อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 24 กลับบ้าน

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 24 กลับบ้าน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร พวกเจ้ากลับมาได้อย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว วันนี้ที่เข้าตัวอำเภอไปนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” หลิวจ้าวซื่อถาม

มู่หยางหลิงพยักหน้าก่อนจะพูดต่อ “เป็นไปได้ด้วยดีจ้ะ”

สิ้นเสียงมู่หยางหลิง มู่ฉือก็เข็นรถลากเข้ามาพอดี มู่หยางหลิงหันไปเห็นพ่อ แล้วรีบวิ่งเข้าไปหยิบเนื้อหมูกับถุงลูกอมถุงเล็กขึ้นมาถุงนึง จากนั้นนางก็วิ่งเข้าไปยื่นให้น้าสะใภ้ของนาง “น้าสะใภ้ วันนี้ข้าซื้อลูกอมมานิดหน่อย ข้าให้ท่านเอากลับไปฝากลูกพี่ลูกน้องนะจ้ะ”

หลิวจ้าวซื่อปฏิเสธที่จะรับ “ทำอย่างนี้ได้อย่างไร? เจ้าเก็บไว้ให้น้องชายเจ้ากินเถอะนะ อีกอย่าง นี่ก็ไม่ใช่เทศกาลวันสำคัญอะไร เดี๋ยวจะทำให้พวกเขาติดกินของพวกนี้ไปเปล่า ๆ ส่วนเนื้อนี่ เจ้าก็เอาไว้ให้แม่เจ้ากินเถอะนะ นางกำลังท้องกำลังไส้”

แม้ว่าบ้านตระกูลมู่จะเลี้ยงหมูอยู่ด้วย แต่เนื้อหมูป่ากับหมูบ้านนั้นต่างกันมาก เพราะหมูบ้านจะมีไขมันเยอะกว่าหมูป่า ส่วนบ้านตระกูลหลิวนั้น พวกเขาต้องรอจนกว่าจะถึงวันเทศกาล ถึงจะได้กินเนื้อสัตว์กันสักที

“ของท่านแม่ยังมีอยู่ ชิ้นนี้ข้าตั้งใจจะให้ท่านกับท่านน้าเอาไว้ทำกิน รับไว้เถอะนะจ้ะ” มู่หยางหลิงยัดของใส่มือหลิวจ้าวซื่อ เนื่องจากนางกับพ่อก็ตั้งใจซื้อของกลับมาเผื่อครอบครัวนี้อยู่แล้ว

ซู่หว่านเหนียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พี่สะใภ้รับไว้เถอะ ตอบแทนที่วันนี้ท่านมาอยู่เป็นเพื่อนข้ากับลูก”

มู่ฉือเสริม “ไม่ต้องห่วงนะ พวกเรายังมีอีกมากโข”

หลิวจ้าวซื่อคิดอยู่นานกว่าจะยอมรับของมา “ถ้าอย่างนั้นพวกท่านรีบกลับบ้านเถอะ คืนนี้ดูเหมือนน้ำค้างจะลงหนัก เดี๋ยวจะเป็นหวัดกันเสียเปล่า ๆ ” นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม

มู่หยางหลิงตอบรับ และเมื่อนางเห็นว่าน้าสะไภ้หันหลังเดินจากไปแล้ว นางจึงอุ้มน้องชายขึ้นรถลาก แล้วหันมากอดแขนแม่ของนางทันที “เรารีบกลับบ้านกันเถอะท่านแม่”

เสี่ยวปั๋วเหวินตื่นเต้นกับการนั่งรถลากจนแก้มทั้งสองข้างแดงก่ำ เขามองไปยังทางข้างหน้าด้วยแววตาที่เปล่งประกาย พร้อมกับตะโกนเสียงดังว่า “กลับบ้านกัน!”

พอถึงหน้าบ้าน มู่หยางหลิงก็รีบวิ่งเข้าไปจุดตะเกียงข้างในบ้าน จากนั้นซู่หว่านเหนียงจึงค่อย ๆ เดินตามเข้าไป

“ข้าจะไปทำกับข้าวก่อน ปั๋วเหวิน มาช่วยพี่ก่อไฟเร็วเข้า”พูดจบมู่หยางหลิงก็หยิบผักในรถลากขึ้นมา แล้วเดินเข้าครัวไป

ซู่หว่านเหนียงถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะพูดกับสามีว่า “พวกเจ้ากลับมาได้เสียที ข้าล่ะกลัวนักว่าคืนนี้จะกลับกันมาไม่ได้”

“ก็บอกแล้วไงล่ะ ว่ายังไงก็กลับมาได้แน่ เจ้าก็กังวลเกินไปนะ” มู่ฉือพูดพลางประคองซู่หว่านเหนียงให้นั่งลง “กลางค่ำกลางคืนลมมันแรง ร่างกายของเจ้ากับปั๋วเหวินก็ไม่ค่อยดี ไม่น่าออกไปยืนตากลมตากน้ำค้างอย่างนั้นเลย”

ซู่หว่านเหนียงนั่งมองของที่สองคนพ่อลูกนำกลับมา แล้วก็เหลือบไปเห็นผ้าอีก 2 ผืน จึงถามขึ้นว่า “ซื้อผ้ามาทำไมอีกล่ะ?”

“รอบนี้เครื่องหนังของเราขายดี ข้าก็เลยเจียดเงินซื้อผ้ามา เพราะเจ้ากับลูก ๆ ก็ไม่ได้เย็บเสื้อใหม่กันมานานแล้ว ข้าเลยซื้อผ้ามา 2 ผืน เจ้าจะได้เอาไว้ทำเสื้อใหม่ให้ลูก ๆ ใส่ แล้วก็ทำของเจ้าเองด้วยสักชุดนึง” หลังจากที่มู่ฉือต้องชักเงินออกมาจ่ายค่าแผงทั้งหมด 5 ตำลึงเงิน เขาก็จะเหลือเงินอีก 43 ตำลึงเงิน เขาจึงใช้ 3 ตำลึงเงินที่เป็นเศษออกมาซื้อของกลับบ้าน แล้วที่เหลือก็ตั้งใจจะเก็บออมเอาไว้ให้ครอบครัว

ในห้องครัว มู่หยางหลิงยืนคิดอยู่นานว่าจะทำอะไรกินดี จนในที่สุดนางก็คิดออก นางทำไข่คนใส่ต้นหอมก่อนเป็นอย่างแรก แล้วจากนั้นก็หั่นหมูกับผักกาดขาวลงตุ๋นในหม้อพร้อมกับวุ้นเส้นและผักอื่น ๆ

ส่วนเสี่ยวปั๋วเหวินก็นั่งจ้องมองพี่สาวทำกับข้าว ซ้ำยังโพล่งขึ้นเป็นทีทีว่า “ท่านแม่ไม่ได้ทำแบบนี้ ๆ ๆ”

มู่หยางหลิงสุดทน จึงหันไปเอ็ดน้องว่า “บางอย่างก็กินได้แล้วน่า ไม่ใช่ว่ากินไม่ได้เลยเสียหน่อย”

เสี่ยวปั๋วเหวินจึงบ่นเงียบ ๆ คนเดียวว่า “แต่ก็ไม่อร่อยไงเล่า”

แต่พี่ย่อมอยู่เหนือกว่าน้องเสมอ มู่หยางหลิงยกหม้อออกไปตั้งด้านนอก โดยไม่สนคำท้วงติงของน้องชาย

ส่วนซู่หว่านเหนียงที่เพิ่งจัดของทุกอย่างเข้าที่ พอหันมาเห็นกับข้าวสองอย่างที่อยู่บนโต๊ะ นางก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าจนปัญญา “อาหลิง ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เจ้าต้องตั้งใจหัดทำกับข้าวตามที่แม่สอนนะ มิฉะนั้นถ้าเจ้าต้องออกเหย้าออกเรือนไป เจ้าจะทำกับข้าวให้สามีเจ้ากินได้อย่างไรกัน?”

มู่หยางหลิงตอบกลับอย่างหน้าตาเฉยว่า “ข้าก็จะหาคนที่ทำกับข้าวเป็นมาแต่งกับข้า แค่นี้ก็หมดปัญหาแล้วไงจ้ะท่านแม่”

ซู่หว่านเหนียงได้ยินดังนั้นก็ดีดหน้าผากนางไปเบา ๆ 1 ที “หน้าไม่อายจริง ๆ ไม่ว่ายังไงเจ้าก็ต้องตั้งใจหัดทำกับข้าวเพื่อแม่”

เสี่ยวปั๋วเหวินพยักหน้ารัว ๆ เห็นด้วยกับแม่อย่างยิ่ง “มิฉะนั้นนอกจากท่านพ่อกับข้าแล้วเนี่ย คงไม่มีใครทนกินกับข้าวฝีมือพี่ได้หรอก”

มู่หยางหลิงเริ่มจะไม่มั่นใจในตัวเอง “ข้าก็ทำกับข้าวง่าย ๆ ได้แล้วนะจ้ะท่านแม่ ข้าว่าก็อร่อยดี เพราะมันไม่เค็มและไม่จืดจนเกินไป รสชาติกลาง ๆ มันไม่อร่อยตรงไหนรึ?”

“ก็มันรสเดียวกันหมดเลยไงล่ะ” เสี่ยวปั๋วเหวินตะโกนขึ้นมา “พี่ ไม่ว่าพี่จะทำกับข้าวอะไร มันก็จะออกมารสชาติเดียวกันหมดเลยนะ”

มู่หยางหลิงเห็นน้องชายโวยวายด้วยความโศกเศร้า นางจึงนั่งลงกินข้าวโดยไม่ถือสาหาความน้อง

เสี่ยวปั๋วเหวินจึงหันไปทำหน้ามุ่ยกับพ่อและแม่แทน จนแม่ต้องพูดปลอบใจ “พรุ่งนี้แม่จะทำให้กินเองนะ วันนี้ก็กิน ๆ เข้าไปก่อนเถอะ”

เสี่ยวปั๋วเหวินจึงยอมหยิบตะเกียบขึ้นมากินข้าวทั้งที่ไม่ค่อยพอใจนัก

หลังกินข้าวกันเสร็จ มู่หยางหลิงก็หยิบลูกอมที่ซื้อมานั้นยื่นให้น้อง “พี่ให้เจ้าเอาไว้กินวันละสองเม็ด แล้วขอบอกไว้เลยว่า เจ้าจะมีลูกอมกินทั้งเดือนเลยล่ะ”

เสี่ยวปั๋วเหวินกลืนน้ำลายอึกใหญ่ จากนั้นก็เข้าไปกอดแขนพี่สาวแน่น “พี่ ข้าขอเพิ่มอีกหน่อยน่า นะ”

“คิดดี ๆ นะ ถ้าเจ้ารีบกิน มันก็จะหมดเร็ว”

เสี่ยวปั๋วเหวินได้ยินดังนั้นก็เริ่มลังเล แล้วเขาก็ผลักถุงกระดาษคืนพี่สาวไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก “งั้นพี่ช่วยเอาไปซ่อนให้ข้าที”

มู่หยางหลิงจึงหยิบลูกอมออกมายัดใส่ปากน้องชาย 1 เม็ด แล้วพูดว่า “เจ้าวางใจเถอะ พี่จะช่วยซ่อนไว้ให้เอง เชื่อเถอะว่า นอกจากพี่แล้ว ท่านพ่อหาไม่เจอแน่”

สำหรับเรื่องนี้เสี่ยวปั๋วเหวินวางใจพี่สาวเสมอ เพราะทุกครั้งที่มู่หยางหลิงช่วยซ่อนของสิ่งใดก็ตาม พ่อกับแม่ของพวกเขาจะไม่เคยหาเจอเลย

คืนนั้นพ่อแม่ลูกสี่คนนั่งล้อมวงคุยกันอย่างสนุกสนาน แล้วจู่ ๆ มู่หยางหลิงก็ถามขึ้นมาว่า “ท่านพ่อ ทำไมวันนี้ท่านพ่อถึงจ่ายค่าแผงให้จางฟางจู่ไปตั้ง 5 ตำลึงเงินล่ะ? มิใช่ว่าต้องจ่ายแค่ 1 ตำลึงกับอีก 6 ก้วนหรอกหรือ?”

“จางฟางจู่อุตส่าห์แนะนำพ่อค้าใหญ่ให้พวกเรา พ่อคิดว่าเราก็ควรจะตอบแทนน้ำใจเขาหน่อยน่ะ” มู่ฉือยิ้มกับลูกสาว

“ถ้าอย่างนั้น วันหลังเราก็ต้องให้เขาเพิ่มอีกน่ะสิท่านพ่อ”

มู่ฉือยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าลูกสาวของเขาเริ่มจะเข้าใจโลกภายนอก “นั่นก็โจ่งแจ้งเกินไป ค่าแผงราคาเท่าไหร่นั้น ไม่มีใครรู้ดีเท่าจางฟางจู่แล้ว พ่อให้เขาไป 5 ตำลึงเงิน เขาย่อมรู้ได้เองเลยว่าพ่ออยากจะทำธุรกิจร่วมกับเขา และถ้าหากว่าพ่อทำงานหาเงินจ่ายค่าแผงไป1 ตำลึงกับอีก 6 ก้วน แล้วให้เขาเพิ่มอีก 5 ตำลึงในภายหลัง มันจะหนักหนาเข้าไปอีกนะ อาหลิง เจ้าจำไว้นะว่า เรื่องบางเรื่องก็ต้องทำอย่างเงียบ ๆ และรอบคอบ เพราะถ้าโจ่งแจ้งจนเกินไปมันจะเกิดภัยกับตัวเรา”

ซู่หว่านเหนียงมองหน้าสามีด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตัวเขา

มู่หยางหลิงเงยหน้ามองพ่อของนางที่ภายนอกดูเป็นคนแข็งกร้าว แล้วจึงหันไปมองหน้าแม่ของนางที่ตอนนี้นั่งยิ้มให้พ่ออย่างอ่อนโยน นางจึงเข้าใจแล้วว่าทำไมผู้หญิงที่เพรียบพร้อมอย่างท่านแม่ถึงตกลงปลงใจที่จะอยู่กินกับท่านพ่อ โดยไม่มีข้อแม้ใดใดเลย

9 ปีที่ผ่านมานี้ มู่หยางหลิงไม่ค่อยรู้จักตัวตนที่แท้จริงของพ่อมากสักเท่าไหร่

มู่ฉือหันไปเห็นแววตาของลูกสาวที่ดูเหมือนว่ากำลังชื่นชมในตัวเขา เขาจึงพยายามเปลี่ยนเรื่องคุยไป “พ่อก็มีเรื่องอยากจะถามเจ้าอยู่เหมือนกัน เจ้าไปรู้จักคุณชายฉีกับคุณชายฟ่านได้อย่างไร?”

เพราะเวลาที่ลูกสาวของเขาได้ออกจากบ้านไปนั้น จะต้องมีเขาติดตามไปด้วยทุกหนแห่ง มู่หยางหลิงรู้จักใคร มู่ฉือเองก็จะรู้จักด้วย ดังนั้นเขาจึงสงสัยว่าลูกสาวของเขาไปรู้จักกับคุณชายผู้มีฐานะสูงส่งสองคนนั้นเมื่อไหร่ และรู้จักกันได้อย่างไร

“ก็ตอนที่ข้าเข้าไปล่าสัตว์ในป่าเมื่อวาน ข้าพบว่าพวกเขากำลังหลงป่ากันน่ะท่านพ่อ แล้วท่าทางของพวกเขาก็ดูหิวมากด้วย ข้าก็เลยล่าเอากระต่ายป่ากับไก่ป่าให้พวกเขากิน อีกทั้งยังบอกทางออกให้พวกเขาไปด้วย ใครจะไปคิดว่าวันนี้จะได้เจอกันอีก แถมพวกเขายังช่วยเหลือเราอย่างดีอีกต่างหาก”

“คนทำดีย่อมได้ดี” ซู่หว่านเหนียงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พวกเจ้าสองคนพี่น้องน่ะ ต่อไปถ้าพบเจอใครที่กำลังลำบาก พวกเจ้าต้องไม่ลังเลที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือนะ ต้องมีน้ำใจต่อเพื่อนร่วมโลก เข้าใจไหม?”

มู่หยางหลิงกับเสี่ยวปั๋วเหวินพยักหน้าตอบรับอย่างว่าง่าย

“เอาล่ะ รีบไปนอนกันได้แล้ว พรุ่งนี้พ่อของพวกเจ้าจะเข้าไปล่าสัตว์ในหุบเขา จากนั้นยังต้องเอาไปส่งที่หอเพียวเซียงอีก อาหลิง วันนี้เจ้าก็เดินทางไกลมาทั้งวัน พรุ่งนี้นอนตื่นสาย ๆ ได้นะลูก”

มู่หยางหลิงส่งเสียงดีใจ และรีบวิ่งเข้าไปต้มน้ำในครัว เพื่อจะได้รีบอาบน้ำอุ่นแล้วเข้านอน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด