แม่ปากร้ายยุค​ 80 302 สินค้าที่ไม่กล้าพูดถึง

Now you are reading แม่ปากร้ายยุค​ 80 Chapter 302 สินค้าที่ไม่กล้าพูดถึง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 302 สินค้าที่ไม่กล้าพูดถึง

หลินม่ายหันหน้าไปทักทายเขา แต่จู่ ๆ เธอก็นึกถึงเสื้อยกทรงที่หายไปขึ้นมาได้ จึงรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา

ขณะนั้นเองฟางจั๋วหรานก็เปล่งเสียงหัวเราะที่แอบแฝงความหมายบางอย่าง

หลินม่ายสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะนั้น เธอเขินอายเกินกว่าจะมองหน้าเขาด้วยซ้ำ

โชคดีที่เถาจืออวิ๋นพาเด็กน้อยทั้งสองเข้ามาร่วมโต๊ะอาหารหลังจากอาบน้ำเสร็จพอดี จึงช่วยคลายความอึดอัดใจของหลินม่ายไปได้บ้าง

ไม่นานหลังจากนั้น โจวฉายอวิ๋นก็ตามมาร่วมวง ทุกคนนั่งลงเพื่อกินอาหารมื้อเช้าด้วยกัน

หลังกินเสร็จ โจวฉายอวิ๋นขอตัวลงไปทำงานชั้นล่างก่อน ส่วนเถาจืออวิ๋นเดินเข้าไปในครัวเพื่อล้างจาน

เด็กน้อยทั้งสองวิ่งขึ้นไปที่ห้องใต้หลังคาเพื่อหาเศษผ้าเหลือใช้จากช่างตัดเย็บเสื้อผ้า มาทำเป็นเสื้อให้กับตุ๊กตาของโต้วโต้ว

ภายในห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่จึงเหลือแค่หลินม่ายกับฟางจั๋วหรานสองคน

หลินม่ายพยายามทำตัวให้สงบนิ่งที่สุด ก่อนจะหันไปจัดกระเป๋าเตรียมออกไปทำธุระข้างนอก

ฟางจั๋วหรานเดินตามเข้ามา ก่อนจะหยิบเสื้อยกทรงสีแดงกุหลาบออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “ผมชอบสีดำมากกว่า ถ้าคุณไม่ว่าอะไร วันหลังลองใส่สีดำให้ผมดูก็ได้…” พูดจบแล้ว เขาก็เดินออกจากห้องไป

หลินม่ายที่ความคิดสับสนวุ่นวายถูกทิ้งให้อยู่ในห้องตามลำพังกับเสื้อยกทรงสีแดงกุหลาบตัวนั้น

พอสงบสติอารมณ์ได้แล้ว จึงขึ้นไปบอกให้เถาจืออวิ๋นจัดการหาคนมาขนย้ายจักรเย็บผ้า จักรโพ้ง และอุปกรณ์ทั้งหมดที่อยู่ในห้องใต้หลังคา ไปยังโรงงานตัดเสื้อแห่งใหม่ที่เธอเพิ่งตัดสินใจซื้อเมื่อวานนี้

อีกหน่อยสถานที่ผลิตเสื้อผ้าจะอยู่ที่โรงงานนั้นอย่างถาวร

ส่วนห้องใต้หลังคา เธอจะใช้มันเป็นโกดังสำหรับเก็บเสื้อผ้าทอขนสัตว์ เสื้อผ้าสักหลาด และชุดยีนส์ที่รับซื้อมาจากโกดังด่านศุลกากร

หลังจากมอบหมายงานให้กับเถาจืออวิ๋นแล้ว หลินม่ายก็เดินทางไปที่สำนักงานพาณิชย์พร้อมกับกระเป๋าสะพาย

เจ้าพนักงานของสำนักงานพาณิชย์ต้อนรับเธออย่างเป็นมิตร “ทางเราได้ตรวจสอบเสื้อผ้าทั้งหมดของร้านคุณแล้ว มันถูกผลิตโดยโรงงานของคุณจริง ๆ ผมจะทำเรื่องคืนของกลางให้คุณเดี๋ยวนี้”

ในที่สุด พวกเขาก็ยอมคืนเสื้อผ้าทั้งหมดให้กับหลินม่าย จากนั้นก็ขอให้เธอเซ็นชื่อลงในใบกำกับการแสดงตน

หลังจากเซ็นชื่อเสร็จเรียบร้อย หลินม่ายก็ขนเสื้อผ้ากลับไปเก็บไว้ที่บ้าน ก่อนจะออกไปที่ตลาดสดฝูตัวตัวเพื่อวานให้เฉินเฟิงขับรถบรรทุกไปขนสินค้าจากสถานีรถไฟ

เฉินเฟิงเตรียมรถบรรทุกไว้แล้ว เหลือรอคำสั่งจากหลินม่ายเท่านั้น

เขาถามหลินม่ายด้วยความไม่เชื่อ “เธอเหมาตู้เย็นมาขายจริง ๆ เหรอ? แถมยังเป็นตู้เย็นยี่ห้อ Toshiba? แล้วยังได้มาตั้งสามพันตู้เนี่ยนะ?”

หลินม่ายค้อนขวับ “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ใครจะกล้าล้อเล่นกันล่ะ? แต่รถไฟด่วนพิเศษยังไม่ได้ส่งตู้เย็นมา สินค้าน่าจะมาถึงที่นี่ในอีกห้าวันให้หลัง ไม่ใช่ภายในวันนี้แน่”

สำหรับการฝากส่งผ่านรถไฟขบวนด่วนพิเศษ ต้นทุนการขนส่งจะสูงกว่าการขนส่งผ่านรถไฟธรรมดาถึงสองเท่า

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการขนส่งสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีราคาแพงกว่าสินค้าปกติถึงห้าเท่า ตู้เย็นสามพันเครื่องต้องใช้งบการขนส่งถึงห้าพันหยวน พอเป็นแบบนี้หลินม่ายเลยไม่อยากลงทุนใช้บริการแบบด่วนพิเศษ

“งั้นวันนี้เธอสั่งสินค้าอะไรมาล่ะ?” เฉินเฟิงเอื้อมมือไปเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับ เพื่อให้หลินม่ายปีนขึ้นมานั่ง

จากนั้นเขาก็เดินอ้อมไปปีนขึ้นฝั่งคนขับ ไม่วายเหลือบมองหลินม่ายด้วยความสงสัย เหยียบคันเร่งตรงไปยังสถานีรถไฟทันที

สองครั้งล่าสุดที่หลินม่ายเดินทางข้ามเมืองไปที่โกดังด่านศุลกากรเพื่อรับซื้อสินค้า เธอมักจะแจ้งเขาทุกครั้งว่าจะเอาอะไรมาขายบ้าง แต่ครั้งนี้เธอบอกแค่ว่าซื้อตู้เย็น และให้เขาส่งธนาณัติไปให้

นอกเหนือจากตู้เย็นแล้วยังมีสินค้าตัวอื่นอีก แต่เธอกลับไม่ได้บอกว่ามันคืออะไร จึงทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้

หลินม่ายกระแอมในลำคอ “เห็นสินค้าเมื่อไหร่เดี๋ยวคุณก็รู้เองนั่นแหละ”

เธอยังติดนิสัยหัวโบราณอยู่หน่อย ๆ เรื่องอะไรจะกล้าบอกเขาตรง ๆ ว่ารอบนี้เธอรับซื้อชุดชั้นในสตรีกับกางเกงชั้นในชายมาขาย?

เธอยังไม่ลืมว่าครั้งล่าสุดถูกเขากลั่นแกล้งอย่างไรบ้าง รอบนี้เธอเลยไม่อยากโดนแกล้งอีก

พอเห็นว่าเธอเอาแต่บ่ายเบี่ยงไม่ยอมพูดอะไร เฉินเฟิงก็ยิ่งอยากรู้มากขึ้นว่าสินค้าล็อตใหม่คืออะไรกันแน่

พอมาถึงสถานีรถไฟ เฉินเฟิงก็ตาเป็นประกายเมื่อเห็นจักรเย็บผ้าและจักรโพ้งจำนวนมาก “ของดีทั้งนั้นเลยนี่! แต่จักรพวกนี้มันมากเกินความจำเป็นไปหรือเปล่า หรือว่าเอามาขายต่อทำกำไร?”

หลินม่ายตบม้วนผ้าสักหลาดตรงหน้า “ฉันซื้อเอาไว้ใช้งานเอง อ้อ คุณช่วยขนของพวกนี้ไปเก็บไว้ในที่ที่หนึ่งให้ฉันหน่อยได้หรือเปล่า?”

เฉินเฟิงพยักหน้าบ่งบอกว่าตกลง “ไม่มีปัญหา”

แล้วถามต่อว่า “รอบนี้เธอไม่ได้เหมาสินค้ามาขายหรอกเหรอ?”

หลินม่ายชี้ไปยังกล่องกระดาษลังขนาดใหญ่ที่ปิดสนิทหลายสิบกล่อง ซึ่งเจ้าพนักงานขนส่งของทางรถไฟกำลังทยอยขนถ่ายลงมา “นั่นไงสินค้าที่ฉันเอามาขาย”

เฉินเฟิงได้ยินแบบนั้นก็อดใจรอไม่ไหว หยิบมีดคัตเตอร์ที่พกติดตัวออกมากรีดเทปเปิดกล่องกระดาษลัง

เขาเอื้อมมือไปหยิบเสื้อยกทรงตัวสวยออกมา มุมปากกระตุกโค้งเป็นรอยยิ้มทันที

เขาหันมองไปทางหลินม่ายด้วยสายตาหยอกล้อ “มิน่าล่ะเธอถึงไม่ยอมบอกว่าซื้ออะไรมา”

หลินม่ายหันหน้าหนีไปทางอื่นด้วยความกระดากอาย

เฉินเฟิงตรวจสอบเสื้อยกทรงในมือครู่หนึ่งก่อนจะหันมองซ้ายขวา “ยกทรงพวกนี้ดูราคาแพงมากเลยนะ เธอว่าควรขายตัวละเท่าไหร่?”

หลินม่ายเดินเข้ามาใกล้ ๆ “ราคาตลาดควรอยู่ที่สามสิบหยวนต่อชิ้น แต่เราขายแพงขนาดนั้นไม่ได้หรอก ในเมื่อราคาขายส่งมันตกอยู่ที่ตัวละสิบหยวน ถ้าอย่างนั้นราคาขายปลีกก็ควรตกตัวละประมาณสิบห้าถึงยี่สิบหยวน”

พอเฉินเฟิงได้ยินแบบนั้น ก็ขมวดคิ้วอย่างไม่เห็นด้วย “แพงมาก! ขนาดเสื้อผ้าทั่วไปที่มีขายในห้างยังมีราคาไม่เกินสิบห้าหยวนเลย”

หลินม่ายรู้ว่าเขาพูดแบบนั้นเพราะกังวลว่าเสื้อชั้นในพวกนี้อาจขายไม่ออก

“ถึงจะแพง แต่เรามีสินค้าอยู่แค่สามหมื่นตัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทั้งประเทศ เฉพาะสาว ๆ ในเจียงเฉิงก็พร้อมควักเงินซื้อชุดชั้นในคุณภาพชั้นยอดแบบนี้แล้ว ไม่มีทางขาดทุนแน่”

เมื่อเห็นว่าเฉินเฟิงยังคงนิ่งเงียบ หลินม่ายจึงอธิบายต่อไป “ถ้าคุณกังวลว่าลำพังฉันจะขายไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็แบ่งให้เหลียนเฉียวช่วยขายสิ หล่อนเป็นผู้หญิง ต้องมีกลยุทธ์การขายชุดชั้นในดีกว่าคุณแน่”

เฉินเฟิงเงยหน้า “ฉันส่งเหลียนเฉียวไปรับซื้ออาหารทะเลตากแห้งจากตามแนวชายฝั่งแล้ว คงไม่กลับมาที่นี่ภายในแปดหรือสิบวันแน่”

หลินม่ายจ้องหน้าเขา “ทำไมคุณถึงมอบหมายงานนั้นให้เหลียนเฉียวทำล่ะ? ผู้หญิงไม่เหมาะกับงานที่ต้องเดินทางไกลเป็นเวลานาน ๆ แบบนั้นหรอกนะ”

เฉินเฟิงไม่ตอบ แต่ความคิดของเขาล่องลอยกลับไปตอนรุ่งเช้าหลังจากค่ำคืนที่เขาเมาไม่ได้สติ

ที่โต๊ะอาหาร เฉินเฟิงพูดกับเหลียนเฉียว “กินอาหารมื้อเช้าเสร็จ เธอตามพวกรถบรรทุกไปรับซื้อสินค้าแถวชายฝั่งสักสิบวัน”

เหลียนเฉียวถามอย่างไม่เชื่อหู “ให้ฉันไปรับซื้อสินค้าจากแถวชายฝั่ง? มีอะไรสำคัญเป็นพิเศษจนเจ้านายต้องส่งฉันไปเหรอคะ?”

“ถามว่ามีอะไรสำคัญไหม ก็ไม่เชิงหรอก ฉันแค่อยากส่งเธอไปรับซื้ออาหารทะเลตากแห้งให้เพียงพอสำหรับขายในวันชาติที่ใกล้จะถึงนี้ เผื่อว่าเธอจะมีสติรอบคอบขึ้นบ้าง ในอนาคตจะได้ไม่ทำอะไรอุกอาจเหมือนเมื่อคืนอีก”

ใบหน้าของเหลียนเฉียวหมองลง ก้มหน้าต่ำพลางพึมพำตอบรับ

พอเห็นว่าเฉินเฟิงดูเหมือนไม่อยากพูด หลินม่ายก็ไม่รบเร้าหาคำตอบจากเขาอีก พูดต่อว่า “ถ้าคุณหาช่องทางขายไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันจะหาทางขายมันเอง”

เฉินเฟิงพยักหน้า

หลินม่าย “รอบนี้นอกจากฉันจะเหมาชุดชั้นในสตรีกลับมาแล้ว ยังเหมากางเกงชั้นในชายมาด้วย ราคาส่งของกางเกงชั้นในชายตกอยู่ที่ตัวละสามหยวน ส่วนราคาขายปลีก ฉันว่าจะปล่อยให้คุณเป็นผู้ตัดสินใจ”

เฉินเฟิงถาม “กางเกงชั้นในชายอยู่ในกล่องไหน?”

หลินม่ายชี้ไปที่กล่องลังที่บรรจุกางเกงชั้นในชาย

เฉินเฟิงเปิดฝากล่อง หยิบกางเกงชั้นในขึ้นมาตัวหนึ่งเพื่อตรวจสอบ พบว่าคุณภาพโดยรวมค่อนข้างดี

ถ้าตั้งราคาขายให้อยู่ที่ตัวละห้าหยวน น่าจะซื้อง่ายขายคล่องพอประมาณ

หลังจากขนสินค้าทุกอย่างขึ้นรถบรรทุกเรียบร้อยแล้ว เฉินเฟิงก็พาลูกน้องของเขาไปที่โรงงานตัดเสื้อแห่งใหม่ของหลินม่าย โดยมีเธอคอยช่วยบอกทาง

ทันทีที่มองเห็นอาคารโรงงานตรงหน้า เขาก็ชื่นชมเธอจากใจจริง “เธอนี่เก่งจริง ๆ ไม่ทันไรก็เปิดโรงงานแล้ว!”

หลินม่ายพูดอย่างถ่อมตัว “ยังไม่ใช่โรงงานอุตสาหกรรมจริงจังหรอก เป็นแค่โรงงานย่อม ๆ เท่านั้น”

เฉินเฟิงสั่งการลูกน้อง ช่วยกันขนจักรเย็บผ้ากับจักรโพ้งพวกนั้นเข้าไปในตัวโรงงาน

ทันใดนั้น เขาก็บังเอิญเหลือบไปเห็นยี่ห้อของจักรเย็บผ้า

จึงรีบหันไปบอกหลินม่าย “จักรเย็บผ้าที่เธอซื้อมาเป็นยี่ห้อเดียวกันกับจักรเย็บผ้าในโรงงานตัดเสื้อหงฉีที่เพิ่งถูกขโมยไปเมื่อประมาณสองวันก่อนเลย โชคดีนะที่เธอมีเอกสารซื้อขายจากทางกรมศุลกากร ไม่อย่างนั้นฉันกลัวว่าเธออาจรับซื้อของโจรโดยไม่ได้ตั้งใจ”

หลินม่ายตกใจมาก “จักรในโรงงานตัดเสื้อหงฉีโดนขโมยเหรอ? จักรเย็บผ้าจำนวนมากมายขนาดนั้นจะหายไปดื้อ ๆ ได้ยังไง?”

“ก็คนในนั้นนั่นแหละ ถ้าไม่ใช่ฝีมือของคนใน ของชิ้นใหญ่แบบนั้นจะหายไปได้ยังไง!”

หลังจากขนย้ายจักรเย็บผ้าและจักรโพ้งเข้าไปเก็บในโรงงานจนครบแล้ว เฉินเฟิงก็จัดหาลูกน้องสี่คนให้มาทำหน้าที่เฝ้าเวรยามเพื่อดูแลความปลอดภัยให้กับโรงงานของหลินม่าย เพื่อไม่ให้จักรเย็บผ้ากับจักรโพ้งถูกขโมย

จากนั้น เขาก็ตามหลินม่ายกลับไปที่บ้านพร้อมกับลูกน้องที่เหลือ ขนย้ายม้วนผ้าทอขนสัตว์ ผ้าสักหลาด และผ้ายีนส์ทั้งหมดขึ้นไปเก็บไว้บนห้องใต้หลังคา

หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จ เฉินเฟิงก็พาลูกน้องทั้งหลายกลับไปหลังจากกินเซาเข่าและดื่มเบียร์เย็น ๆ ที่ร้านเซาเข่าของหลินม่ายจนอิ่มแล้ว

แต่ก่อนจะขึ้นรถ เขายังถามหลินม่ายให้แน่ใจว่าตู้เย็นที่เธอซื้อมามีเอกสารส่งมอบสินค้าจากกรมศุลกากรหรือเปล่า และมีจำนวนสามพันเครื่องจริงไหม

ถ้ารู้ข้อมูลแน่ชัดแล้ว พอกลับไปเขาจะได้วางแผนติดต่อผู้ประกอบการที่รู้จักเพื่อเจรจาซื้อขายตู้เย็น ถ้าสินค้ามาถึงเมื่อใดจะได้ให้คนไปขนกลับมาทีเดียว

ด้วยวิธีนี้ เขาจะได้ประหยัดเงินสำหรับใช้ในการเช่าโกดังไปได้จำนวนหนึ่ง แถมยังไม่ต้องจัดหาคนมาคอยดูแลตู้เย็นเป็นพิเศษ

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

สมัยนั้นมันก็อายหน่อยๆ แหละถ้าต้องบอกว่าขนอะไรมาขาย

ไหหม่า(海馬)

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *