อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 35 ต้อนรับ

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 35 ต้อนรับ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มู่หยางหลิงเฝ้าดูคนบ้านตระกูลหลิวชกต่อยไปก็ล่ำๆอยากเข้าไปลองดู แต่ยังไม่ทันที่เธอจะพับแขนเสื้อขึ้น มู่ฉือก็วิ่งเข้าไปเอามือปิดปากลูกสาวไว้ก่อนจะดึงเธอไปด้านหลังพร้อมพูดเสียงต่ำ: "ไหนบอกว่าจะมาช่วยย่าใหญ่เกี่ยวข้าวไง? ดื้อจริงๆ ใครใช้ให้เข้ามายุ่งเรื่องผู้ใหญ่ ไม่กลัวต่อไปวันข้างหน้าจะแต่งไม่ออกหรือไง?”

มู่ฉือที่เดินมาได้ครึ่งทางก็ได้ยินกลุ่มหนุ่มสาวพูดกันให้แซดว่าลูกสาวของเขาสอนย่าใหญ่ของเธอว่าก่อนตายให้ลากครอบครัวของหม่าต้ากุ้ยไปลงนรกก่อน เขาโมโหจนแทบควันออกหู

“รีบพาพี่น้องของเจ้าไปเกี่ยวข้าวให้ย่าใหญ่เลย นี่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ไม่ต้องเข้ามายุ่ง ถ้ายังไม่เชื่อฟังกันอีก ต่อไปพ่อไปไหนจะไม่พาเจ้าไปด้วยอีก”

มู่หยางหลิงย่นคอเล็กน้อยก่อนตอบเสียงอ่อย "ค่ะ" ก่อนจะเข้าไปดึงแขนหลิวถิงและคนอื่นๆ ที่กำลังดูอย่างใจจดจ่อพร้อมพูดว่า "ไปช่วยกันเกี่ยวข้าวให้บ้านย่าใหญ่กันเถอะ น้องรีบพาเราไปเร็ว" มู่หยางหลิงสะกิดเรียกหม่าซิ่วหง

หม่าซิ่วหงมองไปที่ยายแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองในโรงเก็บข้าวด้วยสีหน้ากังวลใจ

หลิวถิงยึดอกขึ้นแล้วตบเบาๆก่อนพูดขึ้น: "น้องไม่ต้องห่วง มีท่านปู่ของพี่อยู่ด้วย ไม่มีใครสามารถรังแกท่านย่าได้แน่"

หม่าซิ่วหงจึงจับมือน้องสาวและพาทุกคนไปที่ทุ่งนา เธอปรายตามองไปที่มู่หยางหลิงแวบหนึ่งก่อนจะพูดเสียงบางเบา: "ขอบคุณพี่มากนะ"

มู่หยางหลิงเลิกคิ้วเล็กน้อย หม่าซิ่วหงจึงพูดต่อ: "ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ท่านลุงและคนอื่นๆ ก็คงไม่มา"

"พวกเธอควรให้คนไปบอกท่านลุงมาแต่แรกแล้วนะ ถึงแม้ว่าพวกท่านจะยุ่งมาก แต่ถ้าย่าใหญ่มีเรื่อง พวกท่านก็ต้องหาเวลามาได้อยู่แล้ว"

หม่าซิ่วหงส่ายหน้าก่อนพูดเสียงแผ่วเบา: "เรื่องท่านย่าไม่เหมือนกัน มีแม่หมอเคยทำนายว่าท่านย่ามีดวงทำลายผัวและลูกหลาน"

มู่หยางหลิงขมวดคิ้ว: “เธอเชื่อเหรอ?”

"ฉันไม่เชื่อ" หม่าซิ่วหงส่ายหน้า "แต่คนอื่นๆเชื่อ ท่านย่าบอกว่าท่านลุงก็เชื่อเช่นกัน … "

มู่หยางหลิงเงียบไป นึกในใจถ้ายังมีความเชื่อแบบนี้อยู่ ต่อให้ย่าใหญ่จะพยายามแค่ไหน คนในหมู่บ้านซีซานและตระกูลหม่าก็คงจะไม่ยอมรับท่านย่าอยู่ดี แม้แต่ครอบครัวตระกูลหลิวเองก็อาจจะไม่ได้ใส่ใจท่านมากเท่าไหร่

มิฉะนั้นหมู่บ้านหลินซานก็คงไม่ปล่อยให้ย่าใหญ่เผชิญความยากลำบากแบบนี้คนเดียวอยู่ตั้งหลายปีโดยไม่มาช่วยแบบนี้ ถ้าจะพูดให้ถูกย่าใหญ่ต้องลำบากแบบนี้ก็เพราะความเชื่อบ้าๆนี้แหละ

มู่หยางหลิงหรี่ตาเล็กน้อย หมู่บ้านสี่ก็อยู่ไม่ไกลมากนะ จากนี้ตรงไปเลี้ยวซ้ายแล้วเดินไปตามถนนสายหลักอีกครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว

พอเด็กทั้งหกคนมาถึงนาข้าว มู่หยางหลิงก็พูดขึ้น: "ฉันจะไปเกี่ยวข้าว ส่วนพวกเธอตัดเชือกอยู่ด้านหลังนะ เสร็จแล้วพวกเธอก็ไปช่วยกันแบกข้าวมาให้ฉัน เดี๋ยวฉันจะมัดข้าวฟ่อนเอง พอมัดเสร็จทั้งหมดเราค่อยแบกกลับไปเก็บ "

ทุกคนเชื่อฟังตามที่มู่หยางหลิงบอก เด็กๆทั้งหลายรวมทั้งหม่าซิ่วหลานที่อายุน้อยสุดก็เคยชินกับการทำงานในนามาแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงทำงานได้ไวมาก แล้วยังมีหลิวหยงกับหม่าซิ่วหงคอยดูแล เด็กๆทั้งหมดทำไปเล่นไปไม่รู้สึกเหนื่อยเลย พอใกล้ๆเที่ยงข้าวในนาทั้งสองผืนก็ถูกมัดเป็นข้าวฟ่อนหมด

มู่หยางหลิงโบกมือแล้วพูดขึ้น: "ไว้ช่วงบ่ายฉันจะมาแบกไปเก็บเอง พวกเธอก็ไปเล่นได้"

หลิวถิงหัวเราะเบาๆก่อนพูดว่า "ไม่ต้องลำบากขนาดนั้น พวกท่านลุงยังอยู่ ให้ท่านลุงเขาแบกกันคนละเที่ยวสองเที่ยวก็หมดแล้ว

มู่ฉือไม่อยากให้ลูกสาวเหนื่อยเกินไป แต่เขาก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้ลูกชายและลูกสาวของตระกูลหลิวไปช่วยขนข้าวให้ป้า "ทุกคนมาที่นี่เพื่อมาคุยเรื่องย่าใหญ่เจ้า หากยังให้พวกเขาไปทำงานในนาอีก ถึงพวกเขาจะไม่พูดแต่ก็คงไม่พอใจนัก ดังนั้นเราสองพ่อลูกและลุงทั้งสองทำกันเองดีกว่า เราสองพ่อลูกแรงเยอะไปกลับไม่กี่เที่ยวก็เสร็จ "

"ตามใจท่านพ่อเลยค่ะ" ก่อนที่มู่หยางหลิงจะถามขึ้นอย่างสงสัย: "ท่านพ่อพวกเขาไปไหนกันหมดคะ" ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ในโรงเก็บข้าวเปลือกเลย

“ หัวหน้าตระกูลหม่าเชิญไปคุยที่บ้านกัน พ่อคาดว่าทางเจ้าน่าจะใกล้เสร็จแล้วจึงแวะมาดู”

“ ตระกูลหม่าว่ายังไงบ้างคะ?”

พี่หม่าซิ่วหงก็ตั้งตารอฟังเช่นกัน มู่ฉือลูบหัวของพวกเด็กๆเล็กน้อยก่อนพูดว่า: "ไม่มีการแบ่งพื้นที่ใหม่ เหตุการณ์เมื่อวานครอบครัวของหม่าต้ากุ้ยเป็นคนผิด จึงต้องไปขอโทษย่าใหญ่ของพวกเจ้า แต่เพราะย่าใหญ่ของพวกเจ้าไปโยนข้าวเปลือกของบ้านเขาทิ้งบนถนนจนเสียหายเช่นกัน จึงไม่มีการชดเชยอะไร”

มู่หยางหลิงขมวดคิ้ว“ นี่มันไม่ลำเอียงไปหน่อยเหรอคะ? ไม่ใช่ลำเอียงธรรมดานะแต่ลำเอียงเห็นๆเลย”

"พอได้แล้ว ได้แค่นี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว หม่าต้ากุ้ยมีลูกชายสามคนและหลานชายเจ็ดคนนะ" ในยุคนี้มีลูกชายก็ถือว่าโชคดีราวกับได้เป็นกษัตริย์

แม้ว่ามู่หยางหลิงจะรู้สึกเบื่อหน่าย แต่เขาก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับธรรมเนียแบบนี้ให้ได้

พอทุกคนกลับไปที่บ้านตระกูลหม่า ก็เห็นย่าใหญ่กำลังหุงข้าวทำอาหารอยู่ เมื่อเห็นมู่หยางหลิงและคนอื่นๆกลับมาเธอก็รีบปาดน้ำตาก่อนจะก้าวเข้าไปหาและจับมือของมู่หยางหลิงไว้แล้วพูดว่า "หลานสาวคนนี้ช่างเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมาเกินไปแล้ว เหมือนท่านย่าของเจ้าไม่มีผิด เป็นผู้ชายยังอาจมีปัญหาได้เลยอย่าว่าแต่ผู้หญิง? ย่าใหญ่ขอบคุณเจ้ามาก แต่ต่อไปห้ามหุนหันพลันแล่นแบบนี้อีกนะ ต่อไปในวันข้างหน้าเจ้ายังต้องตบแต่งมีครอบครัวนะ "

มู่หยางหลิงกลัวว่าถ้าเธอไม่พยักหน้าตอบรับ จะถูกนำตัวไปพูดสั่งสอนอีกจึงรีบพยักหน้าพร้อมพูดขึ้น: "รู้แล้วค่ะ ย่าใหญ่"

หม่าหลิวซื่อถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนพูดกับมู่ฉือว่า: "เจ้าไปจัดการกับแพะตัวนั้นเถอะ ฉันจะพาเด็กๆไปเก็บผักในสวนผัก ข้าวหุงแล้วแค่ช่วยดูกองไฟให้หน่อยก็พอ "

มู่ฉือตอบรับทันที

เด็กอายุเจ็ดแปดขวบสามารถทำงานบ้านได้บ้างยกเว้นมู่หยางหลิง เมื่อหม่าหลิวซื่อได้เด็กๆมาช่วย ไม่ช้าก็ก่อกองไฟและทำกับข้าวได้

เนื่องจากมีเนื้อแกะจำนวนมาก หม่าหลิวซื่อจึงไม่ลังเลที่จะเริ่มต้นด้วยการทำซุปเนื้อแกะหม้อใหญ่ ก่อนจะทำเนื้อแกะตุ๋น และเนื้อแกะอบ อย่างละหม้อ จากนั้นก็สับกระต่ายทั้งสองตัวที่มู่หยางหลิงนำมาให้เมื่อวาน มาทำเป็นเนื้อกระต่ายผัด เมื่อก่อนบนโต๊ะอาหารมีเนื้อจานเดียวก็ถือว่าดีมากแล้ว แต่ตอนนี้สามารถทำอาหารได้หลายจานแบบนี้ หม่าหลิวซื่อรู้สึกดีใจมาก

เมื่อหลิวต้าเฉียนพากลุ่มคนกลับมาที่บ้าน ก็ได้กลิ่นอาหารหอมฉุยจนทุกคนต่างพากันกลืนน้ำลาย และมองไปยันห้องครัวตาละห้อย

หม่าหลิวซื่อหยิบถ้วยชามและตะเกียบออกมาแล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม: "รีบจัดโต๊ะกันเถอะ อาหารพร้อมแล้ว"

หลิวจวงรีบวิ่งออกมาพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม: "มาฉันทำเอง ท่านป้าให้ตั้งตรงไหนดีครับ"

"ตั้งในสนามเลยก็ได้ มันร่มและลมพัดเย็นสบาย"

เพื่อจะได้ทานอาหารเย็นเร็วหน่อย ทุกคนต่างก็พับแขนเสื้อขึ้นช่วยกันจัดโต๊ะสองโต๊ะไม่นานก็เสร็จ และถึงแม้ว่าพวกเขาจะหิวแค่ไหน ก็ไม่มีใครกล้าขยับตะเกียบก่อน ต้องรอให้ผู้อาวุโสเริ่มกินก่อนถึงจะเริ่มกินกันได้

ส่วนโต๊ะของผู้อาวุโสต่างก็รอหลิวต้าเฉียนกินก่อน

หลิวต้าเฉียนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ ใช้ตะเกียบคีบอาหารใส่เข้าปากแล้วเคี้ยวและกลืนเสร็จก็พูดกับทุกคนว่า : "ทุกคนกินกันเถอะ"

หลิวจวนคว้าตะเกียบอย่างใจจดใจจ่อรอให้ลุงและผู้อาวุโสสองสามคนหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารก่อน จากนั้นเขาจึงเริ่มคีบอาหารจานที่เป็นเนื้อทันที

บ้านพวกเขาไม่เหมือนตระกูลมู่ที่เป็นนักล่าโดยกำเนิด พวกเขาเข้าป่าไปไม่มีทางกลับมามือเปล่า จึงทำให้พวกเขามีเนื้อกินทุกวัน ส่วนบ้านพวกเขาที่ทำเพาะปลูกก็จะมีเข้าไปในภูเขาบ้างในช่วงฤดูที่ไม่มีการเพาะปลูก แต่ก็ไม่ค่อยได้อะไรกลับมา เข้าไปสิบครั้งอาจจะล่าสัตว์ได้สักสามครั้งก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว

ช่วงงานเพาะปลูกยุ่งมากๆ ก็จะเข้าไปในเมืองเพื่อซื้อเนื้อสัตว์สองสามชิ้นมาปรุงเพื่อให้ได้กลิ่นเนื้อบ้าง ปกติแล้วเนื้อก็จะเอาให้เด็กๆ และคนแก่ที่บ้านกินกันเท่านั้น

มู่หยางหลิงและเด็กๆไม่สามารถขึ้นไปนั่งร่วมโต๊ะได้ และย่าใหญ่ก็จะลำเอียงเอาอาหารไว้ให้พวกเขามากก็ไม่ได้ จากเดิมที่มีแต่เนื้อกระต่ายผัดจานเล็กจานเดียว มู่ฉือก็ถือหม้อมาสองใบที่เทอาหารมาเต็ม มาวางไว้ในห้องโถงให้พวกเธอกิน

เด็กทั้งหกคนนั่งอยู่บนเก้าอี้เล็กๆ ล้อมโต๊ะที่ทำจากไม้กระดาน ตักกินเนื้อและผักในหม้ออย่างรวดเร็ว

หลิวหลุนที่มือถือเนื้อแกะอยู่พูดขึ้น: "ข้าบอกแล้วว่ามากับพี่มู่หยางหลิงมีเนื้อกิน ครั้งหน้าถ้าพี่ไปล่าสัตว์แล้วมีที่พี่ไม่ต้องการ ก็ให้พวกเราเถอะ ฝีมือการย่างของพี่ชายข้าดีมากนะ”

หลิวหยุ่นเงยหน้าขึ้นมองน้องชายของเขาก่อนจะมองไปที่มู่หยางหลิงอย่างคาดหวัง มู่หยางหลิงจึงตอบว่า : "ค่อยดูอีกทีนะ ช่วงนี้ฉันยุ่งนิดหน่อยถ้าพวกเจ้าอยากกินเนื้อก็ไปหาฉันแล้วกัน ฉันจะไปจับกระต่ายให้ " พูดเสร็จก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ ว่าแต่ปีนี้มีกระต่ายมากเกินไป ถ้าไม่รีบจับมากกว่านี้หน่อย ขึ้นปีใหม่กระต่ายอาจจะตายหมด "

PS: ฉันกำลังคิดว่า ในวันขึ้นปีใหม่ฉันควรเพิ่มอีกหน่อยมั้ยนะ?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด