อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 23 สืบสวน

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 23 สืบสวน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฉีซิวหย่วนผลักประตูห้องของเด็กหนุ่มเข้ามา ก็เห็นว่าทั้งสองคนกำลังนั่งกินของว่างกันคนละจานใหญ่ ฉีซิวหย่วนยิ้มกริ่มแล้วทักขึ้น “อย่ากินเข้าไปเยอะล่ะ ข้าให้คนทำกับข้าวตั้งไว้รอพวกเจ้าสองคนแล้ว ระวังจะกินข้าวไม่ลงกันนะ”

ฉีเฮ่าหรานยัดขนมคำสุดท้ายใส่ปาก ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอู้อี้ว่า “ตอนนี้ข้ากินวัวได้ทั้งตัวเลยล่ะพี่ใหญ่”

ส่วนฟ่านจื่อจินนั้นรีบวางจานขนมอย่างว่าง่าย

จากนั้น ฉีซิวหย่วนก็พาเด็กชายทั้งสองไปกินข้าวเย็นที่สวนหลังบ้าน เมื่อทั้งสามกินดื่มกันจนเสร็จเรียบร้อย ฉีซิวหย่วนก็สั่งให้คนรับใช้ทั้งหมดออกไปจากที่ตรงนั้นก่อนทันที เมื่อพวกเขาอยู่กันแค่สามคนตามลำพัง ฉีซิวหย่วนจึงถามขึ้นว่า “เอาล่ะ เมื่อวานที่ข้าเจอพวกเจ้า ข้าก็เห็นว่าพวกเจ้าต่างก็เหนื่อยหอบกันแล้ว เลยไม่อยากเซ้าซี้อะไรพวกเจ้าก่อน วันนี้ทั้งวันก็ไม่ค่อยมีเวลาว่างนั่งคุยกันเลย ถ้าตอนนี้ข้าจะถามพวกเจ้าถึงเหตุผล ว่าทำไมพวกเจ้าทั้งสองถึงพากันหนีออกจากบ้าน พวกเจ้าคงจะตอบข้าได้แล้วใช่หรือไม่?” ฉีซิวหย่วนหันไปมองหน้าน้องชายแท้ ๆ “เจ้าพูดก่อนเลย”

แล้วความโกรธก็พุ่งขึ้นหน้าฉีเฮ่าหรานทันที “พี่ใหญ่ ท่านป้า(เมียน้อยพ่อ)จะให้พี่ไปแต่งงานกับหลานสาวของนางเอง หนำซ้ำนางผู้นั้นยังเป็นนางโลมมาก่อนด้วย ท่านป้าอยากให้หลานสาวของตัวเองมาเป็นเมียพี่ แล้วถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป พี่ใหญ่จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? อีกอย่าง นางผู้นั้นก็ขี้เกียจสันหลังยาว แถมยังมีเรื่องไม่ดีติดตัวมาอีก ข้าไม่อยากให้นางมาเป็นพี่สะใภ้ของข้าเลย”

ฟ่านจื่อจินฟังจนจบ ก็พูดขึ้นต่อ “แต่ตระกูลอู๋ได้รับการแต่งตั้งแล้วนะ”

ทำให้ฉีเฮ่าหรานโมโหกว่าเดิม แล้วตะคอกเสียงดังขึ้นต่อว่า “แต่ข้ารับไม่ได้”

“แสดงว่าที่เจ้าก่อเรื่องวุ่นวายให้พวกเขา ก็เป็นเพราะเรื่องการแต่งงานของข้างั้นรึ?” ฉีซิวหย่วนถาม

ตอนนี้ฉีเฮ่าหรานโมโหจนคุมตัวเองไม่อยู่ ฟ่านจื่อจินจึงตอบแทนไปว่า “พี่ใหญ่ พวกเขาฉวยโอกาสตอนที่พี่ไม่อยู่ เพื่อจะทำพิธีแต่งเจ้าสาวเข้าบ้านตระกูลฉี และเพื่อให้พิธีสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น พวกเขาจึงคิดจะจับเฮ่าหรานมาแต่งแทนพี่ใหญ่ขอรับ คนตระกูลอู๋จับตัวเฮ่าหรานขังไว้ในสวนหลังบ้าน ข้าจำต้องใช้เงินล่อพวกคนใช้ ถึงช่วยเฮ่าหรานหนีออกมาได้ในคืนนั้น”

แล้วใบหน้าของฉีซิวหย่วนก็เปลี่ยนไปด้วยความตกใจ “ที่แท้นางก็ขังเฮ่าหรานไว้นี่เอง แล้วท่านพ่อไม่สนใจเรื่องนี้เลยหรือยังไง?”

ฟ่านจื่อจินก้มหน้าลงทันทีในขณะที่ฉีเฮ่าหรานตาแดงก่ำ “ในสายตาของท่านพ่อ มีแค่พี่รองกับพี่สามเท่านั้นแหละ เคยมีข้าอยู่ในนั้นด้วยรึ?”

ฉีซิวหย่วนจับแขนน้องชาย แล้วจ้องมองน้องชายด้วยสีหน้าเศร้าหมอง เขารู้อยู่เต็มอกว่าเขาเองก็ทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้

เพราะนั่นคือท่านพ่อของพวกเขา หากท่านอยากจะดุด่าตบตี ก็ย่อมทำได้ตามอำเภอใจ

แล้วฉีเฮ่าหรานก็พูดขึ้นด้วยความภาคภูมิ “แต่ตอนนี้ข้าหนีออกมาจากที่นั่นได้แล้ว พวกเขาก็มิอาจบังคับใครมาแต่งงานแทนพี่ใหญ่ได้อีก พี่ใหญ่ วันหน้าพี่จะต้องหาพี่สะใภ้ที่จิตใจดีให้ข้านะ”

ฉีซิวหย่วนได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มมุมปากก่อนจะพูดขึ้นต่อว่า “เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะหาสตรีที่จิตใจงามมาเป็นพี่สะใภ้ให้เจ้าแน่นอน”

“แต่ข้าก็ยังกลัวว่าพวกนางจะไม่ยอมปล่อยพี่ใหญ่ไปง่าย ๆ นะขอรับ” ฟ่านจื่อจินขมวดคิ้วแน่น “ข้าแปลกใจมาตลอด ว่าทำไมพวกนางถึงต้องเร่งให้แม่นางอู๋เข้าพิธีแต่งงานกับพี่ใหญ่?”

ฉีเฮ่าหรานทำสีหน้าดูถูกก่อนจะพูดขึ้นต่อว่า “ข้าก็ไม่รู้หรอกนะ แต่พี่ใหญ่ไม่ยอมแต่งงานกับหญิงตระกูลอู๋แน่ เพราะไม่อย่างนั้นพวกนางจะฉวยโอกาสจัดพิธีแต่งงานตอนพี่ใหญ่ไม่อยู่ไปทำไมล่ะ”

กำหนดการแต่งงานก็ใช่ว่าจะเลื่อนออกไปไม่ได้ แต่ถ้าหากว่าขึ้นทะเบียนกับทางการไปแล้วนี่สิ ไม่มีทางยกเลิกได้แน่ ถึงจะหาเรื่องฉีกทะเบียนเนื่องจากภรรยาประพฤติตนไม่ดี หรือว่ายอมแยกทางกันด้วยความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลร้อยแปดพันอย่าง ย่อมกระทบต่อหน้าตาและศักดิ์ศรีของฉีซิวหย่วนทั้งนั้น

“ข้าคิดว่าแม่นางอู๋ผู้นั้นต้องมีปัญหาอะไรแน่ ๆ ถึงต้องเร่งจัดพิธีแต่งงานขนาดนั้น” ฟ่านจื่อจินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

ฉีซิวหย่วนโบกมือเหมือนปฏิเสธที่ฟังต่อ “ตอนนี้เรื่องนั้นไม่สำคัญแล้วล่ะ แล้วเฮ่าหรานก็ไม่ได้อยู่ที่หลินอันอีกต่อไปแล้ว นางคงไม่ได้คิดจะเอาลูกชายของตัวเองขึ้นไปแต่งงานแทนข้าหรอก จริงไหม?” เพราะถ้าหากว่านางกล้าทำอย่างนั้นจริง ๆ ฉีซิวหย่วนยอมให้น้องชายทั้งสองคนที่เหลือของเขานั้นรับเคราะห์แทนไปอย่างแน่นอน เนื่องจากฉีซิวหย่วนเองก็ไม่กล้าที่จะรับหญิงผู้นั้นมาเป็นเมียจริง ๆ แต่ใครจะบอกได้ล่ะว่าหลังจากนั้นเรื่องมันจะเป็นอย่างไรต่อ?

ฉีซิวหย่วนเป็นชายร่างใหญ่ที่มีจิตใจกล้าหาญ เพียงแต่เขายังไม่รู้ว่า ตระกูลอู๋จะมีคนกล้าหาญอย่างเขาอยู่อีกหรือไม่เท่านั้นเอง

พิธีแต่งงานเป็นความประสงค์ของพ่อและแม่ที่ยังต้องอยู่ภายใต้คำชี้แนะของแม่สื่อ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำอะไรกับเรื่องนี้ไม่ได้

ฉีซิวหย่วนหันไปหาฟ่านจื่อจิน “แล้วใยเจ้าถึงได้หนีออกมาด้วยล่ะ?”

ฟ่านจื่อจินเริ่มนั่งไม่ติด “ข้าออกมาเป็นเพื่อนเฮ่าหรานขอรับ”

แล้วฉีเฮ่าหรานก็ตะโกนออกมาด้วยความไม่พอใจ “มิใช่อย่างนั้นเสียหน่อย ก็น้าเขยน่ะสิขอรับ เอาของสิ่งหนึ่งที่เป็นของฟ่านจื่อจินมอบให้ฟ่านจื่อเซียว ท่านน้าก็เลยโกรธมาก นางชักกระบี่ขึ้นมาจะฟันน้าเขย ทั้งสองคนทะเลาะกันหนักมาก จื่อจินเห็นแล้วก็รู้สึกว่าไร้สาระ จึงหนีออกมากับข้าน่ะขอรับ”

เซี่ยถง แม่ของฟ่านจื่อจิน นางเป็นลูกพี่ลูกน้องกับแม่ของฉีเฮ่าหรานที่มีนามว่าจู้หว่าน และนางทั้งสองยังเติบโตมาด้วยกันอีกด้วย ดังนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองครอบครัวจึงใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก หลังจากที่จู้หว่านจากโลกนี้ไป สะไภ้อีกสองคนของตระกูลจู้ก็ไม่อยู่ที่หลินอันอีก ส่วนฉีเฟิงผู้เป็นพ่อก็ไม่ค่อยได้อยู่ดูแลเอาใจใส่ลูกชายทั้งสองคน ฉีเฮ่าหรานวัย 1 ขวบกับฉีซิวหย่วนวัย 7 ขวบจึงต้องอยู่ในความดูแลของเซี่ยถง เซี่ยถงจึงสนิทสนมกับเด็กสองคนนี้มากพอสมควร

และด้วยความที่ฟ่านจื่อจินแก่กว่าฉีเฮ่าหรานแค่ 2 เดือน เด็กน้อยทั้งสองคนจึงเริ่มคลานได้พร้อม ๆ กัน และเติบโตมาสนิทกันยิ่งกว่าพี่น้องท้องเดียวกันเสียอีก

ในใจของฉีเฮ่าหราน นอกจากจะมีแค่ฉีซิวหย่วนแล้วนั้น ก็ยังมีฟ่านจื่อจินด้วยอีกคน

ฉีซิวหย่วนมองหน้าฟ่านจื่อจิน แล้วพูดขึ้นว่า “ข้าจะเขียนจดหมายถึงท่านน้า เพราะข้าดูแล้วเจ้าคงเรียนที่หลินอันต่อไปไม่ได้แล้วล่ะ อยู่ที่นี่ด้วยกันไปเลยดีกว่า ข้าจะขอความเมตตาจากท่านอาจารย์ให้พวกเจ้าเอง”

ฟ่านจื่อจินได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกโล่งใจ เนื่องจากบรรยากาศในครอบครัวของเขานั้นกดดันจิตใจของเขามาโดยตลอด ทำให้ตอนที่ฉีเฮ่าหรานเสนอขึ้นมาว่า “หนีกันเถอะ” จื่อจินก็ตอบตกลงไปโดยไม่ต้องคิดเลย

“แม้แต่แผนที่ พวกเจ้ายังมีพร้อม คงจะไม่ได้ลืมพกเงินติดตัวมาด้วยใช่ไหม? แล้วใยพวกเจ้าถึงต้องทำตัวจนตรอกขนาดนั้นด้วย? อีกทั้งยังขอให้นายพรานหญิงคนนั้นมาช่วยชีวิตพวกเจ้าอีก?”

แล้วจู่ ๆ ฟ่านจื่อจินก็หน้าแดง และพูดออกมาด้วยความรู้สึกผิด “พวกเราเตรียมเงินติดตัวมาแล้วจริง ๆ ขอรับ เพียงแต่ว่าระหว่างทาง เกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย……”

ฟ่านจื่อจินอายุเพียงแค่ 12 ปี ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเด็กเฉลียวฉลาด แต่เขาก็ไม่เคยห่างไกลจากบ้านเกิดเลย ส่วนฉีซิวหย่วนกับฉีเฮ่าหรานนั้น จะมีคนรับใช้คอยติดตามไปทุกหนทุกแห่ง พอจะจับจ่ายของกินของใช้อันใด คนรับใช้ก็จะเป็นคนหยิบเงินออกมาจ่ายให้กับพ่อค้าแม่ค้าแทนพวกเขาอยู่เสมอ ทำให้พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าซาลาเปา 1 ลูกนั้นมีราคาเท่าใด

ฟ่านจื่อจินเป็นคนรอบคอบ รู้จักระมัดระวัง แต่ยังขาดประสบการณ์ในการป้องกันตัว หนำซ้ำเขายังหนีออกมาทั้งที่ยังใส่ชุดเต็มยศอีก ส่วนเงินติดตัวก็ถูกโกงไป เนื่องจากตอนนั้นทั้งสองคนต้องการจะหาม้าเพื่อใช้ในการเดินทาง แต่พวกเขาดันไปเจอพวกโจรต้มตุ๋นระหว่างทางเสียได้ ในระยะเวลาสองเดือนที่เด็กหนุ่มทั้งสองหนีออกมาจากหลินอันจนถึงหลินโจวนั้น ก็เกือบตายมาแล้วตั้งหลายหน เรียกได้ว่าทั้งสองคนนี้เหมือนแมว 9 ชีวิตยังไงอย่างงั้นเลย

แล้วในตอนที่เด็กหนุ่มทั้งสองได้มาเจอกับมู่หยางหลิงนั้น ทั้งคู่ก็อับจนหนทางแล้วจริง ๆ เนื่องจากก่อนหน้านั้น พวกเขาถูกทางการไล่ล่าจนต้องวิ่งหนีเข้าป่าไป หลังจากนั้นทั้งคู่ก็หลงทางไปทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นก็ยังไม่ได้กินอะไรมา 2 วันเต็ม ๆ เด็กชายทั้งสองหิวโซจนเกือบจะไม่มีแรงเดินต่อ

ความช่วยเหลือจากมู่หยางหลิงจึงมีค่าสำหรับพวกเขาสองคนเป็นอย่างมาก

นางไม่เพียงแต่ให้ข้าวให้น้ำ แต่ยังบอกทางแก่เด็กชายทั้งสองอีกด้วย มู่หยางหลิงถือเป็นผู้ที่มีจิตใจงดงามที่สุดที่พวกเขาเคยเจอตั้งแต่หนีออกจากบ้านมาเลย

และจากการที่ฟ่านจื่อจินต้องพบเจอกับการถูกหลอกมาตลอดทาง ก็ทำให้โรคขี้ระแวงของเขานั้นเป็นหนักขึ้นกว่าเดิมมาก แม้กระทั่งมู่หยางหลิงที่ช่วยชีวิตพวกเขาไว้แท้ ๆ ฟ่านจื่อจินยังสงสัยในความมีน้ำใจของนางได้ลง จึงเป็นเหตุให้ฉีเฮ่าหรานไม่สามารถเข้าใกล้นางได้มากกว่านี้นั่นเอง

ฉีซิวหย่วนเองก็รู้สึกว่าต้องระวังให้มากขึ้น เพราะถึงอย่างไรหน้าตาของมู่ฉือก็ดูไม่เหมือนชาวฮั่นทั่วไป ทั้งที่ในกองทหารก็มีคนเชื้อสายฮั่นกับเชื้อสายหูปะปนกันอยู่ไม่น้อย แต่เพื่อความรอบคอบ ฉีซิวหย่วนก็ได้ส่งคนไปคอยสืบประวัติสองพ่อลูกตระกูลมู่เรียบร้อยแล้ว

และในเวลานี้ สองพ่อลูกตระกูลมู่ที่กำลังกุลีกุจอกันกลับบ้านนั้น ก็ยังไม่รู้ว่าพวกตนกำลังจะถูกสอดแนมเข้าแล้ว

ในยามนี้ที่ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม มู่หยางหลิงก็เริ่มเห็นแสงไฟจากหมู่บ้านมาตั้งแต่ไกล ๆ นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดีใจว่า “ท่านพ่อ เราจวนจะถึงบ้านกันแล้วจ้ะ!”

มู่ฉือเองก็ยิ้มดีใจ “เจ้าทั้งขายาวทั้งเดินเร็ว เจ้ารีบวิ่งกลับบ้านไปดูทีสิ้ ว่าท่านแม่ของเจ้าอยู่บ้านหรือไม่”

มู่หยางหลิงพยักหน้าตอบรับก่อนจะวิ่งกลับบ้านไปอย่างเร็ว

พอถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน มู่หยางหลิงก็เห็นคบไฟ 2 อันพร้อมกับหน้าแม่และน้องชายของนางทันที นางจึงรีบวิ่งเข้าไปหา พอถึงที่หมายก็เอ่ยปากถามขึ้น “ท่านแม่ ท่านมาทำอะไรตรงนี้?”

“เห้อ แม่ก็เป็นห่วงเจ้ากับพ่อเจ้าน่ะสิ แม่พูดจนน้ำลายแห้งหมดแล้ว ว่าแม่จะรอเจ้าอยู่ตรงนี้จนกว่าเจ้ากับพ่อจะกลับมา”

แล้วมู่หยางหลิงก็เพิ่งเห็นว่าน้าสะใภ้ของนาง นามว่าหลิวจ้าวซื่อ มายืนรออยู่ด้วย นางจึงหันไปยิ้มแล้วโค้งคำนับขอบคุณ “ขอบคุณน้าสะใภ้มาก ที่มาอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด