อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 77 การปะทะกันระหว่างชาวบ้านกับชาวหู

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 77 การปะทะกันระหว่างชาวบ้านกับชาวหู at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ เมื่อมองไปที่ลูกสาวลูกชายที่เลี้ยงมาจนเติบใหญ่ ก็ต้องเจ็บปวดใจเป็นธรรมดา ลุงหลิวสามมองหน้าหลิวหย่งกับหลิวสิงอยู่ครู่นึง จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน แล้วพูดว่า “ข้าจะเป็นตัวแทนของครอบครัวข้าเอง”

หลิวหย่งรีบดึงแขนพ่อให้นั่งลงแล้วยืนขึ้น “ข้าไปเองขอรับ”

“อาหย่ง!” ลุงหลิวสามตะคอกลูกชาย

หลิวหย่งมองตาพ่อของเขาแล้วพูดขึ้นว่า “ท่านพ่อ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 9 ปีก่อนข้าได้ทำผิดไปอย่างมหันต์ ครั้งนี้ข้าขอเถอะนะ อีกอย่างข้าก็มีกำลังมากกว่าท่าน และข้าก็เพิ่งจะฆ่าพวกมันไปได้เมื่อซักครู่นี้เอง”

ลุงหลิวสามอ้าปากค้างด้วยความตกใจ “พี่ใหญ่ ให้ข้าไปเถอะ” หลิวสิงเอ่ยทั้งน้ำตา

หลิวหย่งมองหน้าน้องชายสุดที่รักแค่แวบเดียวก่อนจะหันหลังเดินไปยืนอยู่ด้านหลังหลิวเหอ

หลิวต้าเฉียนนั่งมองหน้าลูกชายทั้งสองคนของเขา จนในที่สุดหลิวจวงก็ลุกขึ้นยืนแล้วก้าวออกไปข้างหน้า “ส่วนบ้านข้า ข้าอาสาเอง เพราะพี่ใหญ่เป็นพี่คนโต เขาจะต้องอยู่ดูแลพ่อกับแม่ต่อไป”

หลิวถิงรีบลุกขึ้นจะไปรั้งน้องชายของเขา แต่หลิวต้าเฉียนก็ดึงแขนหลิวถิงไว้เสียก่อน “น้องชายเจ้าพูดถูก ให้เขาไปเถอะ”

หลิวจางซื่อกอดลูกชายลูกสาวไว้แน่น ร้องไห้โฮด้วยความปวดใจที่ไม่อาจจะขัดขวางหลิวจวงผู้เป็นสามีได้

และมันก็เป็นปกติของครอบครัวในสมัยนั้น ที่ต้องเลือกลูกคนโตมากกว่าลูกคนรอง

ส่วนครอบครัวหลิวสองก็มีหลิวเซวียนที่ออกโรงยืนเคียงข้างมู่หยางหลิงไปก่อนแล้ว ย่าหลิวคนรองจึงลุกขึ้นยืน แล้วบีบบังคับลูกสะไภ้ของหลิวหยวนว่า “ถ้าลูกเซวียนเป็นอะไรไป พวกเจ้าจะต้องเลี้ยงดูลูกชายของเขาให้ดีนะ”

หลิวหยวนกับลูกสะไภ้ของเขาก็รับปากและไม่มีใครคัดค้านเลยแม้แต่น้อย

มาถึงหลิวเหอผู้นำหมู่บ้าน เขาเงียบไปครู่นึง จนสุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ต้าจ้วงเองก็ไปกับอาหลิงแล้วล่ะ”

สิ้นสุดคำพูดของหลิวเหอ แม่ยายของเขาก็ปล่อยโฮแล้วเข้ามาทุบตีเขาไม่ยั้ง “ใยเจ้าถึงต้องให้เขาไปด้วย ทำไม ต้าจ้วงอายุแค่ 18 ปี เมียก็ยังไม่มีเลย ฮือ ~”

หลิวเหอมีลูกชายทั้งหมด 5 คน โดยลูกชาย 4 คนแรกของเขาก็แต่งงานมีครอบครัวไปหมดแล้ว หลิวต้าจ้วงเป็นลูกชายคนสุดท้อง ซึ่งก็แปลว่าเขาเป็นลูกคนสุดท้ายที่จะได้มีหลานให้กับตระกูล แต่ถ้าพูดตามความจริง หลิวเหอกับภรรยารักลูกคนนี้มากที่สุดในบรรดาลูกทั้ง 5 คน แต่ก็จำเป็นที่จะต้องให้ต้าจ้วงเสียสละแทนพี่ ๆ ที่มีครอบครัวแล้ว ดังนั้นทั้งภรรยาและแม่ยายของหลิวเหอจึงรับไม่ได้กับการที่ต้าจ้วงต้องออกไปเสี่ยงอันตราย

หลิวเหอเองก็เสียใจไม่แพ้กัน แต่นี่เป็นทางที่ดีที่สุดและเพื่อความยุติธรรมกับหลานตัวน้อยของเขาด้วย

ในขณะเดียวกันหลิวเหอก็ยังรู้สึกลังเลใจ เพราะถ้าหากว่าพวกชาวบ้านยังไม่ยอมตัดสินใจเสียตอนนี้ เกรงว่าเขาจะรับมือไม่ได้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อหลังจากที่มู่หยางหลิงกลับมา

และเขาก็รู้ว่าลูกชายอีก 4 คนของเขาไม่เห็นด้วยแน่ ๆ กับเรื่องที่เขาปล่อยให้ต้าจ้วงไปกับมู่หยางหลิง เขารู้ว่าถ้าหากเขาต้องเลือก 1 ใน 4 คนนี้ไปแทน พวกเขาจะต้องเกี่ยงกันวุ่นวายแน่

และแน่นอนว่าเมื่อหลิวเหอตัดสินใจแบบนี้ไปแล้ว ทุกอย่างก็ราบรื่นกว่าหนทางแบบอื่น ในขณะที่ชาวบ้านบางครอบครัวก็ยังไม่เต็มใจที่จะให้ลูกชายหรือลูกสาวของพวกเขาต้องออกไปร่วมรบอยู่แนวหน้า จึงอาสาตัวเองออกมาแทน ทั้ง ๆ ที่อายุอานามก็ไม่ใช่หนุ่ม ๆ แล้ว ชายหนุ่มบางคนก็ไม่ยอมให้พ่อของตัวเองออกไปเสี่ยงตาย จึงอาสาตัวเองขึ้นมาแทนกันจนได้

บางคนยอมผลักภาระให้กับคนอื่น หรือไม่ก็ลำเอียงกับคนในครอบครัวไปบ้าง เพื่อที่จะรักษาผลประโยชน์ของคนในครอบครัวไว้ให้ได้มากที่สุด แล้วมันก็ลวงเลยมากว่า15 นาทีแล้ว ที่มู่ฉือต้องยืนดูฉากพ่อแม่ลูกแต่ละครอบครัวคร่ำครวญกันไม่หยุดหย่อนอย่างนี้ ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะย้อนกลับมาดูตัวเอง แล้วครอบครัวของเขาล่ะ มีสิทธิจะเสียใจอย่างนี้ไหม?

ความรู้สึกในใจของมู่ฉือตอนนี้มันเหมือนถูกแช่แข็งไปแล้ว  ที่ลูกเต้าของพวกเขาก็เป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว มีก็แต่มู่หยางหลิงลูกสาวคนโตของเขาเท่านั้น ที่เป็นแค่เด็กหญิงวัย 9 ขวบ หนำซ้ำยังไม่ได้บรรลุนิติภาวะเหมือนคนอื่นเลยด้วย!

มู่ฉือได้แต่คิดว่า เขาจะยอมให้ลูกไปเสี่ยงอันตรายขนาดนั้นอีกได้ยังไง?

เขาก้าวไปข้างหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ครอบครัวของข้า ข้าอาสาเอง พออาหลิงกลับมา ให้นางพาแม่กับน้อง ๆ หนีไปซะ”

สิ้นสุดคำพูดของมู่ฉือ ชาวบ้านที่ยืนอยู่ระแวกนั้นก็พากันโล่งใจ เพราะพวกเขารู้สึกสบายใจกว่ามาก ถ้าจะต้องฝากชีวิตไว้กับมู่ฉือ

หลิวเหอไม่ได้ขัดอะไรมู่ฉือ เขาเพียงแต่ตอบกลับมาว่า “อีกเดี๋ยวอาหลิงก็คงจะกลับมาแล้ว ตอนนี้ขอให้ทุกท่านรีบไปเก็บข้าวของให้เรียบร้อยกันก่อน มีอะไรอยากจะสั่งเสียกับครอบครัว ก็ให้รีบ ๆ จัดการซะ แต่อย่าส่งเสียงดังเด็ดขาด เพราะพวกชาวหูมันยังอยู่ใกล้ ๆ แถวนี้”

จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันไป

ไม่นาน มู่หยางหลิงก็นำพักพวกกลับมาพร้อมกับร่างกายที่เปื้อนเลือดไปหมดทั้งตัว ทุกคนที่ร่วมทางไปกับมู่หยางหลิงล้วนแล้วแต่ได้รับบาดเจ็บ แต่ข่าวดีก็คือ ทุกคนสามารถรอดกลับมากันได้ครบทุกคน

อีกทั้งพวกเขายังกลับมาในคาบของชุดทหารชาวหูด้วย ซึ่งแผนตบตานี้มู่หยางหลิงก็เป็นคนคิดขึ้นมาเอง จนทำให้นางและคนอื่น ๆ สามารถจัดการกับพวกชาวหูได้รวดเร็วกว่าที่คาดไว้

ทันทีที่มู่ฉือเห็นลูกสาวคนโตเดินกลับมาในสภาพเปื้อนเลือดไปหมดทั้งตัว เขาก็รีบดึงตัวมู่หยางหลิงมาสำรวจหาบาดแผลตามร่างกายโดยไม่ถงไม่ถามอะไรนางซักคำ “ท่านพ่อ นี่ไม่ใช่เลือดของข้าหรอก เป็นของพวกชาวหูมันน่ะ ส่วนข้าเนี่ย แม้แต่ผมซักเส้นก็ไม่มีหลุดร่วงเลยนะ” มู่หยางหลิงกล่าว

มู่ฉือหน้าชา “ใครใช้ให้เจ้าไปทำเรื่องอันตรายแบบนี้? พ่อให้เจ้าสำรวจทางอย่างเดียวไม่ใช่รึ?”

“ข้าจำเป็นต้องทำจริง ๆ จ่ะท่านพ่อ ท่านรู้หรือไม่ พวกชาวหูมันฆ่าฟันชาวบ้านเหมือนหั่นแตงทำกับข้าวเลยนะ ถึงแม้ว่าเราจะหนีรอดกันไปได้ แต่ชาวบ้านที่อยู่ปลายแถวก็ต้องถูกพวกมันตามฆ่าอยู่ดี แล้วอย่างนี้ครอบครัวเราไม่ต้องเสี่ยงไปกับพวกเขาด้วยหรือ?” แล้วนางก็พยายามเกลี้ยกล่อมพ่อด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “และที่ข้าทำแบบนี้ก็เพื่อประโยชน์ส่วนรวมนะจ้ะท่านพ่อ มิใช้ประโยชน์ส่วนตนเสียหน่อย”

มู่ฉือตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าก็ตัดขาดจากพวกเขาซักทีสิ ยังจะพูดคำว่าทางใครทางมันออกมาอีก ทั้งที่พ่อรู้อยู่แต่แรกแล้วว่าเจ้าจะต้องเข้ามาแทรกแซงเรื่องพวกนี้จนได้”

มู่หยางหลิงยืนลูบจมูกตัวเองเบา ๆ ด้วยความเขินอายที่พ่อรู้ทัน

แต่มู่ฉือโมโหจนเลือดขึ้นหน้า พลางจ้องไปที่ลูกสาวที่นับวันยิ่งเหมือนพ่อของเขาเข้าทุกที ตอนนี้เขารู้สึกแค่ว่าหัวใจของเขาเหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ “ทำไมเจ้าถึงได้เหมือนปู่ของเจ้าอย่างนี้? ทำไมเจ้าไม่นึกถึงพ่อ นึกถึงแม่ นึกถึงน้องชายน้องสาวของเจ้าบ้าง? เจ้าก็เหมือนปู่ของเจ้านั่นหละ ตัวเขาเป็นชาวหูแท้ ๆ แล้วเจ้าก็มีสายเลือดชาวหูอยู่ในตัว ใยเจ้าถึงต้องช่วยเหลือชาวฮั่น แล้วยังทำตัวเหมือนชาวฮั่นขนาดนี้?”

มู่ฉือฝังใจมาตลอดกับเรื่องที่พ่อของเขาเลือกปกป้องชาวบ้านแล้วทอดทิ้งเขาไป หากแม่ของเขาเลือกจะช่วยชาวบ้านก็ไม่แปลก เพราะหมู่บ้านหลินซานก็เป็นบ้านเกิดของท่านแม่ เป็นที่ที่ท่านแม่ของเขาเติบโตมา แต่พ่อของเขานี่สิ มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนพวกนี้ตรงไหน?

พวกชาวบ้านทั้งบีบให้เขาต้องออกจากหมู่บ้าน ซ้ำยังทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพ่อตาแม่ยายต้องอ่อนแอลง แต่ทำไมเขาต้องเสี่ยงชีวิตช่วยเหลือคนพวกนี้เหมือนอย่างพ่อด้วย?

เมื่อก่อนมู่หยางหลิงเองก็มีแต่ความคิดที่จะดูแลครอบครัวของนางให้อยู่รอดปลอดภัย เขาเองก็ยังภูมิใจด้วยซ้ำที่ลูกสาวคนโตมีความคิดที่เหมือนกันกับเขาได้ และคิดแค่เพียงว่าเด็กคนนี้มีแค่หน้าตาเท่านั้นที่เหมือนกับพ่อของเขา แต่นิสัยและจิตใจนั้นต่างกันแน่นอน แต่บัดนี้ก็ได้เห็นชัดเจนแล้วว่า นิสัย จิตใจและความคิดก็ถอดแบบพ่อของเขาหมดทุกอย่างนั่นแหละ เห็นแก่ประโยชนส่วนรวมเหมือนกันทั้งปู่ทั้งหลาน ปากอย่างใจอย่าง พูดไว้ดิบดีว่าจะตัดขาด แต่ก็ยังเสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยเหลืออยู่ตลอด

หรือจริง ๆ แล้ว เป็นเขาเองที่แปลกแยกไปจากตระกูลมู่?

เมื่อมู่หยางหลิงเห็นว่าพ่อของนางยังดื้อดึงไม่ฟังเหตุผล นางจึงจูงมือมู่ฉือไปพูดคุยกันตามลำพัง “ท่านพ่อ ท่านคิดว่าเราจะพาท่านแม่กับน้อง ๆ หนีไปได้เร็วแค่ไหน? ช่วยพวกเขาก็เท่ากับช่วยพวกเราเองด้วยนะท่านพ่อ ไม่อย่างนั้น ท่านแม่กับน้อง ๆ ก็จะมีแค่เราสองคนที่ต้องช่วยกันปกป้อง แล้วถ้าพวกชาวหูมันบุกเข้ามารุมเราเป็นฝูงล่ะ เราสองคนจะปกป้องพวกเขาได้หรือ?”

น้ำเสียงของมู่หยางหลิงเริ่มจริงจังขึ้น “ท่านพ่อ ข้าแยกออกน่า ระหว่างคนนอกกับคนในครอบครัวน่ะ” มู่หยางหลิงเป็นคนที่มีอุดมการณ์และเป้าหมายที่ชัดเจน แต่นางรู้ตัวดีว่าตอนนี้นางเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ทหารเหมือนในอดีตชาติ หนำซ้ำการปกครองของชาตินี้ยังต่างจากชาติที่แล้วโดยสิ้นเชิง และถึงแม้ว่านางจะเป็นคนที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ของตัวเองมากแค่ไหน แต่นางก็จะไม่เลือกเดินทางผิดเหมือนอย่างชาติที่แล้วเป็นแน่ ตอนนี้นางคิดแค่ว่า ถ้าหากนางต้องตาย การตายของนางจะต้องปกป้องคนดีให้อยู่รอดต่อไปให้ได้ด้วย

มู่ฉือมองหน้าลูกสาวคนโตด้วยสีหน้าประหลาดใจ “เจ้าพูดจริงรึ?” เพราะจริง ๆ แล้วนางก็ช่วยเหลือพวกชาวบ้านมาตลอดตั้งแต่พาเข้าป่าไปล่าสัตว์แล้ว

มู่หยางหลิงพยักหน้ารัว ๆ “ข้าไม่โกหกท่านหรอก แล้วข้าก็เอาตัวรอดเก่งมากด้วยนะท่านพ่อ เพราะถ้าหากว่าข้าสู้กับพวกชาวหูไม่ได้ ข้าก็จะหนีเข้าไปในหุบเขา เข้าไปหลบซัก 2-3 วัน พอสถานการณ์เริ่มดีขึ้นข้าก็จะกลับออกมาหาพวกท่านไงจ้ะ”

แม้ว่ามู่ฉือจะยังไม่วางใจ แต่เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะคัดค้านลูกเหมือนอย่างเช่นทุกทีแล้ว

มู่หยางหลิงจึงฉวยโอกาสนี้พูดกับพ่อต่อว่า “ท่านพ่อ ครอบครัวเราสูญเสียท่านไปไม่ได้จริง ๆ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ให้ข้าจัดการเถอะนะจ้ะ”

มู่ฉือตอบกลับด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ไม่ได้……”

“ท่านพ่อ” มู่หยางหลิงตวาดเสียงดัง “เด็ก 9 ขวบอย่างข้าจะไปทำอะไรได้? ข้าไม่มั่นใจในตัวเองด้วยซ้ำว่าดูแลท่านแม่ได้ดีพอหรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ เรื่องเอาตัวรอดกับเรื่องการต่อสู้ ข้าไม่เป็นรองท่านพ่อหรอกนะ”

“ต่อสู้?” มู่ฉือขมวดคิ้วแน่น “เจ้าต่อสู้เป็นด้วยรึ?” การที่ลูกสาวของเขามีทักษะในการเอาตัวรอดที่ยอดเยี่ยมนั้น เขารู้อยู่เต็มอก แต่ทว่าเรื่องของการต่อสู้เนี่ย มันเป็นไปได้อย่างไร?

“โถ่ท่านพ่อ นี่เป็นพรสวรรค์ที่ถูกส่งต่อมาจากบรรพบุรุษเชียวนะ ข้าเพิ่งค้นพบก็ตอนที่ข้าต้องปะทะกับพวกชาวหูนั่นแหละ ตอนนั้นจู่ ๆ ในหัวของข้าก็มีเสียงดังกังวาลเข้าแทรก แล้วมันก็สั่นสะท้านไปถึงเส้นประสาทในสมองของข้า แล้วกระบวนท่าการต่อสู้ต่าง ๆ ก็แวบเข้ามาให้หัวของข้าเลย จริง ๆ นะจ้ะ ข้าไม่ได้โกหกท่านเลยนะ ไม่อย่างนั้นท่านคิดว่าข้าจะกล้าพาคนแค่ 5-6 คนนี้ไปบุกตีพวกชาวหูตั้ง 20 กว่าคนนั้นได้ยังไงกันล่ะ?”

มู่ฉือฟังแล้วก็เชื่อทันที เพราะความแข็งแกร่งของพวกเขาทั้งสองคนนั้นถูกส่งต่อมาจากบรรพบุรุษของพวกเขาจริง ๆ อีกอย่าง พละกำลังของลูกสาวคนโตก็มากกว่าเขาหลายเท่า แล้วมันก็มีความเป็นไปได้สูงที่พรสวรรค์ของบรรพบุรุษในด้านการต่อสู้จะตกถึงมู่หยางหลิงอย่างเต็มรูปแบบ

มู่หยางหลิงโล่งอกที่เห็นพ่อของนางเชื่อแบบนั้นได้ แต่บรรพบุรุษตระกูลมู่ก็มีพรสวรรค์ในด้านนี้จริง ๆ เพราะไม่ว่าใครจะเดือดร้อนเรื่องอะไร เป็นต้องพากันมาขอความช่วยเหลือจากคนตระกูลมู่ตลอด ซึ่งพวกเขาก็ได้รับการช่วยเหลืออย่างรวดเร็วและดีประหนึ่งได้พระโพธิสัตว์มาโปรดเลยก็ว่าได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 77 การปะทะกันระหว่างชาวบ้านกับชาวหู

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 77 การปะทะกันระหว่างชาวบ้านกับชาวหู at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ เมื่อมองไปที่ลูกสาวลูกชายที่เลี้ยงมาจนเติบใหญ่ ก็ต้องเจ็บปวดใจเป็นธรรมดา ลุงหลิวสามมองหน้าหลิวหย่งกับหลิวสิงอยู่ครู่นึง จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน แล้วพูดว่า “ข้าจะเป็นตัวแทนของครอบครัวข้าเอง”

หลิวหย่งรีบดึงแขนพ่อให้นั่งลงแล้วยืนขึ้น “ข้าไปเองขอรับ”

“อาหย่ง!” ลุงหลิวสามตะคอกลูกชาย

หลิวหย่งมองตาพ่อของเขาแล้วพูดขึ้นว่า “ท่านพ่อ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 9 ปีก่อนข้าได้ทำผิดไปอย่างมหันต์ ครั้งนี้ข้าขอเถอะนะ อีกอย่างข้าก็มีกำลังมากกว่าท่าน และข้าก็เพิ่งจะฆ่าพวกมันไปได้เมื่อซักครู่นี้เอง”

ลุงหลิวสามอ้าปากค้างด้วยความตกใจ “พี่ใหญ่ ให้ข้าไปเถอะ” หลิวสิงเอ่ยทั้งน้ำตา

หลิวหย่งมองหน้าน้องชายสุดที่รักแค่แวบเดียวก่อนจะหันหลังเดินไปยืนอยู่ด้านหลังหลิวเหอ

หลิวต้าเฉียนนั่งมองหน้าลูกชายทั้งสองคนของเขา จนในที่สุดหลิวจวงก็ลุกขึ้นยืนแล้วก้าวออกไปข้างหน้า “ส่วนบ้านข้า ข้าอาสาเอง เพราะพี่ใหญ่เป็นพี่คนโต เขาจะต้องอยู่ดูแลพ่อกับแม่ต่อไป”

หลิวถิงรีบลุกขึ้นจะไปรั้งน้องชายของเขา แต่หลิวต้าเฉียนก็ดึงแขนหลิวถิงไว้เสียก่อน “น้องชายเจ้าพูดถูก ให้เขาไปเถอะ”

หลิวจางซื่อกอดลูกชายลูกสาวไว้แน่น ร้องไห้โฮด้วยความปวดใจที่ไม่อาจจะขัดขวางหลิวจวงผู้เป็นสามีได้

และมันก็เป็นปกติของครอบครัวในสมัยนั้น ที่ต้องเลือกลูกคนโตมากกว่าลูกคนรอง

ส่วนครอบครัวหลิวสองก็มีหลิวเซวียนที่ออกโรงยืนเคียงข้างมู่หยางหลิงไปก่อนแล้ว ย่าหลิวคนรองจึงลุกขึ้นยืน แล้วบีบบังคับลูกสะไภ้ของหลิวหยวนว่า “ถ้าลูกเซวียนเป็นอะไรไป พวกเจ้าจะต้องเลี้ยงดูลูกชายของเขาให้ดีนะ”

หลิวหยวนกับลูกสะไภ้ของเขาก็รับปากและไม่มีใครคัดค้านเลยแม้แต่น้อย

มาถึงหลิวเหอผู้นำหมู่บ้าน เขาเงียบไปครู่นึง จนสุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ต้าจ้วงเองก็ไปกับอาหลิงแล้วล่ะ”

สิ้นสุดคำพูดของหลิวเหอ แม่ยายของเขาก็ปล่อยโฮแล้วเข้ามาทุบตีเขาไม่ยั้ง “ใยเจ้าถึงต้องให้เขาไปด้วย ทำไม ต้าจ้วงอายุแค่ 18 ปี เมียก็ยังไม่มีเลย ฮือ ~”

หลิวเหอมีลูกชายทั้งหมด 5 คน โดยลูกชาย 4 คนแรกของเขาก็แต่งงานมีครอบครัวไปหมดแล้ว หลิวต้าจ้วงเป็นลูกชายคนสุดท้อง ซึ่งก็แปลว่าเขาเป็นลูกคนสุดท้ายที่จะได้มีหลานให้กับตระกูล แต่ถ้าพูดตามความจริง หลิวเหอกับภรรยารักลูกคนนี้มากที่สุดในบรรดาลูกทั้ง 5 คน แต่ก็จำเป็นที่จะต้องให้ต้าจ้วงเสียสละแทนพี่ ๆ ที่มีครอบครัวแล้ว ดังนั้นทั้งภรรยาและแม่ยายของหลิวเหอจึงรับไม่ได้กับการที่ต้าจ้วงต้องออกไปเสี่ยงอันตราย

หลิวเหอเองก็เสียใจไม่แพ้กัน แต่นี่เป็นทางที่ดีที่สุดและเพื่อความยุติธรรมกับหลานตัวน้อยของเขาด้วย

ในขณะเดียวกันหลิวเหอก็ยังรู้สึกลังเลใจ เพราะถ้าหากว่าพวกชาวบ้านยังไม่ยอมตัดสินใจเสียตอนนี้ เกรงว่าเขาจะรับมือไม่ได้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อหลังจากที่มู่หยางหลิงกลับมา

และเขาก็รู้ว่าลูกชายอีก 4 คนของเขาไม่เห็นด้วยแน่ ๆ กับเรื่องที่เขาปล่อยให้ต้าจ้วงไปกับมู่หยางหลิง เขารู้ว่าถ้าหากเขาต้องเลือก 1 ใน 4 คนนี้ไปแทน พวกเขาจะต้องเกี่ยงกันวุ่นวายแน่

และแน่นอนว่าเมื่อหลิวเหอตัดสินใจแบบนี้ไปแล้ว ทุกอย่างก็ราบรื่นกว่าหนทางแบบอื่น ในขณะที่ชาวบ้านบางครอบครัวก็ยังไม่เต็มใจที่จะให้ลูกชายหรือลูกสาวของพวกเขาต้องออกไปร่วมรบอยู่แนวหน้า จึงอาสาตัวเองออกมาแทน ทั้ง ๆ ที่อายุอานามก็ไม่ใช่หนุ่ม ๆ แล้ว ชายหนุ่มบางคนก็ไม่ยอมให้พ่อของตัวเองออกไปเสี่ยงตาย จึงอาสาตัวเองขึ้นมาแทนกันจนได้

บางคนยอมผลักภาระให้กับคนอื่น หรือไม่ก็ลำเอียงกับคนในครอบครัวไปบ้าง เพื่อที่จะรักษาผลประโยชน์ของคนในครอบครัวไว้ให้ได้มากที่สุด แล้วมันก็ลวงเลยมากว่า15 นาทีแล้ว ที่มู่ฉือต้องยืนดูฉากพ่อแม่ลูกแต่ละครอบครัวคร่ำครวญกันไม่หยุดหย่อนอย่างนี้ ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะย้อนกลับมาดูตัวเอง แล้วครอบครัวของเขาล่ะ มีสิทธิจะเสียใจอย่างนี้ไหม?

ความรู้สึกในใจของมู่ฉือตอนนี้มันเหมือนถูกแช่แข็งไปแล้ว  ที่ลูกเต้าของพวกเขาก็เป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว มีก็แต่มู่หยางหลิงลูกสาวคนโตของเขาเท่านั้น ที่เป็นแค่เด็กหญิงวัย 9 ขวบ หนำซ้ำยังไม่ได้บรรลุนิติภาวะเหมือนคนอื่นเลยด้วย!

มู่ฉือได้แต่คิดว่า เขาจะยอมให้ลูกไปเสี่ยงอันตรายขนาดนั้นอีกได้ยังไง?

เขาก้าวไปข้างหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ครอบครัวของข้า ข้าอาสาเอง พออาหลิงกลับมา ให้นางพาแม่กับน้อง ๆ หนีไปซะ”

สิ้นสุดคำพูดของมู่ฉือ ชาวบ้านที่ยืนอยู่ระแวกนั้นก็พากันโล่งใจ เพราะพวกเขารู้สึกสบายใจกว่ามาก ถ้าจะต้องฝากชีวิตไว้กับมู่ฉือ

หลิวเหอไม่ได้ขัดอะไรมู่ฉือ เขาเพียงแต่ตอบกลับมาว่า “อีกเดี๋ยวอาหลิงก็คงจะกลับมาแล้ว ตอนนี้ขอให้ทุกท่านรีบไปเก็บข้าวของให้เรียบร้อยกันก่อน มีอะไรอยากจะสั่งเสียกับครอบครัว ก็ให้รีบ ๆ จัดการซะ แต่อย่าส่งเสียงดังเด็ดขาด เพราะพวกชาวหูมันยังอยู่ใกล้ ๆ แถวนี้”

จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันไป

ไม่นาน มู่หยางหลิงก็นำพักพวกกลับมาพร้อมกับร่างกายที่เปื้อนเลือดไปหมดทั้งตัว ทุกคนที่ร่วมทางไปกับมู่หยางหลิงล้วนแล้วแต่ได้รับบาดเจ็บ แต่ข่าวดีก็คือ ทุกคนสามารถรอดกลับมากันได้ครบทุกคน

อีกทั้งพวกเขายังกลับมาในคาบของชุดทหารชาวหูด้วย ซึ่งแผนตบตานี้มู่หยางหลิงก็เป็นคนคิดขึ้นมาเอง จนทำให้นางและคนอื่น ๆ สามารถจัดการกับพวกชาวหูได้รวดเร็วกว่าที่คาดไว้

ทันทีที่มู่ฉือเห็นลูกสาวคนโตเดินกลับมาในสภาพเปื้อนเลือดไปหมดทั้งตัว เขาก็รีบดึงตัวมู่หยางหลิงมาสำรวจหาบาดแผลตามร่างกายโดยไม่ถงไม่ถามอะไรนางซักคำ “ท่านพ่อ นี่ไม่ใช่เลือดของข้าหรอก เป็นของพวกชาวหูมันน่ะ ส่วนข้าเนี่ย แม้แต่ผมซักเส้นก็ไม่มีหลุดร่วงเลยนะ” มู่หยางหลิงกล่าว

มู่ฉือหน้าชา “ใครใช้ให้เจ้าไปทำเรื่องอันตรายแบบนี้? พ่อให้เจ้าสำรวจทางอย่างเดียวไม่ใช่รึ?”

“ข้าจำเป็นต้องทำจริง ๆ จ่ะท่านพ่อ ท่านรู้หรือไม่ พวกชาวหูมันฆ่าฟันชาวบ้านเหมือนหั่นแตงทำกับข้าวเลยนะ ถึงแม้ว่าเราจะหนีรอดกันไปได้ แต่ชาวบ้านที่อยู่ปลายแถวก็ต้องถูกพวกมันตามฆ่าอยู่ดี แล้วอย่างนี้ครอบครัวเราไม่ต้องเสี่ยงไปกับพวกเขาด้วยหรือ?” แล้วนางก็พยายามเกลี้ยกล่อมพ่อด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “และที่ข้าทำแบบนี้ก็เพื่อประโยชน์ส่วนรวมนะจ้ะท่านพ่อ มิใช้ประโยชน์ส่วนตนเสียหน่อย”

มู่ฉือตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าก็ตัดขาดจากพวกเขาซักทีสิ ยังจะพูดคำว่าทางใครทางมันออกมาอีก ทั้งที่พ่อรู้อยู่แต่แรกแล้วว่าเจ้าจะต้องเข้ามาแทรกแซงเรื่องพวกนี้จนได้”

มู่หยางหลิงยืนลูบจมูกตัวเองเบา ๆ ด้วยความเขินอายที่พ่อรู้ทัน

แต่มู่ฉือโมโหจนเลือดขึ้นหน้า พลางจ้องไปที่ลูกสาวที่นับวันยิ่งเหมือนพ่อของเขาเข้าทุกที ตอนนี้เขารู้สึกแค่ว่าหัวใจของเขาเหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ “ทำไมเจ้าถึงได้เหมือนปู่ของเจ้าอย่างนี้? ทำไมเจ้าไม่นึกถึงพ่อ นึกถึงแม่ นึกถึงน้องชายน้องสาวของเจ้าบ้าง? เจ้าก็เหมือนปู่ของเจ้านั่นหละ ตัวเขาเป็นชาวหูแท้ ๆ แล้วเจ้าก็มีสายเลือดชาวหูอยู่ในตัว ใยเจ้าถึงต้องช่วยเหลือชาวฮั่น แล้วยังทำตัวเหมือนชาวฮั่นขนาดนี้?”

มู่ฉือฝังใจมาตลอดกับเรื่องที่พ่อของเขาเลือกปกป้องชาวบ้านแล้วทอดทิ้งเขาไป หากแม่ของเขาเลือกจะช่วยชาวบ้านก็ไม่แปลก เพราะหมู่บ้านหลินซานก็เป็นบ้านเกิดของท่านแม่ เป็นที่ที่ท่านแม่ของเขาเติบโตมา แต่พ่อของเขานี่สิ มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนพวกนี้ตรงไหน?

พวกชาวบ้านทั้งบีบให้เขาต้องออกจากหมู่บ้าน ซ้ำยังทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพ่อตาแม่ยายต้องอ่อนแอลง แต่ทำไมเขาต้องเสี่ยงชีวิตช่วยเหลือคนพวกนี้เหมือนอย่างพ่อด้วย?

เมื่อก่อนมู่หยางหลิงเองก็มีแต่ความคิดที่จะดูแลครอบครัวของนางให้อยู่รอดปลอดภัย เขาเองก็ยังภูมิใจด้วยซ้ำที่ลูกสาวคนโตมีความคิดที่เหมือนกันกับเขาได้ และคิดแค่เพียงว่าเด็กคนนี้มีแค่หน้าตาเท่านั้นที่เหมือนกับพ่อของเขา แต่นิสัยและจิตใจนั้นต่างกันแน่นอน แต่บัดนี้ก็ได้เห็นชัดเจนแล้วว่า นิสัย จิตใจและความคิดก็ถอดแบบพ่อของเขาหมดทุกอย่างนั่นแหละ เห็นแก่ประโยชนส่วนรวมเหมือนกันทั้งปู่ทั้งหลาน ปากอย่างใจอย่าง พูดไว้ดิบดีว่าจะตัดขาด แต่ก็ยังเสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยเหลืออยู่ตลอด

หรือจริง ๆ แล้ว เป็นเขาเองที่แปลกแยกไปจากตระกูลมู่?

เมื่อมู่หยางหลิงเห็นว่าพ่อของนางยังดื้อดึงไม่ฟังเหตุผล นางจึงจูงมือมู่ฉือไปพูดคุยกันตามลำพัง “ท่านพ่อ ท่านคิดว่าเราจะพาท่านแม่กับน้อง ๆ หนีไปได้เร็วแค่ไหน? ช่วยพวกเขาก็เท่ากับช่วยพวกเราเองด้วยนะท่านพ่อ ไม่อย่างนั้น ท่านแม่กับน้อง ๆ ก็จะมีแค่เราสองคนที่ต้องช่วยกันปกป้อง แล้วถ้าพวกชาวหูมันบุกเข้ามารุมเราเป็นฝูงล่ะ เราสองคนจะปกป้องพวกเขาได้หรือ?”

น้ำเสียงของมู่หยางหลิงเริ่มจริงจังขึ้น “ท่านพ่อ ข้าแยกออกน่า ระหว่างคนนอกกับคนในครอบครัวน่ะ” มู่หยางหลิงเป็นคนที่มีอุดมการณ์และเป้าหมายที่ชัดเจน แต่นางรู้ตัวดีว่าตอนนี้นางเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ทหารเหมือนในอดีตชาติ หนำซ้ำการปกครองของชาตินี้ยังต่างจากชาติที่แล้วโดยสิ้นเชิง และถึงแม้ว่านางจะเป็นคนที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ของตัวเองมากแค่ไหน แต่นางก็จะไม่เลือกเดินทางผิดเหมือนอย่างชาติที่แล้วเป็นแน่ ตอนนี้นางคิดแค่ว่า ถ้าหากนางต้องตาย การตายของนางจะต้องปกป้องคนดีให้อยู่รอดต่อไปให้ได้ด้วย

มู่ฉือมองหน้าลูกสาวคนโตด้วยสีหน้าประหลาดใจ “เจ้าพูดจริงรึ?” เพราะจริง ๆ แล้วนางก็ช่วยเหลือพวกชาวบ้านมาตลอดตั้งแต่พาเข้าป่าไปล่าสัตว์แล้ว

มู่หยางหลิงพยักหน้ารัว ๆ “ข้าไม่โกหกท่านหรอก แล้วข้าก็เอาตัวรอดเก่งมากด้วยนะท่านพ่อ เพราะถ้าหากว่าข้าสู้กับพวกชาวหูไม่ได้ ข้าก็จะหนีเข้าไปในหุบเขา เข้าไปหลบซัก 2-3 วัน พอสถานการณ์เริ่มดีขึ้นข้าก็จะกลับออกมาหาพวกท่านไงจ้ะ”

แม้ว่ามู่ฉือจะยังไม่วางใจ แต่เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะคัดค้านลูกเหมือนอย่างเช่นทุกทีแล้ว

มู่หยางหลิงจึงฉวยโอกาสนี้พูดกับพ่อต่อว่า “ท่านพ่อ ครอบครัวเราสูญเสียท่านไปไม่ได้จริง ๆ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ให้ข้าจัดการเถอะนะจ้ะ”

มู่ฉือตอบกลับด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ไม่ได้……”

“ท่านพ่อ” มู่หยางหลิงตวาดเสียงดัง “เด็ก 9 ขวบอย่างข้าจะไปทำอะไรได้? ข้าไม่มั่นใจในตัวเองด้วยซ้ำว่าดูแลท่านแม่ได้ดีพอหรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ เรื่องเอาตัวรอดกับเรื่องการต่อสู้ ข้าไม่เป็นรองท่านพ่อหรอกนะ”

“ต่อสู้?” มู่ฉือขมวดคิ้วแน่น “เจ้าต่อสู้เป็นด้วยรึ?” การที่ลูกสาวของเขามีทักษะในการเอาตัวรอดที่ยอดเยี่ยมนั้น เขารู้อยู่เต็มอก แต่ทว่าเรื่องของการต่อสู้เนี่ย มันเป็นไปได้อย่างไร?

“โถ่ท่านพ่อ นี่เป็นพรสวรรค์ที่ถูกส่งต่อมาจากบรรพบุรุษเชียวนะ ข้าเพิ่งค้นพบก็ตอนที่ข้าต้องปะทะกับพวกชาวหูนั่นแหละ ตอนนั้นจู่ ๆ ในหัวของข้าก็มีเสียงดังกังวาลเข้าแทรก แล้วมันก็สั่นสะท้านไปถึงเส้นประสาทในสมองของข้า แล้วกระบวนท่าการต่อสู้ต่าง ๆ ก็แวบเข้ามาให้หัวของข้าเลย จริง ๆ นะจ้ะ ข้าไม่ได้โกหกท่านเลยนะ ไม่อย่างนั้นท่านคิดว่าข้าจะกล้าพาคนแค่ 5-6 คนนี้ไปบุกตีพวกชาวหูตั้ง 20 กว่าคนนั้นได้ยังไงกันล่ะ?”

มู่ฉือฟังแล้วก็เชื่อทันที เพราะความแข็งแกร่งของพวกเขาทั้งสองคนนั้นถูกส่งต่อมาจากบรรพบุรุษของพวกเขาจริง ๆ อีกอย่าง พละกำลังของลูกสาวคนโตก็มากกว่าเขาหลายเท่า แล้วมันก็มีความเป็นไปได้สูงที่พรสวรรค์ของบรรพบุรุษในด้านการต่อสู้จะตกถึงมู่หยางหลิงอย่างเต็มรูปแบบ

มู่หยางหลิงโล่งอกที่เห็นพ่อของนางเชื่อแบบนั้นได้ แต่บรรพบุรุษตระกูลมู่ก็มีพรสวรรค์ในด้านนี้จริง ๆ เพราะไม่ว่าใครจะเดือดร้อนเรื่องอะไร เป็นต้องพากันมาขอความช่วยเหลือจากคนตระกูลมู่ตลอด ซึ่งพวกเขาก็ได้รับการช่วยเหลืออย่างรวดเร็วและดีประหนึ่งได้พระโพธิสัตว์มาโปรดเลยก็ว่าได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+