อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 58 ค้นพบ

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 58 ค้นพบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ทุกคนเตรียมพร้อมและเริ่มกางตาข่ายล้อมกระต่ายไว้ตรงกลางอย่างช้า ๆ

มู่หยางหลิง หลิวลี่และหลิวหย่งค่อย ๆ ย่องเข้าไปจับกระต่ายที่อยู่ตรงกลางวง

พอกระต่ายเห็นคนเดินเข้ามา มันก็ตื่นตระหนกจนวงแตก พากันหนีเตลิดเปิดเปิง แต่ด้วยความรวดเร็วของสายตาและมือเท้าของมู่หยางหลิง นางคว้าตัวกระต่ายได้แล้วจับยัดใส่ถุงผ้าของนางได้อย่างชำนาญ จากนั้นก็เดินหน้าหาตัวต่อไป

มู่หยางหลิงมีวิชากังฟูอยู่ในตัว นางจึงทำอะไรได้อย่างคล่องแคล่วและดูเหมือนมันเป็นเรื่องที่ง่ายมากสำหรับนาง ทำเอาหลิวลี่กับหลิวหย่งรู้สึกอายเล็กน้อยที่ทำไม่ได้

พวกเขาทั้งสองคนก็จับกระต่ายขึ้นมาได้คนละตัว แต่ความรวดเร็วพวกของเขาก็ยังเทียบมู่หยางหลิงไม่ติด เพราะพวกเขาต้องล้มลุกคุกคลานไปสามตลบถึงจะจับได้ซักทีนึง จนพวกเขาเริ่มรู้สึกเหนื่อยหอบ ทั้ง ๆ ที่เพิ่งเริ่มไปได้ไม่ถึง 30 นาที

มู่หยางหลิงจึงตะโกนมาทางพวกเขาทั้ง 2 คนว่า “ถ้าไม่ไหวกันแล้ว ก็ไปยืนดักทางช่องโหว่ของตาข่ายก่อน พอหายเหนื่อยแล้วค่อยมาจับต่อ”

หลิวลี่กับหลิวหย่งได้ยินดังนั้นก็เดินเข้าไปอุดตามช่องโหว่ของตาข่าย แล้วอ้าแขนต้อนกระต่ายที่อยู่รอบนอกให้กลับเข้าไปรวมอยู่ตรงกลาง

พอตาข่ายครอบกระต่ายไว้สนิท พวกเขาก็ค่อย ๆ เคลื่อนตาข่ายไปใกล้ ๆ ลำธาร ทำให้กระต่ายที่อยู่ด้านในหมดทางหนี เพราะถึงพวกมันจะกลัวคนแค่ไหน แต่ก็ไม่กล้ากระโดดลงน้ำไปอยู่ดี

เนื่องจากกระต่ายเป็นสัตว์ที่ค่อนข้างกลัวน้ำ

พอมู่หยางหลิงเห็นว่าขอบเขตเริ่มแคบลง นางจึงยกมือขึ้น “หยุดได้! พอแค่นี้แหละ ข้าขอกำลังคน 6 คนคอยยึดตาข่ายไว้ ส่วนที่เหลือให้เข้ามาช่วยกันจับกระต่ายในนี้เลย”

มู่หยางหลิงหยิบก้อนหินทับช่องโหว่ของตาข่ายที่ยังเหลืออยู่ และยังกำชับคนอีก 6 คนที่อยู่รอบนอกว่าให้ใช้เท้าเหยียบมุมตาข่ายไว้ให้แน่นอีกด้วย ส่วนอีก 5 คนที่เหลือก็ช่วยนางจับกระต่ายใส่กระสอบอย่างมันส์มือ

กระต่ายที่ถูกล้อมไว้ในตาข่ายมีมากกว่า 30 ตัว และนี่ก็ถือเป็นครั้งแรกที่หลิวลี่และคนอื่น ๆ ได้ติดตามมู่หยางหลิงเข้ามาล่าสัตว์ เมื่อพวกเขาได้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็ทำให้หัวใจของพวกเขาทุกคนเต้นรัวจนแทบอยากจะหมอบกราบมู่หยางหลิง แล้วทันใดนั้น กระต่ายตัวหนึ่งก็กระโดดหนีลงน้ำไปด้วยความกล้าหาญ แต่พอมันกระโดดลงไปในน้ำได้ มันก็ดิ้นรนกระเสือกกระสนอยู่พักนึง จนหลิวถิงต้องเอื้อมมือลงไปหยิบมันขึ้นมาจากน้ำด้วยความสงสาร

“เอาล่ะ เชิญทุกท่านนั่งพักกันก่อนเถอะ” แล้วจากนั้นมู่หยางหลิงก็ให้หนุ่ม ๆ ช่วยกันมัดปากกระสอบ โดยปล่อยช่องลมไว้ 2-3 ช่องเพื่อให้กระต่ายได้หายใจ แล้วจากนั้นพวกเขาก็นั่งลงข้าง ๆ กระสอบ มองไปยังทุ่งหญ้าโล่งกว้างนั้น “ใน 4 วันต่อจากนี้ ที่ผืนนี้จะไม่มีกระต่ายให้เห็นมากเท่าวันนี้แล้วล่ะ”

หลิวหยวนหัวเราะขึ้น แล้วพูดกับนางว่า “กระต่ายพวกนี้น่ะขี้ขลาดจะตายไป กลัวว่ามันจะตกใจตายไปซะก่อนนี่สิ เอ้อ อาหลิง ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่แบบนี้ยังมีอีกเยอะหรือไม่ในหุบเขาแห่งนี้น่ะ?”

“มีไม่มากหรอกน้า ถ้าเป็นพื้นที่อื่นเนี่ย พวกเราเข้าไปไม่ได้แล้วนะ เพราะมันเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย” มู่หยางหลิงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “ยิ่งป่ามีความหนาทึบและรกรุงรังมากเท่าไหร่ มันก็จะเป็นที่สิงสู่ดี ๆ ของพวกสัตว์ร้ายนานาชนิดเชียวล่ะ ที่ข้าพาพวกท่านมาที่แห่งนี้ก็เพราะว่ามันใกล้กับทางออกมากที่สุด อีกประเดี๋ยวข้าจะพาพวกท่านไปดูโพรงกระต่าย”

“แล้ววันนี้เจ้าไม่เข้าเมืองแล้วหรือ?” หลิวถิงถาม

ความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างตระกูลมู่กับโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมืองนั้นยังคงดำเนินไปได้อย่างราบรื่น และในทุก ๆช่วงเวลาก่อนเที่ยงวัน ตระกูลมู่ก็ต้องนำของไปส่งให้กับโรงเตี๊ยมเป็นกิจวัตร

“วันนี้พ่อข้าจัดการเรียบร้อยแล้วล่ะ พรุ่งนี้ข้าถึงจะไปด้วยตัวเอง” พูดจบมู่หยางหลิงก็ลุกขึ้นปัดดินปัดทรายบนกางเกง “ไปกันเถอะ ข้าจะพาพวกท่านไปยังโพรงกระต่าย ต้นไม้ในป่ามันจะหนาทึบเป็นส่วนใหญ่ ทุกท่านโปรดเกาะกลุ่มกันไว้ และอยู่ในระยะที่ข้ามองเห็นได้เท่านั้น ถ้าหากว่าได้ยินเสียงผิวปากจากข้า ให้ทุกท่านมารวมกลุ่มกันอยู่ที่ข้าทันที”

มู่หยางหลิงย้ำกฎการเอาตัวรอดในป่าอีกครั้ง เมื่อนางมั่นใจแล้วว่าพวกเขาพร้อมออกเดินทาง นางจึงให้สัญญาณว่า “ไปกัน”  กระต่ายที่ช่วยกันล่ามาได้ทั้งหมดมีอยู่ 68 ตัวด้วยกัน และเมื่อมู่หยางหลิงเล็งเห็นแล้วว่ากระต่ายแต่ละตัวมีขนาดที่ต่างกัน มู่หยางหลิงจึงมอบหมายให้หลิวถิงกับหลิวหยวนนำกลับมาชั่งกิโล และส่วนต่างในแต่ละรอบก็ได้ถูกรวบรวมไปส่งให้กับบ้านแม่ม่ายแต่ละหลังในหมู่บ้านหลินซาน

เมื่อภารกิจในวันนี้เสร็จสิ้นลง หลิวถิงก็อุ้มกระสอบที่ด้านในมีกระต่ายอ้วนอยู่ 8 ตัวมามอบให้กับมู่หยางหลิง “บ้านข้าคงจะกินไม่หมด รับไว้เถอะนะ”

“มันยังเป็น ๆ อยู่ เจ้าเอามันกลับไปเลี้ยงสิ แล้ววันรุ่งขึ้นก็ค่อยเอาไปขายในเมือง”

มู่หยางหลิงคิดไปคิดมา จนสุดท้ายนางก็ยอมรับไว้

นางก็พาชาวบ้านเข้าไปช่วยกันตรวจดูกับดักที่วางไว้ต่อ และผลปรากฏว่า เหยื่อที่มาติดกับดักนั้นมีจำนวนและน้ำหนักที่มากกว่าสัตว์ที่ล่ามาได้ในวันแรกเสียอีก การล่าสัตว์รอบแรกผ่านไปได้ด้วยดี ชาวบ้านในหมู่บ้านหลินซานก็ได้มีเนื้อสัตว์กินกันทุกบ้าน แต่ถึงแม้ว่าจะล่าเนื้อสัตว์เข้ามาได้มากมายเพียงใด ชาวบ้านหลาย ๆ คนก็ยังชินกับการที่เคยใช้ชีวิตกันอย่างอด ๆ อยาก ๆ เหมือนเคย พวกเขารู้สึกเสียดายถ้าต้องกินเนื้อพวกนั้นให้หมดในวันสองวัน จึงนำเนื้อไปตาก เพื่อยืดอายุของมันไว้

และไม่มีใครกล้านำเนื้อที่ได้มานั้นเข้าไปขายในเมืองเลยแม้แต่คนเดียว

หลิวเหอนั่งอยู่ปากทางเข้าหมู่บ้าน และอดคิดไม่ได้ว่า บางทีเขากับผู้อาวุโสท่านอื่นก็เข้มงวดกับเรื่องนี้มากเกินไป

ทั้ง ๆ ที่มู่หยางหลิงพยายามจะพาชาวบ้านในหมู่บ้านเข้าป่าไปหาอาหารให้ได้ และปริมาณเนื้อสัตว์ที่หามาได้ก็เพิ่มขึ้นจากเดิมในทุก ๆ วันด้วย หลิวต้าเฉียนเห็นว่านางต้องเหน็ดเหนื่อยกับการนำทางมามากพอแล้ว จึงเสนอให้หลิวเซวียนนำของเข้าไปส่งในเมืองแทนมู่หยางหลิง เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระนาง

มู่หยางหลิงคิด ๆ อยู่พักนึง จนในที่สุดก็ยอมตกลง และในขณะนี้ ผืนป่าทางฝั่งตะวันตกก็ถูกมู่หยางหลิงและชาวบ้านเข้าไปล่าสัตว์กันได้มากพอสมควรแล้ว นางจึงเริ่มวางแผนนำทางชาวบ้านไปล่าสัตว์ทางฝั่งตะวันออกต่อ ซึ่งนั่นก็แปลว่าพวกนางต้องการเวลาเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมด้วย

และยิ่งเดินเลียบไปทางฝั่งตะวันออก ก็จะพบกับฝูงกระต่ายที่หนาแน่นขึ้นกว่าทางฝั่งตะวันตก เพราะเห็นได้ชัดจากต้นหญ้าเขียวขจีกลางป่าที่ถูกแทะกินจนเหลือเพียงหย่อมเดียว เท่านั้นยังไม่พอ พวกกระต่ายยังขุดรากถอนโคนพืชผลต้นเตี้ยจนเกลี้ยง จนกวางป่าแถบนั้นผอมแห้งเห็นกระดูกซี่โครง

มู่หยางหลิงจ้องมองกวางป่าด้วยแววตาที่เปล่งเป็นประกาย “ข้ากินเนื้อกระต่ายมาตั้งหลายวันแล้ว ทั้งที่จริง ๆ แล้วข้าชอบกินเนื้อกวางเป็นที่สุด เสียดายจัง……”

หลิวลี่ได้ยินเข้าก็งงว่าทำไมนางถึงไม่จับมันไป “งั้นก็จับมันไปเลยสิ พวกน้าช่วยเจ้าจับมันเอง”

มู่หยางหลิงส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก พวกมันต้องทนทุกข์กันมามากพอแล้ว และมีแนวโน้มว่าพวกมันจะเริ่มสูญพันธุ์ไปจากป่าแถวนี้แล้วด้วย พวกเราจับกระต่ายกันตามเดิมแหละน้า ดีแล้ว”

พวกกระต่ายต่างพากันกินต้นไม้ใบหญ้าแถวนี้ไปจนเกือบหมด และอีกหน่อยก็คงจะมีสัตว์อื่นเข้ามาล่ากินพวกกวางผอมซูบที่กำลังหิวโซอยู่นี้ ถ้าหากนางยังจับกวางพวกนี้ไปกินด้วยแล้วล่ะก็ ปีหน้าและปีต่อ ๆ ไปนางก็กลัวว่าจะไม่ได้เห็นกวางพวกนี้ในป่าแถวนี้อีก ดังนั้นนางจึงอยากให้พวกมันได้มีชีวิตอยู่รอดต่อไป

“ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วล่ะ ว่าทำไมพวกกระต่ายถึงเป็นอันตรายต่อพืชผลไร่นา” หลิวถิงพูดด้วยสีหน้าแหย ๆ “กระต่ายมากมายขนาดนี้ ถ้าเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้วมันไม่มีหญ้าเหลือให้กิน มันก็คงจะลงไปแทะกินพืชผลที่พวกเราปลูกกันเอาไว้น่ะสิ?”

แล้วสีหน้าของหลิวหย่งก็เริ่มมืดลง “เขาฉูซานมีกระต่ายมากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย?”

จู่ ๆ มู่หยางหลิงก็เริ่มมีลางสังหรณ์แปลก ๆ “หลังเขาฉูซานมันคืออะไรรึ?”

ไกลสุดที่พวกหลิวถิงเคยไปก็แค่มณฑลหมิงสุ่ยเท่านั้น พวกเขาจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ? เพราะงั้นแต่ละคนจึงทำได้เพียงแค่ส่ายหน้าด้วยความไม่รู้จริง ๆ

มู่หยางหลิงครุ่นคิดอยู่ครู่นึง แล้วพูดต่อว่า “ช่างมันเถอะ เรื่องนั้นไว้ทีหลัง พวกเรารีบไปจับกระต่ายกันก่อนดีกว่า เราจะจับกระต่ายพวกนั้นให้หมด แต่ลูกกระต่ายกับตัวที่กำลังตั้งท้องอยู่ เราจะไม่เอากลับไปเด็ดขาด”

การล่าครั้งนี้ได้ปริมาณเนื้อมากกว่าครั้งที่แล้วอยู่มาก โดยกระต่ายที่ล่าได้ในวันนี้มีทั้งหมด 150 ตัวด้วยกัน แต่ในขณะเดียวกัน แต่ละคนก็มีความเศร้าอยู่ลึก ๆ ในใจด้วย เนื่องจากพวกเขายังคงกังวลเรื่องผลการเก็บเกี่ยวพืชผลในปีหน้าอยู่

“เอาล่ะ นี่ก็เป็นเวลาเที่ยงพอดี ทุกท่านนั่งพักกันก่อน หลังจากนั้นเราค่อยเดินทางกลับกัน” แล้วหลิวถิงก็ตะโกนถามขึ้น จนทุกคนหันมามอง “อาหยวน ต้าจ้วงกับจู้จื่อล่ะ?”

หลิวหยวนได้ยินดังนั้นจึงลุกขึ้นยืนแล้วมองไปรอบ ๆ “ไปทำธุระส่วนตัวกันตั้งนานแล้วหนิ ทำไมยังไม่กลับมากันอีกนะ?”

“ไปทางไหนกันแล้วล่ะ? ก็บอกแล้วมิใช่รึว่าอย่าไปไกล?” หลิงถิงพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

“ขึ้นไปทางเหนือน่ะ เดี๋ยวข้าตามไปดูเอง” หลิวหยวนเริ่มโมโหขึ้นมาเล็กน้อย เพราะจู้จื่อกับต้าจ้วงล้วนเป็นสมาชิกในกลุ่มของเขา คนอื่น ๆ ก็เชื่อฟังคำสั่งกันดี แต่จู้จื่อนี่สิ ชอบขัดคำสั่งอยู่เรื่อย จู้จื่อแก่กว่าหลิวหยวนตั้งปีนึง แถมยังมีลูกแล้วถึง 2 คน แต่เขาก็ยังมีนิสัยดื้อรั้นไม่มีเหตุผลอยู่เหมือนเดิม

แล้วครั้งนี้ก็พาต้าจ้วงไปด้วย ทั้งที่เขากำชับตลอดว่าอย่าไปไกล แต่รายนั้นกลับอ้างว่าเกรงใจอาหลิงที่เป็นเด็กผู้หญิง จึงลากต้าจ้วงไปเป็นเพื่อนทางฝั่งเหนือ แล้วนี่ก็ผ่านไปนานมากแล้ว ทำไมถึงยังไม่กลับมาอีก?

หลิวหยวนครุ่นคิดในระหว่างที่เขากำลังเดินไปตามทางที่ฟางจู้จื่อเดินเข้าไป แล้วเสียงของหลิวถิงก็ดังขึ้นจากข้างหลังของเขาอีกว่า “ระวังตัวด้วยนะ เจอตัวแล้วก็รีบพาพวกเขากลับมาเลย เราจะเดินทางกลับหมู่บ้านกันแล้ว”

หลิวหยวนส่งสัญญาณตอบรับ และพอหลิวหยวนเดินออกไปไกลได้ระยะนึงก็พบว่าสองคนนั้นนั่งยอง ๆ สุมหัวกันอยู่ “นั่นพวกเจ้าทำอะไรกันน่ะ? ถ้าหากว่าพวกเจ้ากำลังขุดทองกันอยู่ ก็น่าจะเอาขึ้นมาได้บ้างแล้วสิ”

ฟางจู้จื่อกับหลิวต้าจ้วงล้มลงบนพื้นด้วยความตกใจ

“พวกเจ้าเป็นอะไรน่ะ?” หลิวหยวนสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ จึงรีบวิ่งเข้ามาดู

ฟางจู้จื่อจึงรีบกระโดดขึ้นมาขวางหลิวหยวน “เจ้าจะทำอะไรน่ะหลิวหยวน? ของชิ้นนี้ข้ากับต้าจ้วงเป็นคนเจอมันนะ”

“ของอะไร?” หลิวหยวนขมวดคิ้ว “พวกเจ้ามัวทำอะไรกันอยู่ตรงนี้? ไม่รู้หรือไงว่าพวกเราจะกลับกันแล้วน่ะ? แล้วทำไมต้องมาทำธุระส่วนตัวไกลถึงนี่ด้วยเนี่ย”

หลิวต้าจ้วงทำตัวไม่ถูก จึงเดินขึ้นมารั้งฟางจู้จื่อไว้ แล้วกล่าวว่า “พี่จู้จื่อ ในเมื่อพี่หยวนก็มานี่แล้ว เราก็ให้พี่หยวนช่วยเราเลยดีไหม พอกลับไปเราค่อยแบ่งกัน 3 คน”

“จะบ้าเรอะ ข้าเป็นคนเจอของชิ้นนี้ ทำไมเราจะต้องแบ่งให้กับเขาด้วย?” ฟางจู้จื่อตะคอกอย่างไม่พอใจ

หลิวต้าจ้วงจึงขมวดคิ้วและพูดตอกกลับว่า “พี่จู้จื่อ ข้าเป็นคนเจอมันก่อนนะ พี่พูดอย่างนี้ได้ยังไงกัน”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 58 ค้นพบ

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 58 ค้นพบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ทุกคนเตรียมพร้อมและเริ่มกางตาข่ายล้อมกระต่ายไว้ตรงกลางอย่างช้า ๆ

มู่หยางหลิง หลิวลี่และหลิวหย่งค่อย ๆ ย่องเข้าไปจับกระต่ายที่อยู่ตรงกลางวง

พอกระต่ายเห็นคนเดินเข้ามา มันก็ตื่นตระหนกจนวงแตก พากันหนีเตลิดเปิดเปิง แต่ด้วยความรวดเร็วของสายตาและมือเท้าของมู่หยางหลิง นางคว้าตัวกระต่ายได้แล้วจับยัดใส่ถุงผ้าของนางได้อย่างชำนาญ จากนั้นก็เดินหน้าหาตัวต่อไป

มู่หยางหลิงมีวิชากังฟูอยู่ในตัว นางจึงทำอะไรได้อย่างคล่องแคล่วและดูเหมือนมันเป็นเรื่องที่ง่ายมากสำหรับนาง ทำเอาหลิวลี่กับหลิวหย่งรู้สึกอายเล็กน้อยที่ทำไม่ได้

พวกเขาทั้งสองคนก็จับกระต่ายขึ้นมาได้คนละตัว แต่ความรวดเร็วพวกของเขาก็ยังเทียบมู่หยางหลิงไม่ติด เพราะพวกเขาต้องล้มลุกคุกคลานไปสามตลบถึงจะจับได้ซักทีนึง จนพวกเขาเริ่มรู้สึกเหนื่อยหอบ ทั้ง ๆ ที่เพิ่งเริ่มไปได้ไม่ถึง 30 นาที

มู่หยางหลิงจึงตะโกนมาทางพวกเขาทั้ง 2 คนว่า “ถ้าไม่ไหวกันแล้ว ก็ไปยืนดักทางช่องโหว่ของตาข่ายก่อน พอหายเหนื่อยแล้วค่อยมาจับต่อ”

หลิวลี่กับหลิวหย่งได้ยินดังนั้นก็เดินเข้าไปอุดตามช่องโหว่ของตาข่าย แล้วอ้าแขนต้อนกระต่ายที่อยู่รอบนอกให้กลับเข้าไปรวมอยู่ตรงกลาง

พอตาข่ายครอบกระต่ายไว้สนิท พวกเขาก็ค่อย ๆ เคลื่อนตาข่ายไปใกล้ ๆ ลำธาร ทำให้กระต่ายที่อยู่ด้านในหมดทางหนี เพราะถึงพวกมันจะกลัวคนแค่ไหน แต่ก็ไม่กล้ากระโดดลงน้ำไปอยู่ดี

เนื่องจากกระต่ายเป็นสัตว์ที่ค่อนข้างกลัวน้ำ

พอมู่หยางหลิงเห็นว่าขอบเขตเริ่มแคบลง นางจึงยกมือขึ้น “หยุดได้! พอแค่นี้แหละ ข้าขอกำลังคน 6 คนคอยยึดตาข่ายไว้ ส่วนที่เหลือให้เข้ามาช่วยกันจับกระต่ายในนี้เลย”

มู่หยางหลิงหยิบก้อนหินทับช่องโหว่ของตาข่ายที่ยังเหลืออยู่ และยังกำชับคนอีก 6 คนที่อยู่รอบนอกว่าให้ใช้เท้าเหยียบมุมตาข่ายไว้ให้แน่นอีกด้วย ส่วนอีก 5 คนที่เหลือก็ช่วยนางจับกระต่ายใส่กระสอบอย่างมันส์มือ

กระต่ายที่ถูกล้อมไว้ในตาข่ายมีมากกว่า 30 ตัว และนี่ก็ถือเป็นครั้งแรกที่หลิวลี่และคนอื่น ๆ ได้ติดตามมู่หยางหลิงเข้ามาล่าสัตว์ เมื่อพวกเขาได้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็ทำให้หัวใจของพวกเขาทุกคนเต้นรัวจนแทบอยากจะหมอบกราบมู่หยางหลิง แล้วทันใดนั้น กระต่ายตัวหนึ่งก็กระโดดหนีลงน้ำไปด้วยความกล้าหาญ แต่พอมันกระโดดลงไปในน้ำได้ มันก็ดิ้นรนกระเสือกกระสนอยู่พักนึง จนหลิวถิงต้องเอื้อมมือลงไปหยิบมันขึ้นมาจากน้ำด้วยความสงสาร

“เอาล่ะ เชิญทุกท่านนั่งพักกันก่อนเถอะ” แล้วจากนั้นมู่หยางหลิงก็ให้หนุ่ม ๆ ช่วยกันมัดปากกระสอบ โดยปล่อยช่องลมไว้ 2-3 ช่องเพื่อให้กระต่ายได้หายใจ แล้วจากนั้นพวกเขาก็นั่งลงข้าง ๆ กระสอบ มองไปยังทุ่งหญ้าโล่งกว้างนั้น “ใน 4 วันต่อจากนี้ ที่ผืนนี้จะไม่มีกระต่ายให้เห็นมากเท่าวันนี้แล้วล่ะ”

หลิวหยวนหัวเราะขึ้น แล้วพูดกับนางว่า “กระต่ายพวกนี้น่ะขี้ขลาดจะตายไป กลัวว่ามันจะตกใจตายไปซะก่อนนี่สิ เอ้อ อาหลิง ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่แบบนี้ยังมีอีกเยอะหรือไม่ในหุบเขาแห่งนี้น่ะ?”

“มีไม่มากหรอกน้า ถ้าเป็นพื้นที่อื่นเนี่ย พวกเราเข้าไปไม่ได้แล้วนะ เพราะมันเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย” มู่หยางหลิงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “ยิ่งป่ามีความหนาทึบและรกรุงรังมากเท่าไหร่ มันก็จะเป็นที่สิงสู่ดี ๆ ของพวกสัตว์ร้ายนานาชนิดเชียวล่ะ ที่ข้าพาพวกท่านมาที่แห่งนี้ก็เพราะว่ามันใกล้กับทางออกมากที่สุด อีกประเดี๋ยวข้าจะพาพวกท่านไปดูโพรงกระต่าย”

“แล้ววันนี้เจ้าไม่เข้าเมืองแล้วหรือ?” หลิวถิงถาม

ความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างตระกูลมู่กับโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมืองนั้นยังคงดำเนินไปได้อย่างราบรื่น และในทุก ๆช่วงเวลาก่อนเที่ยงวัน ตระกูลมู่ก็ต้องนำของไปส่งให้กับโรงเตี๊ยมเป็นกิจวัตร

“วันนี้พ่อข้าจัดการเรียบร้อยแล้วล่ะ พรุ่งนี้ข้าถึงจะไปด้วยตัวเอง” พูดจบมู่หยางหลิงก็ลุกขึ้นปัดดินปัดทรายบนกางเกง “ไปกันเถอะ ข้าจะพาพวกท่านไปยังโพรงกระต่าย ต้นไม้ในป่ามันจะหนาทึบเป็นส่วนใหญ่ ทุกท่านโปรดเกาะกลุ่มกันไว้ และอยู่ในระยะที่ข้ามองเห็นได้เท่านั้น ถ้าหากว่าได้ยินเสียงผิวปากจากข้า ให้ทุกท่านมารวมกลุ่มกันอยู่ที่ข้าทันที”

มู่หยางหลิงย้ำกฎการเอาตัวรอดในป่าอีกครั้ง เมื่อนางมั่นใจแล้วว่าพวกเขาพร้อมออกเดินทาง นางจึงให้สัญญาณว่า “ไปกัน”  กระต่ายที่ช่วยกันล่ามาได้ทั้งหมดมีอยู่ 68 ตัวด้วยกัน และเมื่อมู่หยางหลิงเล็งเห็นแล้วว่ากระต่ายแต่ละตัวมีขนาดที่ต่างกัน มู่หยางหลิงจึงมอบหมายให้หลิวถิงกับหลิวหยวนนำกลับมาชั่งกิโล และส่วนต่างในแต่ละรอบก็ได้ถูกรวบรวมไปส่งให้กับบ้านแม่ม่ายแต่ละหลังในหมู่บ้านหลินซาน

เมื่อภารกิจในวันนี้เสร็จสิ้นลง หลิวถิงก็อุ้มกระสอบที่ด้านในมีกระต่ายอ้วนอยู่ 8 ตัวมามอบให้กับมู่หยางหลิง “บ้านข้าคงจะกินไม่หมด รับไว้เถอะนะ”

“มันยังเป็น ๆ อยู่ เจ้าเอามันกลับไปเลี้ยงสิ แล้ววันรุ่งขึ้นก็ค่อยเอาไปขายในเมือง”

มู่หยางหลิงคิดไปคิดมา จนสุดท้ายนางก็ยอมรับไว้

นางก็พาชาวบ้านเข้าไปช่วยกันตรวจดูกับดักที่วางไว้ต่อ และผลปรากฏว่า เหยื่อที่มาติดกับดักนั้นมีจำนวนและน้ำหนักที่มากกว่าสัตว์ที่ล่ามาได้ในวันแรกเสียอีก การล่าสัตว์รอบแรกผ่านไปได้ด้วยดี ชาวบ้านในหมู่บ้านหลินซานก็ได้มีเนื้อสัตว์กินกันทุกบ้าน แต่ถึงแม้ว่าจะล่าเนื้อสัตว์เข้ามาได้มากมายเพียงใด ชาวบ้านหลาย ๆ คนก็ยังชินกับการที่เคยใช้ชีวิตกันอย่างอด ๆ อยาก ๆ เหมือนเคย พวกเขารู้สึกเสียดายถ้าต้องกินเนื้อพวกนั้นให้หมดในวันสองวัน จึงนำเนื้อไปตาก เพื่อยืดอายุของมันไว้

และไม่มีใครกล้านำเนื้อที่ได้มานั้นเข้าไปขายในเมืองเลยแม้แต่คนเดียว

หลิวเหอนั่งอยู่ปากทางเข้าหมู่บ้าน และอดคิดไม่ได้ว่า บางทีเขากับผู้อาวุโสท่านอื่นก็เข้มงวดกับเรื่องนี้มากเกินไป

ทั้ง ๆ ที่มู่หยางหลิงพยายามจะพาชาวบ้านในหมู่บ้านเข้าป่าไปหาอาหารให้ได้ และปริมาณเนื้อสัตว์ที่หามาได้ก็เพิ่มขึ้นจากเดิมในทุก ๆ วันด้วย หลิวต้าเฉียนเห็นว่านางต้องเหน็ดเหนื่อยกับการนำทางมามากพอแล้ว จึงเสนอให้หลิวเซวียนนำของเข้าไปส่งในเมืองแทนมู่หยางหลิง เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระนาง

มู่หยางหลิงคิด ๆ อยู่พักนึง จนในที่สุดก็ยอมตกลง และในขณะนี้ ผืนป่าทางฝั่งตะวันตกก็ถูกมู่หยางหลิงและชาวบ้านเข้าไปล่าสัตว์กันได้มากพอสมควรแล้ว นางจึงเริ่มวางแผนนำทางชาวบ้านไปล่าสัตว์ทางฝั่งตะวันออกต่อ ซึ่งนั่นก็แปลว่าพวกนางต้องการเวลาเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมด้วย

และยิ่งเดินเลียบไปทางฝั่งตะวันออก ก็จะพบกับฝูงกระต่ายที่หนาแน่นขึ้นกว่าทางฝั่งตะวันตก เพราะเห็นได้ชัดจากต้นหญ้าเขียวขจีกลางป่าที่ถูกแทะกินจนเหลือเพียงหย่อมเดียว เท่านั้นยังไม่พอ พวกกระต่ายยังขุดรากถอนโคนพืชผลต้นเตี้ยจนเกลี้ยง จนกวางป่าแถบนั้นผอมแห้งเห็นกระดูกซี่โครง

มู่หยางหลิงจ้องมองกวางป่าด้วยแววตาที่เปล่งเป็นประกาย “ข้ากินเนื้อกระต่ายมาตั้งหลายวันแล้ว ทั้งที่จริง ๆ แล้วข้าชอบกินเนื้อกวางเป็นที่สุด เสียดายจัง……”

หลิวลี่ได้ยินเข้าก็งงว่าทำไมนางถึงไม่จับมันไป “งั้นก็จับมันไปเลยสิ พวกน้าช่วยเจ้าจับมันเอง”

มู่หยางหลิงส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก พวกมันต้องทนทุกข์กันมามากพอแล้ว และมีแนวโน้มว่าพวกมันจะเริ่มสูญพันธุ์ไปจากป่าแถวนี้แล้วด้วย พวกเราจับกระต่ายกันตามเดิมแหละน้า ดีแล้ว”

พวกกระต่ายต่างพากันกินต้นไม้ใบหญ้าแถวนี้ไปจนเกือบหมด และอีกหน่อยก็คงจะมีสัตว์อื่นเข้ามาล่ากินพวกกวางผอมซูบที่กำลังหิวโซอยู่นี้ ถ้าหากนางยังจับกวางพวกนี้ไปกินด้วยแล้วล่ะก็ ปีหน้าและปีต่อ ๆ ไปนางก็กลัวว่าจะไม่ได้เห็นกวางพวกนี้ในป่าแถวนี้อีก ดังนั้นนางจึงอยากให้พวกมันได้มีชีวิตอยู่รอดต่อไป

“ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วล่ะ ว่าทำไมพวกกระต่ายถึงเป็นอันตรายต่อพืชผลไร่นา” หลิวถิงพูดด้วยสีหน้าแหย ๆ “กระต่ายมากมายขนาดนี้ ถ้าเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้วมันไม่มีหญ้าเหลือให้กิน มันก็คงจะลงไปแทะกินพืชผลที่พวกเราปลูกกันเอาไว้น่ะสิ?”

แล้วสีหน้าของหลิวหย่งก็เริ่มมืดลง “เขาฉูซานมีกระต่ายมากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย?”

จู่ ๆ มู่หยางหลิงก็เริ่มมีลางสังหรณ์แปลก ๆ “หลังเขาฉูซานมันคืออะไรรึ?”

ไกลสุดที่พวกหลิวถิงเคยไปก็แค่มณฑลหมิงสุ่ยเท่านั้น พวกเขาจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ? เพราะงั้นแต่ละคนจึงทำได้เพียงแค่ส่ายหน้าด้วยความไม่รู้จริง ๆ

มู่หยางหลิงครุ่นคิดอยู่ครู่นึง แล้วพูดต่อว่า “ช่างมันเถอะ เรื่องนั้นไว้ทีหลัง พวกเรารีบไปจับกระต่ายกันก่อนดีกว่า เราจะจับกระต่ายพวกนั้นให้หมด แต่ลูกกระต่ายกับตัวที่กำลังตั้งท้องอยู่ เราจะไม่เอากลับไปเด็ดขาด”

การล่าครั้งนี้ได้ปริมาณเนื้อมากกว่าครั้งที่แล้วอยู่มาก โดยกระต่ายที่ล่าได้ในวันนี้มีทั้งหมด 150 ตัวด้วยกัน แต่ในขณะเดียวกัน แต่ละคนก็มีความเศร้าอยู่ลึก ๆ ในใจด้วย เนื่องจากพวกเขายังคงกังวลเรื่องผลการเก็บเกี่ยวพืชผลในปีหน้าอยู่

“เอาล่ะ นี่ก็เป็นเวลาเที่ยงพอดี ทุกท่านนั่งพักกันก่อน หลังจากนั้นเราค่อยเดินทางกลับกัน” แล้วหลิวถิงก็ตะโกนถามขึ้น จนทุกคนหันมามอง “อาหยวน ต้าจ้วงกับจู้จื่อล่ะ?”

หลิวหยวนได้ยินดังนั้นจึงลุกขึ้นยืนแล้วมองไปรอบ ๆ “ไปทำธุระส่วนตัวกันตั้งนานแล้วหนิ ทำไมยังไม่กลับมากันอีกนะ?”

“ไปทางไหนกันแล้วล่ะ? ก็บอกแล้วมิใช่รึว่าอย่าไปไกล?” หลิงถิงพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

“ขึ้นไปทางเหนือน่ะ เดี๋ยวข้าตามไปดูเอง” หลิวหยวนเริ่มโมโหขึ้นมาเล็กน้อย เพราะจู้จื่อกับต้าจ้วงล้วนเป็นสมาชิกในกลุ่มของเขา คนอื่น ๆ ก็เชื่อฟังคำสั่งกันดี แต่จู้จื่อนี่สิ ชอบขัดคำสั่งอยู่เรื่อย จู้จื่อแก่กว่าหลิวหยวนตั้งปีนึง แถมยังมีลูกแล้วถึง 2 คน แต่เขาก็ยังมีนิสัยดื้อรั้นไม่มีเหตุผลอยู่เหมือนเดิม

แล้วครั้งนี้ก็พาต้าจ้วงไปด้วย ทั้งที่เขากำชับตลอดว่าอย่าไปไกล แต่รายนั้นกลับอ้างว่าเกรงใจอาหลิงที่เป็นเด็กผู้หญิง จึงลากต้าจ้วงไปเป็นเพื่อนทางฝั่งเหนือ แล้วนี่ก็ผ่านไปนานมากแล้ว ทำไมถึงยังไม่กลับมาอีก?

หลิวหยวนครุ่นคิดในระหว่างที่เขากำลังเดินไปตามทางที่ฟางจู้จื่อเดินเข้าไป แล้วเสียงของหลิวถิงก็ดังขึ้นจากข้างหลังของเขาอีกว่า “ระวังตัวด้วยนะ เจอตัวแล้วก็รีบพาพวกเขากลับมาเลย เราจะเดินทางกลับหมู่บ้านกันแล้ว”

หลิวหยวนส่งสัญญาณตอบรับ และพอหลิวหยวนเดินออกไปไกลได้ระยะนึงก็พบว่าสองคนนั้นนั่งยอง ๆ สุมหัวกันอยู่ “นั่นพวกเจ้าทำอะไรกันน่ะ? ถ้าหากว่าพวกเจ้ากำลังขุดทองกันอยู่ ก็น่าจะเอาขึ้นมาได้บ้างแล้วสิ”

ฟางจู้จื่อกับหลิวต้าจ้วงล้มลงบนพื้นด้วยความตกใจ

“พวกเจ้าเป็นอะไรน่ะ?” หลิวหยวนสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ จึงรีบวิ่งเข้ามาดู

ฟางจู้จื่อจึงรีบกระโดดขึ้นมาขวางหลิวหยวน “เจ้าจะทำอะไรน่ะหลิวหยวน? ของชิ้นนี้ข้ากับต้าจ้วงเป็นคนเจอมันนะ”

“ของอะไร?” หลิวหยวนขมวดคิ้ว “พวกเจ้ามัวทำอะไรกันอยู่ตรงนี้? ไม่รู้หรือไงว่าพวกเราจะกลับกันแล้วน่ะ? แล้วทำไมต้องมาทำธุระส่วนตัวไกลถึงนี่ด้วยเนี่ย”

หลิวต้าจ้วงทำตัวไม่ถูก จึงเดินขึ้นมารั้งฟางจู้จื่อไว้ แล้วกล่าวว่า “พี่จู้จื่อ ในเมื่อพี่หยวนก็มานี่แล้ว เราก็ให้พี่หยวนช่วยเราเลยดีไหม พอกลับไปเราค่อยแบ่งกัน 3 คน”

“จะบ้าเรอะ ข้าเป็นคนเจอของชิ้นนี้ ทำไมเราจะต้องแบ่งให้กับเขาด้วย?” ฟางจู้จื่อตะคอกอย่างไม่พอใจ

หลิวต้าจ้วงจึงขมวดคิ้วและพูดตอกกลับว่า “พี่จู้จื่อ ข้าเป็นคนเจอมันก่อนนะ พี่พูดอย่างนี้ได้ยังไงกัน”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+