อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 10 อับอาย

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 10 อับอาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ข้าวเปลือกหนึ่งเจี๊ยะอย่างน้อยต้องได้ข้าวสารประมาณเจ็บสิบชั่ง อย่างน้อยข้าวเปลือกครึ่งเจี๊ยะก็น่าจะประมาณหกสิบชั่งแล้ว

ถ้าคิดคำนวณตามราคาที่ถูกที่สุด เงินแปดก้วนสี่สิบเอ็ดอีแปะนั้นสามารถซื้อข้าวเจี๊ยะหนึ่งได้แล้ว แม้ว่าทางร้านค้าต้องการที่จะหากำไรหน่อย ตามสามัญสำนึกแล้วหนึ่งตำลึงเงินก็ถือว่าเยอะสุดแล้ว ช่วงเก็บเกี่ยวปีที่แล้วราคาข้าวสารคุณภาพกลางก็คือหนึ่งตำลึงเงินต่อหนึ่งเจี๊ยะข้าวสาร

มู่ฉือกับหลิวต้าเฉียนต่างก้มหน้าลง หลิวต้าเฉียนถามด้วยสีหน้าตึงเครียด " ข้าวสารที่เจ้าซื้อมาตอนเช้าวันนี้ราคา หนึ่งตำลึงเงินสามก้วนจริงๆหรือ "

มู่ฉือพยักหน้า

มือของหลิวต้าเฉียนสั่นเล็กน้อย " นี่มันคนจิตใจชั่วช้าจริงๆเลย หากำไรเกือบจะสองเท่าเลย … "

มู่ฉือหลับตาลงแล้วไม่พูดอะไรอีก ร้านขายธัญพืชในตำบลและเขตชายแดนส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ร่ำรวยมีฐานะทั้งนั้น และขุนนางหลวงทั้งสามคนที่อยู่ในตำบลก็รวมอยู่ในนั้นด้วย

มู่ฉือพูดขึ้นว่า " ข้ายังคิดว่าพรุ่งนี้จะเอาพวกขนและเครื่องหนังไปขายที่ในเมืองเพื่อซื้อเสบียงเอาไว้หน่อย … "

" ไม่ต้องไปซื้อกับพวกมัน " หลิวต้าเฉียนกล่าวอย่างโกรธๆ " ทุกครัวเรือนในหมู่บ้านล้วนมีข้าวสารเต็มไปหมด เจ้าไม่จำเป็นต้องไปซื้อที่ในตัวตำบลหรือชายแดน จะเอาเงินไปให้พวกคนเห็นแก่ตัวเหล่านั้นทำไม … "

มู่ฉือนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ก่อนหน้านั้นที่ราคาธัญพืชขึ้น เขายังกลัวว่าที่ชายแดนจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า เขายังคิดอยากจะหลบหนีไปทางทิศใต้ แต่ตอนนี้ราคาธัญพืชของพวกลุงและคนอื่นๆถูกกดราคาลงเช่นนี้ รวมไปถึงค่าภาษีของปีนี้ก็เพิ่มขึ้นอีกด้วย เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีใครบางคนกำลังเล่นงานราคาข้าวสาร ยังมากดราคาธัญพืชในชนบทอีก

สิ่งที่มู่ฉือคิดได้ หลิวต้าเฉียนก็คิดได้โดยธรรมชาติ แต่เขากลับทำอะไรไม่ได้ เงินค่าแรงปีนี้ก็ต้องจ่ายด้วยเงินเท่านั้น สิ่งที่คนในชนบทสามารถเอาไปแลกเป็นเงินได้ก็มีแต่ธัญพืชเท่านั้น คนเหล่านั้นต้องสมรู้ร่วมคิดกันแล้วที่จะลดราคาข้าวสารลง ดังนั้นต่อให้ไปขายให้ใครก็ได้ราคานั้นเหมือนกัน

เมื่อมู่ฉือเห็นใบหน้าที่ตึงเครียดของหลิวต้าเฉียน หลังจากคิดอยู่ซะพักก็เข้าห้องไปหยิบหนึ่งตำลึงเงินครึ่งก้วนออกมา "ท่านลุงใหญ่ นี่เป็นเงินทั้งหมดที่เหลือหลังจากจ่ายค่าภาษีของบ้านข้าแล้ว ถือว่าข้าซื้อข้าวสารกับท่านลุงใหญ่ก็แล้วกัน "

หลิวต้าเฉียนกำเหรียญเงินไว้ในมือแล้วถอนหายใจ " กลับไปลุงจะให้พี่กับน้องทั้งสองของหลานแบกข้าวสารมาส่งให้ เป็นข้าวใหม่ของปีนี้ทั้งหมดเลย "

มู่ฉือรีบพูดว่า " เรื่องราคาก็ให้ตามราคาปีที่แล้วของช่วงนี้ก็แล้วกัน "

ราคาข้าวสารปีที่แล้วในช่วงนี้อยู่ที่ประมาณสี่ก้วนเก้าสิบห้าอีแปะ

หลิวต้าเฉียนพยักหน้าตอบรับแล้วยืนขึ้นมากล่าวว่า " เงินค่าแรงของบ้านข้าได้ครบแล้ว แต่หลายคนในหมู่บ้านยังไม่รู้เรื่องนี้เลย ลุงจะลองไปปรึกษากับคนเก่าคนแก่ดู ดูสิว่าพอจะมีทางไหนบ้าง จะปล่อยให้คนเหล่านั้นกดขี่อยู่เช่นนี้ไม่ได้"

หลิวต้าเฉียนเดินออกไปเอามือไพล่หลัง

มู่หยางหลิงกำลังทำความสะอาดสวนหน้าบ้าน เมื่อเห็นหลิวต้าเฉียนเดินออกมาก็พูดว่า " ต้าจิ่วเย่เดินทางกลับปลอดภัยนะคะ"

หลิวต้าเฉียนพยักหน้าเล็กน้อย " อาหลิง พี่หลางเจ้าเก็บตำราเก่าๆได้สองเล่ม ถ้าว่างๆลองไปที่บ้านต้าจิ่วเย่ดูสิว่ายังใช้งานได้อยู่ไหม ถ้าใช้ได้ก็ไปเอามาให้น้องชายเจ้า พวกเขาไม่รู้จักตัวหนังสือแม้แต่ตัวเดี่ยว เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร "

มู่หยางหลิงตอบกลับอย่างมีความสุข " รอให้พระอาทิตย์ตกดินหน่อยข้าค่อยไปเอา "

หลิวหลางเป็นหลานชายคนโตของหลิวต้าเฉียนชอบออกไปเดินเล่นตามท้องถนนมากที่สุด เลยชอบเก็บของหลายสิ่งหลายอย่างกลับมาที่บ้าน ขอแค่เป็นกระดาษก็จะเก็บกลับมาที่บ้าน

เพราะว่าทั้งหมู่บ้านหลินซานมีเพียงแค่บ้านตระกูลมู่เท่านั้นที่รู้จักตัวหนังสือ ถ้าจะพูดให้ถูกน่าจะพูดว่าทั้งหมู่บ้านมีเพียงซู่หว่านเหนียงเท่านั้นที่รู้จักตัวหนังสือ

มู่ฉือกับมู่หยางหลิงและน้องชายเลยได้เรียนรู้จากซู่หว่านเหนียง

และเป็นเพราะซู่หว่านเหนียงรู้จักตัวหนังสือ แม้ว่าซู่หว่านเหนียงจะทำงานไม่เก่ง แต่นางก็ไม่มีข่าวลืออะไรมากมาย ซึ่งการมีความรู้ในยุคนี้เป็นเรื่องที่น่ายกย่องมาก

มู่หยางหลิงเฝ้าดูหลิวต้าเฉียนจากไปแล้ว ถึงได้วิ่งเข้าไปที่บ้านแล้วถามอย่างใจจดใจจ่อว่า "ท่านพ่อ พวกเรายังต้องสำรองเสบียงอาหารไหม "

" สำรอง ทำไมจะไม่สำรอง พวกเราสามารถซื้อกับชาวบ้านโดยตรงไม่จำเป็นต้องไปซื้อในตำบลหรือในเขตชายแดน แถมยังสามารถประหยัดเงินได้อีกเยอะเลย ถึงเวลานั้นค่อยเอาไปสีที่โรงสีในตำบลก็จะได้ข้าวสารออกมาแล้ว "

ซู่หว่านเหนียงถอนหายใจ “ กว่าจะได้เก็บเกี่ยวดีๆซักปีหนึ่ง คิดว่าชีวิตของชาวบ้านทุกคนจะได้สบายและดีขึ้นมาหน่อย ใครจะรู้ว่าจะถูกกดราคาให้ถูกลงด้วยความเจตนาของใครบางคน ทำให้ชีวิตชาวนายิ่งลำบากไปใหญ่ ”

มู่ฉือเกาหัวของตัวเองอยู่นาน เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี

“ ท่านพ่อ คนที่กดราคาเราเป็นพวกเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ทำไมพวกเราถึงไม่ขายธัญพืชให้กับพ่อค้าโดยตรงล่ะจะได้หมดเรื่อง ยังสามารถบวกเงินเพิ่มอีกหน่อย”

ซู่หว่านเหนียงส่ายหัวแล้วหัวเราะ “ มันไม่ง่ายอย่างที่ลูกคิดน่ะสิ”

มู่ฉือยังกล่าวอีกว่า " ตอนนี้ดันเป็นช่วงฤดูเก็บเกี่ยว แต่ละที่ต่างมีธัญพืชกันทั้งนั้นแค่มากน้อยต่างกันเท่านั้น แถมราคาของธัญพืชก็ลดลงด้วย บวกกับการเดินทางที่ยาวไกล ใครจะมีเวลาว่างไปส่งธัญพืชเข้าไปขายที่ชายแดนล่ะ พอได้แล้ว พวกผู้ใหญ่เรายังคิดทางแก้ไข้ปัญหาที่ดีไม่ได้เลย เด็กๆอย่างเจ้าอย่ามายุ่งเลย "

เมื่อถูกดูหมิ่น.

มู่หยางหลิงโกรธมาก แม้ว่าภายนอกของเธอจะเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง แต่จิตใจของเธอนั้นเป็นผู้ใหญ่ เธอสัญญาว่าเธอจะต้องหาทางแก้ให้ได้ ไม่เช่นนั้นหลายปีมานี้เธอก็จะกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปอย่างสิ้นเชิง

มู่ฉือไม่รู้ว่าลูกสาวตัวดีกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ เมื่อเห็นเธอทำตาโตก็พูดขึ้นมาว่า " นี่มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ วันนี้ลูกยุ่งและเหนื่อยมาครึ่งค่อนวันแล้ว ตอนนี้ไปเล่นกับน้องเถอะ ช่วยพ่อดูเขาหน่อยอย่าให้เขาออกไปตากแดดจนนานเกินไป”

เมื่อมู่หยางหลิงเห็นมู่ฉือหันหลังเดินไปที่โกดังก็ถามอย่างสงสัยว่า "ท่านพ่อจะไปที่โกดังทำไม"

" พ่อจะไปจัดเตรียมพวกขนหนังให้เรียบร้อย พรุ่งนี้พ่อจะเอาไปขายที่ในเมือง แม่ของลูกก็ใกล้คลอดแล้ว ที่บ้านต้องมีเงินสำรองไว้บ้าง " มู่ฉือรู้สึกทุกข์ใจที่ลูกสาวต้องเหนื่อยมาเกือบทั้งวันก็เลยบอกว่า " ลูกไปเล่นเถอะ ถ้าไม่อยากเล่นก็กลับเข้าบ้านไปนอนพักผ่อนสักหน่อย พรุ่งนี้พ่อจะต้องตื่นแต่เช้ามืด คาดว่าน่าจะกลับมาถึงก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว ดังนั้นพรุ่งนี้ลูกไม่ต้องเข้าป่าแล้วนะ อยู่บ้านดูแลแม่กับน้องชายก็พอ "

มู่หยางหลิงกลอกตาใส่ แล้วตอบรับเสียงอืม แล้ววิ่งออกไปหาน้องชาย

มู่ปั๋วเหวินกำลังส่ายหัวไปมาเพื่อท่องตำรา"ซานจื้อจิง"อย่างตั้งใจ มู่หยางหลิงวิ่งไปข้างหน้าแล้วดึงตำราในมือของเขาพูดว่า " อย่าท่องอีกเลย ไปเล่นกับพี่กันเถอะ"

มู่ปั๋วเหวินต้านทานอยู่ครู่หนึ่งในใจแล้วพูดว่า " แต่ท่านแม่บอกว่าให้ข้าท่องจำหน้าที่ห้าได้ก่อนถึงจะออกไปเล่นได้"

“ เจ้าท่องจำมาครึ่งค่อนวันแล้ว ท่องจำต่อก็ไม่เกิดผลอะไร ออกไปเล่นกับพี่สักพักดีกว่า เดียวเย็นๆค่อยกลับมาท่องต่อ ตอนเย็นพี่ช่วยเจ้าก่อไฟหุงข้าว เจ้าท่องอย่างเดียวก็พอ "

มู่ปั๋วเหวินถึงได้ยิ้มออกมาอย่างมีความสุขแล้วพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง "พี่ แล้วพวกเราจะไปเล่นที่ไหนกัน"

" ไปบ้านพี่หลาง พี่เขาเก็บตำราได้สองเล่ม พวกเราไปดูสิว่าเป็นตำราอะไร ยังใช้ได้อยู่ไหม จากนั้นก็พาเจ้าไปเล่นกับโก่วต้าน"

โก่วต้านเป็นลูกชายคนเดียวของแม่ม่ายหลิวในหมู่บ้าน อายุห้าขวบเท่ากับมู่ปั๋วเหวิน เป็นหัวหน้าของเด็กห้าหกคนนี้ในหมู่บ้าน มู่ปั๋วเหวินชอบมาเล่นกับพวกเขาอยู่บ่อยๆ

มู่ปั๋วเหวินเอาตำรากลับไปเก็บไว้อย่างมีความสุข แล้ววิ่งออกไปจับมือของพี่สาวไว้ ทั้งสองกระโดดโลดเต้นไปยังบ้านพี่หลาง

คนในหมู่บ้านหลิวซานส่วนใหญ่จะนามสกุลหลิว ยังมีนามสกุลหม่านามสกุลหูและนามสกุลจาง ซึ่งนามสกุลมู่มีเพียงบ้านเขาบ้านเดียวเท่านั้น ดังนั้นแค่บอกว่าหมู่บ้านหลินซานบ้านตระกูลมู่ ทุกคนก็จะรู้ว่าเป็นบ้านของพวกเขา

บ้านตระกูลมู่อาศัยอยู่ที่เชิงเขา เป็นบ้านอิฐหลังใหญ่ห้าห้อง ในหมู่บ้านมีเพียงหลังเดียว ซึ่งสร้างขึ้นก่อนที่ท่านปู่ของมู่หยางหลิงจะแต่งงานกับท่านยาย ในตอนนั้นไม่รู้ว่ามีคนอิจฉาตาร้อนไปเท่าไร

เดินลงไปทางทิศตะวันออกของบ้านประมาณครึ่งชั่วโมง ก็เป็นสถานที่ที่หนาแน่นที่สุดของหมู่บ้านซึ่งบ้านของหลิวต้าเฉียนก็อยู่ในนั้นด้วย

หลิวต้าเฉียนมีลูกชายทั้งหมดสามคนและลูกสาวสองคน แต่สุดท้ายเหลือแค่ผู้ชายสองคน ลูกชายคนที่สองอายุสามขวบก็ป่วยตายแล้ว ลูกสาวสองคนตายเมื่อสิบสองปีก่อนที่บ้านเมืองเกิดสงคราม ท่านปูและท่านย่าของมู่หยางหลิงก็ตายตอนนั้นเหมือนกัน

ดังนั้นตอนนี้หลิวต้าเฉียนจึงอาศัยอยู่กับลูกชายสองคนซึ้งยังไม่ได้แยกบ้านกัน

เป็นเพราะเป็นช่วงฤดูเก็บเกี่ยว พวกผู้ใหญ่ต่างพากันไปเก็บเกี่ยวอยู่ที่ทุ่งนาหมดแล้ว ในหมู่บ้านเลยไม่ค่อยมีคนเท่าไร ระหว่างทางที่สองพี่น้องเดินเข้ามาจึงไม่เจอใครเลย เด็กที่อายุมากกว่าหกขวบก็น่าจะถูกเรียกไปช่วยทำงานอยู่ที่ทุ่งนาด้วย

พี่หลางกำลังกดหลิวหลุนน้องชายที่อายุแปดขวบลงไปในกะละมังเพื่ออาบน้ำ ในขณะที่อาบก็บ่นไปว่า " ใครให้เจ้าไม่เชื่อฟัง รอให้ท่านพ่อกลับมาเย็นนี้ดูสิว่าจะตีเจ้าหรือเปล่า ”

มู่หยางหลิงผลักประตูเข้าไปเห็นคนทั้งสองอยู่ในสวนบ้านแล้วกะพริบตาถามว่า " พี่หลาง น้องหลุน พวกเจ้ากำลังทำอะไรอยู่เหรอ "

หลิวหลุนร้องเสียงดังลั่น รีบดึงเสื้อผ้าที่วางไว้อยู่บนเก้าอี้เอามาปิดตรงด้านหน้า พร้อมกับตะโกนพูดว่า " ห้ามดูนะ รีบหันกลับไป หันกลับไปสิ พี่ใหญ่รีบพาพวกเขาออกไป เร็ว "

หลิวหลางจ้องมองน้องชายด้วยความงุนงง จากนั้นก็รีบกระโดดขึ้นมาหยุดอยู่ตรงหน้าของน้องชายพร้อมกับตะโกนว่า " น้อง น้องหลิง เจ้าออกไปก่อน รอให้อาหลุนใส่เสื้อผ้าเสร็จก่อนแล้วค่อยเข้ามา "

อายุแค่แปดขวบ ใครอยากจะไปดู

มู่หยางหลิงกลอกตาใส่ จากนั้นเลยพาน้องชายขี้เซาเดินออกไปแล้วยังปิดประตูให้พวกเขาอย่างเรียบร้อย

หลิวหลุนรีบกระโดดออกมาจากกะละมังใส่เสื้อผ้าอย่างรีบร้อน ดวงตาแดงก่ำกำลังจะร้องไห้ออกมา " นางเห็นแล้ว นางจะต้องเห็นแล้วแน่ๆ เมื่อกี้ทำไมพี่ไม่ปิดประตูล่ะ ”

หลิงหลางแย้ง " ข้าจะไปรู้ได้ยังไงว่าจะมีคนมา ในเวลานี้ทุกคนต่างทำงานอยู่ที่ทุ่งนา "

หลิวหลุนเช็ดน้ำตาด้วยความเขินอาย แล้วหลิวหลางรีบพูดขึ้นมาว่า " เจ้าอย่าร้องไห้ไปเลย น้องหลิงน่าจะไม่เห็นแน่นอน ตอนนั้นเจ้ายังนั่งอยู่ในกะละมัง และที่สำคัญเจ้าเคลื่อนไหวเร็วขนาดนั้น"

“ นางไม่เห็นจริงๆเหรอ”

"ไม่เห็น ไม่เห็นแน่นอน " หลิวหลางยืนยัน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด