้องเปลี่ยนไปใช้อาคารโรงงานที่มีขนาดใหญ่ขึ้น”

เถาจืออวิ๋นพูดพลางผายมือ “ในเจียงเฉิงจะมีโรงงานที่ใหญ่ขนาดนั้นได้ยังไง? ต่อให้คุณมีกำลังซื้อก็ใช่ว่าจะหาซื้อได้ง่าย ๆ”

หลินม่ายคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันจะซื้อที่ดินเปล่า แล้วสร้างโรงงานเองซะเลย”

เหรินเป่าจูนึกกังวลขึ้นมา “แต่เราเป็นผู้ประกอบการเอกชน เจ้าหน้าที่ระดับสูงจะยอมซื้อขายที่ดินกับเราเหรอคะ?”

ยุคสมัยนี้ธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ยังไม่แพร่พลาย จึงยังไม่มีการซื้อหรือขายที่ดินระหว่างประชาชนด้วยกันเอง

เมื่อไหร่ก็ตามที่หน่วยงานซึ่งบริหารโดยรัฐต้องการที่ดินเพิ่ม แค่ส่งเรื่องถึงผู้บังคับบัญชา ก็ได้ที่ดินนั้นมาโดยไม่ต้องเสียเงิน

ที่ดินซึ่งได้รับมาในลักษณะนี้ เรียกว่าที่ดินสัมปทาน

ส่วนองค์กรเอกชนในยุคนี้ใช้วิธีการไหนเพื่อให้ได้รับที่ดินสัมปทานมา หลินม่ายเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่เธอคาดเดาว่าคงเหมือนกับกระบวนการในยุคหลัง ๆ คือขายสิทธิ์ให้กับองค์กรเอกชน

หลินม่าย “ไว้ฉันจะลองสอบถามจากผอ.เขตโอวหยางดู”

ระหว่างนั้นก็คิดในใจไปด้วยว่า ‘ในเมื่อเราต้องการซื้อที่ดินเพื่อสร้างโรงงานตัดเสื้อ ทำไมเราไม่รวดสร้างสำนักงานใหญ่ โรงงานผลิตอาหาร และอาคารอสังหาริมทรัพย์ไปพร้อมกันเลยล่ะ หลังสร้างสำนักงานใหญ่กับโรงงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ค่อยรับสมัครพนักงานเพิ่มอีกชุดใหญ่’

เถาจืออวิ๋นตกตะลึง “ทำไมจู่ ๆ ถึงคิดจะเปิดโรงงานผลิตอาหารขึ้นมาล่ะ?”

หลินม่ายอธิบาย “ไม่ได้จู่ ๆ ก็คิดขึ้นมาซะหน่อย ฉันวางแผนไว้นานแล้ว อีกหน่อยร้านเปาห่าวซือจะยิ่งขยายสาขาใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าปล่อยให้ครัวแต่ละที่ทำซาลาเปากับติ่มซำกันเอง อาจเสี่ยงต่อการที่รสชาติไม่คงเส้นคงวา การเปิดโรงงานอาหารก็เพื่อเป็นศูนย์กลางในการผลิตซาลาเปาและติ่มซำ แล้วค่อยส่งจำหน่ายไปยังสาขาต่าง ๆ แบบนี้จะรับประกันความสม่ำเสมอของรสชาติได้ดีกว่า”

เหรินเป่าจูได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าหงึกหงักด้วยความเข้าใจ

หลินม่ายหันไปถามวังเสี่ยวลี่ที่ไม่พูดอะไรสักคำ “ร้านเซาเข่าเหรินเจียนเยียนหั่วสองสาขาใหม่ที่คุณรับผิดชอบไปถึงไหนแล้ว?”

วังเสี่ยวลี่พยักหน้า “ใกล้เรียบร้อยแล้วค่ะ พรุ่งนี้ฉันมีนัดเซ็นสัญญาซื้อตึกแถว”

หลินม่ายไม่ลืมสอบถามสถานการณ์เพิ่มเติม ก็พบว่าอีกฝ่ายจัดการซื้อตึกแถวได้ตรงตามความต้องการของเธอ อีกทั้งราคายังสมเหตุสมผล

หลินม่ายยกย่องชื่นชมวังเสี่ยวลี่อย่างจริงใจ

วังเสี่ยวลี่เป็นผู้จัดการมือใหม่ การที่ฝีมือด้านการดำเนินงานของหล่อนพัฒนาขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ แบบนี้ เป็นเรื่องที่น่าทึ่งไม่น้อย

วังเสี่ยวลี่ยิ้มรับด้วยความเขินอาย

ก่อนหน้านี้หล่อนกลัวการซื้อตึกแถวมาก

กลัวว่าคุณสมบัติของตึกที่ตัวเองซื้ออาจไม่ตรงตามข้อกำหนดของเจ้านาย กลัวว่าราคาที่ตกลงซื้ออาจแพงเกินไป

ไม่คาดคิดเลยว่าผลลัพธ์ในการทำงานจะออกมาดีกว่าที่คิดไว้ ทำให้ความมั่นใจเพิ่มพูนขึ้นอย่างมาก

หลังจบการประชุม หลินม่ายกับเหรินเป่าจูแยกตัวกลับไปที่สำนักงาน

ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะเริ่มหารือกันเกี่ยวกับการขยายฐานการผลิตของโรงงานไป๋เหอโถวซื่อ เจิ้งซวี่ตงก็เดินมาหยุดอยู่หน้าประตู พลางเคาะบานประตูที่เปิดกว้างเป็นมารยาท

หลินม่ายเชื้อเชิญ “เข้ามาสิ”

เจิ้งซวี่ตงเดินเข้ามา ส่งยิ้มเป็นเชิงขอโทษให้กับเหรินเป่าจู “ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณหลินนิดหน่อย”

จากนั้นเขาก็วางโฉนดการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หลายสิบใบลงตรงหน้าหลินม่าย แล้วอธิบายประกอบว่าใบไหนเป็นโฉนดของตึกแถวบ้าง และใบไหนเป็นโฉนดบ้านพักอาศัยของหมู่บ้านในเมือง

หลินม่ายกวาดสายตาอ่านคุณสมบัติทั้งหมดอย่างคร่าว ๆ

ราคาซื้อขายสมเหตุสมผล ทำเลที่ตั้งก็ดี

เจิ้งซวี่ตงยังบอกด้วยว่าบ้านพักของหมู่บ้านในเมืองที่เขาเลือกซื้อให้เธอมีสภาพโดยรวมไม่เก่าจนเกินไป ไม่มีปัญหาในการซ่อมแซม สามารถอาศัยได้ยาว ๆ สิบถึงยี่สิบปี

ถึงแม้หลินม่ายไม่ได้กำหนดว่าบ้านพักของหมู่บ้านในเมืองต้องอาศัยอยู่ได้กี่ปีก็ตาม

แต่การที่เจิ้งซวี่ตงซื้อบ้านซึ่งมีสภาพดีและสามารถอยู่อาศัยได้นานเกินสิบปีในราคาที่ไม่แพงเกินไป แสดงให้เห็นว่าเขามีความสามารถในการจัดการเรื่องต่าง ๆ อย่างดีเยี่ยม

ถึงอย่างนั้น หลินม่ายก็ยังตั้งใจว่าจะไปดูบ้านและตึกแถวพวกนี้ด้วยตัวเองเมื่อมีเวลา

หลังจากเจิ้งซวี่ตงออกไปแล้ว หลินม่ายกับเหรินเป่าจูก็หารือกันเรื่องการขยายฐานการผลิตโรงงานไป๋เหอโถวซื่อ

ไป๋เหอโถวซื่อก็เหมือนกับ Unique ถ้าต้องการขยายฐานการผลิต ทำได้อย่างเดียวคือเปลี่ยนอาคารโรงงานให้ใหญ่ขึ้น

หลินม่ายคิดว่าตัวเองกำลังจะสร้างโรงงานตัดเสื้อแห่งใหม่ หมายความว่าวันข้างหน้าอาคารโรงงานในปัจจุบันก็จะว่างเปล่า ดังนั้นคงเป็นการดีกว่าถ้าจะปรับเปลี่ยนให้อาคารเดิมหลังนี้กลายเป็นโรงงานทำหมวกแห่งใหม่

เหรินเป่าจูเงียบไป ก่อนจะพูดว่า “เราไม่รู้ว่าโรงงานตัดเสื้อแห่งใหม่จะใช้เวลาสร้างกี่เดือนหรือกี่ปี แต่เราไม่สามารถรอจนกว่าจะถึงวันนั้นได้นะคะ ไม่อย่างนั้นเราจะพลาดโอกาสทำยอดขายในวันชาติ วันปีใหม่ และเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ”

“ใครว่าเราต้องรอ? ระหว่างนี้เราหาเช่าโรงงานอื่นเพื่อขยายฐานการผลิตไปก่อนก็ได้ ถ้าอาคารโรงงานใหม่เสร็จสมบูรณ์เมื่อไหร่ โรงงานตัดเสื้อจะย้ายไปอยู่ที่นั่น อาคารเดิมนี้ก็จะว่างเปล่า ถึงตอนนั้นค่อยย้ายโรงงานไป๋เหอโถวซื่อมาที่นี่”

เหรินเป่าจูพยักหน้า “ได้ค่ะ ฉันจะจัดการหาเช่าโรงงานทันที”

หลินม่ายพูดเสริม “โรงงานไป๋เหอโถวซื่อของเราจะผลิตแต่เครื่องประดับศีรษะอย่างเดียวไม่ได้แล้ว ไม่งั้นสินค้าจะมีตัวเลือกน้อยเกินไป ยิ่งโครงสร้างใหญ่ขึ้น พนักงานเพิ่มขึ้น เกรงว่ากำไรอาจลดลง”

“งั้น… นอกจากขายหมวกแล้ว หัวหน้าหลินวางแผนว่าจะขายอะไรเพิ่มเหรอคะ?”

“สร้อยข้อมือ เข็มกลัด ต่างหู… เครื่องประดับทุกประเภท ครบจบในที่เดียว”

เนื่องจากประเทศจีนในยุคนี้ยังไม่มีผู้ประกอบการคนไหนเริ่มต้นธุรกิจแบรนด์เครื่องประดับที่มีชื่อเสียงเป็นของตัวเอง แถมยังไม่มีแบรนด์เครื่องประดับจากต่างประเทศ หลินม่ายจึงตัดสินใจคว้าโอกาสนี้ไว้เสียเอง ทำให้แบรนด์ไป๋เหอกลายเป็นแบรนด์ใหญ่เทียบเท่าสวารอฟสกี้

งานนี้ต้องใช้อุปกรณ์การผลิตเฉพาะ รวมถึงต้องจ้างนักออกแบบเครื่องประดับ

ถึงยุคนี้จะยังไม่มีอาชีพนักออกแบบเครื่องประดับแยกเฉพาะ แต่ตามสตูดิโอถ่ายทำภาพยนตร์ต่าง ๆ ก็ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญที่มีความชำนาญด้านเครื่องประดับเป็นพิเศษ

เครื่องประดับต่าง ๆ ที่นักแสดงสวมใส่ระหว่างการถ่ายทำล้วนออกแบบโดยฝีมือของพวกเขา แต่ละชิ้นมีความสวยงามและประณีตมาก

หลินม่ายวางแผนว่าจะส่งเถาจืออวิ๋นให้เดินทางไปเจรจาธุรกิจ เชิญคนที่ทำงานผลิตเครื่องประดับหรืออุปกรณ์ประกอบฉากซึ่งเกษียณอายุแล้วมาร่วมงานกัน

ไม่จำเป็นต้องดึงตัวใครมาจากงานเดิมให้ระบบงานเสีย คนที่เกษียณแล้วมักว่าจ้างได้ง่ายกว่า

เช่นอดีตวิศวกรเจิ้งเป็นตัวอย่าง

เหตุผลที่หลินม่ายวางตัวเถาจืออวิ๋นให้เดินทางไปเจรจาเพื่องานนี้ ก็เพราะในฐานะที่หล่อนเป็นนักออกแบบ เซนส์ด้านแฟชั่นของหล่อนมักเฉียบแหลมที่สุด จะได้เชิญคนมาร่วมงานได้ไม่ผิดคน

ส่วนปัญหาด้านอุปกรณ์การผลิตนั้นแก้ไขไม่ยาก

ไว้ค่อยไปถามโรงงานผลิตเครื่องประดับของรัฐทั้งหลายว่าสามารถหาซื้ออุปกรณ์พวกนั้นได้จากที่ไหน แล้วค่อยดำเนินการซื้อในคราวเดียว

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ม่ายจื่อสังเกตอาการพี่เถาด้วยจ้า เหม่อลอยขนาดนี้ต้องคุยกันแล้ว อย่ามัวแต่เร่งขยายกิจการ ดูเหมือนคลื่นใต้น้ำจะก่อตัวแล้วนะ

ไหหม่า(海馬)

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *