อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 32 ฟ้อง

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 32 ฟ้อง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ถึงแม้ว่าเมื่อกี้นี้ทุกคนจะเห็นความสามารถของมู่หยางหลิงแล้วก็ตาม แต่พอมาเห็นเธอแบกฟ่อนข้าวบนบ่าสี่มัดในมือถือมาด้วยอีกหนึ่งมัดแบบนี้ ชาวบ้านต่างก็ยังไม่เชื่อสายตาตัวเองอยู่ดี พากันหยุดงานในมือแล้วมานั่งนับฟ่อนข้าวที่เธอแบกกลับมา

หม่าจางซื่อพูดขึ้นอย่างอิจฉา:"นี่ลูกสาวบ้านใครกันเนี่ย ทำงานเก่งจัง ถ้าฉันมีลูกสาวแบบนี้สักคน ป่านนี้ฉันคงสบายไปนานแล้ว"

"อย่าเลย แรงเยอะแบบนี้ดูท่าจะกินเยอะอยู่เหมือนกันนะ อีกอย่างพอโตขึ้นก็ไม่รู้ต้องเตรียมเงินแต่งให้เท่าไหร่ถึงจะมีคนยอมแต่งด้วย?"

หม่าจางซื่อไม่เห็นด้วย: "ลูกสาวที่ขยันเอางานเอาการแบบนี้ ถ้าแต่งมาบ้านฉันจะไม่เอาเงินแต่งจากฝ่ายหญิงแม้แต่แดงเดียว แต่ค่าสินสอดฉันให้เต็มที่เลย"

ทุกคนพากันหัวเราะเสียงดังขึ้นมา มีชายหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้นยิ้มๆ: "พี่สะใภ้ นั้นมันพี่คิดไปเอง ถ้าเกิดได้แต่งเข้ามาจริงๆ สามีภรรยาเกิดทะเลาะกันขึ้นมายังไม่รู้ว่าผัวจะตีเมียหรือเมียจะตีผัวเลย? อีกอย่างนะ ถ้าเธอเกิดขี้เกียจทำงานทำการขึนมา บ้านพี่จะกล้าอบรมสั่งสอนเธอเหรอ?"

สวาท่าทางใจดีคนหนึ่งก็พูดขึ้น: "พอได้แล้ว สาวน้อยเขาก็ไม่ได้มาทำอะไรให้ซะหน่อย มาพูดกันสนุกปากแบบนี้ระวังเข้าหูพ่อเขาเข้าจะโดนกระทืบไม่รู้ตัว"

เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆตะโกนพูดขึ้น: "ฉันว่านะ ลุงป้าทั้งหลายคงทำได้แค่ฝัน ลองดูผิวหน้าอมชมพู มือเท้าเรียวยาวของเธอก่อน พวกท่านจะมีปัญญาเลี้ยงเหรอ? รู้หรือเปล่าว่าเขาอายุเท่าไหร่?"

"เด็กในหมู่บ้านโตช้า น่าจะสิบเอ็ดสิบสองแล้วมั้ง?" ที่พูดว่าโตช้าน่าจะเปลี่ยนเป็นตัวเล็กเนื่องจากขาดสารอาหารมากกว่า

"สายตาป้าใช้ได้เลยนะ" หนุ่มน้อยพูดยิ้มๆ : "ซิ่วหงบอกแล้วว่าพี่สาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกับเธอคนนี้อายุมากกว่าเธอสองเดือน ปีนี้ก็น่าจะเก้าขวบละ ฮาๆๆๆๆ…….." หนุ่มน้อยพูดจบก็วิ่งหนีไป

"เพิ่งเก้าขวบ? เป็นไปได้ไง"

หม่าจางซื่อรีบพูด:"ฉันเห็นเด็กในเมืองเก้าขวบก็โตกันประมาณนี้ทั้งนั้น"

"จะเทียบกันได้ยังไง? คนในเมืองกินอิ่ม……"

พอมู่หยางหลิงแบกฟ่อนข้าวเข้ามาอีกรอบ เด็กหนุ่มนั้นก็เข้ามาถามขึ้นเสียงดัง : "น้องสาว เธอกินข้าวมือละกี่ถ้วยเหรอ?"

มู่หยางหลิงมองเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงถามแบบนั้น แต่เธอก็ตอบ: "สามถ้วย"

เด็กหนุ่มถามอึ้งๆอีกครั้ง: "ข้าวสวย?"

"ก็ข้าวสวยสิ หรือจะให้กินข้าวต้ม? ข้าวต้มมีไว้กินตอนเช้า" มู่หยางหลิงตอบ

หม่าจางซื่อพูดขึ้น: "ถึงจะเยอะไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้เยอะอะไรมากมายขนาดนั้น"

หม่าจางซื่อไม่รู้ว่าถ้วยของบ้านมู่หยางหลิงกับของบ้านอื่นไม่เหมือนกัน เพราะเธอกับพ่อกินข้าวค่อนข้างเยอะ แม่ซูหวันจึงได้ให้สองพ่อลูกใช้ถ้วยที่ใหญ่กว่าถ้วยทั่วไปสองเท่า

มู่หยางหลิงไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้อีก ตอนนี้แดดกำลังไล่ไปทางตะวันตกแล้ว เต็มที่คงเก็บฟ่อนข้าวได้อีกแค่ครึ่งนาเท่านั้น

มู่หยางหลิงกลับไปที่เถียงนา เธอเห็นสามย่าหลานนั่งหมดแรงอยู่ในนั้น พวกเข้ามัดฟ่อนข้าวครึ่งนาที่เหลือเสร็จหมดแล้ว

พวกเขาทั้งสองมัดฟ่อนข้าวไม่ทันให้มู่หยางหลิงแบกไปเก็บ นี่เป็นเพราะมู่หยางหลิงกลับมาช่วยมัดถึงได้เสร็จเร็วกว่าที่คิดไว้

มู่หยางหลิงพูดกับหม่าหลิวซื่อ: "ย่าใหญ่ คืนนี้ไม่ต้องทำงานแล้วนะ กลับไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้หนูจะมาช่วยอีก"

ดวงตาของหม่าซิ่วหงฉายแววประกายขึ้น ก่อนจะพูดเสียงเบา : "ขอบคุณค่ะพี่!"

หม่าหลิวซื่อโบกไม้โบกมือห้าม: "พรุ่งนี้หนูไม่ต้องมาแล้ว เดี๋ยวก็จะถึงวันไหว้พระจันทร์แล้ว พอหิมะแรกตกก็จะมีการปิดเขา ที่บ้านหนูอาศัยล่าสัตว์ยันชีพ ต้องรีบไปล่าสัตว์เก็บไว้สำหรับช่วงฤดูหนาว งานที่นี่เหลือไม่มากแล้ว ย่าใหญ่ทำกันเองได้"

มู่หยางหลิงไม่ได้พูดอะไรต่อ ในเมื่อพรุ่งนี้ยังไงเธอก็จะมาอีก สินค้าหนังของที่บ้านเธอก็ขายหมดแล้ว เงินกว่าสี่สิบตำลึงที่ได้ก็พอใช้ไปถึงฤดูใบไม้ผลิตปีหน้าด้วย

เธอแบกไปห้ามัด เหลือไว้ในนาอีกหนึ่งมัดให้หม่าหลิวซื่อกับหลานสาวคนโตช่วยกันแบกไป

แต่ฟ่อนข้าวที่น้ำหนักสามสิบถึงสี่สิบกิโลกรัมแทบจะทำให้หลังคนแก่หักได้ มู่หยางหลิงเห็นแล้วก็ตกใจ จึงเร่งเท้าเอาฟ่อนข้าวที่แบกอยู่ไปโยนไว้บนที่เก็บแล้วรีบวิ่งกลับไปรับฟ่อนข้าวที่ย่าใหญ่กำลังแบกอยู่

คนของบ้านหม่าโหย่วฉายต่างเฝ้ามองมาอยู่ด้วยสายตาเย็นชา พอเห็นสามย่าหลานเดินกลับมาก็ทำเสียงหัวเราะเย็นชาใส่

มู่หยางหลิงหันไปจ้องมองพวกเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดกับย่าใหญ่: "ย่าใหญ่ เรากลับกันเถอะค่ะ หนูหิวน้ำแล้ว"

หม่าหลิวซื่อรู้ว่าเธอคงกลัวว่าตัวเองจะไปมีปัญหากับพวกนั้นอีก จึงตอบรับโดยดี

เวลาคล้อยบ่าย มู่หยางหลิงที่นั่งอยู่บ้านตระกูลหม่าได้เพียงครู่เดียวก็แบกตระกร้าขึ้นหลังเตรียมเดินทางกลับบ้าน

หม่าหลิวซื่อที่อยากเอาผักกาดดองและเต้าหู้ดองให้เธอเพิ่มพูดขึ้น: "ก่อนหน้านี้ย่าไม่รู้ว่าหนูจะมีแรงเยอะแบบนี้ เดี๋ยวเอาเพิ่มอีกหน่อยนะ ใกล้ค่ำแล้วขากลับก็เร่งฝีเท้าหน่อยนะ"

มู่หยางหลิงแบกตะกร้าขึ้นหลังปุ๊บก็วิ่งออกจากบ้านไปทันที ก่อนจะหันมาบอก: "ใกล้ค่ำแล้ว พรุ่งนี้ค่อยเอาดีกว่าค่ะ"

หม่าหลิวซื่อถือผักกาดดองวิ่งออกมา ก็เห็นมู่หยางหลิงวิ่งไปไกลแล้ว จึงถอนหายใจนิดหนึ่งก่อนจะเดินกลับเข้าบ้านไป

มู่ฉือเห็นลูกสาวยังไม่กลับมาซะที จากที่ไม่ได้คิดอะไรมากก็เริ่มเป็นห่วงขึ้นมา หรือว่าลูกสาวจะหลงทาง? หรือจะเกิดอะไรขึ้นในป่า?

เขาไม่อยากทำให้ภรรยาเป็นห่วง จึงอาศัยการผ่าฟืนเป็นข้ออ้างไปรอลูกสาวอยู่ตีนเขา แต่เขาผ่าฟืนไปจะสองมัดแล้วยังไม่เห็นแม้แต่เงาลูกสาวเลย

มู่ฉือเงยหน้ามองพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดิน ตัดสินใจว่าอีกครู่ถ้าลูกยังไม่กลับมาอีกเขาก็จะขึ้นเขาไปตามหา

บนเขากลางดึกอัตรายมาก ลูกสาวก็ดันเป็นคนใจกล้ามาก ขออย่าให้เดินทางกลับมากลางดึกเลย

มู่ฉือที่เพิ่งจะนั่งลงกับพื้นก็ได้ยินเสียฝีเท้าดังขึ้น เขาจึงรีบลูกขึ้นเห็นมู่หยางหลินเดินผ่านต้นไม้ลงมาจากเขา มู่ฉือถอนหายใจโล่งอกเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มรู้สึกโกรธ: "ลูกคนนี้นี่ แค่ไปบ้านย่าใหญ่แค่นี้ ทำไมเพิ่งจะกลับมา?"

มู่หยางหลิงที่หายใจเหนื่อยหอบหลังจากที่วิ่งลงมาจากเขาตอบ : "พ่อ ย่าใหญ่โดนรังแก พ่อรีบไปบอกท่านน้าให้ช่วยย่าใหญ่ด้วยนะ"

มู่ฉือตกใจเล็กน้อย ก่อนจะจับตัวลูกสาวที่วิ่งเข้ามาหา: "มันเรื่องอะไรเหรอ? ย่าใหญ่โดนใครรังแก?"

มู่หยางหลิงเล่าทุกอย่างให้พ่อฟังเสร็จก็พูดขึ้น: "ย่าใหญ่แก่มากแล้ว ลูกพี่ลูกน้องทั้งสองก็ยังเด็กมาก ดูจากสีหน้าของคนบ้านหม่าต้ากุ้ยแล้ว ย่าใหญ่น่าจะโดนรังแกอยู่บ่อยครั้ง วันนี้ถ้าหนูไม่อยู่ด้วยย่าใหญ่ก็คงทำได้เพียงอดทน ย่าใหญ่เป็นลูกสาวของหมู่บ้านหลินซาน จะปล่อยให้คนอื่นมารังแกแบบนี้ไม่ได้นะคะ"

มู่ฉือตบหัวลูกสาวเบาๆทีหนึ่ง : "ลูกจะไปรู้อะไรเกี่ยวกับลูกสาวหมู่บ้านหลินซาน? รีบกลับบ้านเลย นี่มันเรื่องของผู้ใหญ่ลูกไม่ต้องไปยุ่งอะไร" พูดจบเขาก็แบกฟืนเดินนำไปทันที

มู่หยางหลินยังคงพูดขณะที่เดินตามหลังพ่อ: "หนูจะไม่รู้เรื่องได้ยังไง? ครั้งก่อนที่ลูกสาวบ้านลุงหม่าโดนทางบ้านสามีรังแก ก็ไม่ใช่ได้พวกน้าๆไปพูดคุยที่หมู่บ้านสี่กับบ้านตระกูลหม่าเหรอคะ? และเห็นว่าสามีของเธอยังโดนซ้อมไปรอบหนึ่งด้วย"

มู่ฉือเห็นว่าลูกสาวดูจะกระตือรือร้นเกินไปแล้ว จึงพูดขึ้น : "เรื่องของย่าใหญ่ไม่เหมือนกัน"

"ไม่เหมือนกันยังไงคะ? ก็โดนบ้านสามีรังแกเหมือนกันไม่ใช่เหรอคะ?" มู่หยางหลินไม่เข้าใจ ทำให้นึกไปถึงสิ่งที่หม่าต้ากุ้ยพูดว่ามีแม่หมอคนหนึ่งทำนายว่าย่าใหญ่มีดวงกินผัว เธอจึงรีบถามขึ้น: "หรือเป็นเพราะคำทำนายของแม่หมออะไรนั่น? มันเป็นเรื่องงมงายชัดๆ"

มู่หยางหลินไม่ใช่คนงมงาย ถึงเธอจะตายแล้วเกิดใหม่ และสามารถรับรู้ทุกอย่างได้ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ จนมาเกิดในยุคสมัยโบรานที่ล้าหลังแบบนี้โดยมีความทรงจำของชาติที่แล้วติดมาด้วย แต่มู่หยางหลิงเองก็ไม่เคยเชื่ออะไรที่มันดูงมงาย

โดยเฉพาะแม่หมอหมู่บ้านสี่ ชีวิตแม่หมอยังลำบากกว่าบ้านเธอซะอีก มีที่ไหนกันเป็นถึงแม่หมอยังลำบาแบบนี้?

มู่หยางหลิงยังคงรบเร้าให้มู่ฉือออกหน้าให้ย่าใหญ่: "เรายังไม่ต้องสนใจความขัดแย้งเมื่อสี่ปีก่อนก็ได้ค่ะ เอาแค่เรื่องครั้งนี้บ้านหม่าต้ากุ้ยก็ผิดเต็มๆแล้วใช่มั้ยคะ? และถ้าเราไม่ไปออกหน้าให้ ชีวิตของย่าใหญ่หลังจากนี้ต้องลำบากแน่ๆค่ะ แล้วเรื่องที่ว่าย่าใหญ่ไม่มีลูกชายสืบสกุลเลยจะยึดที่คืน เรายังไม่ต้องพูดเรื่องผิดถูกก่อนนะคะ ต่อให้ต้องทำแบบนั้นจริง ก็ต้องรอให้ย่าใหญ่ตายก่อนมั้ยคะถึงจะทำแบบนั้นได้……โอ๊ย!"

มู่ฉือที่เดินอยู่ด้านหน้าหยุดลงกะทันหัน มู่หยางหลิงชนเข้ากับหลังพ่อทันที ทำเอาจมูกเจ็บแหลบขึ้น

"พ่อ ทำไมหยุดกะทันหันแบบนี้ล่ะคะ?"

มู่ฉือมองหน้าลูกสาว: "ลูกพูดถูก"

PS: ยวี่จู๋คิดถึงตอนไปเที่ยวบ้านป้าในช่วงเทศกาล ทุกครั้งที่ไปป้าก็จะเตรียมของไว้ให้เธอเอากลับบ้านเยอะมาก ถ้าเธอไม่เอา ป้าก็จะถือของวิ่งตามมาให้ตั้งแต่ท้ายซอยยันต้นซอย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด