อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 21 พี่น้อง

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 21 พี่น้อง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แม้เหตุการณ์นี้จะชี้ชัดว่ามีการทุจริต แต่เด็กหนุ่มทั้งสองคนนี้ก็ไม่อาจหาทางลบล้างเรื่องนี้ไปได้

ฉีเฮ่าหรานขมวดคิ้วแน่น ครุ่นคิดอยู่นานว่าทำไมจักรพรรดิตัวจริงถึงได้ต่างกับที่เขาเคยจินตนาการเอาไว้ขนาดนี้

ฟ่านจื่อจินก็รู้สึกหดหู่ไม่แพ้กัน แต่เขาก็ไม่ลืมที่จะวกเข้าหาประเด็น “เมื่อซักครู่นี้เจ้าบอกว่าข้าวปลาอาหารในชนบทราคาถูก แต่ของในเมืองราคาแพงงั้นหรือ?”

มู่หยางหลิงพยักหน้า “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือคนในพื้นที่หรือว่าเป็นฝีมือของทางการกันแน่ อีกทั้งยังเป็นไปได้ว่าทั้งสองฝ่ายอาจจะร่วมมือกัน แต่ถึงอย่างไรเสีย ตอนเรานี้ทุกคนต่างก็มีช่วงเวลาที่ยากลำบากด้วยกันทั้งนั้น ยังดีที่มีเสบียงของกองทหารแบ่งมาให้พวกเราได้กินกันบ้าง ถ้าหากว่าก่อนหน้านี้ชาวบ้านขอเป็นเงินสดเหรียญสลึงไปแทน มีหวังเราคงจะไม่มีชีวิตรอดกันมาถึงทุกวันนี้แล้วล่ะ”

ทั้งสี่คนกินข้าวเสร็จ มู่หยางหลิงก็กล่าวขอบคุณพวกเขาอย่างซาบซึ้ง "เรื่องวันนี้ขอบคุณพวกท่านแล้ว หากวันหน้่าพวกท่านไปที่หมู่บ้านหลินซาน ข้าจะให้พวกท่านได้ลิ้มรสของหายากจากภูเขา"

ฉีเฮ่าหรานพูดยิ้มๆ "นี่เจ้าพูดเองนะ ถ้าถึงตอนนั้นอย่าทำเป็นไม่รู้จักข้าล่ะ"

มู่หยางหลิงตบหน้าอกตัวเอง "ท่านวางใจได้ ไม่เป็นแบบนั้นอย่างแน่นอน ข้าจะเตรียมของดีจากภูเขาไว้"

มู่หยางหลิงไม่ได้พูดเกินไป ของดีจากภูเขาสำหรับตระกูลมู่แล้วหาง่ายมาก แต่น่าเสียดาย ที่ที่นี่ก็อยู่ใกล้ภูเขา ของดีจากภูเขาก็ไม่ใช่สิ่งที่หายากอะไร

พอฟ่านจื่อจินเห็นสองพ่อลูกคู่นั้นเดินจากไปไกลแล้ว เขาจึงหันกลับมาถามฉีเฮ่าหราน “ทำไมเจ้าถึงดีกับนางขนาดนี้?”

ฉีเฮ่าหรานได้ยินดังนั้นก็หันมามองหน้าฟ่านจื่อจินด้วยสีหน้าที่แปลกใจเล็กน้อย “ก็พวกเราเป็นสหายกัน”

ฟ่านจื่อจินกระตุกมุมปากเล็กน้อย “พวกเราเพิ่งเจอกับนางครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 เองนะ เป็นเพื่อนกันแล้วงั้นหรือเนี่ย?”

ฉีเฮ่าหรานขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจ “จื่อจิน โรคขี้ระแวงของเจ้าเนี่ย เป็นหนักขึ้นนะ เมื่อวานนางอุตส่าห์ช่วยพวกเรา แล้ววันนี้พวกเราก็ช่วยเหลือนางบ้าง ช่วยกันไปช่วยกันมาก็เป็นสหายกันแล้วไง ไม่ถูกหรือ?”

“นางมีสายเลือดของชาวหู อีกทั้งฝีไม้ลายมือของนางก็ไม่ธรรมดา ข้าว่าพวกเราควรจะระมัดระวังเอาไว้หน่อยดีกว่านะ”

ในขณะที่ฉีเฮ่าหรานกำลังหน้าบึ้งด้วยความไม่พอใจกับคำพูดของจื่อจิน จู่ ๆ ฉีเฮ่าหรานก็รู้สึกได้ถึงลมพัดผ่านหลังหัว พอมองจากหางตาก็เห็นว่ามีใครบางคนกำลังง้างมืออยู่ทางด้านหลังของเขา ฉีเฮ่าหรานคว้าตัวจื่อจินด้วยมือซ้าย ก่อนจะหันกลับไปรั้งมือปริศนานั้นไว้ด้วยมือขวา พอหันกลับไปจึงได้รู้ว่าคนคนนั้นก็คือ พี่ใหญ่ นั่นเอง

ฉีเฮ่าหรานผงะไปครู่หนึ่ง ก่อนจะปล่อยมือพี่ใหญ่ลง “พี่ใหญ่ เป็นพี่เองหรือ?”

ฉีซิวหย่วนไม่คิดว่าน้องชายของเขาจะตื่นตัวขนาดนี้เมื่อได้พบหน้ากัน แต่พอได้เห็นการกระทำต่าง ๆ ของฉีเฮ่าหรานแล้ว เขาก็รู้สึกเป็นห่วงน้องชายขึ้นมา เด็กคนนี้จากหลินอันมาไกลถึงที่นี่ นึกไม่ออกเลยว่าเขาต้องลำบากลำบนมามากขนาดไหนถึงได้กลายเป็นคนที่ตื่นตระหนกและอ่อนไหวง่ายเช่นนี้

ฉีซิวหย่วนรีบปกปิดความรู้สึกในแววตา ก่อนจะถามขึ้นว่า “เจ้าคิดว่าเป็นใครล่ะ?”

ซื่อเจี้ยนที่ยืนอยู่ด้านหลังของฉีซิวหย่วนหัวเราะคิกคิกออกมา “คุณชายคะ คุณชายใหญ่ลงมาตั้งนานแล้วล่ะค่ะ อาหารก็สั่งไว้รอพวกท่านแล้ว เพียงแต่ไม่กล้าเข้ามาเรียกเพราะเห็นว่าคุณชายทั้งสองกำลังมีแขก”

“ยังมีเหลือไว้ให้พวกข้าอีกหรือไม่?”

ซื่อเจี้ยนผงะ และไม่เข้าใจว่าทำไมคุณชายสี่ถึงได้ถามอย่างนี้ แต่เธอก็ส่ายหน้าก่อนจะตอบว่า “ยังค่ะ เราสั่งอาหารไปตั้งเยอะ คุณชายใหญ่จะกินคนเดียวหมดได้ยังไงกันล่ะคะ?”

“แล้วจ่ายเงินไปหรือยัง?

“ยังไม่ได้จ่าย……”

ฉีเฮ่าหรานได้ยินอย่างนั้นจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วหัวเราะคิกคิก ก่อนจะพูดต่อว่า “งั้นก็ดีเลย ข้ายังกินไม่อิ่มด้วย พวกเราไปกินข้าวกันเถอะขอรับ กินไม่หมดก็ค่อยห่อกลับ”

ซื่อเจี้ยนกับเฟยไป๋ต่างก็ตกตะลึง เมื่อได้เห็นคุณชายสี่รูปแบบใหม่เป็นครั้งแรก

พอฟ่านจื่อจินได้เห็นรอยยิ้มของคู่หู ก็รู้เลยว่าฉีเฮ่าหรานหิวโซมาตั้งนานแล้วล่ะ ฟ่านจื่อจินขมวดคิ้วแน่นและอดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดว่า ถ้ามิใช่เพราะเขาเป็นภาระให้กับฉีเฮ่าหราน ทั้งสองคนก็คงไม่ต้องลำบากลำบนมาตลอดทางแบบนี้

เมื่อฉีซิวหย่วนได้เห็นว่าน้องชายจอมอันธพาลของเขารู้จักห่อข้าวที่กินเหลือกลับบ้านได้ หัวใจของเขาก็แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เขารู้สึกหวิวแปลก ๆ ที่ต้องมาเห็นน้องชายของเขาอยู่ในสภาพแบบนี้

ฉีซิวหย่วนยื่นมือออกไปจับหัวของน้องชาย แล้วพูดพลางกลั้นน้ำตาว่า “ได้ เราไปกินข้าวกัน อยากจะกินอะไรก็สั่งเลยนะ กินข้าวกันเสร็จเราค่อยสั่งของโปรดของเจ้าห่อกลับบ้านกัน”

ฉีเฮ่าหรานจ้องมองแววตาของพี่ชาย เขารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติไป แต่เมื่อซักครู่ที่เขานั่งกินข้าวกับพ่อลูกตระกูลมู่ เขาก็รู้สึกว่ายังกินไม่อิ่มท้องจริง ๆ

เพราะเขาก็ไม่คิดมาก่อนว่ามู่หยางหลิงจะกินเก่งขนาดนั้น พอได้เห็นว่าเธอกินอย่างเอร็ดอร่อย ก็คิดว่าว่าทั้งคู่คงกำลังหิวมาก และเมื่อนึกถึงสถานการณ์ของครอบครัวเธอตอนนี้ที่ไม่สู้ดีนัก มันทำให้เขาไม่กล้าจะยื่นตะเกียบเข้าไปคีบอาหารขึ้นมาเลย เพราะกลัวว่าสองพ่อลูกจะกินไม่อิ่ม แล้วตอนนี้เขาก็เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาอีก เนื่องจากตัวเขาเองก็เทียวไปเทียวมาอยู่ทั้งวันแล้ว

ฉีซิวหย่วนรีบพาฉีเฮ่าหรานกับฟ่านจื่อจินไปนั่งที่โต๊ะอาหาร แล้วเรียกบริกรในร้านมาสั่งอาหารเพิ่ม ก่อนจะหันไปพูดกับฉีเฮ่าหรานที่กำลังนั่งกินอย่างมูมมามว่า “ค่อย ๆ กินก็ได้ ถ้าไม่อิ่มเดี๋ยวเราค่อยสั่งมาเพิ่มอีก”

ฉีเฮ่าหรานพยักหน้า พลางชี้นิ้วไปบนโต๊ะอาหาร “แค่นี้ก็น่าจะพอแล้วขอรับ”

ฟ่านจื่อจินกลอกตามองบน ก่อนจะคีบข้าวเข้าปากแล้วพูดขึ้นว่า “นี่เจ้าแทบจะกินหม้อข้าวเข้าไปอยู่แล้วนะ”

“กินเยอะ ๆ จะได้โตไว ๆ ไง ตอนนี้ข้าสูงกว่าเจ้าแล้วนะ แถมยังแข็งแรงกว่าด้วย” ฉีเฮ่าหรานกล่าว

ฟ่านจื่อจินได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับสำลักออกมา “แล้วไง เจ้าโตแค่ตัว” แต่สมองไม่ได้โตขึ้นตามตัวเลย

น่าเสียดายที่ฉีเฮ่าหรานไม่รู้ความหมายแฝงของประโยคที่จื่อจินพูด แถมยังคีบข้าวคำโตเข้าปากด้วยสีหน้าภาคภูมิอีก

ฟ่านจื่อจินเห็นท่าทางของฉีเฮ่าหรานแบบนั้น ก็สำลักข้าวอีกรอบด้วยความขบขัน

ฉีซิวหย่วนนั่งมองภาพที่คุ้นเคยตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม

เมื่อเด็กหนุ่มทั้งสองเริ่มอิ่ม ฉีซิวหย่วนจึงพูดขึ้นว่า “นั่งพักก่อน อีกเดี๋ยวเราค่อยกลับค่ายทหารกัน ม้าถูกเตรียมไว้ให้เรียบร้อยหมดแล้ว”

ฟ่านจื่อจินถามขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่ใหญ่ พวกเราจะเข้าไปค่ายทหารในสภาพนี้ได้หรือขอรับ?”

แล้วฉีซิวหย่วนก็เปล่งเสียงเย็นยะเยือกออกมา “ค่ายตะวันตกเป็นพื้นที่ของข้า จะมีใครกล้าว่าอะไรงั้นหรือ? พวกเจ้าอยู่ที่ค่ายทหารนั่นแหละ ข้าจะทำเรื่องขอเข้าเรียนกับอาจารย์ให้เอง ต่อไปพวกเจ้าก็เรียนอยู่ในค่ายทหารเลย”

ฉีเฮ่าหรานได้ยินดังนั้นก็โอดครวญขึ้นมาทันที “ข้ายังต้องเรียนอีกหรือขอรับ? ข้าไม่อยากเรียนต่อแล้วขอรับพี่ใหญ่ ข้าอยากเข้าฝึกอบรมกับกองทัพเลย ข้าไม่อยากเรียนหนังสือแล้ว”

ฉีซิวหย่วนได้ยินดังนั้นก็ตะคอกขึ้นทันที “เจ้าเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง? จะเข้าร่วมกับกองทัพที่ไหนได้? เจ้าต้องตั้งใจเรียน ถ้าพี่รู้ว่าเจ้าขัดคำสั่งกับพี่หรืออาจารย์แล้วล่ะก็ ได้เห็นดีกันแน่”

ฉีเฮ่าหรานลูบท้ายทอย พลางพูดขึ้นว่า “พี่ก็รู้ว่าข้าเรียนไม่เก่ง ข้าอยากจะฝึกต่อสู้ ฝึกใช้อาวุธ ข้าผิดตรงไหนงั้นหรือขอรับพี่ใหญ่? ยังไงข้าก็ไม่ยอมเข้าเรียนแน่ ๆ”

ฉีซิวหย่วนเริ่มคันไม้คันมือ แต่พอนึกถึงวันนี้ที่เพิ่งได้มากินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตากับน้องชาย เขาก็ทำได้แค่กัดฟันพูดออกมาว่า “ไว้ถึงค่ายทหารแล้วค่อยว่ากัน”

ฉีเฮ่าหรานหน้างอคอหัก ยัดข้าวเข้าปากจนแก้มป่อง แล้วจ้องมองไปยังพี่ชายด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

ส่วนฟ่านจื่อจินก็ใจแป้วไปด้วย จึงช่วยฉีเฮ่าหรานพูดกับพี่ชายว่า “พี่ใหญ่ขอรับ เฮ่าหรานไม่ค่อยถนัดเรื่องเรียนมากนัก ข้าว่าให้เฮ่าหรานเรียนครึ่งวัน อีกครึ่งวันไปฝึกวิชาทางทหารดีหรือไม่ขอรับ ถ้าให้เขาหมกมุ่นอยู่แต่ในห้องสมุดกับหนังสือเรียน เกรงว่าเขาจะตรอมใจไปเสียก่อน”

ฉีเฮ่าหรานได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้ารัว ๆ แล้วมองหน้าพี่ชายด้วยสีหน้าออดอ้อน และทำได้แค่ส่งเสียงอู้ ๆ ๆ เชียร์ขึ้นมา เนื่องจากข้าวยังเต็มปากอยู่

ฟ่านจื่อจินกุมขมับและไม่อาจทนมองท่าทางของฉีเฮ่าหรานในตอนนี้ได้

แล้วรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นในแววตาของฉีซิวหย่วน แต่เขายังต้องดึงหน้าจริงจังอยู่ “ข้าจะลองเก็บไปคิดดูก็แล้วกัน”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด