อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 9 ตกตะลึง

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 9 ตกตะลึง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

สุดท้ายคนที่ทำกับข้าวก็กลายเป็นซู่หว่านเหนียง ซู่หว่านเหนียงไม่ได้เป็นลูกคุณหนูเหมือนเมื่อสิบปีก่อนอีกต่อไปแล้ว สามีมู่ฉือก็ดูแลเอาใจใส่นางเป็นอย่างดีมาโดยตลอด ซึ่งทำให้ซู่หว่านเหนียงไม่อาจทนดูสามีต้องทำงานหนักขนาดนั้นได้อีกต่อไป ส่วนตัวเองนั้นก็ใช้ชีวิตอยู่ในโลกของตัวเองโดยไม่สนใจใครไม่ได้เช่นกัน

มู่ฉือหยิบเงินเก็บทั้งหมดที่ครอบครัวมีออกมานับดูแล้ว ทั้งบ้านมีเงินอยู่ทั้งหมดเจ็ดตำลึงเงินห้าก้วนกว่า เงินที่ไม่ถึงหนึ่งก้วนถูกเขาแยกวางไว้ข้างๆ เขานั่งไขว่ขาอยู่บนที่นอน ตาได้แต่จ้องมองเงินเจ็ดตำลึงห้าก้วนด้วยอาการเหม่อลอย

ซู่หว่านเหนียงพยุ่งท้องเดินเข้าไปเห็นเข้าก็ถามว่า " เงินภาษีที่ต้องจ่ายก็แค่หกตำลึงเงินไม่ใช่เหรอ บ้านของเรามีครบแล้วนี่ เจ้ายังจะต้องกังวลเรื่องอะไรอีก"

มู่ฉือขมวดคิ้ว “ ร้านธัญพืชในตัวตำบลราคาขึ้นอีกแล้ว ข้ากล้วว่าชายแดนน่าจะไม่มั่นคงอีก ” มู่ฉือมองไปที่ท้องใหญ่ของซู่หว่านเหนียงรู้สึกหมองใจเล็กน้อย เขาพูดต่ออย่างกังวล “ หรือว่าพวกเราไปหลบซ่อนตัวทางทิศใต้สักพักไหม ”

" จะเป็นไปได้อย่างไร " ซู่หว่านเหนียงถึงกับตกใจจนสีหน้าเปลี่ยนไป " มู่ฉือ หลังจากออกไปจากบ้านเกิดแล้วจะกลับมามันเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากเลยนะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงค่าใช้จ่ายต่างๆที่ต้องใช้และตอนนี้ที่บ้านเรามีเพียงเงินแค่หนึ่งตำลังเงินกว่าๆจะไปทำอะไรได้ "

มู่ฉือจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าภรรยาตัวหนักขึ้นทุกวัน สุขภาพของลูกชายก็ไม่ดีเท่าไร ถ้าพวกเขาอยากหนีไปทางทิศใต้ อย่างน้อยพวกเขาต้องมีรถลาลากคันหนึ่ง แต่ตอนนี้บ้านของพวกเขาไม่มีอะไรเลยนอกจากรถเข็นคันหนึ่ง

การออกนอกเมืองแบบนี้ ต่อให้เอาธัญพืชของบ้านตัวเองไปด้วย แล้วพวกกับข้าวล่ะ ที่พักอาศัยล่ะ รวมไปถึงค่าเข้าเมืองต่างๆล่ะ ทั้งหมดนี้แต่ละอย่างล้วนต้องใช้เงินทั้งนั้น ท้องของภรรยาก็เจ็ดเดือนแล้ว กลัวการกระแทกมากที่สุด …

แต่ใจของมู่ฉือกำลังรู้สึกลุกลี้ลุกลนมาก นี่เป็นความตื่นตัวที่ต้องเผชิญหน้ากับความอันตรายที่จะเกิดขึ้นเท่านั้น ซึ่งความรู้สึกนี้เขาไม่เคยคิดพลาดมาก่อนเลย

มู่ฉือรู้สึกคอและปากแห้งเล็กน้อย จึงเทน้ำยกขึ้นดื่มถ้วยหนึ่ง จากนั้นก็ลูบท้องแหลมๆของภรรยาแล้วกัดฟันพูดว่า " ถ้าเช่นนั้นพวกเราตุนเสบียงไว้เยอะหน่อย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นมาจริงๆก็วิ่งเข้าป่าขึ้นไปบนภูเขากัน "

ซู่หว่านเหนียงหลุบตาลง “ แต่บนภูเขาก็มีสัตว์ร้ายมากมาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ที่บ้านเหลือเงินเพียงแค่หนึ่งตำลึงเงินกว่าๆเท่านั้นเอง หลังจากจ่ายภาษีแล้ว จะซื้อเสบียงอาหารได้เท่าไรกัน

มู่ฉือรู้สึกท้อแท้มากและเขาจำเป็นต้องเตรียมเงินไว้จำนวนหนึ่งสำหรับการคลอดลูกของภรรยา เพราะครั้งสุดท้ายที่ภรรยาให้กำเนิดลูกชายก็อันตรายมากแล้ว ทำให้เขาไม่สามารถใช้เงินทั้งหมดที่บ้านมีจนหมดได้

ซู่หว่านเหนียงยิ้มออกมาพร้อมกับยื่นมือไปลูบมือใหญ่ๆของเขาแล้วพูดเบาๆว่า " นำเงินไปจ่ายค่าภาษีก่อน รถถึงเขาย่อมมีทางเสมอ เมื่อถึงเวลานั้นจริงๆพวกเราก็เดินตามคนในหมู่บ้านไป "

“ แต่ร่างกายของเจ้า … ”

" ร่างกายของข้าไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เจ้าคิด" ซู่หว่านเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม " ข้ารู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องกังวลขนาดนั้น ถึงเวลานั้นมีเจ้าปกป้องพวกเราแม่ลูก อย่างไงก็ดีกว่าคนอื่นๆแน่นอน " ซู่หว่านเหนียงไม่ได้กังวลอะไรมากเหมือนมู่ฉือ ชีวิตของคนเราก็ต้องเจอกับอุปสรรคบ้างเป็นเรื่องธรรมดา

ถ้านึกถึงเมื่อสิบปีก่อน นางไม่เคยคิดมาก่อนว่านางจะลงครัวไปทำกับข้าว เป็นหญิงออกไปขายของ แม้กระทั่งลงนาปลูกผัก และยังต้องไปซักผ้าริมแม่น้ำ ในตอนนั้นเมื่อคิดถึงว่าต้องใช้ชีวิตเช่นนี้นางก็จะคิดว่าขอไปตายซะดีกว่า.

แต่เมื่อความจริงมาถึงกลับรู้สึกว่าชีวิตแบบนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายหรือไม่ดีตรงไหน ถึงแม้ร่างกายจะเหนื่อยหน่อยแต่ทางด้านจิตใจกลับมีความสุขมาก หลังจากที่เคยชินกับสิ่งเหล่านี้แล้ว ความรู้สึกทึ่ว่าเหนื่อยก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรแล้วเช่นกัน

แค่ตอนนี้รู้สึกว่าการหลบหนีเป็นเรื่องที่ลำบากไม่น้อย แต่เมื่อถึงเวลานั้นจริงๆก็ไม่น่าจะยากที่จะยอมรับมัน ซู่หว่านเหนียงเป็นคนที่คิดดีมาโดยตลอด

มู่ฉือรู้สึกกังวลเรื่องของภรรยามาโดยตลอด ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างหนัก ดังนั้นเขาจึงคิดในใจว่าพรุ่งนี้เขาจะเอาขนหนังสัตว์ทั้งหมดที่บ้านมีอยู่เข้าไปขายที่ในตัวตำบล ที่บ้านจะได้มีเงินเหลือไว้ใช้ฉุกเฉินให้มากที่สุด

มู่ปั๋วเหวินถือตำรา " ซานจื้อจิง"ไว้ในอ้อมแขน กำลังส่ายหัวไปมาท่องอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ มู่หยางหลิงนั่งอยู่หน้าประตูฟังการสนทนาของท่านพ่อกับท่านแม่ด้วยความเหม่อลอย

จะมีวิธีไหนหาเงินได้อย่างรวดเร็วมั้ยหนอ

มู่หยางหลิงกำลังใช้ความรู้และประสบการณ์ของตัวเองทั้งสองชาติในการคิดอย่างรอบคอบ ผลที่ได้ก็คือการปล้น!

มู่หยางหลิงกระตุกมุมปากเล็กน้อยแล้วลบความคิดนี้ทิ้งอย่างถอนหายใจ ทิ้งปัญหาและประเด็นที่ลึกซึ้งเช่นนี้ให้ท่านพ่อไปคิดเอาเองดีกว่า

เมื่อกี้เธอกำลังนับนิ้วมือถึงความสามารถและความชำนาญของตัวเองมีอะไรบ้าง ผลสรุปก็คือนอกจากการต่อสู้การใช้กำลังแล้วก็ไม่มีอะไรเลย สำหรับความรู้เกี่ยวกับกลไกต่างๆและความรู้เกี่ยวกับการทำสงครามที่เธอเรียนมาในมหาวิทยาลัย สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถใช้ได้กับการหาเงินเลย สามารถบอกได้เลยว่าสิ่งที่เธอเรียนรู้มานั้นไม่มีประโยชน์อะไรต่อยุคนี้เลย

การผลิตคิดค้นเครื่องจักรกลทำขึ้นมาจากเหล็กกล้าไร้สนิมและเครื่องจักรที่มีความซับซ้อนต่างๆในการทำสงคราม ซึ่งเธอได้เรียนรู้รูปแบบการทำสงครามที่ทันสมัยถ้าเอาวิทยุให้เธอเครื่องหนึ่ง เธออาจจะเปลี่ยนฟังก์ชันให้เป็นการสื่อสารได้แต่ตอนนี้ที่นี่จะใช้ประโยชน์อะไรได้

ปืนและกระสุนถ้าให้เวลาเธอสำรวจหน่อย บางทีเธออาจจะสามารถสร้างมันขึ้นมาได้อยู่ แต่การสร้างอาวุธที่รุนแรงในยุคนี้ จะทำให้ประชาชนในยุคนี้คิดว่าเป็นการทำลายล้างโลกก็ได้ ซึ่งเธอไม่ได้บ้าคลั่งขนาดนั้น

ดังนั้นผลสรุปคือ นอกจากการต่อสู้กับการล่าสัตว์แล้วเธอไม่มีความสามารถอะไรเลย ทำกับข้าวก็ทำได้แค่ผักกาดขาวผัดใส่ไข่ไก่เท่านั้น ยังเป็นการผัดเฉยๆ ก็คือใส่แค่น้ำมันกับเกลือเท่านั้น

มู่หยางหลิงรู้สึกตะขิตตะขวงเล็กน้อย รู้สึกว่าตัวเองนั้นใช้ชีวิตอย่างไร้ประโยชน์มาชาติหนึ่งแล้ว ชาตินี้เธอยังไม่สามารถช่วยเหลืออะไรครอบครัวได้เลย

ขณะที่มู่หยางหลิงกำลังรู้สึกตะขิตขะขวงนั้น มู่ปั๋วเหวินก็เรียกขึ้นมาอย่างเสียงเบาว่า "ต้าจิ่วเย่"

เมื่อมู่หยางหลิงดึงสติกลับมาได้ก็เห็นหลิวต้าเฉียนยืนอยู่ที่ประตูอย่างลังเลที่จะเดินเข้ามา

ทำให้หลิวต้าเฉียนสบตาเข้ากับมู่หยางหลิงจึงยิ้มขึ้นมาอย่างเขินอายแล้วถามว่า " อาหลิง ท่านพ่อกับท่านแม่เจ้าล่ะ "

มู่หยางหลิงรีบต้อนรับหลิวต้าเฉียนเข้ามา " ต้าจิ่วเย่ ท่านพ่อกับท่านแม่อยู่ข้างในบ้าน ท่านรีบเข้ามานั่งก่อน"

มู่ฉือและซู่หว่านเหนียงที่อยู่ในห้องได้ยินเสียงจึงรีบเก็บเงิน มู่ฉือส่งเงินไปให้ซู่หว่านเหนียงแล้วพูดว่า " ข้าออกไปต้อนรับก่อน"

ซู่หว่านเหนียงพยักหน้า

หลิวต้าเฉียนเป็นลุงของมู่ฉือแท้ๆ ดังนั้นมู่ฉือจึงเชิญหลิวต้าเฉียนเข้าบ้านด้วยความเคารพ และซูหว่านเหนียงก็รินชาให้เขาหนึ่งชาม

ถ้าไม่มีอะไรคนอย่างหลิวต้าเฉียนไม่มาเหยียบถึงที่นี้เป็นอันขาด เขาเหลือบมองสังเกตภายในบ้าน เห็นทุกอย่างที่จัดวางยังเหมือนกับตอนที่น้องสาวยังมีชีวิตอยู่ แม้แต่โต๊ะหรือเก้าอี้ก็ไม่มีเพิ่มมาแม้แต่ตัวเดียว แล้วถอนหายใจเล็กน้อย เขารู้ดีว่าชีวิตของหลานชายคนนี้ไม่ค่อยดีนัก แม้ว่าจะหาเงินได้มาก แต่ก็มีค่าใช้จ่ายมากเช่นกัน

ได้แต่งงานกับลูกคุณหนูคนหนึ่งที่ถูกเลี้ยงดูด้วยความเอาแต่ใจ ถึงแม้หน้าตาจะไม่เลวแต่ภรรยาของหลานชายคนนี้ก็เป็นเด็กที่ต้องกินยามาโดยตลอด วันสองวันก็ต้องหาหมอกินยา แต่ไม่ว่าจะเลวร้ายแค่ไหนก็ยังดีกว่าครอบครัวของตนมาก

หลิวต้าเฉียนกำมือของตัวเองแน่น อ้าปากค้างแต่ก็ไม่รู้จะพูดมันออกมายังไง

มู่ฉือพูดขึ้นว่า " ท่านลุงใหญ่ ลุงใหญ่มีอะไรก็พูดออกมาเถอะถ้าข้าสามารถช่วยได้ข้าก็จะช่วย " หลิวต้าเฉียนไม่ได้มาที่บ้านของพวกเขาบ่อยนัก ต่อให้จะมีเรื่องอะไรเขาก็มักจะให้หลานชายของเขามาเรียกมู่ฉือไปคุยที่บ้านตระกูลหลิว ในช่วงตรุษจีนหรือเทศกาลอื่นๆเขาก็จะให้เด็กๆหรือลูกชายของตัวเองมาเท่านั้น ครั้งสุดท้ายที่เขามาที่บ้านก็ตอนที่มู่ปั๋วเหวินเกิดเพราะนั้นได้แสดงว่าเขามีผู้สืบทอดแล้ว

หลิวต้าเฉียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก ปล่อยไหล่ลงแล้วพูดว่า " มู่ฉือ เงินภาษีของบ้านเจ้าเตรียมไปถึงไหนแล้ว "

" เป็นเพราะตอนเช้าวันนี้มีหมูป่าตัวหนึ่งติดกับดักตกลงไปในหลุมถึงได้มาครบ"

หลิวต้าเฉียนหายใจเข้าลึกๆจนใบหน้าแดงก่ำ แต่เขายังคงพูดต่อว่า " พี่ชายกับน้องชายของเจ้ายังไม่รู้ว่าจะไปหาเงินภาษีที่ไหนเลย ลุงใหญ่ก็รู้ว่าเจ้าลำบาก ที่ลุงใหญ่มาหาก็แค่อยากถามดูว่าเจ้าพอมีเงินเหลือช่วยพวกเขาหน่อยไหม … "

หลิวต้าเฉียนไม่ค่อยได้ขอความช่วยเหลือจากเขาเท่าไร ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากมากที่จะเปิดปากขอความช่วยเหลือจากเขา

แต่มู่ฉือกลับรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “ ท่านลุงใหญ่ บ้านของลุงใหญ่มีนำส่งข้าวสารธัญพืชไม่ใช่เหรอทำไมยังต้องจ่ายภาษีอีก”

หลิวต้าเฉียนถอนหายใจแล้วพูดอย่างเศร้าๆว่า “ ไม่ถือว่าเป็นเงินภาษีแต่เป็นเงินค่าแรง ปีที่แล้วค่าแรงสามารถใช้ข้าวสารแทนได้ แต่ปีนี้ราคาข้าวลดลงไปเท่าตัว ค่าแรงก็บังคับให้จ่ายด้วยเงินเท่านั้น วันนี้พี่ชายของเจ้าไปหารือกับขุนนางหลวงแต่เช้าแล้ว ราคาข้าวสารกระสอบหนึ่งสี่ก้วนยี่สิบอีแปะเท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าปีที่แล้วถึงหนึ่งก้วน พวกเราเลยขายไม่ลง"

มู่ฉือช็อกด้วยความตกใจ " ทำไมถึงได้น้อยเช่นนี้ วันนี้ข้าไปซื้อข้าวที่ในตัวตำบล ข้าวราคากลางยังหนึ่งตำลึงเงินสามก้วนกว่า … "

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด