อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 75 ชุลมุนวุ่นวาย

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 75 ชุลมุนวุ่นวาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

รถลากสองล้อคันนี้เป็นสมบัติชิ้นนึงที่ปู่ของมู่หยางหลิงสร้างเอาไว้ ทั้งที่จริง ๆ แล้วมู่เหยียนอยากจะซื้อม้าไว้ซักตัวมากกว่า แต่ในสมัยนั้นการจะมีม้าตัวนึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต่อมาภายหลังเงินเก็บของตระกูลมู่ก็ถูกเอาออกมาใช้จนเกือบหมด รถลากสองล้อคันนั้นก็ถูกเก็บเข้าที่ไม่ได้ใช้มานานหลายปี

และเนื่องจากมู่ฉือเองก็สร้างรถลากสองล้อคันใหม่ขึ้นมาด้วย เขาจึงนำรถลากอันเก่าของพ่อเก็บเข้าห้องเก็บของไปก่อนเพื่อเอาไว้ดูต่างหน้า

มู่หยางหลิงไม่รู้ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่นางก็ต้องรีบขนของออกจากบ้านตามคำสั่งพ่อ เนื่องจากท่าทีที่ดูร้อนรนของพ่อนั้นทำให้นางรู้สึกได้ว่า ถึงเวลาที่เราต้องเอาชีวิตรอดกันแล้ว

พอมู่หยางหลิงเก็บสัมภาระทั้งหมดเสร็จสรรพ มู่ฉือก็พาคนอีกเป็นสิบ ๆ คน ถือคบไฟเดินทางไปตรวจดูสถานการณ์ที่หมู่บ้านซีซานแล้ว

หลิวเหอสั่งให้คนหนุ่มทั้งหลายพาคนเฒ่าคนแก่ลูกเด็กเล็กแดงในหมู่บ้านมารวมตัวกันอยู่ในสวนหลังบ้านตระกูลหลิว เมื่อชาวบ้านทั้งหมดมารวมตัวกันครบหมดแล้ว ทุกคนต่างก็นั่งเกาะกลุ่มกันด้วยความหวาดกลัว

มู่หยางหลิงเอาผ้าห่มผืนใหญ่รวบตัวซู่หว่านเหนียงกับเด็กแฝดไว้ด้วยกัน จากนั้นก็เอาปั๋วเหวินกับซิ่วหลานคลุมผ้าผืนเดียวกันไว้ แล้วนางก็หันไปกระซิบหม่าหลิวซื่อว่า “ย่าใหญ่จ้ะ ข้าฝากดูแลแม่ข้าข้าด้วย ข้าจะไปถามท่านผู้เฒ่าดูหน่อยว่าสรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้น”

หม่าหลิวซื่อหันไปมองควันไฟที่ลอยขึ้นสูงจากหมู่บ้านซีซาน จากนั้นก็หันกลับมาหามู่หยางหลิงแล้วกระซิบเบา ๆ ว่า “ไม่ต้องไปหรอก ไฟไหม้หนักขนาดนี้ ก็คงจะเป็นพวกชาวหูทำขึ้นนั่นหละ”

มู่หยางหลิงตกตะลึง “จังหวัดซิงโจวของเรามีกองทหารรักษาความปลอดภัยอยู่หนิจ้ะ”

หม่าหลิวซื่อเปล่งเสียงหัวเราะอย่างเย็นชา “เมื่อ 4 ปีก่อนตอนที่ชาวหูมันข้ามชายแดนมาน่ะ หมู่บ้านหลิ่วเซี่ยก็โดนเผาแบบนี้นี่แหละ แต่ยังโชคดีที่คนเฒ่าคนแก่กับเด็ก ๆ รอดตายกันออกมาได้ ตอนนั้นหมู่บ้านซีซานของเราเองก็โชคดีที่ไม่โดนลูกหลงไปด้วย เพราะตอนที่พวกชาวหูยังมาไม่ถึงหมู่บ้านซีซานน่ะนะ พวกทหารที่ประจำการอยู่ในซิงโจวได้มาถึงก่อนพวกมันแล้ว แต่พวกเขาก็มาไม่ทันช่วยหมู่บ้านหลิ่วเซี่ยไว้ ดูท่าครั้งนี้มันก็คงจะถึงคราวของหมู่บ้านซีซานแล้วสินะ? ข้าไม่รู้เลยว่าครั้งนี้ชาวบ้านในหมู่บ้านซีซานจะเหลือรอดกันได้ซักกี่คน”

หมู่บ้านซีซานกับหมู่บ้านหลินซานมีเพียงเขาลูกเดียวกั้นอยู่ระหว่างกลางเท่านั้น มู่หยางหลิงจึงอดเป็นกังวลไม่ได้ และไม่รู้ว่ามู่ฉือไปถึงหมู่บ้านซีซานทำไมตอนนี้

หม่าหลิวซื่อที่อยู่มานาน และได้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ตัดสินใจอธิบายให้มู่หยางหลิงฟัง “ทางเดินเส้นเล็กบนเขานั่นน่ะ มีแค่ชาวบ้านของหมู่บ้านซีซานและหลินซานเท่านั้นที่รู้ พ่อเจ้ากำลังคิดจะปิดตายถนนเส้นนั้นซะให้จบ ๆ ไป เพราะถ้าพวกชาวหูใช้ถนนสายหลัก ก็จะเดินไปหมู่บ้านอื่นก่อนที่จะมาถึงหมู่บ้านหลินซาน ดังนั้นพวกเราจึงต้องไปหลบรออยู่ในสวนหลังบ้านของตระกูลหลิวก่อน จากนั้นก็รอจนกว่าทหารที่ประจำการอยู่ในซิงโจวจะมาถึง”

มู่หยางหลิงเงยหน้ามองเขาลูกนั้น แล้วถามขึ้นว่า “ถ้าหากว่ามีคนในหมู่บ้านซีซานทรยศพวกเขาล่ะจ้ะ?” นางหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วพูดต่ออีกว่า “แล้วพวกเราจะไม่ส่งคนไปแจ้งกองทหารเลยหรือ?”

“แล้วมันต้องทำอย่างไรถึงจะแจ้งได้ล่ะ?” หม่าหลิวซื่อพูดต่อด้วยความลำบากใจ “จากนี่ไปยังหัวเมือง ต้องใช้เวลาวันนึงกับอีกครึ่งวันเชียวนะ”

“เราแจ้งกับศาลาว่าการของจังหวัดไม่ได้หรือจ้ะ? ส่วนเรื่องส่งต่อข่าวสารไปยังกองทหาร ก็จะเป็นหน้าที่ของศาลาว่าการจังหวัดตามลำดับไงย่าใหญ่” มู่หยางหลิงพยายามคิดหาวิธี เพราะนางไม่อยากนั่งรอให้ภัยมาถึงตัวทุกคนในหมู่บ้านรวมถึงพ่อของนางที่อยู่ด่านหน้าด้วย

หม่าหลิวซื่อลังเลอยู่ครู่นึง จนสุดท้ายก็เห็นด้วยกับมู่หยางหลิง “ถ้าอย่างนั้นข้าไปบอกท่านผู้เฒ่าของเจ้าก่อน ดูว่าเขาจะเห็นด้วยรึไม่”

แม้ว่าระยะทางจากหมู่บ้านหลินซานไปยังศาลาว่าการจังหวัดจะใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวัน แต่เส้นทางเดียวที่ใช้ได้มีเพียงถนนใหญ่เท่านั้น ถ้าหากว่าใช้เส้นทางนั้นในการเดินทาง ก็อาจจะต้องเจอกับพวกชาวหูเอาได้ และถ้าต้องเจอกับพวกนั้นเข้า มีหวังพวกนางได้เสียหัวให้กับชาวหูเป็นแน่

และตอนนี้ก็ไม่มีใครในหมู่บ้านที่ยอมให้ลูกชายของตัวเองไปทำเรื่องอันตรายเช่นนั้นด้วยสิ โดยที่ไม่ได้ถามความเห็นหลิวเหอเลยซักคำ “หมู่บ้านหลินซานของเราตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีความเฉพาะตัว ดังนั้นแค่เราปิดตายถนนเส้นเล็กนั่นได้ โอกาสที่พวกชาวหูจะพบเจอหมู่บ้านเราก็จะลดน้อยลงไปด้วย”

สีหน้าของมู่หยางหลิงเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น “มันมีโอกาสน้อยลงก็จริง แต่ถ้าพวกชาวหูใช้เส้นทางถนนสายหลักแล้วเลือกตรงมาที่หมู่บ้านเราล่ะ พวกเราก็ต้องรอความตายกันสถานเดียวงั้นรึ? อีกอย่าง ระหว่างที่พวกชาวหูผ่านถนนใหญ่มานั้น ก็จะเจอกับหมู่บ้านข้างเคียงอีกหลายหมู่บ้าน ถึงเราจะไปแจ้งข่าวสารกับทางการไม่ทัน แต่อย่างน้อยแค่ไปเตือนภัยชาวบ้านแถวนั้นหน่อยก็ยังดีนะจ้ะ ตอนนี้พวกเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าอันตรายกำลังจะมาถึง และเป็นไปได้ว่าตอนที่พวกชาวหูบุกเข้าหมู่บ้านของพวกเขาไปแล้วเนี่ย พวกเขาอาจจะยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าต้องหนี ถ้าหากว่าเราช่วยชีวิตได้แค่คนเดียวจริง ๆ เราก็ควรจะช่วยสิจ้ะ ถึงต้องเจอกับพวกชาวหูระหว่างทาง แต่เราก็มีมือมีตีนเหมือนกัน เราวิ่งหนีเข้าป่ากันไปก็ยังได้ เพราะป่าแถบนี้เราก็คุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว ท่านคิดว่าเราจะหลบหนีพวกนั้นไม่พ้นหรือ? 4

มู่หยางหลิงจ้องมองพวกชาวบ้านที่กำลังก้มหน้าก้มตาด้วยความขลาดเขลา เมื่อนางเห็นว่าพวกเขาไม่เต็มใจที่จะเสี่ยงชีวิตช่วยเหลือผู้อื่นเลย นางจึงตัดสินใจเดินจากพวกเขาไปด้วยความโมโหทันที

ช่วยเหลือผู้อื่นก็เท่ากับช่วยเหลือตัวเองนั่นแหละ เพราะพวกเราก็คนเหมือนกัน แล้วชาวบ้านในหมู่บ้านหลินซานก็มีกันอยู่แค่ไม่กี่ร้อยคน ส่วนส่วนมากก็เป็นคนแก่และเด็กอีกต่างหาก คนหนุ่มสาวที่แข็งแรง ๆ ก็มีแค่ร้อยกว่าคน ถ้าหากว่าต้องเผชิญหน้ากับพวกใจโหดใจเหี้ยม และมากประสบการณ์อย่างพวกชาวหูละก็ ชาวบ้านหลินซานก็ไม่ต่างอะไรกับลูกแกะตัวนึงในวงล้อมหมาป่าหรอก

หมู่บ้านหลินซานอยู่ท่ามกลางหุบเขาสามลูกที่ขนาบด้านข้างและด้านหลังอีกหนึ่งลูก ส่วนอีกด้านก็จะเป็นทางเชื่อมถนนเส้นใหญ่ ถึงแม้ว่าจะมีความเป็นไปได้สูงที่พวกชาวหูจะมองข้ามหมู่บ้านหลินซานไปก็ตาม แต่ถ้าหากว่าหมู่บ้านหลินซานถูกพวกชาวหูเจอเข้า พวกเขามีแค่สามทางเลือกเท่านั้น คือ หนึ่ง ปะทะกับพวกชาวหู สอง คือหลบหนีผ่านถนนใหญ่ไปซะตอนนี้ กับทางสุดท้ายคือหลบหนีเข้าไปในหุบเขา

แต่ถ้าพูดถึงการปะทะกับพวกชาวหูเนี่ย เลิกคิดไปได้เลย เพราะต่อให้มู่หยางหลิงอยากใช้วิธีนี้มากแค่ไหน ชาวบ้านหลินซานก็ไม่มีความกล้าหาญพอที่จะปะทะกับพวกชาวหูแน่ ๆ แต่ถ้าหากว่าหลบหนีเข้าหุบเขาไป ด้วยสภาพอากาศตอนนี้แล้ว พวกวัยรุ่นหนุ่มสาวก็พอไหวอยู่หรอก แต่คนแก่กับเด็กนี่สิจะทนได้นานซักแค่ไหนกันเชียว?

ยิ่งมู่หยางหลิงหันมาเห็นซู่หว่านเหนียงที่เพิ่งคลอดลูก กับน้อง ๆ อีกหลายคนของมู่หยางหลิงที่ยังเด็กมากอยู่นั้น นางก็ตัดสินใจแน่วแน่เลยว่าจะไม่เลือกวิธีนี้เด็ดขาด

ในขณะที่มู่หยางหลิงยังไม่ทันได้เข้าไปปรึกษากับหลิวเหอ จู่ ๆ ก็มีคนชี้นิ้วไปที่ตีนเขา “ตรงนั้นมีคนถือคบไฟเดินมา มู่ฉือกับคนอื่น ๆ กำลังเดินกลับมาแล้ว”

เมื่อมู่หยางหลิงหันไปดู ก็เห็นคนหลายคนเข้าไปรับพ่อของนางกับคนอื่น ๆ ก่อนแล้ว

มู่ฉือกับคนอื่น ๆ มีเลือดสดเปื้อนไปทั่วทั้งตัว ส่วนหลิวถิงก็โดนมีดฟันมา 1 แผล หลิวเหอวิ่งตรงเข้าไปหาพวกเขาด้วยสีหน้าแตกตื่น “นี่พวกเจ้าปะทะกับพวกชาวหูมารึ?”

มู่ฉือตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง “พวกชาวหูมันเจอทางเชื่อมเส้นเล็กนั้นเข้า พวกที่เจอมันมีกันอยู่ 5 คน พวกข้าก็เลยกลัวว่ามันจะกลับไปบอกพวกที่เหลือว่ามีทางเชื่อมอยู่ตรงนั้น จึงชิงลงมือฆ่าพวกมันไปก่อน แต่ข้าคิดว่ามันยังมีกันอีกมากที่กำลังตามมา พวกเราอยู่ที่นี่กันต่อไปไม่ได้แล้วล่ะ รีบหนีไปจากที่นี่กันเถอะ”

“มันจะเป็นไปได้ยังไง? ในเมื่อทางเส้นเล็กนั่นก็มีแค่คนในหมู่บ้านหลินซานกับซีซานเท่านั้นที่รู้หนิ พวกชาวหูมันรู้ได้ยังไงน่ะ?”

“แต่มีการสร้างบ้านอยู่ตรงตีนเขาหน้าปากทางเข้าหมู่บ้านซีซานไง แล้วมันก็ไม่ไกลจากทางเชื่อมเส้นเล็กนั่นด้วย”

สิ้นสุดคำพูดของมู่ฉือ ชาวบ้านทุกคนก็หันมามองที่หม่าหลิวซื่อด้วยความสงสาร จริงสิ การที่พวกชาวหูเผาบ้านหลังนั้น ก็อาจจะทำให้เห็นทางเชื่อมเส้นเล็กได้ และนั่นก็แปลว่าคนในหมู่บ้านซีซานไม่มีใครคิดทรยศคนในหมู่บ้านกันเองอย่างแน่นอน

แล้วชาวบ้านในหมู่บ้านหลินซานก็ไม่ค่อยมีใครข้ามเขาไปหมู่บ้านซีซานด้วย ดังนั้นจึงเดาไม่ออกเลยว่าเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ เพราะแม้แต่หลิวถิงที่เดินทางไปธุระที่หมู่บ้านซีซานอยู่บ้างเป็นบางครั้ง ก็แทบจะไม่มีใครสังเกตเห็นเลยด้วยซ้ำ

แต่หม่าหลิวซื่อและหลานสาวทั้งสอง กับหญิงสาวจากหมู่บ้านซีซานที่แต่งงานเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านหลินซานแห่งนี้ ต่างรู้กันดีว่าไม่มีบ้านหลังไหนในหมู่บ้านซีซานที่มาก่อสร้างอยู่ตรงตีนเขา

แล้วคนที่มีครอบครัวอยู่ในหมู่บ้านซีซานรวมไปถึงครอบครัวที่มีลูกสาวแต่งงานเข้าไปอยู่ในซีซานก็ร้องห่มร้องไห้กันยกใหญ่ “ในหมู่บ้านไม่มีใครเหลือรอดเลยหรือ?”

มู่ฉือกับคนอื่น ๆ ไม่ได้ตอบคำถามอะไรทั้งนั้น เพราะทุกคนต่างก็รู้ดีว่า พวกชาวหูออกปล้นแต่ละครั้ง จะไม่มีการละเว้นแม้กระทั่งคนแก่และเด็ก น้อยมากที่จะมีหญิงสาวเหลือรอดกันไปบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครเหลือรอดกันหรอก

“เอาล่ะ ไม่ต้องร้องไห้แล้ว รีบเก็บข้าวของที่จำเป็นติดตัวมา อีกเดี๋ยวพวกเราจะต้องไปกันแล้ว” หลิวเหอกล่าว แถมยังกำชับอีกด้วยว่า “อย่าเอาของไปเยอะเกินล่ะ เอาชีวิตของเราให้รอดกันก่อนวันนี้”

แม้ว่าหลิวเหอจะพูดออกมาแบบนี้แล้ว แต่ก็ไม่มีใครอยากสูญเสียบ้านช่องห้องหับกับที่ดินทำกินของครอบครัวตัวเองไป คนแก่บางคนก็นั่งร้องไห้เสียใจไม่หยุด เป็นตายยังไงก็ไม่อยากจะทิ้งบ้านเกิดไป บางคนก็เก็บข้าวของในบ้านออกมาจนเกลี้ยงด้วยความโลภ

มู่หยางหลิงที่ยืนมองความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านหลินซานอยู่พักใหญ่ จนความโมโหในทีแรกกลับกลายเป็นความสิ้นหวังแทน นางเล็งเห็นแล้วว่าสภาพของผู้คนในหมู่บ้านตอนนี้ มีโอกาสวุ่นวายตายก่อนที่พวกชาวหูจะบุกเข้ามาเสียอีก

“ท่านพ่อ พวกเรายังเหลือเวลาอีกแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นนะ หลังจากครึ่งชั่วโมงสุดท้ายนี้พวกเราจะต้องไปกันแล้ว”

สีหน้าของมู่ฉือตอนนี้ดูไม่ได้เอามาก ๆ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะหันมาพยักหน้ากับลูกสาว “เจ้าไปคอยดูแลแม่เอาไว้ เดี๋ยวพ่อไปบอกผู้ใหญ่บ้านก่อน”

มู่หยางหลิงหันหลังเดินไปหาเชือกมาเส้นนึง แล้วนางก็เอาผ้านวมปูบนแท่นไม้บนรถลาก นางพาแม่กับน้องแฝดที่พันผ้าไว้ตั้งแต่แรกขึ้นไปนั่งบนแท่นไม้ก่อน แล้วจากนั้นจึงอุ้มปั๋วเหวินกับซิ่วหลานขึ้นไปนั่งบนรถลากด้วย ขั้นตอนสุดท้าย มู่หยางหลิงเดินไปเข็นรถลากอีกคันที่เต็มไปด้วยสัมภาระทั้งหมดออกมาผูกเข้ากับรถลากที่แม่กับน้อง ๆ ของนางนั่งอยู่ ทั้งที่ในขณะเดียวกันนั้น ชาวบ้านบางกลุ่มก็กำลังชุลมุนวุ่นวายกัน เนื่องจากพวกเขาไม่ยอมไปจากที่นี่

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 75 ชุลมุนวุ่นวาย

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 75 ชุลมุนวุ่นวาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

รถลากสองล้อคันนี้เป็นสมบัติชิ้นนึงที่ปู่ของมู่หยางหลิงสร้างเอาไว้ ทั้งที่จริง ๆ แล้วมู่เหยียนอยากจะซื้อม้าไว้ซักตัวมากกว่า แต่ในสมัยนั้นการจะมีม้าตัวนึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต่อมาภายหลังเงินเก็บของตระกูลมู่ก็ถูกเอาออกมาใช้จนเกือบหมด รถลากสองล้อคันนั้นก็ถูกเก็บเข้าที่ไม่ได้ใช้มานานหลายปี

และเนื่องจากมู่ฉือเองก็สร้างรถลากสองล้อคันใหม่ขึ้นมาด้วย เขาจึงนำรถลากอันเก่าของพ่อเก็บเข้าห้องเก็บของไปก่อนเพื่อเอาไว้ดูต่างหน้า

มู่หยางหลิงไม่รู้ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่นางก็ต้องรีบขนของออกจากบ้านตามคำสั่งพ่อ เนื่องจากท่าทีที่ดูร้อนรนของพ่อนั้นทำให้นางรู้สึกได้ว่า ถึงเวลาที่เราต้องเอาชีวิตรอดกันแล้ว

พอมู่หยางหลิงเก็บสัมภาระทั้งหมดเสร็จสรรพ มู่ฉือก็พาคนอีกเป็นสิบ ๆ คน ถือคบไฟเดินทางไปตรวจดูสถานการณ์ที่หมู่บ้านซีซานแล้ว

หลิวเหอสั่งให้คนหนุ่มทั้งหลายพาคนเฒ่าคนแก่ลูกเด็กเล็กแดงในหมู่บ้านมารวมตัวกันอยู่ในสวนหลังบ้านตระกูลหลิว เมื่อชาวบ้านทั้งหมดมารวมตัวกันครบหมดแล้ว ทุกคนต่างก็นั่งเกาะกลุ่มกันด้วยความหวาดกลัว

มู่หยางหลิงเอาผ้าห่มผืนใหญ่รวบตัวซู่หว่านเหนียงกับเด็กแฝดไว้ด้วยกัน จากนั้นก็เอาปั๋วเหวินกับซิ่วหลานคลุมผ้าผืนเดียวกันไว้ แล้วนางก็หันไปกระซิบหม่าหลิวซื่อว่า “ย่าใหญ่จ้ะ ข้าฝากดูแลแม่ข้าข้าด้วย ข้าจะไปถามท่านผู้เฒ่าดูหน่อยว่าสรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้น”

หม่าหลิวซื่อหันไปมองควันไฟที่ลอยขึ้นสูงจากหมู่บ้านซีซาน จากนั้นก็หันกลับมาหามู่หยางหลิงแล้วกระซิบเบา ๆ ว่า “ไม่ต้องไปหรอก ไฟไหม้หนักขนาดนี้ ก็คงจะเป็นพวกชาวหูทำขึ้นนั่นหละ”

มู่หยางหลิงตกตะลึง “จังหวัดซิงโจวของเรามีกองทหารรักษาความปลอดภัยอยู่หนิจ้ะ”

หม่าหลิวซื่อเปล่งเสียงหัวเราะอย่างเย็นชา “เมื่อ 4 ปีก่อนตอนที่ชาวหูมันข้ามชายแดนมาน่ะ หมู่บ้านหลิ่วเซี่ยก็โดนเผาแบบนี้นี่แหละ แต่ยังโชคดีที่คนเฒ่าคนแก่กับเด็ก ๆ รอดตายกันออกมาได้ ตอนนั้นหมู่บ้านซีซานของเราเองก็โชคดีที่ไม่โดนลูกหลงไปด้วย เพราะตอนที่พวกชาวหูยังมาไม่ถึงหมู่บ้านซีซานน่ะนะ พวกทหารที่ประจำการอยู่ในซิงโจวได้มาถึงก่อนพวกมันแล้ว แต่พวกเขาก็มาไม่ทันช่วยหมู่บ้านหลิ่วเซี่ยไว้ ดูท่าครั้งนี้มันก็คงจะถึงคราวของหมู่บ้านซีซานแล้วสินะ? ข้าไม่รู้เลยว่าครั้งนี้ชาวบ้านในหมู่บ้านซีซานจะเหลือรอดกันได้ซักกี่คน”

หมู่บ้านซีซานกับหมู่บ้านหลินซานมีเพียงเขาลูกเดียวกั้นอยู่ระหว่างกลางเท่านั้น มู่หยางหลิงจึงอดเป็นกังวลไม่ได้ และไม่รู้ว่ามู่ฉือไปถึงหมู่บ้านซีซานทำไมตอนนี้

หม่าหลิวซื่อที่อยู่มานาน และได้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ตัดสินใจอธิบายให้มู่หยางหลิงฟัง “ทางเดินเส้นเล็กบนเขานั่นน่ะ มีแค่ชาวบ้านของหมู่บ้านซีซานและหลินซานเท่านั้นที่รู้ พ่อเจ้ากำลังคิดจะปิดตายถนนเส้นนั้นซะให้จบ ๆ ไป เพราะถ้าพวกชาวหูใช้ถนนสายหลัก ก็จะเดินไปหมู่บ้านอื่นก่อนที่จะมาถึงหมู่บ้านหลินซาน ดังนั้นพวกเราจึงต้องไปหลบรออยู่ในสวนหลังบ้านของตระกูลหลิวก่อน จากนั้นก็รอจนกว่าทหารที่ประจำการอยู่ในซิงโจวจะมาถึง”

มู่หยางหลิงเงยหน้ามองเขาลูกนั้น แล้วถามขึ้นว่า “ถ้าหากว่ามีคนในหมู่บ้านซีซานทรยศพวกเขาล่ะจ้ะ?” นางหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วพูดต่ออีกว่า “แล้วพวกเราจะไม่ส่งคนไปแจ้งกองทหารเลยหรือ?”

“แล้วมันต้องทำอย่างไรถึงจะแจ้งได้ล่ะ?” หม่าหลิวซื่อพูดต่อด้วยความลำบากใจ “จากนี่ไปยังหัวเมือง ต้องใช้เวลาวันนึงกับอีกครึ่งวันเชียวนะ”

“เราแจ้งกับศาลาว่าการของจังหวัดไม่ได้หรือจ้ะ? ส่วนเรื่องส่งต่อข่าวสารไปยังกองทหาร ก็จะเป็นหน้าที่ของศาลาว่าการจังหวัดตามลำดับไงย่าใหญ่” มู่หยางหลิงพยายามคิดหาวิธี เพราะนางไม่อยากนั่งรอให้ภัยมาถึงตัวทุกคนในหมู่บ้านรวมถึงพ่อของนางที่อยู่ด่านหน้าด้วย

หม่าหลิวซื่อลังเลอยู่ครู่นึง จนสุดท้ายก็เห็นด้วยกับมู่หยางหลิง “ถ้าอย่างนั้นข้าไปบอกท่านผู้เฒ่าของเจ้าก่อน ดูว่าเขาจะเห็นด้วยรึไม่”

แม้ว่าระยะทางจากหมู่บ้านหลินซานไปยังศาลาว่าการจังหวัดจะใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวัน แต่เส้นทางเดียวที่ใช้ได้มีเพียงถนนใหญ่เท่านั้น ถ้าหากว่าใช้เส้นทางนั้นในการเดินทาง ก็อาจจะต้องเจอกับพวกชาวหูเอาได้ และถ้าต้องเจอกับพวกนั้นเข้า มีหวังพวกนางได้เสียหัวให้กับชาวหูเป็นแน่

และตอนนี้ก็ไม่มีใครในหมู่บ้านที่ยอมให้ลูกชายของตัวเองไปทำเรื่องอันตรายเช่นนั้นด้วยสิ โดยที่ไม่ได้ถามความเห็นหลิวเหอเลยซักคำ “หมู่บ้านหลินซานของเราตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีความเฉพาะตัว ดังนั้นแค่เราปิดตายถนนเส้นเล็กนั่นได้ โอกาสที่พวกชาวหูจะพบเจอหมู่บ้านเราก็จะลดน้อยลงไปด้วย”

สีหน้าของมู่หยางหลิงเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น “มันมีโอกาสน้อยลงก็จริง แต่ถ้าพวกชาวหูใช้เส้นทางถนนสายหลักแล้วเลือกตรงมาที่หมู่บ้านเราล่ะ พวกเราก็ต้องรอความตายกันสถานเดียวงั้นรึ? อีกอย่าง ระหว่างที่พวกชาวหูผ่านถนนใหญ่มานั้น ก็จะเจอกับหมู่บ้านข้างเคียงอีกหลายหมู่บ้าน ถึงเราจะไปแจ้งข่าวสารกับทางการไม่ทัน แต่อย่างน้อยแค่ไปเตือนภัยชาวบ้านแถวนั้นหน่อยก็ยังดีนะจ้ะ ตอนนี้พวกเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าอันตรายกำลังจะมาถึง และเป็นไปได้ว่าตอนที่พวกชาวหูบุกเข้าหมู่บ้านของพวกเขาไปแล้วเนี่ย พวกเขาอาจจะยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าต้องหนี ถ้าหากว่าเราช่วยชีวิตได้แค่คนเดียวจริง ๆ เราก็ควรจะช่วยสิจ้ะ ถึงต้องเจอกับพวกชาวหูระหว่างทาง แต่เราก็มีมือมีตีนเหมือนกัน เราวิ่งหนีเข้าป่ากันไปก็ยังได้ เพราะป่าแถบนี้เราก็คุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว ท่านคิดว่าเราจะหลบหนีพวกนั้นไม่พ้นหรือ? 4

มู่หยางหลิงจ้องมองพวกชาวบ้านที่กำลังก้มหน้าก้มตาด้วยความขลาดเขลา เมื่อนางเห็นว่าพวกเขาไม่เต็มใจที่จะเสี่ยงชีวิตช่วยเหลือผู้อื่นเลย นางจึงตัดสินใจเดินจากพวกเขาไปด้วยความโมโหทันที

ช่วยเหลือผู้อื่นก็เท่ากับช่วยเหลือตัวเองนั่นแหละ เพราะพวกเราก็คนเหมือนกัน แล้วชาวบ้านในหมู่บ้านหลินซานก็มีกันอยู่แค่ไม่กี่ร้อยคน ส่วนส่วนมากก็เป็นคนแก่และเด็กอีกต่างหาก คนหนุ่มสาวที่แข็งแรง ๆ ก็มีแค่ร้อยกว่าคน ถ้าหากว่าต้องเผชิญหน้ากับพวกใจโหดใจเหี้ยม และมากประสบการณ์อย่างพวกชาวหูละก็ ชาวบ้านหลินซานก็ไม่ต่างอะไรกับลูกแกะตัวนึงในวงล้อมหมาป่าหรอก

หมู่บ้านหลินซานอยู่ท่ามกลางหุบเขาสามลูกที่ขนาบด้านข้างและด้านหลังอีกหนึ่งลูก ส่วนอีกด้านก็จะเป็นทางเชื่อมถนนเส้นใหญ่ ถึงแม้ว่าจะมีความเป็นไปได้สูงที่พวกชาวหูจะมองข้ามหมู่บ้านหลินซานไปก็ตาม แต่ถ้าหากว่าหมู่บ้านหลินซานถูกพวกชาวหูเจอเข้า พวกเขามีแค่สามทางเลือกเท่านั้น คือ หนึ่ง ปะทะกับพวกชาวหู สอง คือหลบหนีผ่านถนนใหญ่ไปซะตอนนี้ กับทางสุดท้ายคือหลบหนีเข้าไปในหุบเขา

แต่ถ้าพูดถึงการปะทะกับพวกชาวหูเนี่ย เลิกคิดไปได้เลย เพราะต่อให้มู่หยางหลิงอยากใช้วิธีนี้มากแค่ไหน ชาวบ้านหลินซานก็ไม่มีความกล้าหาญพอที่จะปะทะกับพวกชาวหูแน่ ๆ แต่ถ้าหากว่าหลบหนีเข้าหุบเขาไป ด้วยสภาพอากาศตอนนี้แล้ว พวกวัยรุ่นหนุ่มสาวก็พอไหวอยู่หรอก แต่คนแก่กับเด็กนี่สิจะทนได้นานซักแค่ไหนกันเชียว?

ยิ่งมู่หยางหลิงหันมาเห็นซู่หว่านเหนียงที่เพิ่งคลอดลูก กับน้อง ๆ อีกหลายคนของมู่หยางหลิงที่ยังเด็กมากอยู่นั้น นางก็ตัดสินใจแน่วแน่เลยว่าจะไม่เลือกวิธีนี้เด็ดขาด

ในขณะที่มู่หยางหลิงยังไม่ทันได้เข้าไปปรึกษากับหลิวเหอ จู่ ๆ ก็มีคนชี้นิ้วไปที่ตีนเขา “ตรงนั้นมีคนถือคบไฟเดินมา มู่ฉือกับคนอื่น ๆ กำลังเดินกลับมาแล้ว”

เมื่อมู่หยางหลิงหันไปดู ก็เห็นคนหลายคนเข้าไปรับพ่อของนางกับคนอื่น ๆ ก่อนแล้ว

มู่ฉือกับคนอื่น ๆ มีเลือดสดเปื้อนไปทั่วทั้งตัว ส่วนหลิวถิงก็โดนมีดฟันมา 1 แผล หลิวเหอวิ่งตรงเข้าไปหาพวกเขาด้วยสีหน้าแตกตื่น “นี่พวกเจ้าปะทะกับพวกชาวหูมารึ?”

มู่ฉือตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง “พวกชาวหูมันเจอทางเชื่อมเส้นเล็กนั้นเข้า พวกที่เจอมันมีกันอยู่ 5 คน พวกข้าก็เลยกลัวว่ามันจะกลับไปบอกพวกที่เหลือว่ามีทางเชื่อมอยู่ตรงนั้น จึงชิงลงมือฆ่าพวกมันไปก่อน แต่ข้าคิดว่ามันยังมีกันอีกมากที่กำลังตามมา พวกเราอยู่ที่นี่กันต่อไปไม่ได้แล้วล่ะ รีบหนีไปจากที่นี่กันเถอะ”

“มันจะเป็นไปได้ยังไง? ในเมื่อทางเส้นเล็กนั่นก็มีแค่คนในหมู่บ้านหลินซานกับซีซานเท่านั้นที่รู้หนิ พวกชาวหูมันรู้ได้ยังไงน่ะ?”

“แต่มีการสร้างบ้านอยู่ตรงตีนเขาหน้าปากทางเข้าหมู่บ้านซีซานไง แล้วมันก็ไม่ไกลจากทางเชื่อมเส้นเล็กนั่นด้วย”

สิ้นสุดคำพูดของมู่ฉือ ชาวบ้านทุกคนก็หันมามองที่หม่าหลิวซื่อด้วยความสงสาร จริงสิ การที่พวกชาวหูเผาบ้านหลังนั้น ก็อาจจะทำให้เห็นทางเชื่อมเส้นเล็กได้ และนั่นก็แปลว่าคนในหมู่บ้านซีซานไม่มีใครคิดทรยศคนในหมู่บ้านกันเองอย่างแน่นอน

แล้วชาวบ้านในหมู่บ้านหลินซานก็ไม่ค่อยมีใครข้ามเขาไปหมู่บ้านซีซานด้วย ดังนั้นจึงเดาไม่ออกเลยว่าเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ เพราะแม้แต่หลิวถิงที่เดินทางไปธุระที่หมู่บ้านซีซานอยู่บ้างเป็นบางครั้ง ก็แทบจะไม่มีใครสังเกตเห็นเลยด้วยซ้ำ

แต่หม่าหลิวซื่อและหลานสาวทั้งสอง กับหญิงสาวจากหมู่บ้านซีซานที่แต่งงานเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านหลินซานแห่งนี้ ต่างรู้กันดีว่าไม่มีบ้านหลังไหนในหมู่บ้านซีซานที่มาก่อสร้างอยู่ตรงตีนเขา

แล้วคนที่มีครอบครัวอยู่ในหมู่บ้านซีซานรวมไปถึงครอบครัวที่มีลูกสาวแต่งงานเข้าไปอยู่ในซีซานก็ร้องห่มร้องไห้กันยกใหญ่ “ในหมู่บ้านไม่มีใครเหลือรอดเลยหรือ?”

มู่ฉือกับคนอื่น ๆ ไม่ได้ตอบคำถามอะไรทั้งนั้น เพราะทุกคนต่างก็รู้ดีว่า พวกชาวหูออกปล้นแต่ละครั้ง จะไม่มีการละเว้นแม้กระทั่งคนแก่และเด็ก น้อยมากที่จะมีหญิงสาวเหลือรอดกันไปบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครเหลือรอดกันหรอก

“เอาล่ะ ไม่ต้องร้องไห้แล้ว รีบเก็บข้าวของที่จำเป็นติดตัวมา อีกเดี๋ยวพวกเราจะต้องไปกันแล้ว” หลิวเหอกล่าว แถมยังกำชับอีกด้วยว่า “อย่าเอาของไปเยอะเกินล่ะ เอาชีวิตของเราให้รอดกันก่อนวันนี้”

แม้ว่าหลิวเหอจะพูดออกมาแบบนี้แล้ว แต่ก็ไม่มีใครอยากสูญเสียบ้านช่องห้องหับกับที่ดินทำกินของครอบครัวตัวเองไป คนแก่บางคนก็นั่งร้องไห้เสียใจไม่หยุด เป็นตายยังไงก็ไม่อยากจะทิ้งบ้านเกิดไป บางคนก็เก็บข้าวของในบ้านออกมาจนเกลี้ยงด้วยความโลภ

มู่หยางหลิงที่ยืนมองความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านหลินซานอยู่พักใหญ่ จนความโมโหในทีแรกกลับกลายเป็นความสิ้นหวังแทน นางเล็งเห็นแล้วว่าสภาพของผู้คนในหมู่บ้านตอนนี้ มีโอกาสวุ่นวายตายก่อนที่พวกชาวหูจะบุกเข้ามาเสียอีก

“ท่านพ่อ พวกเรายังเหลือเวลาอีกแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นนะ หลังจากครึ่งชั่วโมงสุดท้ายนี้พวกเราจะต้องไปกันแล้ว”

สีหน้าของมู่ฉือตอนนี้ดูไม่ได้เอามาก ๆ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะหันมาพยักหน้ากับลูกสาว “เจ้าไปคอยดูแลแม่เอาไว้ เดี๋ยวพ่อไปบอกผู้ใหญ่บ้านก่อน”

มู่หยางหลิงหันหลังเดินไปหาเชือกมาเส้นนึง แล้วนางก็เอาผ้านวมปูบนแท่นไม้บนรถลาก นางพาแม่กับน้องแฝดที่พันผ้าไว้ตั้งแต่แรกขึ้นไปนั่งบนแท่นไม้ก่อน แล้วจากนั้นจึงอุ้มปั๋วเหวินกับซิ่วหลานขึ้นไปนั่งบนรถลากด้วย ขั้นตอนสุดท้าย มู่หยางหลิงเดินไปเข็นรถลากอีกคันที่เต็มไปด้วยสัมภาระทั้งหมดออกมาผูกเข้ากับรถลากที่แม่กับน้อง ๆ ของนางนั่งอยู่ ทั้งที่ในขณะเดียวกันนั้น ชาวบ้านบางกลุ่มก็กำลังชุลมุนวุ่นวายกัน เนื่องจากพวกเขาไม่ยอมไปจากที่นี่

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+