อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 5 รางวัล

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 5 รางวัล at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ผู้จัดการจางตรวจสอบสังเกตหมูป่าอย่างละเอียดแล้วพยักหน้าด้วยความพึ่งพอใจ " ไม่เลว ไม่เลว หมูป่าตัวนี้ทางร้านเราเอาทั้งตัวเลยไม่จำเป็นต้องชั่งน้ำหนักละ เจ้าไปรับเงินแปดตำลึงเงินจากบัญชีที่หน้าร้านได้เลยส่วนที่เหลือก็ถือว่าเถ้าแกเราให้รางวัลตอบแทนเจ้าก็แล้วกัน”

ดวงตาของมู่หยางหลิงสว่างขึ้นทันที แต่มู่ฉือกลับส่ายหัวแล้วกล่าวว่า " ต้องขอบคุณผู้จัดการจางมากแต่หมูป่าตัวนี้ไม่มีค่ามากขนาดนี้ " มู่ฉือรีบรับกวางโรที่อยู่ในมือของลูกสาวมาแล้วถามว่า " ไม่ทราบว่าทางผู้จัดการจางอยากต้องการพวกกวางโรหรือเปล่า ทางข้ายังมีสัตว์เล็กๆอย่างอื่นหลายชนิดอยู่เหมือนกัน "

ผู้จัดการจางมองไปยังมู่หยางหลิงที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยสัตว์เล็กๆต่างๆนานาที่แขวนอยู่ข้างลำตัว แล้วมู่หยางหลิงก็ยิ้มกว้างให้กับเขา ทำให้ผู้จัดการจางรู้สึกว่าเด็กคนนี้ดูน่ารักและใสชื่อจริงๆ แต่ไม่นานสายตาของเขาก็ถอยห่างจากใบหน้าของเธออย่างรวดเร็วแล้วไปวางสายตาอยู่ตรงสัตว์ป่าที่แขวนอยู่บนตัวเธอแล้วถามว่า " สัตว์ป่าพวกนี้ก็สดใหม่หมดเลยใช่ไหม"

" ทั้งหมดนี้เพิ่งจะไปล่ามาตอนเช้าวันนี้เอง " มู่ฉือมองไปที่ผู้จัดการจางพร้อมกับรอยยิ้ม

ผู้จัดการจางพยักหน้าเล็กน้อย “ งั้นก็เอาไว้บางส่วนก็แล้วกัน แล้วไปรับเงินที่บัญชีส่วนเรื่องเงินเจ้าไม่ต้องปฏิเสธหรอก พอดีว่าสองสามวันมานี้ทางเถ้าแก่เรากำลังจะจัดงานเลี้ยง และผู้หลักผู้ใหญ่ก็ค่อนข้างที่จะชอบกินอาหารสัตว์ป่าเหล่านี้มาก ถ้าพรุ่งนี้เจ้ายังได้สัตว์ใหม่ๆมาก็เอามาส่งให้ข้าได้เลย "

มู่ฉือเงียบไปชั่วขณะแล้วพยักหน้ารับ " ถ้างั้นต้องขอบคุณผู้จัดการจางอย่างมาก " จากนั้นก็แบกหมูป่าที่ถูกมัดเอาไว้ขึ้นบนบ่าไปยังหลุมที่กักขังสัตว์ แล้วเลือกเอาพวกกระต่าย กวางโร ไก่ป่าบางส่วนส่งเข้าไปให้พวกเขา หลังจากนั้นถึงได้พาลูกสาวเดินวนกลับมายังหน้าร้านเพื่อรับเงินจากบัญชี

ผู้คนต่างพากันตกตะลึงกับสายตาของตัวเอง แม้แต่ผู้จัดการจางที่รู้จักกับมู่ฉือมานานก็ยังตกตะลึง “ ไม่คาดคิดเลยว่ามู่ฉือคนนี้จะมีแรงมากถึงขนาดนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาเข้าป่าทีไรไม่เคยออกมามือเปล่าเลย แม้แต่ตอนที่ทางการสั่งปิดป่าปิดเขาก็ตามก็ไม่ส่งผลกระทบต่อเขาเลยสักนิด”

" ผู้จัดการจางพูดเกินไปแล้วสองสามปีมานี้มีการปิดป่าที่ไหนกัน" พนักงานในร้านพูดขึ้นอย่างยิ้มๆ

ผู้จัดการจางตบหัวเขาทีหนึ่งแล้วพูดต่อว่า "เจ้าเพิ่งจะมารู้จักกับมู่ฉือนานแค่ไหนกันเชียว ข้ากับเขารู้จักกันมานานเกือบสิบปีแล้ว แต่ก่อนนั้นเหล่าทหารพ่อยยังรบมาไม่ถึงที่นี่และที่นี่ยังไม่ได้เป็นเขตชายแดน ด้วยคำสั่งของราชสำนักที่สั่งให้ปิดป่าครึ่งปีทำให้ไม่มีใครกล้าออกไปล่าสัตว์ในป่าลึกเลย ซึ่งไม่ได้เหมือนในตอนนี้” ผู้จัดการจางส่ายหัวแล้วเดินเข้าไปในร้านอาหารด้วยมือไขว่หลัง

พวกนายพรานอาศัยป่าในการเลี้ยงชีพ เมื่อป่าถูกสั่งปิดขึ้นมาชีวิตความอยู่รอดของพวกเขาก็เป็นปัญหาทันที และตอนนั้นทางราชสำนักยังมีกฏกำหนดว่าปีหนึ่งต้องมีการปิดป่าครึ่งปี ตั้งแต่ตอนฤดูหนาวจนถึงสิ้นฤดูร้อนแต่น่าเสียดายที่ตอนนี้มันเป็นช่วงที่บ้านเมืองวุ่นวาย ทำให้ราชสำนักดูแลไม่ทั่วถึงเลยทำให้ประชาชนไม่มีที่จะกินและที่นี่ก็ยังกลายเป็นด่านชายแดนอีก เวลามีสงครามทีไรก็มักจะลุกลามไปถึงในป่า กฏของการปิดป่าก็ถูกยกเลิกไปด้วย

มู่ฉือพาลูกสาวเดินไปที่ด้านหน้าของร้านแล้วพูดกับนางว่า " ลูกรอพ่ออยู่ที่นี่ก่อนนะ พ่อจะเข้าไปรับเงิน"

" ท่านพ่อ ให้ข้าเข้าไปกับท่านด้วยนะ " มู่หยางหลิงพูดอย่างตื่นเต้น แม้ว่านางจะมาในตัวตำบลหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่นางก็ไม่เคยได้เข้าไปข้างในของหอเพียวเซียงเลยสักครั้ง ทุกครั้งก็คือไปส่งของที่ประตูหลังจากนั้นมู่ฉือจะเข้าไปรับเงินด้วยตัวเองเสมอ

มู่ฉือแตะศีรษะของนางเบาๆแล้วพูดว่า " ไม่ได้หรอก พวกเรายังมีสัตว์เหลืออีกมาก ลูกเฝ้าดูรถเข็นอยู่ที่นี่จะดีกว่า พ่อเข้าไปรับเงินเอง ข้างในแขกค่อนข้างที่จะเยอะ เดียวไปชนแขกเข้าจะเป็นปัญหา ”

เพียงแค่นี้มู่หยางหลิงก็รู้แล้วว่าทำไมมู่ฉือไม่ค่อยอยากให้ตัวเองเข้าไปในหอเพียวเซียง มู่หยางหลิงก้มหน้ามองสัตว์ที่เหลืออยู่ในมือของตัวเองถึงได้พยักหน้าอย่างเสียดาย “ งั้นท่านพ่อเข้าไปเถอะ ข้ารอท่านพ่ออยู่ที่นี่ก็ได้”

มู่ฉือวางรถเข็นไว้ข้างทาง แล้วมุ่งหน้าไปยังหอเพียวเซียง

ถึงแม้ว่าผู้จัดการจางจะเป็นผู้รับผิดชอบของร้านอาหารแต่เรื่องบัญชียังมีอีกคนหนึ่ง ดังนั้นทุกครั้งมู่ฉือต้องวิ่งไปหน้าร้านเพื่อไปรับเงินจากบัญชี

เมื่อด้านหลังสั่งการมาบัญชีจึงทำเรื่องอย่างรวดเร็ว เขียนบันทึกไว้บนกระดาษแผ่นหนึ่งแล้วให้มู่ฉือเซ็นชื่อ จากนั้นก็หยิบเงินแปดเหรียญให้เขาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า " สหายมู่ วันนี้ได้กำไรไม่น้อยเลยนะ แปดตำลึงเงินนี้เพียงพอสำหรับครอบครับเจ้าใช้ประมาณครึ่งปีแล้วมั้ง ตอนนี้เจ้าก็ถือว่าเป็นคนที่มีเงินขึ้นมาหน่อยแล้ว ทำไมไม่ซื้อพวกไร่นา ไว้บ้างล่ะไว้เป็นมรดกให้ลูกหลานไง "

คนอื่นอาจไม่รู้ว่ามู่ฉือมีรายได้เท่าไรแต่เขาเป็นคนที่จ่ายเงินให้มู่ฉือตลอด ทำให้เขารู้ดีว่าเงินของผู้ชายคนนี้เยอะกว่าเขามากนัก เขาเองยังสามารถซื้อไร่นาไว้หลายสิบไร่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ของมู่ฉือต้องเยอะกว่าของตัวเองมากถึงจะถูก

มู่ฉือยิ้มอย่างขมขื่น " ข้าจะไปมีปัญญาได้อย่างไรกัน คงต้องพึ่งลูกหลานไปฝ่าฟันกันเอาเองแล้วล่ะ ภรรยาของข้าต้องกินยาไม่เคยขาดตลอดทั้งปีแบบนี้ แล้วตอนนี้ก็ใกล้คลอดอีกคนแล้วเงินนี้ยังต้องเอาไปจ่ายค่าภาษีอีก ไม่งั้นแม้แต่เงินค่าภาษีก็ยังเป็นปัญหาเหมือนกัน "

บัญชีขมวดคิ้วเล็กน้อย " รายได้ภาษีปีนี้หนักขึ้นมาอีกเท่าตัวเลย ยังได้ยินมาว่าด้านบนยังใช้แรงงานของพวกเจ้าเยอะกว่าเดิมอีกด้วย"

มู่ฉือพยักหน้าอย่างสีหน้าครุ่นเครียด “ ที่บ้านข้าก็มีข้าเพียงคนเดียว จะว่างใจให้ลูกกับแม่ของลูกอยู่เพียงลำพังได้อย่างไร ดังนั้นก็เลยต้องเอาเงินแลกกับค่าแรงบวกกับค่าภาษีแบบนี้ ทำให้ครอบครัวของเราลำบากกว่าเดิมเข้าไปอีก ”

หมู่บ้านชีหลี่เชียงไม่ใหญ่มากนักและที่สำคัญบัญชีก็เป็นคนที่รอบรู้และค่อนข้างที่จะสนใจเรื่องเหล่านี้ จริงอย่างที่เขาพูดไม่เคยได้ยินว่ามู่ฉือซื้อที่นาหรือไร่อะไรเลย แต่จะชอบได้ยินว่าสามสี่วันมู่ฉือก็ต้องซื้อยาอีกครั้ง

บัญชีส่ายหัวอย่างน่าเสียดายแล้วจิตใจลึกๆก็รู้สึกเข้าใจขึ้นเล็กน้อย หาเงินเก่งได้เงินดีแล้วยังไงถ้าที่บ้านมีภรรยาที่ป่วยอยู่ตลอดเวลา อย่าว่าแต่จะมีไร่นาเหลือไว้ให้ลูกหลานเลยแม้แต่เงินค่าสินสอดก็ไม่น่าจะมีเก็บด้วยซ้ำ

เมื่อนึกถึงลูกสาวของมู่ฉือที่คอยแบกสัตว์ป่าที่ล่าได้มาขายที่ตลาดกับเขาตลอดทั้งปีแบบนี้ ยิ่งรู้สึกเสียใจและสงสารมากเลยให้ลูกน้องรีบเร่งมือเร็วขึ้น จากนั้นก็หยิบแปดตำลึงเงินยัดใส่มือของเขาแล้วยิ้มนิดๆ " เอาไปเถอะ ถ้าถูกใจเถ้าแก่ พรุ่งนี้เวลาที่เจ้ามาส่งของน่าจะมีรางวัลตอบแทนให้อีกแน่นอน อย่าใช้เงินให้หมดเหลือเก็บไว้บ้าง แล้วเอาไปซื้อที่ดินไว้หน่อย แบบนี้ก็จะค่อยๆมั่งคงขึ้นและมีทรัพย์สินเป็นของตัวเอง ไม่มีใครจะร่ำรวยขึ้นมาในทันทีหรือครั้งเดียวหรอก "

มู่ฉือรับเงินมาแล้วพยักหน้าตอบรับทำให้มู่ฉือรู้สึกกังวลใจขึ้นเล็กน้อยทันที อาหลิงของเขาอายุเก้าขวบแล้วอีกไม่กี่ปีก็จะสามารถแต่งออกเรือนได้แล้ว แต่ที่บ้านไม่มีแม้แต่เงินเก็บสำหรับแต่งออกเรือน อย่างงี้เวลาแต่งออกจะต้องถูกบ้านสามีดูถูกและรังแกได้.

ดูเหมือนว่าจะต้องรีบเก็บออมเพื่ออาหลิงไว้หน่อยแล้ว

มู่ฉือเดินออกมาจากหอเพียวเซียงด้วยความรู้สึกที่ไม่สบายใจ ส่วนผู้จักการจางก็พึ่งจะได้จัดสรรเรื่องหมูป่าตัวนั้นเสร็จว่าชิ้นส่วนไหนเอาไว้ใช้ที่ร้านอาหารส่วนที่เหลือก็ส่งไปให้เถ้าแก่ ณ ตอนนี้กำลังเดินออกมาพอดี เมื่อเห็นมู่ฉือก้มหัวเดินออกไปอย่างหน้าเครียดๆ ก็เดินเข้าไปถามบัญชี " นี่เป็นอะไรไป ได้ตั้งแปดตำลึงเงินน่าจะดีใจถึงจะถูก"

บัญชียิ้มแล้วพูดว่า " ไม่มีอะไรมากหรอก เพียงแค่พูดถึงเรื่องภาษีและแรงงานที่ต้องไปทำของปีนี้ เขาไม่มีเงินเก็บออมแม้แต่สลึงเดียวไม่พอถึงทุกวันนี้เขายังไม่มีอะไรที่เป็นของตัวเองเลยรู้สึกเสียใจเล็กน้อย "

ผู้จัดการจางขมวดคิ้ว “ ภาษีของปีนี้หนักเกินไปหน่อยจริงๆและที่หนักกว่าเดิมก็คือเรื่องแรงงานเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย” ผู้จัดการจางส่ายหัว " ไม่รู้ว่าปีนี้จะต้องมีผู้คนออกมาขายลูกขายเมียอีกเท่าไร"

บัญชีเหลือบไปมองผู้จัดการจางแล้วพูดว่า " ก็เพราะอย่างงี้ผู้จัดการจางถึงให้เขาตั้งแปดตำลึงเงินใช่ไหม ต้องรู้ว่าหมูตัวนั้นอย่างมากก็แค่ห้าตำลึงเงินเท่านั้น บวกกับกระต่ายกวางโรไก่ป่าพวกนั้นก็ประมาณหกตำลึงเงินนิดๆ ผู้จัดการจางเป็นคนที่ใจดีมากจริงๆ "

ผู้จัดการจางทำเป็นไอเล็กน้อยแล้วพูดว่า " เจ้าคิดมากไปแล้วข้าไม่ได้เป็นคนที่ใจดีขนาดนั้นนี่เป็นรางวัลตอบแทนที่เถ้าแก่ให้กับมู่ฉือต่างหาก มู่ฉือคนนี้ส่งของให้กับหอเพียวเซียงเรามานานกว่าสิบปีแล้ว และที่สำคัญเจ้าเคยเห็นครั้งไหนที่เขาเอาเปรียบเราบ้าง เจ้าเห็นแค่ว่าวันนี้ข้าให้เขาไปแปดตำลึงเงิน พรุ่งนี้เขาส่งของมารับรองได้เลยว่าจะต้องไม่คิดเงินอย่างแน่นอน” ผู้จัดการจางถอนหายใจ “ ก็เพราะเห็นว่ามู่ฉือเป็นคนที่ซื่อสัตย์ซื่อตรงและยุติธรรม เถ้าแก่ชื่นชมในตัวเขาถึงได้ให้รางวัลตอบแทนเขา "

ในขณะเดียวกันมู่หยางหลิงก็กำลังถามมู่ฉือว่า " ท่านพ่อ เมื่อตะกี้ทั้งๆที่ผู้จัดการจางบอกว่าหมูตัวนั้นราคาแปดตำลึงเงิน ทำไมท่านถึงผลักไสอยู่นานแถมยังเอาพวกสัตว์ต่างๆให้เขาอีกหลายตัว"

มู่ฉือเข็นรถเข็นมองไปยังลูกสาวที่สูงระดับเอวของเขาแล้วยื่นมือไปแตะศีรษะของเธออย่างเบาๆแล้วพูดว่า " ลูกเอย ลูกต้องจำไว้ให้ดีว่าบางสิ่งบางอย่างเราไม่สามารถไปเอาเปรียบเขาได้ ในเมื่อผู้จัดการจางใจดีและเห็นใจเรา พวกเรายิ่งต้องรู้จักตอบแทน เงินพวกนี้เป็นเงินที่เขาตอบแทนเรา ถ้าเถ้าแก่หลิวชอบใจเห็นด้วยก็ยังดี ถ้าเถ้าแก่หลิวไม่ชอบใจขึ้นมาจะให้ผู้จัดการจางมารับโทษแทนเราแบบนี้เหรอ พรุ่งนี้ลูกเอาพวกกระต่ายไปให้ที่บ้านผู้จัดการจางสองสามตัว แล้วพ่อค่อยเอาสัตว์ที่ได้พรุ่งนี้ส่งไปให้หอเพียวเซียงหน่อย ทีนี้ต่อให้เถ้าแก่หลิวจะไม่ชอบใจเมื่อเห็นของที่พ่อส่งไปพรุ่งนี้ก็ไม่อาจต่อว่าผู้จัดการจางได้อีก”

จากนั้นมู่หยางหลิงก็จ้องมองมู่ฉือด้วยความประหลาดใจ อีกฝ่ายดูไม่เหมือนพ่อที่หยาบช้าและยืนให้แม่บ่นอยู่ทุกวันของตัวเองเลย

มู่หยางหลิงแอบต่อว่าตัวเองเล็กน้อยแม้ว่าในอดีตชาติเธอจะมีชีวิตถึงยี่สิบกว่าปีก็จริง แต่จริงๆแล้วเธอก็อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เรียบง่าย เธอต้องเข้าสู่วงจรการเกิดใหม่หลังจากจบมหาวิทยาลัยเข้าสู่กองทัพไม่ถึงหนึ่งปี แต่เก้าปีที่ผ่านมาสถานที่ในการใช้ชีวิตของเธอมีเพียงหมู่บ้านชีหลี่เชียงและหมู่บ้านหลินซาน ที่อยู่ในเขตชายแดน ด้านการดำรงชีวิตและการเข้าหาสังคมนั้นสู้พ่อไม่ได้แม้แต่น้อย

ในโลกใบนี้ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เธอจะต้องไปเรียนรู้และไปทำอีกมากมาย ไม่อาจไปคิดว่าตัวเองรู้ดีทุกอย่างสุดท้ายมาจะกลายเป็นว่าตัวเองนั้นคิดผิด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด