แม่ปากร้ายยุค​ 80 223 เฮ่อเชิ่งมาโวยวายหน้าร้าน

Now you are reading แม่ปากร้ายยุค​ 80 Chapter 223 เฮ่อเชิ่งมาโวยวายหน้าร้าน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 223 เฮ่อเชิ่งมาโวยวายหน้าร้าน

ทันใดนั้นพนักงานในร้านก็นึกขึ้นได้ว่า “มิน่าล่ะ เมื่อกี้นี้ฉันเห็นผู้ชายคนหนึ่งที่หน้าตาคล้ายเฮ่อเชิ่งชะโงกหน้าเข้ามาในร้าน หลังจากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในร้านของยายป้าหู ฉันคิดว่าคงจำคนผิดไปซะอีก กลายเป็นว่าปีศาจร้ายเฮ่อเชิ่งกลับมาแล้วจริง ๆ!”

พนักงานครัวคนอื่น ๆ ในร้านต่างวิตกกังวล “เฮ่อเชิ่งกลับมาแล้ว ถ้าพวกเราไม่ยอมจ่ายค่าเช่าเพิ่งขึ้นตามที่เขาเรียกร้อง เห็นทีร้านนี้คงเปิดต่อไปไม่ได้แล้ว”

ถ้าหลินม่ายไม่ซื้อตึกแถวสามคูหาที่อยู่เยื้องฝั่งตรงข้ามของถนน เธอก็อาจจะตื่นตระหนกไม่แพ้บรรดาพนักงาน

แต่ตอนนี้เธอมีร้านเป็นของตัวเองแล้ว อีกทั้งทำเลที่ตั้งยังดีกว่าบ้านเช่าตรงนี้เป็นไหน ๆ

ถึงเธอจะไม่สามารถเปิดร้านที่นี่ได้อีกต่อไปก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรมากนัก ต่อให้ยังเปิดร้านต่อไปได้ เธอก็มีรายได้เพิ่มขึ้นแค่นิดหน่อย ดังนั้นจึงยังสงบสติอารมณ์อยู่ได้

ในใจคิดว่าผลจะออกมาแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น เพราะเธอซื้อตึกแถวฝั่งตรงข้ามเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

ถ้าเฮ่อเชิ่งบีบบังคับให้เธอปิดกิจการจริงก็ไม่ใช่ปัญหา ตราบใดที่เขายอมจ่ายค่าชดเชยตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญาเช่า

ฟางจั๋วหรานถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ตอนแรกเขากังวลว่าเฮ่อเชิ่งจะหาเรื่องทำร้ายร่างกายหลินม่าย เพราะเขาไม่สามารถอยู่ปกป้องเธอได้ตลอดทั้งยี่สิบสี่ชั่วโมง

ถ้าอีกฝ่ายแค่ต้องการขอขึ้นค่าเช่า ถือว่าเป็นปัญหาเล็กน้อย

ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าความปลอดภัยของแฟนสาวอีกแล้ว

โจวฉายอวิ๋นเตรียมอาหารมื้อกลางวันสำหรับหลินม่ายเสร็จเรียบร้อย

ขณะที่ยกจานอาหารขึ้นไปยังชั้นบนก็ไม่วายหันไปพูดกับหลินม่าย “เธอรีบซื้อตึกแถวฝั่งตรงข้ามให้เร็วที่สุดเถอะ การเช่าร้านอยู่ในบ้านของคนอื่นมันน่ารำคาญจะตายไป ถ้าเจ้าของขอขึ้นค่าเช่า เราก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องยอมจ่าย”

หลินม่ายขยิบตาให้หล่อนพลางกระซิบว่า “ฉันซื้อเรียบร้อยแล้ว”

โจวฉายอวิ๋นถามเสียงสูง “เธอไปซื้อตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

หลินม่ายรีบทำเสียง “จุ๊ๆ” แล้วพูดต่อ “อย่าพูดเสียงดังไป ฉันเพิ่งทำเรื่องซื้อเมื่อไม่กี่วันที่แล้วนี่เอง”

จากนั้นก็ไม่ลืมกำชับเตือนว่า “พี่อย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับใครนะ”

โจวฉายอวิ๋นถามกลับ “หมิงเฉิงก็รู้ไม่ได้เหรอ?”

หลินม่ายคิดว่าคนอย่างหลี่หมิงเฉิงคงเก็บความลับไม่เก่งนัก “อย่าเพิ่งบอกเขาเลย”

การซื้อบ้านหลังใหญ่ขนาดนั้นถือเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าเผลอบอกให้ชาวบ้านแถวนี้รู้เข้า ไม่รู้ว่าจะมีคนอิจฉาตาร้อนสักกี่คน

หลินม่ายต้องการอยู่อย่างสงบสุข ยังไม่อยากนำพาความเกลียดชังมาสู่ตัวเอง

ถึงแม้วันที่ต้องย้ายข้าวของ เธอจะไม่สามารถปิดบังความลับว่าตัวเองซื้อตึกแถวหลังใหญ่มูลค่าหลายหมื่นหยวนไว้ได้แล้วก็ตาม แต่พอถึงตอนนั้น เธอก็ไม่มีสถานะเป็นเพื่อนบ้านกับคนเหล่านั้นอีกต่อไป ต่อให้พวกเขาอิจฉาริษยาไปก็เท่านั้น สร้างความเดือดร้อนให้ไม่ได้อยู่ดี

คนส่วนใหญ่มักจะอิจฉาคนรอบข้างที่มีฐานะดีกว่าตัวเอง

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงสงวนรายละเอียดไว้ ไม่บอกให้บุคคลภายนอกรู้ว่าเธอซื้อตึกแถวสไตล์ตะวันตกหลังนั้นเร็วเกินไป

ขณะที่พวกเขาทั้งสามล้อมวงรับประทานอาหาร ฟางจั๋วหรานไม่ลืมแนะนำให้หลินม่ายจัดการปรับปรุงตึกแถวเป็นที่พักอาศัย เพื่อที่จะได้ย้ายเข้าไปอยู่ที่นั่นได้โดยง่าย

ตึกแถวหลังนี้ไม่ใช่แค่กว้างขวางและเอื้ออำนวยต่อการทำธุรกิจเท่านั้น แต่บนชั้นสองยังมีพื้นที่ใช้สอยพอให้อยู่อาศัยได้อย่างสะดวกสบาย

หลินม่ายส่ายหน้า “ฉันไม่ได้วางแผนว่าจะย้ายไปอาศัยอยู่บนชั้นสอง”

ฟางจั๋วหรานชะงัก “ถ้าคุณไม่สามารถเช่าบ้านหลังนี้ต่อได้ เราก็ยังต้องหาบ้านเช่าอื่นอยู่ดีไม่ใช่หรือ?”

“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ” หลินม่ายเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับการต่อเติมชั้นบนอาคารของเพื่อนบ้าน

ฟางจั๋วหรานถาม “การก่อสร้างจะมีความปลอดภัยพอหรือเปล่า?”

“ปลอดภัยสิคะ” หลินม่ายใช้ตะเกียบคีบผักโขมที่เธอโปรดปรานเป็นพิเศษเข้าปาก “ฉันให้ช่างก่อสร้างที่มีประสบการณ์เข้ามาประเมินดูแล้ว”

ฟางจั๋วหราน “ช่างก่อสร้างไม่ได้ชำนาญด้านโครงสร้างโดยตรง เดี๋ยวผมจะเป็นธุระติดต่อผู้ที่เชี่ยวชาญโดยตรงให้เข้ามาดูแลให้”

หลินม่ายยอมรับความหวังดีของเขา

โต้วโต้วไม่สนใจการสนทนาระหว่างผู้ใหญ่ หล่อนแอบหั่นชิ้นเนื้อติดมันออกเป็นสองส่วน แล้วป้อนเนื้อส่วนที่เป็นไขมันให้กับอาหวง

เนื่องจากสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้หล่อนเริ่มมีนิสัยเลือกกิน หล่อนไม่ชอบกินเนื้อในส่วนที่เป็นไขมัน จึงแอบแบ่งปันให้กับอาหวงอยู่บ่อยครั้ง

นับวันอาหวงก็ยิ่งรักเจ้านายตัวน้อยของมันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่มันคลอเคลียอยู่ใกล้ ๆ  หางของมันจะกระดิกหมุนควงเหมือนใบพัด

กับสมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัว มันก็กระดิกหางให้พวกเขาเช่นกัน แต่ไม่แสดงอาการตื่นเต้นดีใจมากเท่า

พวกเขาทั้งสามกินอาหารมื้อกลางวันกันยังไม่ทันเสร็จ ผู้ชายคนหนึ่งก็ส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นมาจากชั้นล่าง “เถ้าแก่เนี้ยของพวกคุณอยู่ไหน เรียกหล่อนให้ลงมาคุยกับฉันเดี๋ยวนี้!”

สีหน้าของฟางจั๋วหรานแข็งทื่อทันที “นั่นคงเป็นเฮ่อเชิ่งสินะ”

หลินม่ายวางตะเกียบลง “เดี๋ยวฉันจะลงไปดูเอง”

ฟางจั๋วหรานก็วางตะเกียบลงเช่นกัน ก่อนจะเดินตามเธอลงไปยังชั้นล่าง

โต้วโต้วกินอิ่มแล้ว หล่อนยกมือขึ้นลูบพุงป่อง ๆ ของตัวเองพลางเดินออกมาจากห้องนั่งเล่นขนาดย่อม

แต่หล่อนยืนอยู่ตรงบันไดชั้นบนสุดกับอาหวง ไม่คิดก้าวลงไป

หลินม่ายกำชับหล่อนไว้ว่า ไม่ว่าจะเกิดเรื่องทะเลาะวิวาทหรือไม่ก็ตาม ให้หล่อนยืนอยู่ห่าง ๆ เข้าไว้

เพื่อป้องกันไม่ให้หล่อนโดนลูกหลงจากการทะเลาะวิวาทจนกระทบกระเทือนจิตใจอีก

สุขภาพของหล่อนไม่ดีนัก ถ้าได้รับบาดเจ็บโดยไม่ได้ตั้งใจขึ้นมาคงไม่พ้นต้องพาตัวส่งโรงพยาบาลอีก

คนที่มาหาเรื่องเป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบกว่า ๆ เอาแต่ทุบโต๊ะแล้วตะคอกเสียงดังลั่นร้าน “ฉันไม่คุยกับผู้ช่วยหรือพนักงาน พวกคุณไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะต่อรองกับฉัน เรียกเจ้านายของพวกคุณออกมา!”

หลินม่ายก้าวลงบันไดไปอย่างไม่รีบร้อน “ฉันนี่แหละเจ้าของร้าน คุณเป็นใคร ต้องการอะไรกันแน่?”

ชายหนุ่มหันหน้ามองไปทางหลินม่าย

เขาไม่คาดคิดว่าเจ้าของร้านจะยังสาวสะพรั่ง ผิวพรรณของเธอไม่ถึงกับขาวผ่อง แต่ใบหน้าของเธอก็สวยดึงดูดใจมากทีเดียว

“ฉันชื่อเฮ่อเชิ่ง ลูกชายพ่อเฒ่าเฮ่อ มาที่นี่เพราะต้องการทวงบ้านของฉันคืน!”

เฮ่อเชิ่งแสดงท่าทางมุ่งมั่นเพราะต้องการเอาชนะ

ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นสาวสวย แต่เธอไม่ใช่แฟนสาวของเขาเสียหน่อย ไม่เห็นจะต้องเกรงใจ!

เขาได้ยินมาจากป้าข้างบ้านว่าร้านของเธอสามารถทำเงินจากการค้าขายได้สี่สิบถึงห้าสิบหยวนต่อวัน เดือนหนึ่งรวมแล้วมากกว่าหนึ่งพันหยวน

เงินเดือนสุทธิรายปีของคนที่ดำรงตำแหน่งเป็นผู้จัดการในโรงงานของรัฐยังไม่มากขนาดนี้

ถ้าเขาทวงคืนบ้านกลับมาเป็นของตัวเองได้สำเร็จ เขาจะมีรายได้มากกว่าหนึ่งพันหยวนต่อเดือน ถึงตอนนั้นเขาเอาเงินไปซื้อผู้หญิงสวย ๆ แบบไหนก็ได้ทั้งนั้น จะโลภในตัวเจ้าของร้านคนนี้ให้ได้อะไรขึ้นมา?

หลินม่ายแปลกใจเล็กน้อย เฮ่อเชิ่งไม่ได้มาขอขึ้นค่าเช่า แต่มาทวงบ้านคืนหรือนี่?

สีหน้าของฟางจั๋วหรานมืดมน “บ้านหลังนี้มีการเซ็นสัญญาเช่าอย่างถูกต้อง ไม่ใช่ที่ที่คุณอยากจะยึดคืนเมื่อไหร่ก็ได้!”

เฮ่อเชิ่งไม่ใส่ใจ “แล้วถ้าฉันฉีกสัญญาล่ะ? แค่คืนเงินให้พวกคุณซะก็จบเรื่องแล้ว”

หลินม่ายเตือนเขาว่า “ไม่ใช่แค่คืนเงินเพียงอย่างเดียว คุณยังต้องจ่ายค่าเสียหายจากการที่คุณผิดสัญญาให้เช่าด้วย คุณรู้ไหมว่าในสัญญาระบุจำนวนค่าเสียหายไว้เท่าไหร่?”

เฮ่อเชิ่งถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เท่าไหร่?”

หลินม่ายตอบกลับ “ห้าร้อยหยวน”

ตอนนั้นเธอกลัวว่าเจ้าของบ้านจะยกเลิกสัญญาเช่าบ้านหลังนี้อย่างกะทันหัน ดังนั้นเธอจึงกำหนดค่าเสียหายจากการผิดสัญญาไว้ที่ห้าร้อยหยวน

ด้วยจำนวนค่าเสียหายที่สูงขนาดนี้ เจ้าของบ้านคงไม่ยอมทำผิดสัญญาให้เช่าง่าย ๆ

เฮ่อเชิ่งเองก็คงไม่รู้เหมือนกันว่าค่าเสียหายที่ต้องจ่ายให้เธอมีมูลค่ามหาศาลถึงขนาดนี้ เขาทำท่าผงะถอยไปอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะยกมือขึ้นชี้หน้าหลินม่าย “ไว้ฉันค่อยมาใหม่” ว่าแล้วเขาก็หันหลังกลับแล้วเดินจากไป

หลี่หมิงเฉิงถอนหายใจ โพล่งขึ้นด้วยความโล่งอก “เฮ่อเชิ่งคนนี้เป็นคนมีเหตุผลอยู่นะ พอได้ยินว่าตัวเองต้องจ่ายค่าเสียหายจากการผิดสัญญาให้เช่า เขาก็ยอมเป็นฝ่ายถอยออกไปทันที ไม่อย่างนั้นร้านเราคงเปิดขายต่อไม่ได้แล้ว”

เมื่อได้ยินเขาออกความคิดเห็นอย่างไร้เดียงสา พนักงานในร้านหลายคนก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เฮ่อเชิ่งเป็นคนมีเหตุผลเนี่ยนะ? นายต้องล้อฉันเล่นแน่ ๆ”

พนักงานอีกคนที่รับผิดชอบสับเนื้อเข้าไปตบไหล่ของหลี่หมิงเฉิง “เขาประกาศกร้าวว่าจะกลับมาใหม่ขนาดนั้น นายอย่าเพิ่งมองโลกในแง่ดีเร็วไปหน่อยเลย”

หลี่หมิงเฉิงได้ยินแบบนั้นก็เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมา “แล้วเราควรทำยังไงกันดี?”

“ถ้าเขาบอกว่าจะมาก็ปล่อยให้เขามาสิ ยังต้องทำอะไรอีก?” หลินม่ายพูดเบา ๆ ก่อนจะหันไปเรียกฟางจั๋วหรานให้กลับขึ้นไปรับประทานอาหารต่อ

หลังมื้ออาหารกลางวัน หลังจากเขาออกจากร้านไปแล้ว หลินม่ายเหลือบมองไปทางบ้านใกล้เรือนเคียง

พอเห็นว่าป้าหูกำลังกระหยิ่มยิ้มย่องราวกับต้องการเยาะเย้ย เธอก็พูดประชดประชันขึ้นมาทันที “วัน ๆ ไม่ยอมทำอะไรที่เป็นประโยชน์ เอาแต่คิดวางแผนทำลายชีวิตคนอื่น เงินเก็บร่อยหรอจนแทบไม่เหลือแล้วยังไม่รู้จักหลาบจำ สงสัยต้องรอให้ไม่มีบ้านไว้ซุกหัวนอนก่อนล่ะมั้งถึงจะสำเหนียก!”

คำพูดแค่ไม่กี่ประโยค กลับทำให้ป้าหูยิ้มไม่ออกอีกต่อไป

หล่อนจ้องเขม็งมองหลินม่ายที่หันหลังกลับแล้วเดินเข้าไปในร้าน ก่อนจะสบถเสียงต่ำอย่างมาดร้าย “ยายแก่คนนี้แหละจะทำให้หล่อนตกที่นั่งลำบากจนขายของไม่ได้!”

หลังออกมาจากร้านของหลินม่าย เขาพบว่ายังเช้าอยู่ มีเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนจะเริ่มทำงานในช่วงบ่าย

ฟางจั๋วหรานจึงขอยืมจักรยานของเพื่อนร่วมงาน แล้วปั่นกลับไปยังบ้านของผู้เป็นพ่อ

บ้านของพ่อเขาอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลที่เขาทำงานอยู่ ห่างออกไปแค่ประมาณสี่ถึงห้าช่วงถนน ถ้าเดินทางโดยใช้จักรยานแบบนี้คงใช้เวลาประมาณสิบห้านาที

หวังเหวินฟางกลับมาจากร้านกาแฟด้วยสีหน้าบึ้งตึง แต่ถึงแม้ในใจของหล่อนจะอัดแน่นไปด้วยความโกรธแค่ไหน ก็ยังต้องเข้าครัวทำอาหารที่ฟางเว่ยกั๋วชอบสำหรับมื้อกลางวัน

ระหว่างมื้อกลางวัน ฟางเว่ยกั๋วถามหล่อนว่าการไปเจอหน้าหลินม่ายในวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง

หวังเหวินฟางรอให้เขาถามอยู่พอดี

หล่อนแสร้งทำเป็นถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า ถ่ายทอดคำพูดอุกอาจของหลินม่ายให้เขาฟังอย่างบิดเบือน

หลังจากนั้นก็ออกความเห็นด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล “ผู้หญิงคนนั้นหวังผลประโยชน์ระยะยาว แถมยังหน้าเงินเกินไป ฉันอดกังวลไม่ได้ว่าอีกหน่อยถ้าหล่อนเจอผู้ชายคนอื่นที่ดีกว่า จั๋วหรานอาจจะถูกเขี่ยทิ้งในสักวัน จั๋วหรานเคยถูกผู้หญิงหักอกมาแล้วครั้งหนึ่งนะคะ ฉันไม่อยากให้เขาต้องเสียใจอีก”

ฟางเว่ยกั๋วแทะซี่โครงหมูตุ๋นชิ้นหนึ่งจนหมด ก่อนจะพูดว่า “ผมต้องหาโอกาสเตือนจั๋วหราน ให้เขาเลิกคบหากับหญิงม่ายคนนั้นซะ”

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ม่ายจื่อรอบคอบมาก ห้าร้อยหยวนนี่ถือเป็นยันต์กันผีใบเด็ดเลย

ขนาดยายเป็นคนพูด พี่หมอยังไม่ฟัง แล้วนับประสาอะไรกับคนเป็นพ่อล่ะคะ

ไหหม่า(海馬)

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *