อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 31 ทะเลาะ

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 31 ทะเลาะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มู่หยางหลิงกลัวคนร้องไห้ที่สุด เธอทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ เธอพยายามเข้าไปดึงมือย่าใหญ่ไว้แต่ก็โดนสะบัดออก เมื่อทำอะไรไม่ได้เธอจึงทำได้เพียงยืนนิ่งอยู่ด้านหลังพวกเขา ทั่วบริเวณเก็บข้าวเปลือกจึงมีแต่เสียงร้องไห้เสียใจของคนทั้งสามย่าหลาน

ภรรยาของหม่าโหย่วฉายหม่าฟางซื่อก็วิ่งเข้ามา พอเห็นข้าวเปลือกที่ตกอยู่เต็มถนน ก็ร้องขึ้นอย่างโมโหก่อนจะตรงดิ่งเข้าไปหาหม่าหลิวซื่อ: "ใครเป็นคนทำ? ใครช่างไร้สำนึกได้ถึงขนาดกล้าเหยียบย่ำข้าวเปลือกแบบนี้ บ้านเราต้องเหนื่อยเลือดตาแทบกระเด็นกว่าจะได้มันมา!"

หม่าหลิวซื่อดันหลานทั้งสองออก ก่อนจะลุกขึ้นตรงเข้าไปหาหม่าฟางซื่อเอามือเท้าเอวแล้วพูดขึ้น: "ฉันเป็นคนโยนมันทิ้งเอง ไม่รู้ว่าพวกเฮี้ยที่ไหนเอาข้าวเปลือกที่สกปรกและเหม็นมากองไว้บนที่เก็บข้าวเปลือกบ้านฉัน ทำไมหรือเห็นว่าบ้านฉันโดนบ้านโหย่วฉายทำลายจนครอบครัวแตกแยกแบบนี้ เลยจะมาแย่งที่กองข้าวเปลือกอีกหรือไง?"

หม่าฟางซื่อเองก็ร้อนตัวขึ้นมาทันที: "ป้าสี่อย่าพูดไปเรื่อยนะ โหย่วฉายไปทำอะไรให้ถึงมากล่าวหากันแบบนี้? น้องฟู่กุ้ยตายเพราะถูกคุณชายใหญ่บ้านตระกูลหวูตีตายก็เห็นๆกันอยู่"

"ถุย! ที่ฟู่กุ้ยถูกคุณชายใหญ่บ้านตระกูลหวูตีตายเพราะใครล่ะ? พวกแกก็รู้อยู่แก่ใจ เวลานอนไม่เคยฝันร้ายกันบ้างเลยหรือไง? พวกแกทำให้ลูกชายลูกสะใภ้ฉันตายไม่พอ ยังมาทำให้หลานฉันต้องตายอีกคน นี่ยังจะมาแย่งที่ดินที่ฟู่กุ้ยทิ้งไว้ให้อีก พวกแกมันไม่ใช่คนมันยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน ตอนนี้ยังจะมาแย่งพื้นที่เก็บข้าวเปลือกอีก นี่สวรรค์ยังมีตาอยู่มั้ย?" หม่าหลิวซื่อจ้องมองหม่าฟางซื่อด้วยดวงตาแดงก่ำจนทำให้เธอต้องหลบสายตาและถอยหลังไปหลายก้าว

คนบ้านหม่าโหย่วฉายทยอยกันวิ่งเข้ามา แม่ของเขาหม่าจ้าวซื่อเห็นข้าวเปลือกที่เก็บมาได้อย่างยากลำบากกระจายอยู่บนถนน ก็นั่งลงกับพื้นร้องไห้ต่อว่าขึ้นมา

หม่าโหย่วฉายเห็นดวงตาของหม่าหลิวซื่อที่ฉายแววโมโหร้าย จึงไม่กล้าที่จะเดินเข้าไปใกล้

พ่อของหม่าโหย่วฉายก็ไม่พอใจ จึงเดินเข้าไปหา: "น้องสะใภ้ ข้าวเปลือกพวกนี้เป็นเหมือนชีวิตของชาวไร่ชาวนา ต่อให้ภรรยาของโหย่วฉายจะทำไม่ถูกต้อง น้องก็ไม่ควรโยนข้าวเปลือกพวกนี้ทิ้งบนถนนแบบนี้"

หม่าหลิวซื่อทำเสียงเย็นในลำคอ: "ข้าวเปลือกพวกนี้ถ้าไม่ใช่ของหม่าต้ากุ้ยฉันก็อาจจะไม่โยนมันทิ้งแบบนี้ แต่นี่ต้องรีบโยนทิ้งก็เพราะกลัวว่าถ้ายังปล่อยไว้แบบนั้นเดี๋ยวเราสามย่าหลานจะถูกตีตายตามอีกคน"

"นี่!" หม่าต้ากุ้ยหน้าเสีย แต่เพราะเห็นว่ามีญาติพี่น้องและคนในหมุ่บ้านอยู่กันเยอะจึงพยายามพูดขึ้นอย่างอดกลั้น: "น้องสะใภ้ เรื่องนั้นมันก็ผ่านมาตั้งสี่ปีแล้ว ฉันเองก็เคยพาโหย่วฉายไปคุกเข่าขอโทษแล้ว ไหนๆก็ไหนๆแล้ววันนี้เราก็มาพูดคุยเรื่องนี้ให้มันกระจ่างต่อหน้าญาติพี่น้องบ้านเราเลยดีกว่า"

ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดไปสะกิดใจหม่าหลิวซื่อตรงไหนเข้า เธอถึงได้รีบตอกกลับทันที: "พูดคุยเรื่องอะไร? เรื่องที่ว่าลูกชายพี่ทำให้ลูกชายฉันตายยังไง หรือเรื่องที่บ้านพี่พยายามมายึดที่ดินบ้านฉันล่ะ?"

คำพูดที่จี้ใจดำทุกคำทำเอาหม่าต้ากุ้ยกลั้นโมโหไม่อยู่: "น้องสะใภ้ ถึงตอนนั้นจะเป็นเพราะโหย่วฉายใจร้อนจนมีเรื่องกับคุณชายใหญ่บ้านตระกูลหวูก็จริง แต่ฟู่กุ้ยกับภรรยาตายเพราะถูกคุณชายใหญ่บ้านตระกูลหวูตี โหย่วฉายเองก็ได้รับบากเจ็บ แล้วตอนที่ภรรยาของฟู่กุ้ยคลอดลูกขณะที่ยังบากเจ็บอยู่ บ้านเราก็ออกเงินค่ารักษาให้แต่เขาโชคไม่ดีมันก็เป็นเพราะวิบากรรมของเขา แล้วมันเกี่ยวอะไรกับโหย่วฉาย? ว่าแต่เธอนั้นแหละ พอแต่งเข้ามาก็ทำให้น้องชายฉันตาย คงเป็นอย่างที่แม่หมอว่าเธอมันดวงกินผัวลูกๆหลานๆก็ต้องมาตายเพราะเธอกันหมด!"

นี่เป็นสิ่งที่หม่าหลิวซื่อปวดใจที่สุด เธอจ้องเขาด้วยดวงตาโกรธแค้นชี้นิ้วมือสั่นจนพูดอะไรไม่ออก

"ส่วนเรื่องที่นา ด้วยว่าฟู่กุ้ยไม่มีลูกชายเพื่อไม่ให้ที่นาของตระกูลหลุดไปอยู่ในมือคนนอก ญาติพี่น้องทั้งหมดจึงได้ตัดสินใจร่วมกันแบบนี้ เธอยังติดใจอะไรอีกมั้ย?" ขณะที่พูดหม่าต้ากุ้ยก็ปรายตามองทุกคนแวบหนึ่ง

พอทุกคนเห็นสายตาที่หม่าต้ากุ้ยมองมาก็พากันก้มหน้าก้มตา เพราะสำหรับเรื่องนี้แล้วทุกคนต่างก็ได้รับผลประโยชน์ร่วมกันไม่มากก็น้อย

หม่าหลิวซื่อรู้สึกเหมือนมีหินก้อนใหญ่ทับอยู่บนอกจนหายใจไม่ออก

หม่าซิ่วหงและหม่าซิ่วหลานที่ประคองย่าไว้ซ้ายขาว จ้องมองเขาด้วยสายตาเกลียดชัง

หม่าต้ากุ้ยยิ่งหาเรื่องว่าเข้าให้อีก:"ดูซิหลานสาวที่เธออบรมสั่งสอนมา อายุแค่นี้ก็กล้าจ้องมองผู้ใหญ่ด้วยสายตาแบบนี้แล้ว….." หม่าต้ากุ้ยยกมือชี้หน้าหม่าซิ่วหงจนนิ้วมือเขาแทบจะชนเข้ากับปลายจมูกเธอ

มู่หยางหลิงจึงรีบเดินเข้าไปดึงคนทั้งสามหลบหลังตัวเอง ก่อนจะปัดมือหม่าต้ากุ้ยออกแล้วพูดขึ้น: "มีอะไรก็พูดกันดีๆ นี่ขนาดเป็นถึงผู้ใหญ่ ยังมาทำยกไม้ยกมือแบบนี้มันยังไงกัน?"

มู่หยางหลิงรู้ว่าถ้ายังรื้อฟื้นเรื่องในอดีตกันแบบนี้ต่อไปคงไม่จบง่ายๆแน่ จึงตัดสินใจพูดขึ้น: "ฉันไม่รู้ว่าบ้านคุณลุงมีปัญหาอะไรกับบ้านท่าน แต่อยากถามผู้ใหญ่ทุกท่านที่อยู่ที่นี่หน่อยว่า ที่เก็บข้าวเปลือกที่นี่เป็นของย่าใหญ่ใช่หรือไม่? บ้านท่านมายึดพื้นที่เก็บข้าวเปลือกของย่าใหญ่ใช่มั้ย? แล้วก่อนจะมาใช้พื้นที่ตรงนี้ได้ขออนุญาตย่าใหญ่ก่อนหรือเปล่า? ลูกสะใภ้บ้านท่านมาถึงก็มาพูดฉอดๆใส่ย่าใหญ่แบบนี้มันเป็นระเบียบปฏิบัติของบ้านท่านเหรอ?"

หม่าต้ากุ้ยขมวดคิ้วพูด: "เด็กตัวแค่นี้กล้ามาตั้งคำถามแบบนี้กับฉัน นี่มันเรื่องของบ้านตระกูลหม่า มันเกี่ยวอะไรกับเด็กอย่างเธอ?

มู่หยางหลิงก็ตอบกลับอย่างไม่เกรงใจ: "เด็กตัวแค่นี้ยังเข้าใจเหตุผลมากว่าผุ้ใหญ่อย่างท่าน หรือว่าผู้ใหญ่อย่างท่านยังไม่รู้? หม่าหลิวซื่อเป็นย่าใหญ่ของฉัน ฉันเป็นคนในครอบครัวฝั่งแม่ของย่าใหญ่ นี่มันไม่ใช่แค่เรื่องของบ้านตระกูลหม่าแล้ว!" มู่หยางหลิงปรายตามองรอบๆก่อนพูดขึ้นอีก: "วันนี้ถ้าไม่มีคำอธิบายให้ฉัน ฉันคงต้องไปเรียกท่านน้าทั้งหลายมาที่นี่ซะหน่อย ถึงเวลาตระกูลหม่ากับตระกูลหลิวคงมีเรื่องต้องนั่งคุยกันยาว"

หม่าต้ากุ้ยตกใจจนจ้องมองหน้ามู่หยางหลิงด้วยความรู้สึกแปลกใจ ยิ่งเห็นแววตาเธอเหมือนมีกระแสไฟพาดผ่านก็ยิ่งรู้สึกสงสัย เด็กตัวแค่นี้เข้าใจเหตุผลพวกนี้ได้ยังไง? หรือว่าหม่าหลิวซื่อเป็นคนสอนเธอ?

หม่าต้ากุ้ยครุ่นคิด

มู่หยางหลิงทำเสียงเย็นในลำคอก่อนถามขึ้นโดยไม่รอให้เขาตอบ: "ท่านไม่พูดหน่อยเหรอว่าที่ย่าใหญ่โยนข้าวเปลือกทิ้งแบบนี่มันทำถูกต้องหรือไม่?"

หม่าต้ากุ้ยพูดขึ้นอย่างอดกลั้น: "ก็เป็นญาติพี่น้องกันทั้งนั้น ต่อให้โหย่วฉายพวกเขาจะเอาข้าวเปลือกมาฝากไว้บนพื้นที่เก็บข้าวเปลือกของย่าใหญ่ ก็ไม่ควรเอามาโยนทิ้งบนถนนแบบนี้"

"พูดถึงเรื่องนี้ฉันว่ามันก็แปลกอยู่มากนะ" มู่หยางหลิงเอียงหน้ามองพวกเขา : "ฟังดูแล้วเหมือนว่าพวกท่านกับย่าใหญ่จะไม่ลงรอยกันเท่าไหร่ แต่ทำไมไม่เลือกอยู่ห่างๆกลับทำเป็นหน้าด้านหน้าทนเข้ามาใช้พื้นที่เก็บข้าวเปลือกของย่าใหญ่อีก? " มู่หยางหลิงพูดพึมพำคนเดียว: "มีนิสัยระรานแบบนี้ก็ไม่แปลกที่จะทำให้เกิดความโกรธแค้นกัน"

ถึงแม้จะพึมพำคนเดียวแต่เสียงเธอก็ไม่เบานัก ทำให้คนในใหม่บ้านต่างพากันมองไปที่หม่าต้ากุ้ยด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป

บ้านหม่าต้ากุ้ยถือว่ามีอิทธิพลในหมู่บ้านอยู่มาก เป็นเพราะเขามีลูกชายสามคนและลูกสาวสองคนที่เก่งกาจรวมทั้งลูกเขยด้วย

หม่าต้ากุ้ยเต็มไปด้วยแรงโทสะ แต่มู่หยางหลิงกลับโบกมือพูดขึ้นอย่างไม่สนใจ: "สรุปข้าวเปลือกพวกนี้ฉันเป็นคนโยนมันทิ้งเอง แล้วพวกท่านจะเอายังไง อย่าคิดว่าบ้านตระกูลหลิวกับบ้านตระกูลมู่ไม่ได้มาที่นี่นานก็จะรังแกย่าใหญ่ได้ง่ายๆ ฉันขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าย่าใหญ่มาจากหมู่บ้านหลินซาน ต่อให้แต่งออกมาแปดสิบปีก็ยังคงเป็นลูกสาวของหมู่บ้านหลินซานเข้าใจมั้ย!"

คำพูดที่ฟังดูหนักแน่นวังวานนั้นทำเอาสาวน้อยสาวใหญ่ที่อยู่ในบริเวณนั้นพากันตอบรับอย่างเลี่ยงไม่ได้: "ค่ะ"

หม่าต้ากุ้ยหน้าเสียมากกว่าเดิม เขาจึงมองไปยันภรรยา หม่าจ้าวซื่อเช็คน้ำตาเล็กน้อยก่อนจะรีบพูดขึ้น: "น้องสะใภ้ ฉันเข้าใจว่าเธอกำลังโมโห เรื่องในวันนี้่ฉันก็จะไม่ถือสาเอาความอะไรกับเธออีก แต่ต่อไปก็อย่าเหยียบย่ำอาหารแบบนี้อีกนะ"

หม่าหลิวซื่อยิ้มเย็นจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา

หม่าจ้าวซื่อพยายามควบคุมโทสะในใจ ก่อนจะหันไปตีหม่าโหย่วฉายทีหนึ่งแล้วพูดขึ้น: "ยืนนิ่งกันอยู่ทำไม? ยังไม่รีบไปเก็บของกลับ นี่ไม่รู้ว่าข้าวเปลื่อกเสียหายไปเท่าไหร่แล้ว เวรกรรมจริงๆ"

หม่าหลิวซื่อฟังแล้วก็จะตามเข้าไปหาอีก มู่หยางหลิงจึงรีบไปรั้งเธอไว้ ก่อนจะพูดเสียงเบา: "ย่าใหญ่ เราอย่างไปสนใจพวกเขาเลย เดี๋ยวหนูไปเอาข้าวรวงของย่าใหญ่กลับมาให้ค่ะ"

หม่าหลิวซื่อเช็คคราบน้ำตาก่อนฝืนยิ้ม: "เด็กดี วันนี้ลำบากหนูแล้วนะ"

"ไม่ลำบาก ไม่ลำบากเลยค่ะ" มู่หยางหลิงพาสามย่าหลานเข้าไปในเถียงนา

ด้วยเธอแรงเยอะกว่าและมือไม้ไว ไม่นานก็มัดรวงข้าวมาหลายมัด ก่อนจะนำไม้เกี่ยวที่ยืมมาเกี่ยวข้าวรวงไว้ข้างละสองมัด แล้วเอามือถือไว้อีกหนึ่งมัด แบบนี้ครั้งเดียวก็ได้ข้าวรวงห้ามัดกลับมาวางบนพื้นที่ข้าวเปลือก

หม่าหลิวซื่อที่เพิ่งผ่านการทะเลาะมาอารมณ์ยังไม่ดีนัก แต่พอเห็นเธอก็ตาโตจนต้องรีบวิ่งเข้าไปห้าม : "อย่าแบกเยอะแบบนี้สิ เอามาครั้งละสองมัดก็พอ"

มู่หยางหลิงยิ้มตอบ:"ย่าใหญ่ไม่ต้องกังวลค่ะ ไม่หนักเลย"

หม่าซิ่วหงมองมู่หยางหลิงอย่างอิจฉา ก่อนจะก้มมองขาที่เรียวเล็กของตัวเอง แล้วพูดขึ้นอย่างเศร้าๆ: "ถ้าฉันเก่งเหมือนพี่ก็คงดี"

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด