อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 57 ร่วมแรงร่วมใจ

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 57 ร่วมแรงร่วมใจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มู่ฉือคิดว่า ถ้าไม่ใช่เพราะความขี้ขลาดของพวกชาวบ้าน พ่อของเขาก็คงไม่ต้องมารับมือกับศึกหนักขนาดนั้น อีกทั้งแม่ของเขายังถูกบีบบังคับให้ออกไปสู้กับโจรพวกนั้นด้วย มู่ฉือจึงโกรธเกลียด และดูหมิ่นในความขี้ขลาดของชาวบ้านมากกว่าเดิม

แต่คนพวกนี้ก็รวมไปถึงญาติฝั่งแม่ของเขาด้วย ซึ่งก็คือญาติของมู่ฉือเองด้วยเหมือนกัน

มู่ฉือนำพวกเขาออกจากป่า

และพบว่าหมู่บ้านถูกเผาโดยชาวหูที่หลบหนีไปได้ เหลือเพียงบ้านไม่กี่หลังเท่านั้นที่ยังรอด

ศึกในครั้งนั้น ทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้านหลินซานต้องตายไปทั้งสิ้น 33 คน รวมถึงพ่อกับแม่ของมู่ฉือด้วย

ในครานั้น หมู่บ้านหลินซานตกอยู่ภายใต้ความสิ้นหวังและความอดอยาก จนหลิวเหอกับหลิวต้าเฉียนต้องมาคุกเข่าขอร้องมู่ฉือให้พาพวกเขาเข้าป่าไปหาอาหาร เพื่อให้คนในหมู่บ้านได้มีชีวิตรอดพ้นฤดูหนาวนี้ไป

แม้ว่ามู่ฉือจะไม่ชอบขี้หน้าพวกเขา แต่สุดท้ายมู่ฉือก็ใจอ่อน และยอมพาพวกเขาเข้าป่าไปด้วย

แต่มีชาวบ้านบางคนที่พอได้เข้าป่าไปด้วยแล้ว พวกเขาดันทำเรื่องที่ขัดต่อจรรยาบรรณนักล่าของมู่ฉือ เนื่องจากพวกเขาไม่ยอมละเว้นชีวิตลูกหมีตัวน้อยที่มาติดกับดัก ทั้งที่ความจริงแล้วเราควรจะปล่อยมันให้กลับไปอยู่กับแม่ของมัน

และยิ่งไปกว่านั้น สัตว์ที่พวกเขาหามาได้ก็ไม่ได้ตกถึงท้องคนในหมู่บ้านเลยด้วย พวกเขาได้อะไรมาจากในป่า ก็จะขนไปขายในเมืองกับในตัวมณฑลจนหมด แถมยังหั่นราคาเรียกลูกค้า ทำให้พ่อค้าของป่าและมู่ฉือเองแทบจะทำมาหากินกันต่อไม่ได้

ดังนั้นพอถึงช่วงสิ้นปี มู่ฉือก็โบกมือลาคนในหมู่บ้านหลินซานทันที หลิวเหอรู้สึกผิดต่อเรื่องนี้มาก เขาจึงไปพาตัวพวกขายของเถื่อนพวกนั้นมาคุกเข่าลงตรงหน้าบ้านของมู่ฉือ แต่มู่ฉือก็ไม่สนใจ

และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้มู่ฉือย้ายเข้าไปอยู่ในเขาฉูซาน แต่ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ มู่ฉือก็คงไม่มีโอกาสได้พบกับซู่หว่านเหนียงเป็นแน่

เนื่องจากซู่หว่านเหนียงเข้าไปหาของป่าในเขาฉูซาน และพลาดท่าจนเกือบตาย โชคดีที่ได้มู่ฉือช่วยชีวิตไว้ และนำกลับมาส่งที่หมู่บ้านหลินซาน

หลิวเหอกับผู้อาวุโสในหมู่บ้านยังรู้สึกละอายใจ จึงได้นัดแนะชาวบ้านกับมู่ฉือให้มาทำข้อตกลงกัน ว่าถ้าภายในหมู่บ้านเกิดเรื่องอันตรายขึ้นอีก เราจะไม่ไปรบกวนตระกูลมู่ รวมถึงห้ามกระทำการสร้างเรื่องใส่ร้ายป้ายสีคนตระกูลมู่ และห้ามบีบบังคับให้คนตระกูลมู่พาเข้าป่าเพื่อแสวงผลประโยชน์ส่วนตนอีก

และเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้มีคนละเมิดกฎ หลิวเหอจึงกำชับอีกว่า ห้ามผู้ใดแสวงหาผลประโยชน์กับตระกูลมู่เด็ดขาด ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม

ดังนั้น มู่ฉือจึงต้องวิ่งเข้าไปซื้อข้าวซื้อบะหมี่ในเมืองแทน ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาสามารถแลกเปลี่ยนอาหารกับคนในหมู่บ้านได้ และถึงแม้ว่าชาวบ้านในหมู่บ้านหลินซานจะกระหายเนื้อสัตว์เพียงใด ก็ไม่มีใครกล้ามาขอหรือแลกเปลี่ยนกับบ้านตระกูลมู่อีกเลย

แม้แต่เนื้อที่มู่ฉือส่งเป็นของขวัญต้อนรับปีใหม่หรือวันสำคัญประจำปี ก็ไม่มีใครกล้ารับไปเลยซักคน

จนมู่ฉือกับชาวบ้านในหมู่บ้านหลินซานไม่ได้ติดต่ออะไรกันอีก ทำให้ส่วนใหญ่มู่ฉือจะใช้เวลาไปกับการเข้าป่า หาของไปขายในตลาด และอยู่ดูแลภรรยาที่บ้านเท่านั้น

แต่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้ ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลมู่กับชาวบ้านในหมู่บ้านหลินซานนั้นเริ่มพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น เพราะมู่หยางหลิงกับเสี่ยวปั๋วเหวินนั่นเอง

เนื่องจากเด็กสองคนนี้มักจะเข้าไปเดินเล่นในหมู่บ้าน ผ่านไปไม่นาน เด็กทั้งสองคนก็เริ่มคุ้นเคยสนิทสนมกับคนในหมู่บ้านหลินซาน แต่ความสัมพันธ์ของคนตระกูลมู่กับชาวบ้านในหมู่บ้านหลินซานก็ยังถูกจำกัดไว้เพียงเท่านี้

เพราะมู่ฉือกับซู่หว่านเหนียงจะไม่ค่อยออกมาพบปะผู้คนซักเท่าไหร่

มู่หยางหลิงเอ่ยถามพ่อทั้งน้ำตา “แล้วตอนนี้ท่านพ่อยังโทษพวกเขาอยู่อีกหรือไม่?”

มู่ฉือตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่แล้วล่ะ”

แต่พอมู่หยางหลิงเห็นท่าทางของพ่อ นางก็ไม่ได้ปักใจเชื่อในทันที

“เจ้าอยากจะยื่นมือเข้าช่วยเด็ก ๆ พวกนั้น เจ้าก็ทำไปเถอะ ไม่ต้องไปสนใจอะไรมากหรอก” มู่ฉือยกมือขึ้นลูบหัวลูกสาว แล้วพูดต่อ “ใครใช้ให้คนตระกูลมู่จิตใจดีขนาดนี้ล่ะ เนอะ?”

มู่หยางหลิงตื้นตันจนพูดไม่ออก

เสี่ยวปั๋วเหวินที่นั่งฟังเรื่องราวตั้งแต่ต้นทั้ง ๆ ที่ไม่เข้าใจอะไรมากนัก แต่พอได้ยินประโยคสุดท้ายของพ่อ เขาก็พยักหน้ารัว ๆ “แน่นอนสิขอรับ ก็พวกเราจิตใจดีนี่นา”

“แม่ มาดูนี่สิจ้ะ ท่านพ่อสอนให้น้องหลงตัวเองใหญ่แล้ว”

ซู่หว่านเหนียงเห็นดังนั้น นางก็ได้แต่ปิดปากอมยิ้ม

แม้ว่าปากของมู่ฉือจะบอกว่าไม่สนใจชาวบ้านในหมู่บ้านหลินซาน แต่เขาก็ยังพามู่หยางหลิงเข้าป่าไปเพื่อทำเครื่องหมายจุดปลอดภัยและจุดอันตรายเอาไว้ให้ “ถ้าเป็นพื้นที่ป่าลึกเนี่ย ห้ามเข้าไปเด็ดขาดเลยนะ ไม่รู้ว่าหมีดำตัวนั้นกับพวกหนอนตัวใหญ่ ๆ จะยังอยู่หรือเปล่า ในตอนที่เจ้าพาพวกเขาเข้าป่าไป เจ้าจะต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา และถ้าหากว่าสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ไม่ชอบมาพากล เจ้าต้องรีบพาพวกเขาออกมาให้เร็วที่สุด”

มู่หยางหลิงพยักหน้าตอบรับ “ท่านพ่อโปรดวางใจ ความปลอดภัยต้องมาก่อน ข้าจะระวังให้มากที่สุด”

มู่ฉือมองหน้าลูกสาวด้วยสีหน้าพึงพอใจ “เจ้ามีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นนะ คิดไตร่ตรองอะไรเองได้หมดแล้ว” แม้ว่านับวันลูกสาวของเขาจะเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่ง แต่มู่ฉือก็ยังรู้สึกดีใจที่ลูกสาวของเขาฉลาดหลักแหลมกว่าเด็กคนอื่น ๆ

เมื่อถึงวันนัดหมาย มู่หยางหลิงนำชาวบ้านกลุ่มแรกเข้าไปยังหุบเขา และพอถึงข้างในหุบเขา นางก็จัดการแบ่งกลุ่มออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มนึงมี 5 คน อีกกลุ่มนึงมี 6 คน ส่วนหลิวถิงกับหลิวหยวนจะทำหน้าที่รับผิดชอบกันไปคนละกลุ่ม “พวกท่านกระจายกันออกไปได้เลย แต่อย่าออกไปไกลเกินขอบเขตนะ แล้วก็อย่าใกล้จนเกินไป ระวังอย่าเหยียบย่ำพืชพันธุ์ต้นเล็ก ๆ ที่เพิ่งขึ้นตามพื้นดิน ห้ามโยกย้ายก้อนหินน้อยใหญ่จากที่ของมัน เพราะวันนี้เราจะเริ่มทำกับดักกันตรงนี้นี่แหละ หลังจากนั้นข้าจะพาพวกท่านไปดักจับกระต่าย และขอให้จำไว้ว่า เรามาเพื่อจับแค่กระต่ายเท่านั้น หากว่าเจอสัตว์ชนิดอื่น โดยเฉพาะสัตว์ใหญ่ อย่าตื่นตระหนกเป็นเด็ดขาด ให้รีบวิ่งมาบอกข้าเลย เพราะถ้าหากว่าใครเผลอร้องโหวกเหวกเสียงดังเข้า ข้าคงไปช่วยไม่ทัน และถ้าเกิดเป็นอะไรไป ข้าก็ไม่มีกำลังพอจะไปรับผิดชอบอะไรท่านด้วย”

ชายทั้ง 11 ส่งสัญญาณตอบรับ แล้วมู่หยางหลิงก็หันไปหาหลิวถิงกับหลิวหยวน “น้าชายทั้งสอง จัดการตามแผนได้เลย กลุ่มนึงขุดหลุม ส่วนอีกกลุ่มนึงให้ขึงเชือกทำกับดัก

ในขณะที่มู่หยางหลิงสอนวางกับดักไปอย่างช้า ๆ นางก็พยายามสอดสายตาระแวดระวังรอบ ๆ บริเวณนั้นไปด้วย พอพวกหนุ่ม ๆ ทำกับดักกันเสร็จ นางก็เข้าไปตรวจดูก่อนรอบนึง จากนั้นก็หยิบกับดักที่ทำไว้เสร็จแล้วขึ้นมา และส่งสัญญาณว่า “ไปทางฝั่งตะวันออกกันได้เลย ระวังอย่าเหยียบกับดักเข้านะ ตั้งใจดูไว้ว่าข้าอำพลางรอยเท้ายังไง แล้วก็ทำตามไปด้วย พวกท่านต้องไม่ลืมว่า เราสังเกตรอยเท้าของสัตว์ได้ สัตว์ก็สังเกตุรอยเท้าของเราได้เช่นกัน ดังนั้น ก่อนที่เราจะออกจากที่นี่ ทุกท่านต้องอำพลางรอยเท้าของตัวเองให้หมด มิฉะนั้น ไม่ว่าจะวางกับดักไว้แยบยลเพียงใด ก็เปล่าประโยชน์ ถ้ารอยเท้าของพวกท่านยังหลงเหลืออยู่”

พูดจบ มู่หยางหลิงก็หยิบกิ่งไม้ใบหญ้าร่วน ๆ มากำใหญ่ แล้ววางแหมะลงบนรอยเท้าของทุกคนที่อยู่รอบบริเวณนั้น พอนางพาทุกคนออกห่างจากกับดักมาได้ระยะนึง นางก็พูดขึ้นต่อว่า “อันที่จริงแล้วการล่าสัตว์เนี่ย จำกัดคนไว้ที่ 5 คนต่อ 1 กลุ่มกำลังดี ถ้ามากกว่านี้ การปกปิดรอยเท้ามันก็จะยุ่งยากขึ้น”

หลิวถิงกับหลิวหยวนไม่พูดอะไรมาก เพราะคนอื่น ๆ ยังรวมตัวกันอยู่ตรงนี้มากเกินไป แต่ในใจของพวกเขาก็กังวลอยู่ตลอดว่า ถ้าหากแบ่งกลุ่มออกเป็นกลุ่มละ 5 คน ก็จะต้องผลัดกันหลายต่อ จนเสียเวลากว่าเดิม และด้วยพละกำลังของชาวบ้านพวกนี้ที่มีจำกัด ก็จะทำให้ล่าสัตว์ได้จำนวนน้อยลงไปด้วย

มู่หยางหลิงเองก็เคยคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่นางก็ได้ตัดสินใจแล้ว ว่าจะต้องแบ่งให้ได้ตามนี้ไป เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นจะได้ช่วยเหลือกันทัน

แล้วหลังจากนั้นมู่หยางหลิงก็นำทุกคนไปยังทุ่งโล่งกว้าง นางชี้ไปที่ทุ่งหญ้าโล่งกว้างที่อยู่ด้านหน้านั้นแล้วพูดว่า “พวกท่านเห็นกันหรือยัง ว่าที่นั่นคืออะไร?”

หลิวถิงกลืนน้ำลายอึดใหญ่ แล้วพูดขึ้นว่า “กระต่าย” ใช่แล้ว กระต่ายจำนวนมากเลยล่ะ

มู่หยางหลิงกลอกตามองบนก่อนจะตอบน้าชายกลับไปว่า “ข้ารู้แล้วน้า ว่านั่นคือกระต่าย ข้าแค่อยากให้ทุกท่านดูอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่นั้น ที่มีต้นไม้ใหญ่ขนาบอยู่สองข้างทาง ทางฝั่งตะวันตกก็มีลำธารที่กำลังไหลเชี่ยว ส่วนพวกเราก็หมอบซุ่มกันอยู่ตรงนี้ที่เป็นทิศตะวันออก พูดง่าย ๆ ก็คือ พวกเราสามารถจับกระต่ายได้อย่างง่ายดายไงล่ะ ตาข่ายที่ข้าให้พวกท่านนำมาด้วย พวกท่านนำมันมาแล้วหรือยัง?

หลิวถิงได้ยินดังนั้นก็ชะงักไปครู่นึง ก่อนจะรีบตอบกลับว่า “เอามาแล้ว ๆ” พร้อมทั้งชูของในมือให้นางดู

มู่หยางหลิงพยักหน้า “ดีมากน้า เดี๋ยวข้าขอกำลังคน 3 ให้ช่วยกางตาข่ายออกด้วยกัน แล้วอีก 2 คนให้ถือกระสอบตามข้าเข้าไปในตาข่ายเพื่อจับกระต่ายที่อยู่ด้านใน แล้วใส่ลงกระสอบ”

แต่หลิวถิงยังสงสัยว่า พื้นที่โล่งกว้างขนาดนั้น กับตาข่ายผืนเล็กเท่านี้จะครอบกระต่ายไว้ได้อย่างไร?

“มาเถอะ เดี๋ยวทำดูรอบนึงพวกท่านก็จะเข้าใจเอง”

กระต่ายเป็นสัตว์ที่ขี้ตกใจ แค่ลมพัดต้นหญ้าก็สามารถทำให้พวกมันตกใจกระโดดหนีไปได้ มู่หยางหลิงยื่นกิ่งไม้ให้ชายสองคนที่เดินตามนางมา โดยที่กิ่งไม้นั่นยังมีพวงใบไม้ลูกไม้ติดอยู่ทั้ง 2 กิ่ง พอทั้งสามคนเข้าไปในตาข่าย มู่หยางหลิงก็ส่งสัญญาณให้ชายอีก 2 คนรีบเอากิ่งไม้ต้อนกระต่ายที่กำลังจะหนีออกไปทางช่องโหว่ของทั้งสองฝั่งให้กลับเข้ามารวมอยู่ตรงกลาง โดยที่ไม่ต้องทำให้รุนแรงจนเกินไป แต่ให้ใช้ไม้เคาะเบา ๆ บนพื้น เพื่อให้พวกมันตกใจจนต้องเปลี่ยนทิศทางเท่านั้น

หลิวถิงกับหลิวหยวนมีความหนักแน่นกว่าผู้อื่น มู่หยางหลิงจึงให้พวกเขาไปดักไว้ทางหน้ากับทางหลัง พร้อมทั้งให้หลิวต้าจวงรับผิดชอบฝั่งทางใต้ ส่วนหลิวลี่กับหลิวหย่งมีความคล่องตัวมากที่สุด นางจึงให้พวกเขาติดตามนางเข้าไปช่วยกันจับกระต่าย

“ข้าจะอยู่ฝั่งนี้ น้าลี่ไปทางฝั่งตะวันตก พี่หย่งให้ไปทางฝั่งเหนือ อย่าลืมว่า พอจับได้ให้รีบรวบตัวมันเอาไว้ทันที แล้วกระต่ายตัวนั้นมันจะยอมแพ้ท่านเอง ที่สำคัญก็คือ ต้องจับที่ปากของมันไว้ วันนี้พวกเราลองทำวิธีนี้กันก่อน ถ้าไม่ถนัดจริง ๆ ข้าค่อยคิดหาวิธีอื่นให้”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 57 ร่วมแรงร่วมใจ

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 57 ร่วมแรงร่วมใจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มู่ฉือคิดว่า ถ้าไม่ใช่เพราะความขี้ขลาดของพวกชาวบ้าน พ่อของเขาก็คงไม่ต้องมารับมือกับศึกหนักขนาดนั้น อีกทั้งแม่ของเขายังถูกบีบบังคับให้ออกไปสู้กับโจรพวกนั้นด้วย มู่ฉือจึงโกรธเกลียด และดูหมิ่นในความขี้ขลาดของชาวบ้านมากกว่าเดิม

แต่คนพวกนี้ก็รวมไปถึงญาติฝั่งแม่ของเขาด้วย ซึ่งก็คือญาติของมู่ฉือเองด้วยเหมือนกัน

มู่ฉือนำพวกเขาออกจากป่า

และพบว่าหมู่บ้านถูกเผาโดยชาวหูที่หลบหนีไปได้ เหลือเพียงบ้านไม่กี่หลังเท่านั้นที่ยังรอด

ศึกในครั้งนั้น ทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้านหลินซานต้องตายไปทั้งสิ้น 33 คน รวมถึงพ่อกับแม่ของมู่ฉือด้วย

ในครานั้น หมู่บ้านหลินซานตกอยู่ภายใต้ความสิ้นหวังและความอดอยาก จนหลิวเหอกับหลิวต้าเฉียนต้องมาคุกเข่าขอร้องมู่ฉือให้พาพวกเขาเข้าป่าไปหาอาหาร เพื่อให้คนในหมู่บ้านได้มีชีวิตรอดพ้นฤดูหนาวนี้ไป

แม้ว่ามู่ฉือจะไม่ชอบขี้หน้าพวกเขา แต่สุดท้ายมู่ฉือก็ใจอ่อน และยอมพาพวกเขาเข้าป่าไปด้วย

แต่มีชาวบ้านบางคนที่พอได้เข้าป่าไปด้วยแล้ว พวกเขาดันทำเรื่องที่ขัดต่อจรรยาบรรณนักล่าของมู่ฉือ เนื่องจากพวกเขาไม่ยอมละเว้นชีวิตลูกหมีตัวน้อยที่มาติดกับดัก ทั้งที่ความจริงแล้วเราควรจะปล่อยมันให้กลับไปอยู่กับแม่ของมัน

และยิ่งไปกว่านั้น สัตว์ที่พวกเขาหามาได้ก็ไม่ได้ตกถึงท้องคนในหมู่บ้านเลยด้วย พวกเขาได้อะไรมาจากในป่า ก็จะขนไปขายในเมืองกับในตัวมณฑลจนหมด แถมยังหั่นราคาเรียกลูกค้า ทำให้พ่อค้าของป่าและมู่ฉือเองแทบจะทำมาหากินกันต่อไม่ได้

ดังนั้นพอถึงช่วงสิ้นปี มู่ฉือก็โบกมือลาคนในหมู่บ้านหลินซานทันที หลิวเหอรู้สึกผิดต่อเรื่องนี้มาก เขาจึงไปพาตัวพวกขายของเถื่อนพวกนั้นมาคุกเข่าลงตรงหน้าบ้านของมู่ฉือ แต่มู่ฉือก็ไม่สนใจ

และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้มู่ฉือย้ายเข้าไปอยู่ในเขาฉูซาน แต่ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ มู่ฉือก็คงไม่มีโอกาสได้พบกับซู่หว่านเหนียงเป็นแน่

เนื่องจากซู่หว่านเหนียงเข้าไปหาของป่าในเขาฉูซาน และพลาดท่าจนเกือบตาย โชคดีที่ได้มู่ฉือช่วยชีวิตไว้ และนำกลับมาส่งที่หมู่บ้านหลินซาน

หลิวเหอกับผู้อาวุโสในหมู่บ้านยังรู้สึกละอายใจ จึงได้นัดแนะชาวบ้านกับมู่ฉือให้มาทำข้อตกลงกัน ว่าถ้าภายในหมู่บ้านเกิดเรื่องอันตรายขึ้นอีก เราจะไม่ไปรบกวนตระกูลมู่ รวมถึงห้ามกระทำการสร้างเรื่องใส่ร้ายป้ายสีคนตระกูลมู่ และห้ามบีบบังคับให้คนตระกูลมู่พาเข้าป่าเพื่อแสวงผลประโยชน์ส่วนตนอีก

และเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้มีคนละเมิดกฎ หลิวเหอจึงกำชับอีกว่า ห้ามผู้ใดแสวงหาผลประโยชน์กับตระกูลมู่เด็ดขาด ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม

ดังนั้น มู่ฉือจึงต้องวิ่งเข้าไปซื้อข้าวซื้อบะหมี่ในเมืองแทน ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาสามารถแลกเปลี่ยนอาหารกับคนในหมู่บ้านได้ และถึงแม้ว่าชาวบ้านในหมู่บ้านหลินซานจะกระหายเนื้อสัตว์เพียงใด ก็ไม่มีใครกล้ามาขอหรือแลกเปลี่ยนกับบ้านตระกูลมู่อีกเลย

แม้แต่เนื้อที่มู่ฉือส่งเป็นของขวัญต้อนรับปีใหม่หรือวันสำคัญประจำปี ก็ไม่มีใครกล้ารับไปเลยซักคน

จนมู่ฉือกับชาวบ้านในหมู่บ้านหลินซานไม่ได้ติดต่ออะไรกันอีก ทำให้ส่วนใหญ่มู่ฉือจะใช้เวลาไปกับการเข้าป่า หาของไปขายในตลาด และอยู่ดูแลภรรยาที่บ้านเท่านั้น

แต่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้ ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลมู่กับชาวบ้านในหมู่บ้านหลินซานนั้นเริ่มพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น เพราะมู่หยางหลิงกับเสี่ยวปั๋วเหวินนั่นเอง

เนื่องจากเด็กสองคนนี้มักจะเข้าไปเดินเล่นในหมู่บ้าน ผ่านไปไม่นาน เด็กทั้งสองคนก็เริ่มคุ้นเคยสนิทสนมกับคนในหมู่บ้านหลินซาน แต่ความสัมพันธ์ของคนตระกูลมู่กับชาวบ้านในหมู่บ้านหลินซานก็ยังถูกจำกัดไว้เพียงเท่านี้

เพราะมู่ฉือกับซู่หว่านเหนียงจะไม่ค่อยออกมาพบปะผู้คนซักเท่าไหร่

มู่หยางหลิงเอ่ยถามพ่อทั้งน้ำตา “แล้วตอนนี้ท่านพ่อยังโทษพวกเขาอยู่อีกหรือไม่?”

มู่ฉือตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่แล้วล่ะ”

แต่พอมู่หยางหลิงเห็นท่าทางของพ่อ นางก็ไม่ได้ปักใจเชื่อในทันที

“เจ้าอยากจะยื่นมือเข้าช่วยเด็ก ๆ พวกนั้น เจ้าก็ทำไปเถอะ ไม่ต้องไปสนใจอะไรมากหรอก” มู่ฉือยกมือขึ้นลูบหัวลูกสาว แล้วพูดต่อ “ใครใช้ให้คนตระกูลมู่จิตใจดีขนาดนี้ล่ะ เนอะ?”

มู่หยางหลิงตื้นตันจนพูดไม่ออก

เสี่ยวปั๋วเหวินที่นั่งฟังเรื่องราวตั้งแต่ต้นทั้ง ๆ ที่ไม่เข้าใจอะไรมากนัก แต่พอได้ยินประโยคสุดท้ายของพ่อ เขาก็พยักหน้ารัว ๆ “แน่นอนสิขอรับ ก็พวกเราจิตใจดีนี่นา”

“แม่ มาดูนี่สิจ้ะ ท่านพ่อสอนให้น้องหลงตัวเองใหญ่แล้ว”

ซู่หว่านเหนียงเห็นดังนั้น นางก็ได้แต่ปิดปากอมยิ้ม

แม้ว่าปากของมู่ฉือจะบอกว่าไม่สนใจชาวบ้านในหมู่บ้านหลินซาน แต่เขาก็ยังพามู่หยางหลิงเข้าป่าไปเพื่อทำเครื่องหมายจุดปลอดภัยและจุดอันตรายเอาไว้ให้ “ถ้าเป็นพื้นที่ป่าลึกเนี่ย ห้ามเข้าไปเด็ดขาดเลยนะ ไม่รู้ว่าหมีดำตัวนั้นกับพวกหนอนตัวใหญ่ ๆ จะยังอยู่หรือเปล่า ในตอนที่เจ้าพาพวกเขาเข้าป่าไป เจ้าจะต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา และถ้าหากว่าสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ไม่ชอบมาพากล เจ้าต้องรีบพาพวกเขาออกมาให้เร็วที่สุด”

มู่หยางหลิงพยักหน้าตอบรับ “ท่านพ่อโปรดวางใจ ความปลอดภัยต้องมาก่อน ข้าจะระวังให้มากที่สุด”

มู่ฉือมองหน้าลูกสาวด้วยสีหน้าพึงพอใจ “เจ้ามีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นนะ คิดไตร่ตรองอะไรเองได้หมดแล้ว” แม้ว่านับวันลูกสาวของเขาจะเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่ง แต่มู่ฉือก็ยังรู้สึกดีใจที่ลูกสาวของเขาฉลาดหลักแหลมกว่าเด็กคนอื่น ๆ

เมื่อถึงวันนัดหมาย มู่หยางหลิงนำชาวบ้านกลุ่มแรกเข้าไปยังหุบเขา และพอถึงข้างในหุบเขา นางก็จัดการแบ่งกลุ่มออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มนึงมี 5 คน อีกกลุ่มนึงมี 6 คน ส่วนหลิวถิงกับหลิวหยวนจะทำหน้าที่รับผิดชอบกันไปคนละกลุ่ม “พวกท่านกระจายกันออกไปได้เลย แต่อย่าออกไปไกลเกินขอบเขตนะ แล้วก็อย่าใกล้จนเกินไป ระวังอย่าเหยียบย่ำพืชพันธุ์ต้นเล็ก ๆ ที่เพิ่งขึ้นตามพื้นดิน ห้ามโยกย้ายก้อนหินน้อยใหญ่จากที่ของมัน เพราะวันนี้เราจะเริ่มทำกับดักกันตรงนี้นี่แหละ หลังจากนั้นข้าจะพาพวกท่านไปดักจับกระต่าย และขอให้จำไว้ว่า เรามาเพื่อจับแค่กระต่ายเท่านั้น หากว่าเจอสัตว์ชนิดอื่น โดยเฉพาะสัตว์ใหญ่ อย่าตื่นตระหนกเป็นเด็ดขาด ให้รีบวิ่งมาบอกข้าเลย เพราะถ้าหากว่าใครเผลอร้องโหวกเหวกเสียงดังเข้า ข้าคงไปช่วยไม่ทัน และถ้าเกิดเป็นอะไรไป ข้าก็ไม่มีกำลังพอจะไปรับผิดชอบอะไรท่านด้วย”

ชายทั้ง 11 ส่งสัญญาณตอบรับ แล้วมู่หยางหลิงก็หันไปหาหลิวถิงกับหลิวหยวน “น้าชายทั้งสอง จัดการตามแผนได้เลย กลุ่มนึงขุดหลุม ส่วนอีกกลุ่มนึงให้ขึงเชือกทำกับดัก

ในขณะที่มู่หยางหลิงสอนวางกับดักไปอย่างช้า ๆ นางก็พยายามสอดสายตาระแวดระวังรอบ ๆ บริเวณนั้นไปด้วย พอพวกหนุ่ม ๆ ทำกับดักกันเสร็จ นางก็เข้าไปตรวจดูก่อนรอบนึง จากนั้นก็หยิบกับดักที่ทำไว้เสร็จแล้วขึ้นมา และส่งสัญญาณว่า “ไปทางฝั่งตะวันออกกันได้เลย ระวังอย่าเหยียบกับดักเข้านะ ตั้งใจดูไว้ว่าข้าอำพลางรอยเท้ายังไง แล้วก็ทำตามไปด้วย พวกท่านต้องไม่ลืมว่า เราสังเกตรอยเท้าของสัตว์ได้ สัตว์ก็สังเกตุรอยเท้าของเราได้เช่นกัน ดังนั้น ก่อนที่เราจะออกจากที่นี่ ทุกท่านต้องอำพลางรอยเท้าของตัวเองให้หมด มิฉะนั้น ไม่ว่าจะวางกับดักไว้แยบยลเพียงใด ก็เปล่าประโยชน์ ถ้ารอยเท้าของพวกท่านยังหลงเหลืออยู่”

พูดจบ มู่หยางหลิงก็หยิบกิ่งไม้ใบหญ้าร่วน ๆ มากำใหญ่ แล้ววางแหมะลงบนรอยเท้าของทุกคนที่อยู่รอบบริเวณนั้น พอนางพาทุกคนออกห่างจากกับดักมาได้ระยะนึง นางก็พูดขึ้นต่อว่า “อันที่จริงแล้วการล่าสัตว์เนี่ย จำกัดคนไว้ที่ 5 คนต่อ 1 กลุ่มกำลังดี ถ้ามากกว่านี้ การปกปิดรอยเท้ามันก็จะยุ่งยากขึ้น”

หลิวถิงกับหลิวหยวนไม่พูดอะไรมาก เพราะคนอื่น ๆ ยังรวมตัวกันอยู่ตรงนี้มากเกินไป แต่ในใจของพวกเขาก็กังวลอยู่ตลอดว่า ถ้าหากแบ่งกลุ่มออกเป็นกลุ่มละ 5 คน ก็จะต้องผลัดกันหลายต่อ จนเสียเวลากว่าเดิม และด้วยพละกำลังของชาวบ้านพวกนี้ที่มีจำกัด ก็จะทำให้ล่าสัตว์ได้จำนวนน้อยลงไปด้วย

มู่หยางหลิงเองก็เคยคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่นางก็ได้ตัดสินใจแล้ว ว่าจะต้องแบ่งให้ได้ตามนี้ไป เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นจะได้ช่วยเหลือกันทัน

แล้วหลังจากนั้นมู่หยางหลิงก็นำทุกคนไปยังทุ่งโล่งกว้าง นางชี้ไปที่ทุ่งหญ้าโล่งกว้างที่อยู่ด้านหน้านั้นแล้วพูดว่า “พวกท่านเห็นกันหรือยัง ว่าที่นั่นคืออะไร?”

หลิวถิงกลืนน้ำลายอึดใหญ่ แล้วพูดขึ้นว่า “กระต่าย” ใช่แล้ว กระต่ายจำนวนมากเลยล่ะ

มู่หยางหลิงกลอกตามองบนก่อนจะตอบน้าชายกลับไปว่า “ข้ารู้แล้วน้า ว่านั่นคือกระต่าย ข้าแค่อยากให้ทุกท่านดูอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่นั้น ที่มีต้นไม้ใหญ่ขนาบอยู่สองข้างทาง ทางฝั่งตะวันตกก็มีลำธารที่กำลังไหลเชี่ยว ส่วนพวกเราก็หมอบซุ่มกันอยู่ตรงนี้ที่เป็นทิศตะวันออก พูดง่าย ๆ ก็คือ พวกเราสามารถจับกระต่ายได้อย่างง่ายดายไงล่ะ ตาข่ายที่ข้าให้พวกท่านนำมาด้วย พวกท่านนำมันมาแล้วหรือยัง?

หลิวถิงได้ยินดังนั้นก็ชะงักไปครู่นึง ก่อนจะรีบตอบกลับว่า “เอามาแล้ว ๆ” พร้อมทั้งชูของในมือให้นางดู

มู่หยางหลิงพยักหน้า “ดีมากน้า เดี๋ยวข้าขอกำลังคน 3 ให้ช่วยกางตาข่ายออกด้วยกัน แล้วอีก 2 คนให้ถือกระสอบตามข้าเข้าไปในตาข่ายเพื่อจับกระต่ายที่อยู่ด้านใน แล้วใส่ลงกระสอบ”

แต่หลิวถิงยังสงสัยว่า พื้นที่โล่งกว้างขนาดนั้น กับตาข่ายผืนเล็กเท่านี้จะครอบกระต่ายไว้ได้อย่างไร?

“มาเถอะ เดี๋ยวทำดูรอบนึงพวกท่านก็จะเข้าใจเอง”

กระต่ายเป็นสัตว์ที่ขี้ตกใจ แค่ลมพัดต้นหญ้าก็สามารถทำให้พวกมันตกใจกระโดดหนีไปได้ มู่หยางหลิงยื่นกิ่งไม้ให้ชายสองคนที่เดินตามนางมา โดยที่กิ่งไม้นั่นยังมีพวงใบไม้ลูกไม้ติดอยู่ทั้ง 2 กิ่ง พอทั้งสามคนเข้าไปในตาข่าย มู่หยางหลิงก็ส่งสัญญาณให้ชายอีก 2 คนรีบเอากิ่งไม้ต้อนกระต่ายที่กำลังจะหนีออกไปทางช่องโหว่ของทั้งสองฝั่งให้กลับเข้ามารวมอยู่ตรงกลาง โดยที่ไม่ต้องทำให้รุนแรงจนเกินไป แต่ให้ใช้ไม้เคาะเบา ๆ บนพื้น เพื่อให้พวกมันตกใจจนต้องเปลี่ยนทิศทางเท่านั้น

หลิวถิงกับหลิวหยวนมีความหนักแน่นกว่าผู้อื่น มู่หยางหลิงจึงให้พวกเขาไปดักไว้ทางหน้ากับทางหลัง พร้อมทั้งให้หลิวต้าจวงรับผิดชอบฝั่งทางใต้ ส่วนหลิวลี่กับหลิวหย่งมีความคล่องตัวมากที่สุด นางจึงให้พวกเขาติดตามนางเข้าไปช่วยกันจับกระต่าย

“ข้าจะอยู่ฝั่งนี้ น้าลี่ไปทางฝั่งตะวันตก พี่หย่งให้ไปทางฝั่งเหนือ อย่าลืมว่า พอจับได้ให้รีบรวบตัวมันเอาไว้ทันที แล้วกระต่ายตัวนั้นมันจะยอมแพ้ท่านเอง ที่สำคัญก็คือ ต้องจับที่ปากของมันไว้ วันนี้พวกเราลองทำวิธีนี้กันก่อน ถ้าไม่ถนัดจริง ๆ ข้าค่อยคิดหาวิธีอื่นให้”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+