อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 36 ช่วยงาน

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 36 ช่วยงาน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เด็ก ๆ นึกไม่ออกว่าอะไรคือหายนะจากกระต่าย พวกเขารู้แค่ว่าเนื้อกระต่ายนั้นอร่อยและกระต่ายจับได้ยาก

พวกเขาเคยเข้าไปจับกระต่ายกับมู่หยางหลิงในป่า ตอนที่เข้าไปหาฟืนด้วยกัน พวกเขามองเห็นมันแต่จับไม่เคยได้ มู่หยางหลิงเลยสอนพวกเขาวางกับดัก แต่วางไปเก้าในสิบใช้ไม่ได้ผล ส่วนหนึ่งครั้งที่จับได้ก็เพราะมู่หยางหลิงเป็นคนวางตอนสาธิตให้พวกเขาดู

หลิวหลุนกลืนน้ำลายลงคอและถามว่า "ปัญหากระต่ายมากเกินไปแบบนี้ ก็หมายความว่าเราจะมีเนื้อกระต่ายกินมากขึ้นซิ"

อายุน้อยไรกังวล มู่หยางหลิงมองเขาอย่างอิจฉาแวบหนึ่งก่อนพูดว่า "อย่าพูดให้พ่อเจ้าได้ยินนะ มิฉะนั้นเจ้าโดนตีแน่"

กระต่ายชอบขุดโพรงแม้ว่าที่นี่จะไม่ใช่ทุ่งหญ้าแต่ก็ไม่มีทุ่งเลี้ยงสัตว์ ความเสียหายทางระบบนิเวศอาจไม่เลวร้ายเท่ากับทุ่งหญ้า แต่การที่มีกระต่ายมากเกินไปก็ยังส่งผลกระทบต่อทุกคนอยู่มาก ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่ยกตัวอย่างหมู่บ้านหลินซานที่อยู่เชิงเขา หากในปีหน้ามีฝนตกหนัก ดินที่หลวมเนื่องจากกระต่ายขุดโพรงก็จะถูกชะล้างลงไปข้างล่างและอาจเกิดดินโคลนถล่มได้

มู่หยางหลิงไม่เคยเห็น แต่มู่ฉือเคยเห็นมันเคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งในหมู่บ้าน หลินซานเมื่อสิบกว่าปีก่อน ดังนั้นมู่ฉือจึงอดไม่ได้ที่จะกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มจำนวนกระต่ายในป่าในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา .

แต่แค่ความสามารถของเขาเพียงคนเดียวก็ทำอะไรได้ไม่มากนัก เขาจับกระต่ายได้เท่าที่เขาไหว และเพราะในป่าค่อนข้างอันตราย เขาก็ไม่สามารถชวนทุกคนช่วยกันเข้าป่าไปจับกระต่ายได้

ขณะที่มู่หยางหลิงกำลังคิดว่ากลับไปจะหาวิธีวางกับดักจับกระต่ายให้มากขึ้น จะได้สร้างรายได้เพิ่มอีกนั้น ก็เห็นหลิวต้าเฉียนวางตะเกียบและถ้วยลงบนโต๊ะอาหาร ก่อนโบกมือให้ทุกคนที่หยุดมองเขา: "เอาล่ะ พวกเจ้ากินกันต่อนะ"

เมื่อพูดเสร็จเขาก็ลุกขึ้นและเดินไปหาหม่าหลิวซื่อ ทุกคนเห็นเช่นนั้นก็รู้แล้วว่าพี่น้องเขาคงมีอะไรจะพูดคุยกัน พวกเขาจึงผ่อนคลายลงและเริ่มกินข้าวกันต่อ

หลิวเออร์เฉียนค่อยๆเอาตะเกียบคีบเนื้อแกะใส่ถ้วยจนเต็ม ก่อนจะลุกเดินออกไปจากโต๊ะ ลูกพี่ลูกน้องหลิวต้าจู้ที่อยู่ข้างๆกระตุกปากเล็กน้อยและด่าในใจ แก่แล้วยังทำตัวน่าเกียจ

ด้วยว่าเขาก็อายุมากแล้ว แล้วยังมีผู้อาวุโสอยู่ด้วยเขาจึงต้องรักษาหน้าของหลิวเออร์เฉียนเอาไว้

หลิวเออร์เฉียนเดินตามพี่สาวไป และไปยืนฟังพวกเขาคุยกันอยู่ข้างๆ

หลิวต้าเฉียนถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนมองไปที่พี่สาวที่อายุมากกว่าเขาเกือบสิบปี

ในบรรดาพี่น้องหกคนของตระกูลหลิว ตายไปแล้วหนึ่งคนรอดชีวิตห้าคน พี่น้องคนที่สามอดอาหารตายตอนอายุประมาณสี่ขวบ หม่าหลิวซื่อเป็นคนโตต้องเสี่ยงตายเข้าป่าไปหาอาหารให้น้องๆ ที่พี่น้องห้าคนรอดชีวิตมาได้ก็เพราะพี่สาวคนนี้ พี่สาวคนนี้เป็นคนอดทนและเข้มแข็ง แต่น่าเสียดายที่ชีวิตของเธอไม่ดีนัก

หลิวต้าเฉียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะะพูดว่า "ท่านพี่ที่นาคงจะไม่ได้คืนแล้ว แต่ท่านพี่ยังมีน้องชายอยู่เคียงข้าง ต่อไปอยู่ที่นี่ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกใครรังแกอีกพรุ่งนี้ข้าจะให้อาถิงและจวนจื่อมาช่วยท่านพี่เก็บข้าวอีกนะ"

หม่าหลิวเช็ดน้ำตาและพูดว่า "ไม่เป็นไร พวกเจ้าก็มีงานที่บ้านต้องทำเหมือนกัน การเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงก็ใกล้เข้ามาแล้ว หากล่าช้ากว่านี้จะไม่ทันฝนอีก ที่นี่ข้าทำเองได้"

หลิวต้าเฉียนไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ท่าทีของเขาชัดเจน

หม่าหลิวซื่อถามขึ้นอีก: "ไม่ได้เจอเจ้ามาสามสี่ปีแล้ว สุขภาพร่างกายยังแข็งแรงดีไหม แล้วซานเหนียงเป็นอย่างไรบ้าง?"

สีหน้าของหลิวต้าเฉียนเสียเล็กน้อย พี่สาวคนโตแต่งมาหมู่บ้านซีซาน แต่เออร์เหนียงและซานเหนียงกลับแต่งงานไปที่หมู่บ้านหลินซาน เมื่อคืนเขาไปหา ซานเหนียงขอให้ลูกชายเธอมาด้วย แต่เธอก็อ้างเหตุผลต่างๆนาๆว่ามาไม่ได้ ท่าทีรังเกียจนั้นเขาเห็นได้ชัดเจน

หลิวต้าเฉียนรู้สึกอึดอัดใจมาก น้องสาวคนนี้เป็นน้องคนสุดท้อ ใครๆก็ตามใจไม่เคยทำอะไรให้เธอต้องเสียใจ แต่เธอกลับมารังเกียจพี่สาวคนโตแบบนี้ได้

แต่หลิวต้าเฉียนไม่ได้บอกอะไรหม่าหลิวซื่อเพราะไม่อยากให้พี่ไม่สะบายใจ เลยพูดขึ้นว่า: "น้องสะบายดี ตอนข้าจะเดินทางมาที่นี่น้องยังฝากความคิดถึงมาให้ท่านพี่ด้วย"

หลิวเออร์เฉียนหัวเราะเยาะขึ้นมาทันที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายคนโตแวบหนึ่ง แล้วหันหน้าหนีไปอีกทาง

หลิวต้าเฉียนโกรธมากจึงเตะเขาไปทีหนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงโมโห: "เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว ยังทำตัวแบบนี้อยู่ได้ เจ้าไม่พูดก็ไม่มีใครว่าเจ้าโง่หรอกนะ"

หลิวเออร์เฉียนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "ข้าไม่ได้พูดอะไรเลย"

หลิวต้าเฉียนโกรธมากขึ้นมาอีก หม่าหลิวซื่อหรือจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เธอรู้สึกปวดใจนัก ดวงตาก็แดงรื้อขึ้นมา เธอจึงพยายามกระพริบตาแล้วฝืนยิ้มพูดขึ้น: "เจ้าอย่ารังแกน้องรองเลย เขาเป็นปู่คนแล้ว จะมาสั่งสอนกันเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว "

ก่อนจะหันไปพูดกับหลิวเออร์เฉียน: "น้องรอง เจ้าก็เป็นปู่คนแล้ว จะมาเหลาะแหละเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้วนะ เจ้าต้องเป็นแบบอย่างให้กับหลาน ๆ ของเจ้าด้วย"

หลิวเออร์เฉียนตอบรับส่งๆพร้อมถามว่า: "มีอะไรอีกหรือไม่ ถ้าไม่มีอะไรแล้วข้าจะกลับไปกินข้าวต่อ" จากนั้นเขาก็เดินจากไป ทันใดนั้นก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาหยิบถุงเงินออกมาจากแขนเสื้อแล้วยัดใส่ของพี่สาวแล้วเดินจากไป

หม่าหลิวซื่อแปลกใจเล็กน้อยเตรียมจะเดินตามไปคืน แต่หลิวต้าเฉียนรั้งเธอไว้ก่อน: “ไม่ต้องไปหรอก ท่านพี่ก็รู้จักนิสัยของน้องรองดีไม่ใช่หรือ ถ้าท่านพี่นำกลับไปคืน เดี๋ยวไปกระตุกความดื้นรั้นของเขาเข้า โต๊ะอาหารคงได้ทุกทุบทิ้งกันพอดี อีกอย่างหลานสาวทั้งสองก็ไม่เด็กแล้ว ท่านพี่ควรเตรียมทุกอย่างให้พร้อม " ขณะที่พูดเขาก็หยิบถุงเงินออกมาจากแขนเสื้อแล้วยัดใส่มือเธอ ก่อนจะพูดขึ้น: " อย่าถือโทษน้องชายคนนี้เลยที่ไร้ความสามารถ ปกป้องท่านพี่ไม่ได้ "

พูดเสร็จก็หันหลังเดินจากไป

หม่าหลิวซื่อยืนพิงกำแพงร้องไห้ เธอเคยนึกตำหนิน้องชายทั้งสองของเธอเหมือนกัน

พ่อแม่เสียชีวิตตั้งแต่พวกเขายังเด็ก เธอเป็นคนเลี้ยงดูน้องชายทั้งสี่คนมาด้วยความยากลำบาก แต่พอชีวิตเจอเธอกับความลำบาก พี่น้องที่เธอเคยเลี้ยงดูมากลับไม่สามารถปกป้องดูแลเธอได้ สี่ปีที่ผ่านมาเธอไม่เคยกลับไปหาพวกเขา เพราะรู้สึกน้อยใจและแค้นใจ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นเพราะเธอทำร้ายตัวเธอเอง และทำร้ายพวกเขาด้วย ไม่น่าเลย!

แต่จะให้เธอกลับไปอยู่กับครอบครัวเดิม เธอก็ไม่อยากไป บางครั้งหม่าหลิวซื่อเองก็คิดเหมือนกันว่าน้องชายที่ไม่แม้แต่จะปกป้องเธอ ที่ผ่านมาเธอจะเลี้ยงดูพวกเขาเพื่ออะไร?

หม่าหลิวซื่อถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะเยาะตัวเอง: ก็ยังมีประโยชน์อยู่นะ อย่างน้อยตอนนี้ก็ได้ทำอะไรเพื่อเธอบ้างแล้ว?

หลังจากกินและดื่มกันพอแล้ว หม่าหลิวซื่อก็สับเนื้อแกะที่เหลือส่งคืนให้กับทุกคนโดยบอกว่า "วันนี้ต้องขอบคุณพี่น้องทุกคนมากที่มาช่วย ครอบครัวพี่ยากจนไม่มีอะไรให้ เนื้อพวกนี้ช่วยรับเอาไว้เถอะ "

หลิวต้าจวนพูดขึ้นยิ้มๆ "ท่านพี่อย่าทำให้พวกเขาเสียนิสัยเลย พี่สาวเจอความยากลำบาก คนเป็นน้องชายจะไม่มาช่วยได้ยังไง? ส่วนพวกหลานๆก็ควรมาฝึกฝนเอาไว้บ้าง"

"พอได้แล้ว " หลิวต้าเฉียนดันพวกเขาออกไปทางประตู:"อย่ามัวแต่พูดกันอยู่เลย รีบกลับเร็วเข้า ส่วนพวกเราจะออกเดินทางช่วงบ่าย" เขาหันไปพูดกับลูกหลานของตระกูลหลิว: “พวกเจ้าดูแลพ่อและน้าลุงด้วย ค่อยไปเดินนะ อย่าให้ใครหลงหายได้ ในป่ามีแต่สัตว์ร้ายไม่ปลอดภัย "

ทุกคนตอบรับก่อนจะช่วยกันพาคนเฒ่าคนแก่ของพวกเขาออกเดินทาง

หลิวถิงรวบแขนเสื้อขึ้นแล้วพูดว่า "ท่านพ่อไปเอาข้าวไปให้ป้ากันเถอะ"

มู่หยางหลิงได้ยินเข้าก็รีบร้อนพูดขึ้น: "ลุงใหญ่และพี่ๆไปตัดข้าวเถอะค่ะ เดี๋ยวพ่อกับฉันจะแบกเอง ครึ่งบ่ายนี้เสร็จแน่นอนค่ะ"

หลิวถิงมีสีหน้าสงสัยเล็กน้อย ส่วนมู่ฉือยังคงลังเล มู่หยางหลิงจึงดึงแขนเสื้อของพ่อและพูดขึ้น "ท่านพ่อ ให้ลูกพี่เขาไปตัดข้าวเถอะค่ะ คนเยอะหน่อยจะได้เสร็จทันบ่าย"

มู่ฉือเองก็เห็นด้วยเช่นกัน

บ้านหม่าหลิวซื่อยังมีที่นาอีกครึ่งหนึ่งที่ยังไม่ได้เก็บเกี่ยว แต่วันนี้คนมากันเยอะ มีน้อยชายหลิวต้าเฉียนและลูกชายอีกสองคน กับเด็กๆอีกสองสามคน รวมแล้วสิบสองคนได้ ครึ่งบ่ายนี้ก็ตัดเสร็จ พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องมาอีก ไม่งั้นป้าทั้งสองคงไม่สบายใจแน่ๆ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ว่าอะไรก็ตาม

หลิวต้าเฉียนครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็เห็นด้วย จึงหันไปพูดกับหม่าหลิวซื่อ: "ท่านพี่ไปยืมเคียวให้หน่อยเถอะ"

พอหม่าหลิวเห็นว่าในวันนี้น่าจะเสร็จหมด ก็ไม่สนใจที่จะเก็บโต๊ะอาหารต่อ เธอรีบออกไปยืมเคียวและพาพวกเขาไปที่ทุ่งนา

มู่หยางหลิงและมู่ฉือรับหน้าที่ขนข้าวออกไป ส่วนคนอื่นๆก็รับหน้าที่เกี่ยวข้าว ทำกันหลายคนแถมยังมีชายหนุ่มแข็งแรกถึงสี่คน เลยทำให้งานเสร็จภายในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมง

หลิวจวนสะบัดมือนิดหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองดูสองพ่อลูกตระกูลมู่ขนข้าวในนาทั้งสองผืนไปหมดแล้ว เขาที่กำลังนั่งพักอยู่บนคันนา ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยพร้อมพูดกับหลิวซวนลูกพี่ลูกน้องของเขาว่า "ทำงานเก่งมากจริงๆนะเนี่ย มีพละกำลังมากกว่าวัวควายอีก "

หลิวซวนเหลือบตามองพ่อเขาแวบหนึ่งก่อนพูดขึ้น "หุบปากเดี่ยวนี้เลยนะ ระวังท่านลุงได้ยินเข้าเจ้าจะโดนกระทืบเอา"

ที่นาอีกครึ่งเกี่ยวเสร็จ คงไม่ทันแบกออกไปแล้ว หม่าหลิวซื่อรีบเร่งให้พวกเขาเดินทางกลับบ้าน "รีบกลับกันเถอะ ไม่งั้นจะลงจากเขาก่อนมืดไม่ทัน"

หลิวต้าเฉียนพยักหน้าและส่งเคียวคืนให้เธอก่อนโบกมือ: "ยังยืนทำอะไรกันอยู่ รีบกลับบ้านเร็ว"

PS: คืนนี้มีอัปเดต ประมาณสองทุ่ม

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด