อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 54 พิจารณาตัวเอง

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 54 พิจารณาตัวเอง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลิวจ้าวซื่อมองหน้าสามี “เจ้าบ้าไปแล้วหรือนี่?”

แต่หลิวถิงก็ยังยืนกรานคำเดิมว่าจะให้หลิวหลางไปเรียกเด็ก ๆ ในหมู่บ้านมากินข้าวพร้อมกันที่นี่ ทั้งที่เด็ก ๆ ในหมู่บ้านมีมากกว่า 50 คนเลยทีเดียว โต๊ะใหญ่ 2 โต๊ะไม่พอแน่นอน

หลิวถิงจึงตัดสินใจว่า “พอถึงเวลานั้นก็เอากับข้าวมาตั้งไว้บนโต๊ะ ให้เด็ก ๆ เข้าไปหยิบกันเอง เพราะยังไงวันนี้ก็มีเนื้อสัตว์พออยู่แล้วล่ะ คงจะได้กินกันทั่วหน้า”

หลิวจ้าวซื่อไม่ค่อยพอใจกับความดื้อรั้นของสามีสักเท่าไหร่ “แต่ก่อนเจ้าเคยบอกว่าหลิวจวงมีนิสัยดื้อรั้น แต่ข้าดูแล้วเจ้าอาการหนักกว่าเขาอีกนะ”

หลิวจ้าวซื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยอมทำตามคำสั่งสามีโดยไม่ได้บอกพ่อกับแม่สามีให้รู้ล่วงหน้า เพราะนางรู้ว่า ตอนนี้ภายในใจของสามีนั้นเต็มไปด้วยความโมโห ปล่อยให้เขาได้ระบายออกมาหน่อย ก็คงจะดีกว่าเก็บมันไว้ในใจ

หลิวจ้าวซื่อพยายามคิดบวกเข้าไว้ แล้วจากนั้นนางก็เดินเข้าครัวไปเตรียมอาหาร

หลิวจางซื่อเห็นว่าพี่สะไภ้หั่นเนื้อสัตว์เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “พี่สะไภ้ กับข้าวแค่ 2 โต๊ะ ใช้เนื้อกระต่ายป่าแค่ตัวเดียวก็พอแล้ว ใยพี่สะไภ้ถึงต้องเอามาหั่นให้หมดด้วยล่ะ?”

“นี่เป็นคำสั่งของพี่ใหญ่เจ้าน่ะสิ พวกเราแค่ทำตามก็พอ”

หลิวจ้าวซื่อเป็นแม่ครัวใหญ่ในวันนี้ ส่วนเรื่องการจัดเตรียมโต๊ะอาหารก็เป็นหน้าที่ของหลิวหลาง เขาไปพาน้อง ๆ มาช่วยกันจัดเตรียมโต๊ะอาหารจนเสร็จสรรพ แล้วก็วิ่งออกไปกลางหมู่บ้านเพื่อเรียกรวมตัวเด็ก ๆ “ทุกคนกลับบ้านไปเอาถ้วยกับตะเกียบกันมาด้วยนะ ที่บ้านข้าน่าจะมีไม่พอ แต่ถึงอย่างไรก็มีเนื้อมากพอสำหรับพวกเจ้าทุกคนนะ เด็กต่ำกว่า 15 ปีที่กินเนื้อได้ก็เข้ามารับอาหารกันได้เลย หลิวสุ่ย เจ้าอย่าลืมพาพี่สาวอีกสามคนของเจ้ามาด้วยล่ะ ได้ยินรึยัง? แล้วก็เจ้าอีกคน อุ้มน้องชายของเจ้ามาด้วย เขาอายุ 3 ขวบแล้วหนิ น่าจะคดกระดูกเป็นแล้วละมั้ง……”

เด็ก ๆ ในหมู่บ้านมากกว่า 50 คนมารวมตัวกันตามคำเชิญชวนของหลิวหลาง เด็กโตอุ้มเด็กเล็ก เด็กเล็กบางกลุ่มก็จูงมือกันมา เด็กชายโขยงนึง เด็กหญิงโขยงนึง แล้ว 20 นาทีต่อมา สวนหลังบ้านของบ้านตระกูลหลิวก็เต็มไปด้วยเด็ก ๆ ทั้งหมู่บ้าน

ย่าหลิวมองเด็ก ๆ พวกนั้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ ก่อนจะดึงแขนหลิวหลางเข้ามาใกล้ ๆ “เจ้าพาพวกเขามาทำไมกัน?”

“เป็นคำสั่งของท่านพ่อขอรับ”

ย่าหลิวตกตะลึงจนพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง “มันไม่ต้องทำกันขนาดนี้ก็ได้หนิ”

ทุก ๆ ครั้งที่มู่หยางหลิงนำอาหารไปแจกจ่ายให้เด็ก ๆ ในหมู่บ้าน ส่วนมากนางจะมุ่งเน้นไปที่เด็กอายุต่ำว่า 10 ขวบ และล้วนเป็นเด็กที่อยู่กันอย่างยากลำบากจริง ๆ เด็กบางคนก็เขินอายไม่กล้ามาขออะไรจากนาง จึงทำให้ทุกครั้งที่นางไปแจกจ่ายอาหารก็จะมีเด็กเข้ามาหานางแค่ประมาณ 10-20คนเท่านั้น แต่ในครั้งนี้ หลานชายของย่าหลิวถึงขั้นเรียกเด็กทั้งหมู่บ้านมาหมด

เด็ก ๆ พวกนี้ ส่วนใหญ่กินเยอะกว่าผู้ใหญ่เสียอีก แล้วเด็กมากมายขนาดนี้ กะจะไม่ให้บ้านตระกูลหลิวเหลือข้าวไว้ประทังชีวิตในวันหน้าเลยหรือยังไง?

หลิวถิงกับน้องชายของเขาช่วยกันจัดโต๊ะในห้องโถงไว้อีก 2 โต๊ะ เพื่อรับรองแขกผู้หลักผู้ใหญ่ จากนั้นเขาก็เข้าไปยกกับข้าวของมาตั้ง โดยที่โต๊ะด้านนอกในสวนเป็นเนื้อ และอีกโต๊ะนึงที่อยู่ในห้องโถงจะเป็นกับข้าวมังสวิรัติทั้งหมด

เด็ก ๆ ที่รวมตัวกันอยู่ในสวนหลังบ้านพากันนั่งที่โต๊ะอาหารในสวน ที่พวกตระกูลหลิวจัดไว้ให้ โดยแต่ละโต๊ะจะได้เมนูมังสวิรัติโต๊ะละ 1 จาน และเมนูเนื้ออีกโต๊ะละ 4 จาน

พอกับข้าวถูกจัดวางไว้บนโต๊ะ เด็ก ๆ ทั้งหลายกลับนั่งกลืนน้ำลายกันอยู่อย่างนั้น โดยไม่มีใครกล้าเริ่มลงมือก่อน

หลิวเซวียนรู้ดีว่าหลิวถิงต้องการจะทำอะไร เขาจึงลุกขึ้นปรบมือเรียกทุกคน ณ ที่แห่งนั้น “วันนี้ขอให้ทุกคนกินให้เต็มที่เลยนะ เรามีเนื้อสัตว์มากพอที่จะทำให้ทุกคนได้กินกันแน่นอน แล้วเด็กโตอย่าลืมช่วยกันดูแลเด็กเล็ก ๆ ด้วยนะ เข้าใจตรงกันนะ!”

“รับทราบ!” ทุกคน ณ ที่นั้นขานรับกันเสียงดังฟังชัด หลิวเซวียนจึงคว่ำมือลงส่งสัญญาณให้ทุกคนเริ่มมื้ออาหารกันได้ “เอาล่ะ กินกันได้เลย”

สิ้นเสียงของหลิงเซวียน เด็ก ๆ ในสวนต่างก็ยกตะเกียบขึ้นมากินกันอย่างเอร็ดอร่อย เด็ก ๆ วัยรุ่นบางคนพอยัดข้าวเข้าปากของตัวเองกันแล้ว ก็หันไปป้อนน้องนุ่งตัวเล็ก ๆ ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ บรรยากาศภายในสวนหลังบ้านตระกูลหลิวตอนนี้จึงเริ่มคึกคักขึ้น

แต่โต๊ะอาหารภายในห้องโถงนี่สิ พวกผู้ใหญ่ยังคงนั่งหน้าสลอนกันอยู่ เพราะกับข้าวบนโต๊ะอาหารล้วนเป็นมังสวิรัติทั้งหมด หลิวเหอเห็นท่าไม่ดี จึงหยิบตะเกียบขึ้นมาเป็นคนแรก “กินเถอะ”

จากนั้นคนอื่น ๆ จึงเริ่มหยิบตะเกียบขึ้นมา แต่กลิ่นเนื้อหอม ๆ จากโต๊ะอาหารในสวนเนี่ย ลอยเข้ามาเตะจมูกอยู่ตลอดเวลาเลย แถมเด็ก ๆ ข้างนอกยังส่งเสียงฮือฮาอยู่เป็นระยะอีกด้วย หลิวถิงนี่ร้ายจริง ๆ

ตัดภาพมาที่โต๊ะอาหารในห้องโถง ผู้ใหญ่วัยเดียวกับหลิวต้าเฉียนต่างหันมองหน้าเขาด้วยสีหน้ากล้ำกลืน แต่หลิวต้าเฉียนก็ไม่ได้สนใจ และก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เมื่อหลิวถิงเห็นว่าแผนของเขาได้บรรลุไปตามเป้า ความโมโหที่อยู่ในใจของเขาก็เริ่มจางลง

แต่หลิวจ้าวซื่อที่ยังยืนอยู่ในครัวนั้น ยังรู้สึกร้อนใจไม่หาย

ย่าหลิวรองจึงพูดประชดออกมาว่า “เจ้าถิงเป็นคนจิตใจดีจริง ๆ เลยนะ เอาเนื้อให้พวกเด็ก ๆ ไปซะหมด จนไม่เหลือมาถึงผู้ใหญ่ในห้องโถงเลยแม้แต่น้อย พี่สะไภ้ช่างสอนมาดีจริง ๆ “

ส่วนย่าหลิวใหญ่นั้น นางเหลือบมองฟางหลิวซื่อ แล้วหรี่ลงเล็กน้อยก่อนจะพูดลอย ๆ ขึ้นว่า “สงสารเด็ก ๆ นะ ที่ไม่ค่อยได้กินอาหารดี ๆ เลย พวกเราคนเฒ่าคนแก่คนไหนจะกล้าเข้าไปแย่งอาหารจากพวกเขาได้ล่ะ จริงไหม?”

ฟางหลิวซื่อที่ทำท่าเหมือนจะลุกออกไปแย่งอาหารเด็ก ๆ อยู่นั้น ก็ต้องชะงักไปเมื่อได้ยินย่าหลิวพูดอย่างนั้น

วันนี้นอกจากฟางหลิวซื่อจะไม่ได้อะไรกลับไปแล้ว นางยังเกือบซวยอีก ดีที่หลาน ๆ ของนางอยู่ที่นี่ด้วย ไม่อย่างนั้นคงจะแย่กว่านี้

พอมู่หยางหลิงจูงมือน้องชายเดินเข้ามาในสวนของบ้านตระกูลหลิว นางก็ต้องผงะเมื่อเห็นภาพตรงหน้า เด็ก ๆ ในหมู่บ้านต่างแย่งชิงอาหารกันอย่างมูมมาม ทำเอาเสี่ยวปั๋วเหวินเองก็ยืนอึ้งอ้าปากค้างไปเหมือนกัน

บ้านตระกูลมู่ไม่เคยขาดแคลนเนื้อสัตว์เลยซักครา นางจึงรู้สึกอึ้งเมื่อเห็นเด็ก ๆ ในหมู่บ้านหลายคนแย่งชิงเนื้อสัตว์กันแบบนี้ แล้วความรู้สึกต่อจากนั้นของนางก็เปลี่ยนไปเป็นความเศร้าใจแทน

นางบีบมือน้องชายไว้แน่น

ชีวิตนี้ของมู่หยางหลิงนั้น ไม่เคยมีวันไหนที่ต้องใช้ชีวิตอย่างลำบากยากแค้นเลยซักวัน ครอบครัวนางแค่ไม่มีทรัพย์สมบัติมากพอที่จะไปซื้อข้าวชั้นดีมาหุงกิน แต่ก็ยังมีปัญญาซื้อข้าวมาหุงกิน แม้ว่าจะเป็นข้าวคุณภาพต่ำก็ตาม แต่ครอบครัวของนางก็ไม่เคยขาดแคลนเนื้อสัตว์เลยซักครา แม้จะมีบางช่วงที่ต้องงดเข้าป่า เพื่อให้ป่าไม้ได้ฟื้นฟูตัวเอง แต่นางก็ยังแอบเข้าไปดักกระต่ายป่า ไก่ป่าออกมาได้บ้าง นางจึงจินตนาการไม่ออกว่าถ้านางได้กินเนื้อสัตว์แค่ปีละหน มันจะน่าเศร้าใจแค่ไหน

และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่นางมักจะเอาเนื้อสัตว์ที่ล่ามาได้นั้น ไปแบ่งให้กับเด็ก ๆ ในหมู่บ้านด้วย

แต่กำลังของนางก็มีไม่มากพอที่จะเลี้ยงเด็กทั้งหมู่บ้านได้ ทุก ๆ ครั้งที่นำมาแจกจ่าย นางจึงต้องเน้นไปที่เด็กเล็กอายุต่ำว่า 10 ขวบเป็นต้นไป และการที่นางต้องแอบเข้าป่าไปหาอาหารเพิ่มอยู่บ่อย ๆ ก็เป็นเพราะนางเห็นใจเด็ก ๆ พวกนี้จริง ๆ

แล้วนี่นางพยายามเต็มที่แล้วหรือยังล่ะ?

มู่หยางหลิงรู้สึกผิดและอดไม่ได้ที่จะคิดถึงคำพูดของครูท่านนึง “ถ้าพวกเจ้าได้สวมเครื่องแบบทหาร พวกเจ้าพอจะคิดออกหรือไม่ว่าจะต้องปฏิบัติตนอย่างไรให้คู่ควรกับเครื่องแบบทหาร?”

แล้วเหล่านักเรียนก็ตอบอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “ปกป้องดูแลบ้านเมือง!”

ครูท่านนั้นยิ้มแล้วตอบกลับมาว่า “นั่นเป็นหน้าที่หลักของพวกเจ้าอยู่แล้ว” จากนั้นเขาก็มองมาที่นักเรียนทุกคนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เติบโตไป เจ้าทุกคนจะต้องไม่กลัวที่จะเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอกว่า หรือใครก็ตามที่กำลังต้องการความช่วยเหลือ อย่าละอายที่จะทำ จงมีจิตสำนึกที่ดี ให้สมกับเครื่องแบบทหารที่สวมใส่อยู่”

มู่หยางหลิงจึงตั้งคำถามกับตัวเองว่า นี่นางพยายามอย่างเต็มที่แล้วหรือ? เสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปหรือไม่?

มู่หยางหลิงเป็นเพียงแค่เด็กหญิงวัย 9 ขวบ และนางก็พยายามทำตัวเป็นเด็ก 9 ขวบธรรมดาคนนึงแล้วนะ แต่ทำไมความคิดของนางดูไม่เหมือนเด็กเลยล่ะ?

(เข้าเรื่องกันเถอะ) นางสับสนด้วยว่าช่วงเวลา 6 ปีที่ผ่านมานี้ มันทำให้อุดมคติและความเชื่อของนางนั้น สูญสิ้นไปหมดแล้วหรือ?

แล้วการที่นางนำเอาความรู้ความทรงจำที่สั่งสมไว้ บวกกับพละกำลังทั้งหมดที่นางมีมาช่วยเหลือเด็ก ๆ ในหมู่บ้านนั้น มันไม่ช่วยอะไรเลยหรือ?

มู่หยางหลิงรู้สึกละอายที่ตนทำไม่ได้อย่างที่ตั้งใจไว้

เสี่ยวปั๋วเหวินเริ่มรู้สึกเจ็บมือข้างที่พี่สาวกำไว้แน่น “ท่านพี่ ข้าเจ็บ”

แต่มู่หยางหลิงก็ยังคงจมดิ่งอยู่ในความคิดของตัวเองจนไม่ได้ยินเสียงรอบกาย

แล้วทันใดนั้น หลิวหลางก็หันมาเห็นมู่หยางหลิงยืนอยู่ จึงตะโกนเรียกนาง “พี่มู่ มาแล้วหรือ”

เสียงตะโกนของหลิวหลางทำให้นางได้สติกลับมา และรีบคลายมือออกจากมือน้องชายทันที นางจับนิ้วขาวอวบของน้องชายขึ้นมาเป่า “เจ็บมากมั้ย พี่เป่าให้นะ”

“ไม่เจ็บแล้วล่ะท่านพี่ แต่ท่านพี่คิดอะไรอยู่งั้นรึ? ข้าเรียกตั้งนานทำไมท่านถึงไม่ได้ยินล่ะ?”

มู่หยางหลิงลูบหัวน้องชาย “พี่กำลังคิดถึงเรื่อง ๆ นึงอยู่น่ะ”

แล้วหลิวหลางก็ถือถ้วยข้าวเดินตรงมาหาพวกเขาทั้งสองคน “พวกเจ้าจะกินด้วยกันไหม? ข้าจะได้เข้าไปชิงมาให้”

มู่หยางหลิงส่ายหน้าทันที “พวกเจ้ากินเถอะ พวกข้าอิ่มแล้วล่ะ” แล้วนางก็หันไปมองเด็ก ๆ ที่อยู่ในสวน “มีใครอยู่ในห้องโถงกันบ้างรึ?”

“ท่านปู่กับเพื่อน ๆ นี่แหละ น่าจะยังกินข้าวกันอยู่” แล้วสีหน้าของหลิวหลางก็เริ่มเปลี่ยนไป เพราะเขารู้ดีว่าต่อจากนี้ พ่อกับลุงรองของเขาคงจะไม่ได้เข้าป่าไปกับมู่หยางหลิงอีกแล้ว

มู่หยางหลิงมองหน้าหลิวหลางแล้วถามว่า “เจ้ากินอิ่มแล้วหรือ?”

หลิวหลางตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา “ยังอยากกินอีกนึงน่ะ”

“ไม่ต้องกินแล้ว ข้าฝากปั๋วเหวินหน่อย ข้ามีเรื่องจะคุยกับน้าชาย” แล้วมู่หยางหลิงก็ส่งตัวปั๋วเหวินให้กับหลิวหลาง “เฝ้าให้ดี ๆ ล่ะ วันนี้คนเยอะเกินไปแล้ว”

แม้ว่าเด็ก ๆ ในหมู่บ้านส่วนใหญ่จะมีน้ำใจกับปั๋วเหวิน แต่ก็ยังมีเด็กบางคนที่ชอบรังแกเขาอยู่เป็นประจำ แล้วตอนนี้เด็ก ๆ ในหมู่บ้านก็มารวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้วด้วย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 54 พิจารณาตัวเอง

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 54 พิจารณาตัวเอง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลิวจ้าวซื่อมองหน้าสามี “เจ้าบ้าไปแล้วหรือนี่?”

แต่หลิวถิงก็ยังยืนกรานคำเดิมว่าจะให้หลิวหลางไปเรียกเด็ก ๆ ในหมู่บ้านมากินข้าวพร้อมกันที่นี่ ทั้งที่เด็ก ๆ ในหมู่บ้านมีมากกว่า 50 คนเลยทีเดียว โต๊ะใหญ่ 2 โต๊ะไม่พอแน่นอน

หลิวถิงจึงตัดสินใจว่า “พอถึงเวลานั้นก็เอากับข้าวมาตั้งไว้บนโต๊ะ ให้เด็ก ๆ เข้าไปหยิบกันเอง เพราะยังไงวันนี้ก็มีเนื้อสัตว์พออยู่แล้วล่ะ คงจะได้กินกันทั่วหน้า”

หลิวจ้าวซื่อไม่ค่อยพอใจกับความดื้อรั้นของสามีสักเท่าไหร่ “แต่ก่อนเจ้าเคยบอกว่าหลิวจวงมีนิสัยดื้อรั้น แต่ข้าดูแล้วเจ้าอาการหนักกว่าเขาอีกนะ”

หลิวจ้าวซื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยอมทำตามคำสั่งสามีโดยไม่ได้บอกพ่อกับแม่สามีให้รู้ล่วงหน้า เพราะนางรู้ว่า ตอนนี้ภายในใจของสามีนั้นเต็มไปด้วยความโมโห ปล่อยให้เขาได้ระบายออกมาหน่อย ก็คงจะดีกว่าเก็บมันไว้ในใจ

หลิวจ้าวซื่อพยายามคิดบวกเข้าไว้ แล้วจากนั้นนางก็เดินเข้าครัวไปเตรียมอาหาร

หลิวจางซื่อเห็นว่าพี่สะไภ้หั่นเนื้อสัตว์เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “พี่สะไภ้ กับข้าวแค่ 2 โต๊ะ ใช้เนื้อกระต่ายป่าแค่ตัวเดียวก็พอแล้ว ใยพี่สะไภ้ถึงต้องเอามาหั่นให้หมดด้วยล่ะ?”

“นี่เป็นคำสั่งของพี่ใหญ่เจ้าน่ะสิ พวกเราแค่ทำตามก็พอ”

หลิวจ้าวซื่อเป็นแม่ครัวใหญ่ในวันนี้ ส่วนเรื่องการจัดเตรียมโต๊ะอาหารก็เป็นหน้าที่ของหลิวหลาง เขาไปพาน้อง ๆ มาช่วยกันจัดเตรียมโต๊ะอาหารจนเสร็จสรรพ แล้วก็วิ่งออกไปกลางหมู่บ้านเพื่อเรียกรวมตัวเด็ก ๆ “ทุกคนกลับบ้านไปเอาถ้วยกับตะเกียบกันมาด้วยนะ ที่บ้านข้าน่าจะมีไม่พอ แต่ถึงอย่างไรก็มีเนื้อมากพอสำหรับพวกเจ้าทุกคนนะ เด็กต่ำกว่า 15 ปีที่กินเนื้อได้ก็เข้ามารับอาหารกันได้เลย หลิวสุ่ย เจ้าอย่าลืมพาพี่สาวอีกสามคนของเจ้ามาด้วยล่ะ ได้ยินรึยัง? แล้วก็เจ้าอีกคน อุ้มน้องชายของเจ้ามาด้วย เขาอายุ 3 ขวบแล้วหนิ น่าจะคดกระดูกเป็นแล้วละมั้ง……”

เด็ก ๆ ในหมู่บ้านมากกว่า 50 คนมารวมตัวกันตามคำเชิญชวนของหลิวหลาง เด็กโตอุ้มเด็กเล็ก เด็กเล็กบางกลุ่มก็จูงมือกันมา เด็กชายโขยงนึง เด็กหญิงโขยงนึง แล้ว 20 นาทีต่อมา สวนหลังบ้านของบ้านตระกูลหลิวก็เต็มไปด้วยเด็ก ๆ ทั้งหมู่บ้าน

ย่าหลิวมองเด็ก ๆ พวกนั้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ ก่อนจะดึงแขนหลิวหลางเข้ามาใกล้ ๆ “เจ้าพาพวกเขามาทำไมกัน?”

“เป็นคำสั่งของท่านพ่อขอรับ”

ย่าหลิวตกตะลึงจนพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง “มันไม่ต้องทำกันขนาดนี้ก็ได้หนิ”

ทุก ๆ ครั้งที่มู่หยางหลิงนำอาหารไปแจกจ่ายให้เด็ก ๆ ในหมู่บ้าน ส่วนมากนางจะมุ่งเน้นไปที่เด็กอายุต่ำว่า 10 ขวบ และล้วนเป็นเด็กที่อยู่กันอย่างยากลำบากจริง ๆ เด็กบางคนก็เขินอายไม่กล้ามาขออะไรจากนาง จึงทำให้ทุกครั้งที่นางไปแจกจ่ายอาหารก็จะมีเด็กเข้ามาหานางแค่ประมาณ 10-20คนเท่านั้น แต่ในครั้งนี้ หลานชายของย่าหลิวถึงขั้นเรียกเด็กทั้งหมู่บ้านมาหมด

เด็ก ๆ พวกนี้ ส่วนใหญ่กินเยอะกว่าผู้ใหญ่เสียอีก แล้วเด็กมากมายขนาดนี้ กะจะไม่ให้บ้านตระกูลหลิวเหลือข้าวไว้ประทังชีวิตในวันหน้าเลยหรือยังไง?

หลิวถิงกับน้องชายของเขาช่วยกันจัดโต๊ะในห้องโถงไว้อีก 2 โต๊ะ เพื่อรับรองแขกผู้หลักผู้ใหญ่ จากนั้นเขาก็เข้าไปยกกับข้าวของมาตั้ง โดยที่โต๊ะด้านนอกในสวนเป็นเนื้อ และอีกโต๊ะนึงที่อยู่ในห้องโถงจะเป็นกับข้าวมังสวิรัติทั้งหมด

เด็ก ๆ ที่รวมตัวกันอยู่ในสวนหลังบ้านพากันนั่งที่โต๊ะอาหารในสวน ที่พวกตระกูลหลิวจัดไว้ให้ โดยแต่ละโต๊ะจะได้เมนูมังสวิรัติโต๊ะละ 1 จาน และเมนูเนื้ออีกโต๊ะละ 4 จาน

พอกับข้าวถูกจัดวางไว้บนโต๊ะ เด็ก ๆ ทั้งหลายกลับนั่งกลืนน้ำลายกันอยู่อย่างนั้น โดยไม่มีใครกล้าเริ่มลงมือก่อน

หลิวเซวียนรู้ดีว่าหลิวถิงต้องการจะทำอะไร เขาจึงลุกขึ้นปรบมือเรียกทุกคน ณ ที่แห่งนั้น “วันนี้ขอให้ทุกคนกินให้เต็มที่เลยนะ เรามีเนื้อสัตว์มากพอที่จะทำให้ทุกคนได้กินกันแน่นอน แล้วเด็กโตอย่าลืมช่วยกันดูแลเด็กเล็ก ๆ ด้วยนะ เข้าใจตรงกันนะ!”

“รับทราบ!” ทุกคน ณ ที่นั้นขานรับกันเสียงดังฟังชัด หลิวเซวียนจึงคว่ำมือลงส่งสัญญาณให้ทุกคนเริ่มมื้ออาหารกันได้ “เอาล่ะ กินกันได้เลย”

สิ้นเสียงของหลิงเซวียน เด็ก ๆ ในสวนต่างก็ยกตะเกียบขึ้นมากินกันอย่างเอร็ดอร่อย เด็ก ๆ วัยรุ่นบางคนพอยัดข้าวเข้าปากของตัวเองกันแล้ว ก็หันไปป้อนน้องนุ่งตัวเล็ก ๆ ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ บรรยากาศภายในสวนหลังบ้านตระกูลหลิวตอนนี้จึงเริ่มคึกคักขึ้น

แต่โต๊ะอาหารภายในห้องโถงนี่สิ พวกผู้ใหญ่ยังคงนั่งหน้าสลอนกันอยู่ เพราะกับข้าวบนโต๊ะอาหารล้วนเป็นมังสวิรัติทั้งหมด หลิวเหอเห็นท่าไม่ดี จึงหยิบตะเกียบขึ้นมาเป็นคนแรก “กินเถอะ”

จากนั้นคนอื่น ๆ จึงเริ่มหยิบตะเกียบขึ้นมา แต่กลิ่นเนื้อหอม ๆ จากโต๊ะอาหารในสวนเนี่ย ลอยเข้ามาเตะจมูกอยู่ตลอดเวลาเลย แถมเด็ก ๆ ข้างนอกยังส่งเสียงฮือฮาอยู่เป็นระยะอีกด้วย หลิวถิงนี่ร้ายจริง ๆ

ตัดภาพมาที่โต๊ะอาหารในห้องโถง ผู้ใหญ่วัยเดียวกับหลิวต้าเฉียนต่างหันมองหน้าเขาด้วยสีหน้ากล้ำกลืน แต่หลิวต้าเฉียนก็ไม่ได้สนใจ และก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เมื่อหลิวถิงเห็นว่าแผนของเขาได้บรรลุไปตามเป้า ความโมโหที่อยู่ในใจของเขาก็เริ่มจางลง

แต่หลิวจ้าวซื่อที่ยังยืนอยู่ในครัวนั้น ยังรู้สึกร้อนใจไม่หาย

ย่าหลิวรองจึงพูดประชดออกมาว่า “เจ้าถิงเป็นคนจิตใจดีจริง ๆ เลยนะ เอาเนื้อให้พวกเด็ก ๆ ไปซะหมด จนไม่เหลือมาถึงผู้ใหญ่ในห้องโถงเลยแม้แต่น้อย พี่สะไภ้ช่างสอนมาดีจริง ๆ “

ส่วนย่าหลิวใหญ่นั้น นางเหลือบมองฟางหลิวซื่อ แล้วหรี่ลงเล็กน้อยก่อนจะพูดลอย ๆ ขึ้นว่า “สงสารเด็ก ๆ นะ ที่ไม่ค่อยได้กินอาหารดี ๆ เลย พวกเราคนเฒ่าคนแก่คนไหนจะกล้าเข้าไปแย่งอาหารจากพวกเขาได้ล่ะ จริงไหม?”

ฟางหลิวซื่อที่ทำท่าเหมือนจะลุกออกไปแย่งอาหารเด็ก ๆ อยู่นั้น ก็ต้องชะงักไปเมื่อได้ยินย่าหลิวพูดอย่างนั้น

วันนี้นอกจากฟางหลิวซื่อจะไม่ได้อะไรกลับไปแล้ว นางยังเกือบซวยอีก ดีที่หลาน ๆ ของนางอยู่ที่นี่ด้วย ไม่อย่างนั้นคงจะแย่กว่านี้

พอมู่หยางหลิงจูงมือน้องชายเดินเข้ามาในสวนของบ้านตระกูลหลิว นางก็ต้องผงะเมื่อเห็นภาพตรงหน้า เด็ก ๆ ในหมู่บ้านต่างแย่งชิงอาหารกันอย่างมูมมาม ทำเอาเสี่ยวปั๋วเหวินเองก็ยืนอึ้งอ้าปากค้างไปเหมือนกัน

บ้านตระกูลมู่ไม่เคยขาดแคลนเนื้อสัตว์เลยซักครา นางจึงรู้สึกอึ้งเมื่อเห็นเด็ก ๆ ในหมู่บ้านหลายคนแย่งชิงเนื้อสัตว์กันแบบนี้ แล้วความรู้สึกต่อจากนั้นของนางก็เปลี่ยนไปเป็นความเศร้าใจแทน

นางบีบมือน้องชายไว้แน่น

ชีวิตนี้ของมู่หยางหลิงนั้น ไม่เคยมีวันไหนที่ต้องใช้ชีวิตอย่างลำบากยากแค้นเลยซักวัน ครอบครัวนางแค่ไม่มีทรัพย์สมบัติมากพอที่จะไปซื้อข้าวชั้นดีมาหุงกิน แต่ก็ยังมีปัญญาซื้อข้าวมาหุงกิน แม้ว่าจะเป็นข้าวคุณภาพต่ำก็ตาม แต่ครอบครัวของนางก็ไม่เคยขาดแคลนเนื้อสัตว์เลยซักครา แม้จะมีบางช่วงที่ต้องงดเข้าป่า เพื่อให้ป่าไม้ได้ฟื้นฟูตัวเอง แต่นางก็ยังแอบเข้าไปดักกระต่ายป่า ไก่ป่าออกมาได้บ้าง นางจึงจินตนาการไม่ออกว่าถ้านางได้กินเนื้อสัตว์แค่ปีละหน มันจะน่าเศร้าใจแค่ไหน

และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่นางมักจะเอาเนื้อสัตว์ที่ล่ามาได้นั้น ไปแบ่งให้กับเด็ก ๆ ในหมู่บ้านด้วย

แต่กำลังของนางก็มีไม่มากพอที่จะเลี้ยงเด็กทั้งหมู่บ้านได้ ทุก ๆ ครั้งที่นำมาแจกจ่าย นางจึงต้องเน้นไปที่เด็กเล็กอายุต่ำว่า 10 ขวบเป็นต้นไป และการที่นางต้องแอบเข้าป่าไปหาอาหารเพิ่มอยู่บ่อย ๆ ก็เป็นเพราะนางเห็นใจเด็ก ๆ พวกนี้จริง ๆ

แล้วนี่นางพยายามเต็มที่แล้วหรือยังล่ะ?

มู่หยางหลิงรู้สึกผิดและอดไม่ได้ที่จะคิดถึงคำพูดของครูท่านนึง “ถ้าพวกเจ้าได้สวมเครื่องแบบทหาร พวกเจ้าพอจะคิดออกหรือไม่ว่าจะต้องปฏิบัติตนอย่างไรให้คู่ควรกับเครื่องแบบทหาร?”

แล้วเหล่านักเรียนก็ตอบอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “ปกป้องดูแลบ้านเมือง!”

ครูท่านนั้นยิ้มแล้วตอบกลับมาว่า “นั่นเป็นหน้าที่หลักของพวกเจ้าอยู่แล้ว” จากนั้นเขาก็มองมาที่นักเรียนทุกคนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เติบโตไป เจ้าทุกคนจะต้องไม่กลัวที่จะเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอกว่า หรือใครก็ตามที่กำลังต้องการความช่วยเหลือ อย่าละอายที่จะทำ จงมีจิตสำนึกที่ดี ให้สมกับเครื่องแบบทหารที่สวมใส่อยู่”

มู่หยางหลิงจึงตั้งคำถามกับตัวเองว่า นี่นางพยายามอย่างเต็มที่แล้วหรือ? เสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปหรือไม่?

มู่หยางหลิงเป็นเพียงแค่เด็กหญิงวัย 9 ขวบ และนางก็พยายามทำตัวเป็นเด็ก 9 ขวบธรรมดาคนนึงแล้วนะ แต่ทำไมความคิดของนางดูไม่เหมือนเด็กเลยล่ะ?

(เข้าเรื่องกันเถอะ) นางสับสนด้วยว่าช่วงเวลา 6 ปีที่ผ่านมานี้ มันทำให้อุดมคติและความเชื่อของนางนั้น สูญสิ้นไปหมดแล้วหรือ?

แล้วการที่นางนำเอาความรู้ความทรงจำที่สั่งสมไว้ บวกกับพละกำลังทั้งหมดที่นางมีมาช่วยเหลือเด็ก ๆ ในหมู่บ้านนั้น มันไม่ช่วยอะไรเลยหรือ?

มู่หยางหลิงรู้สึกละอายที่ตนทำไม่ได้อย่างที่ตั้งใจไว้

เสี่ยวปั๋วเหวินเริ่มรู้สึกเจ็บมือข้างที่พี่สาวกำไว้แน่น “ท่านพี่ ข้าเจ็บ”

แต่มู่หยางหลิงก็ยังคงจมดิ่งอยู่ในความคิดของตัวเองจนไม่ได้ยินเสียงรอบกาย

แล้วทันใดนั้น หลิวหลางก็หันมาเห็นมู่หยางหลิงยืนอยู่ จึงตะโกนเรียกนาง “พี่มู่ มาแล้วหรือ”

เสียงตะโกนของหลิวหลางทำให้นางได้สติกลับมา และรีบคลายมือออกจากมือน้องชายทันที นางจับนิ้วขาวอวบของน้องชายขึ้นมาเป่า “เจ็บมากมั้ย พี่เป่าให้นะ”

“ไม่เจ็บแล้วล่ะท่านพี่ แต่ท่านพี่คิดอะไรอยู่งั้นรึ? ข้าเรียกตั้งนานทำไมท่านถึงไม่ได้ยินล่ะ?”

มู่หยางหลิงลูบหัวน้องชาย “พี่กำลังคิดถึงเรื่อง ๆ นึงอยู่น่ะ”

แล้วหลิวหลางก็ถือถ้วยข้าวเดินตรงมาหาพวกเขาทั้งสองคน “พวกเจ้าจะกินด้วยกันไหม? ข้าจะได้เข้าไปชิงมาให้”

มู่หยางหลิงส่ายหน้าทันที “พวกเจ้ากินเถอะ พวกข้าอิ่มแล้วล่ะ” แล้วนางก็หันไปมองเด็ก ๆ ที่อยู่ในสวน “มีใครอยู่ในห้องโถงกันบ้างรึ?”

“ท่านปู่กับเพื่อน ๆ นี่แหละ น่าจะยังกินข้าวกันอยู่” แล้วสีหน้าของหลิวหลางก็เริ่มเปลี่ยนไป เพราะเขารู้ดีว่าต่อจากนี้ พ่อกับลุงรองของเขาคงจะไม่ได้เข้าป่าไปกับมู่หยางหลิงอีกแล้ว

มู่หยางหลิงมองหน้าหลิวหลางแล้วถามว่า “เจ้ากินอิ่มแล้วหรือ?”

หลิวหลางตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา “ยังอยากกินอีกนึงน่ะ”

“ไม่ต้องกินแล้ว ข้าฝากปั๋วเหวินหน่อย ข้ามีเรื่องจะคุยกับน้าชาย” แล้วมู่หยางหลิงก็ส่งตัวปั๋วเหวินให้กับหลิวหลาง “เฝ้าให้ดี ๆ ล่ะ วันนี้คนเยอะเกินไปแล้ว”

แม้ว่าเด็ก ๆ ในหมู่บ้านส่วนใหญ่จะมีน้ำใจกับปั๋วเหวิน แต่ก็ยังมีเด็กบางคนที่ชอบรังแกเขาอยู่เป็นประจำ แล้วตอนนี้เด็ก ๆ ในหมู่บ้านก็มารวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้วด้วย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+