อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 60 เฝ้าสังเกตการณ์

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 60 เฝ้าสังเกตการณ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลิวถิงพาคนที่เหลือหนีไปต่อ ในขณะที่มู่หยางหลิงล่อสัตว์ร้ายไปฝั่งตะวันออก นางวิ่งไปได้ซักพัก ก็หยิบกระต่ายตัวที่บาดเจ็บจนเลือดออกตัวนึงออกมาจากกระสอบ จากนั้นก็เอาเลือดกระต่ายเช็ดหน้าเช็ดคอให้กลิ่นของมันติดที่ตัวนาง พอวิ่งไปได้อีกพักนึง นางก็ปล่อยกระต่ายตัวนั้นลงข้างทาง……

แล้วตอนนี้ก็ทำได้เพียงแค่หวังว่าเลือดสด ๆ ของกระต่ายตัวนั้นจะเบนความสนใจของสัตว์ร้ายพวกนั้นได้

มู่หยางหลิงหยุดยืนอยู่กลางป่า และพอได้ยินเสียงพวกมันเคลื่อนไหวมาทางฝั่งของนาง นางก็ถอนหายใจโล่งอก แล้วรีบวิ่งต่อไปทางฝั่งตะวันออกอย่างเร็ว

แม้ว่าจะเบนความสนใจของพวกมันมาได้ แต่นางก็ยังต้องปกป้องชีวิตตัวเองเหมือนกัน

มู่หยางหลิงวิ่งไปด้วยมองหาต้นไม้ที่สูงและแข็งแรงไปด้วย นางวิ่งมาได้ประมาณ 7-8 นาทีก็เจอเข้ากับต้นไม้ที่มีกิ่งก้านสาขาและใบที่หนาใหญ่พอเหมาะให้เป็นที่กำบัง อีกทั้งต้นไม้ต้นนี้ยังสูงโด่กว่าต้นไม้ต้นอื่นอีกด้วย เมื่อตัดสินใจเลือกดีแล้วนางก็รีบปีนป่ายขึ้นไปทันที

แม้ว่าสัตว์ทั้ง 2 ตัวจะกำลังต่อสู้กันอย่างเมามันส์ แต่เมื่อพวกมันได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตอื่น ก็สามารถเบนความสนใจของพวกมันไปได้เหมือนกัน

ทั้งหมีและเสือต่างก็มีมันสมองที่ฉลาดพอ ๆ กับมนุษย์ และแรงของสัตว์ทั้ง 2 ชนิดนี้ก็สูสีกันใช้ได้ เมื่อมันได้กลิ่นเหยื่อตัวอื่น มันก็จะเลิกสนใจกันเอง

อีกทั้งยังช่วยระวังหน้าระวังหลังให้กันในระหว่างที่มุ่งหน้าตามเหยื่อตัวใหม่ด้วย

และด้วยสัญชาตญาณนักล่า เพียงแค่กลิ่นเลือดสด ๆ ก็ทำให้พวกมันตามมาจนเจอซากกระต่ายตัวนั้นจนได้

แต่พอพวกมันก็เห็นว่าสิ่งที่มันตามมาเจอ เป็นเพียงแค่ซากกระต่ายตัวน้อยตัวนึงเท่านั้น พวกมันก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เพราะคิดว่าสัตว์ที่มันกำลังล่าอยู่เนี่ยขี้เหนียวเสียจริง ๆ เลย ทิ้งซากกระต่ายไว้ให้พวกมันแค่ตัวเดียว จะไปพอยาไส้อะไรล่ะ อีกอย่าง ถ้ามันอยากจะกินกระต่าย มันก็สามารถหากินได้ไม่อั้น เพราะกระต่ายพวกนี้มีมากมหาศาลจริง ๆ จะตะครุบกินตอนไหนก็ได้

พวกมันจึงเริ่มวิ่งตามกลิ่นของมู่หยางหลิงต่อ จนในที่สุดก็มาหยุดยืนอยู่ที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง เพราะถ้าถัดไปจากนี้ พวกมันก็เริ่มจะไม่ได้กลิ่นของมู่หยางหลิงแล้ว

สัตว์ทั้งสองตัวเดินวนไปวนมากันอยู่รอบต้นไม้นั่น จนสุดท้ายหมีดำก็คำรามออกมาด้วยความตบะแตก เพราะมันจะต้องรีบกักตุนอาหารไว้ให้ได้มากที่สุดก่อนฤดูหนาวจะมาถึง มิฉะนั้นมันจะต้องหนาวตายอยู่กลางป่า

แล้วหมีดำก็เริ่มจู่โจมเสือโคร่งตัวนั้นทันที

เสือโคร่งเองก็พุ่งเข้าหาหมีดำด้วยความว่องไว และคำรามเสียงดังกึกก้อง หมีดำจับตัวเสือโคร่งได้มันก็เขวี้ยงเสือโคร่งเข้ากับต้นไม้อย่างแรง เสือโคร่งตั้งท่าได้ก็วิ่งเข้าไปฟาดหน้าหมีดำด้วยกรงเล็บ พวกมันสู้กันอย่างดุเดือดทั้งที่สภาพของพวกมันแต่ละตัวเริ่มดูไม่ค่อยได้แล้ว แต่ก็ยังสู้กันต่อ

มู่หยางหลิงกอดรัดกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ต้นนั้นไว้แน่น ในใจก็คิดไปด้วยว่า ถ้าหากนางเกาะไว้ไม่แน่พอ เกิดเจ้าสัตว์สองตัวนั้นกระแทกต้นไม้ต้นนี้จนนางปลิวตกลงไป แม้แต่เศษเนื้อเศษหนังของนางก็น่าจะไม่มีเหลือไว้ให้ครอบครัวได้เห็นเป็นแน่

แล้วในที่สุดต้นไม้ก็ถูกกระแทกอย่างแรงแบบที่นางคาดไว้จริง ๆ มู่หยางหลิงหลับตาปี๋ด้วยความหวาดกลัว ไม่นาน นางก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของเสือโคร่ง นางจึงลืมตาดูด้านล่าง และพบว่าเสือโคร่งตัวนั้นถูกหมีดำตะปบจนลงไปนอนกองอยู่กับพื้น

มู่หยางหลิงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ แล้วกอดต้นไม้ไว้แน่นไม่ขยับตัว

เจ้าหมีดำก้มดูเสือโคร่งใกล้ ๆ แล้วมันก็ตะปบลงไปอีกครั้งเพื่อส่งเจ้าเพื่อนไปยังโลกหน้า จากนั้นมันก็นอนลงข้าง ๆ ด้วยความเหนื่อยล้า

และถึงแม้ว่าหมีดำตัวนั้นจะเอาชนะเสือโคร่งตัวใหญ่ได้ แต่ตัวมันเองก็บาดเจ็บไม่น้อยเหมือนกัน มันนอนลงเลียแผลตามร่างกายของมันอย่างเงียบ ๆ

ซักพักมันก็รีบลุกขึ้นลากซากของเสือตัวนั้นไป เพราะมันรู้ว่ากลิ่นคาวเลือดสด ๆ นี้ก็ดึงดูดสัตว์ร้ายตัวอื่นมาได้เหมือนกัน

และวิ่งออกจากจุดนั้นทันทีเพื่อหาทางกลับบ้าน

แต่พอวิ่งมาได้ครึ่งทาง ก็เจอเข้ากับมู่ฉือที่ยืนหน้านิ่งอยู่ ด้านหลังมู่ฉือยังมีคนถือไม้หน้าสามมากกว่า 20 คนติดตามมาด้วย

“อาหลิง!” เมื่อมู่ฉือเห็นหน้าลูกสาว เขาก็ตะโกนเรียกเสียงดังลั่น

“ท่านพ่อ” มู่หยางหลิงรีบวิ่งเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดต่อว่า “ท่านพ่อ หมีดำกับเสือโคร่งมันสู้กัน แล้วหมีก็ตะปบเสือจนตาย เรารีบไปจากที่นี่กันเถอะท่านพ่อ ถ้าหมีดำมันตามมาทันล่ะแย่เลย”

แม้มู่ฉือจะเตรียมตัวบ่นใส่หูมู่หยางหลิง แต่เขาก็รู้ดีว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาจะมาพูดมากอะไรได้ เขารีบคว้าตัวลูกสาว แล้วพูดกับหลิวถิงและคนอื่น ๆ ที่อยู่ข้างหลังว่า “รีบออกไปจากที่นี่กัน”

เมื่อทุกคนออกมาจากหุบเขา พวกเขาก็เห็นว่าชาวบ้านทั้งหมู่บ้านมายืนชะเง้อคอยอยู่หน้าหมู่บ้านแล้ว ซู่หว่านเหนียงที่ยืนคอยอยู่ พอได้เห็นสามีจูงลูกสาวออกมาจากป่าก็ถอนหายใจโล่งอกทันที นางค่อย ๆ อุ้มท้องเดินไปข้างหน้าพร้อมกับลูกชายตัวน้อย

มู่หยางหลิงตะโกนเรียกแม่ด้วยความดีใจ “ท่านแม่” แล้วนางก็วิ่งเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าซู่หว่านเหนียง

มู่ฉือหันไปพยักหน้ากับหลิวเหอ จากนั้นก็หันไปพูดกับชาวบ้านที่อยู่ด้านหลังของเขาว่า “ขอบคุณพวกท่านมาก วันนี้หุบเขาลำเนาไพรค่อนข้างอันตราย ขอความร่วมมือทุกท่านได้โปรดอย่าเข้าใกล้ผืนป่าด้านหลังนี้ก่อน ส่วนเรื่องล่าสัตว์ครั้งต่อไป ขอข้ากับลูกสาวและผู้อาวุโสทั้งหลายได้ปรึกษาหารือกันก่อนแล้วจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง”

ชาวบ้านที่กำลังอิ่มหนำสำราญไปกับเนื้อสัตว์ พอได้ยินอย่างนี้แล้ว ทุกคนก็เริ่มรู้สึกเป็นกังวลกันขึ้นมา เพราะกลัวว่าเหตุการณ์ที่เกิดกับมู่หยางหลิงในวันนี้ อาจจะทำให้มู่ฉือไม่ยอมให้นางพาพวกเขาเข้าไปในป่าอีก

“ต้องโทษต้าจ้วงกับจู้จื่อ เพราะอาหลิงสั่งให้พวกเราออกจากป่ามาตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะสองคนนี้มัวแต่ชักช้าอยู่เนี่ย พวกเราก็คงไม่ต้องโดนเสือโคร่งกับหมีดำไล่ตามหรอก และนางเองก็คงไม่ต้องล่อพวกมันไปให้พ้นเพื่อปกป้องพวกเรา”

“ใช่ ๆ ๆ ต้องโทษเจ้าสองคนนั้น เพราะถ้าไม่ใช่เพราะพวกมันน่ะ พวกเราอาจจะออกมาก่อนที่จะได้ยินเสียงคำรามของสัตว์ร้ายพวกนั้นอีก อาหลิงเข้าป่ามาเป็น 3-4 ปี นางเองก็อยู่รอดปลอดภัยมาโดยตลอด แล้วนางก็เกือบจะพาพวกเราออกมาตั้งแต่ก่อนที่นางจะได้ยินเสียงแปลก ๆ นั่นแล้ว”

แล้วชาวบ้านทุกคนก็หันมาจ้องที่ต้าจ้วงกับจู้จื่อเป็นตาเดียว

และด้วยความที่หลิวต้าจ้วงเป็นลูกชายของหลิวเหอ มันยิ่งทำให้เขาขายหน้าจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี แต่แล้งฟางจู้จื่อก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้า “ชิ พวกข้าไปทำให้พวกเจ้าเสียเวลายังไงรึ? ถ้าอาหลิงสัมผัสได้เร็วกว่านั้น พวกข้าสองคนจะยังไปทำธุระส่วนตัวกันได้อีกเรอะ?”

ชาวบ้านต่างคาดไม่ถึงว่าฟางจู้จื่อจะเป็นคนหน้าด้านขนาดนี้ พวกเขาได้แต่ตกตะลึงและพูดไม่ออกแล้วจริง ๆ

หลิวต้าจ้วงวิ่งไปหาหลิวเหอ เพราะเขารู้ตัวว่า ถ้าเขาทำให้คนในหมู่บ้านหมดโอกาสที่จะได้เข้าป่า เขาจะต้องแย่แน่ ๆ และตระกูลของเขาเองก็ไม่น่ารอด

เพราะตั้งแต่ทวดของเขาจนมาถึงรุ่นพ่อของเขาในปัจจุบันนี้ ล้วนมีศักดิ์เป็นหัวหน้าตระกูลหลิวกันหมด และถึงแม้ว่าหัวหน้าตระกูลหลิวคนต่อไปจะเป็นพี่ชายคนโตของต้าจ้วง แต่เขาก็กลัวว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้จะทำให้ตระกูลหลิวต้องแปดเปื้อน และถ้ามันทำให้พี่ใหญ่ต้องสูญเสียตำแหน่งหัวหน้าตระกูลหลิวด้วยแล้วล่ะก็ ตายหมื่นชาติก็คงไม่พอสำหรับเขาแน่ ๆ

ดังนั้นหลิวต้าจ้วงจึงวิ่งโร่เข้าไปเล่าเรื่องโสมที่พบกลางป่าให้พ่อเขาฟังด้วยความอับอาย “ทีแรกข้าอยากจะขุดโสมนั่นขึ้นมาขอรับ เพราะข้าอยากให้บ้านเรามีเงินมีทองเข้ามาเพิ่ม แต่ข้ากับจู้จื่อไม่เคยขุดโสมมาก่อน ก็เลยไม่มีใครกล้าลงมือเสียที เลยทำให้คนอื่นพลอยเสียเวลาไปด้วย ท่านพ่อ บอกเรื่องโสมให้ชาวบ้านฟังเพื่อเป็นการอธิบายเถอะขอรับ”

หลิวเหอครุ่นคิดอยู่ครู่นึงก่อนจะถามขึ้นว่า “โสมนั่นเจ้าเป็นคนเจอก่อนรึ? ไม่ใช่จู้จื่อเจอก่อนหรือ?”

“ข้าเป็นคนเจอมันเองขอรับ แล้วข้าก็ไปบอกจู้จื่อ”

“ยังมีใครรู้เรื่องนี้อีกบ้าง?”

“พี่หยวนก็รู้เรื่องนี้ขอรับ ข้าบอกเขาตอนที่เขามาตามหาข้าสองคน”

หลิวเหอได้ยินเช่นนั้นจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ แล้วเขาก็พยักหน้า “ดีมาก อย่างนั้นเราก็หยิบยกเรื่องนี้ออกมา แล้วอธิบายกับชาวบ้านโดยที่จู้จื่อไม่สามารถคัดค้านอะไรได้” หลิวเหอกัดฟันเล็กน้อยในขณะที่เขากำลังลั่นประโยคสุดท้ายออกจากปาก

เพราะเขารู้ดีว่าลูกชายของเขาเป็นคนยังไง เขามั่นใจว่าฟางจู้จื่อจะต้องเป็นคนต้นคิดให้ปกปิดเรื่องโสมนี่ และคนที่ถ่วงเวลาก็คือฟางจู้จื่อคนนี้แน่นอน

แม้ว่าต้าจ้วงจะมีนิสัยเห็นแก่ตัวอยู่บ้าง แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นคนใจอ่อนให้กับทุกคนได้เหมือนกัน หลิวเหอมั่นใจว่าต้าจ้วงไม่ใช่คนตัดสินใจเรื่องนี้เป็นแน่ และอีกอย่าง เขาก็ขุดโสมไม่เป็นด้วย

หลิวเหอเสียใจกับการตัดสินใจแรกของลูกชาย ถ้าหากว่าเขาไม่บอกจู้จื่อ เขาต้องวิ่งไปหาหลิวถิงแน่นอน แล้วหลิวถิงก็จะบอกมู่หยางหลิงให้รู้ และในตอนท้ายถ้าหากว่าขุดโสมนั่นไม่ทัน เขาก็มั่นใจว่าทุกคนจะหนีรอดปลอดภัยออกมาได้ โดยไม่ต้องเสียเวลาและเสี่ยงชีวิตกันแบบวันนี้

แล้วความคิดบางอย่างก็แวบขึ้นมาทันที หลิวเหอรู้สึกชื่นชมมู่หยางหลิงจับใจ และคิดว่ามู่หยางหลิงเป็นเด็กที่ฉลาดมาก ไม่อย่างนั้นคงจะมีคนตายในเหตุการณ์นี้เป็นแน่ และหลิวเหอก็พร้อมที่จะรับผิดชอบในสิ่งที่ลูกชายของเขาเป็นคนก่อ

หลิวเหอพาลูกชายของเขาไปที่บ้านตระกูลมู่ เพื่อให้ตระกูลมู่เป็นผู้ตัดสิน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 60 เฝ้าสังเกตการณ์

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 60 เฝ้าสังเกตการณ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลิวถิงพาคนที่เหลือหนีไปต่อ ในขณะที่มู่หยางหลิงล่อสัตว์ร้ายไปฝั่งตะวันออก นางวิ่งไปได้ซักพัก ก็หยิบกระต่ายตัวที่บาดเจ็บจนเลือดออกตัวนึงออกมาจากกระสอบ จากนั้นก็เอาเลือดกระต่ายเช็ดหน้าเช็ดคอให้กลิ่นของมันติดที่ตัวนาง พอวิ่งไปได้อีกพักนึง นางก็ปล่อยกระต่ายตัวนั้นลงข้างทาง……

แล้วตอนนี้ก็ทำได้เพียงแค่หวังว่าเลือดสด ๆ ของกระต่ายตัวนั้นจะเบนความสนใจของสัตว์ร้ายพวกนั้นได้

มู่หยางหลิงหยุดยืนอยู่กลางป่า และพอได้ยินเสียงพวกมันเคลื่อนไหวมาทางฝั่งของนาง นางก็ถอนหายใจโล่งอก แล้วรีบวิ่งต่อไปทางฝั่งตะวันออกอย่างเร็ว

แม้ว่าจะเบนความสนใจของพวกมันมาได้ แต่นางก็ยังต้องปกป้องชีวิตตัวเองเหมือนกัน

มู่หยางหลิงวิ่งไปด้วยมองหาต้นไม้ที่สูงและแข็งแรงไปด้วย นางวิ่งมาได้ประมาณ 7-8 นาทีก็เจอเข้ากับต้นไม้ที่มีกิ่งก้านสาขาและใบที่หนาใหญ่พอเหมาะให้เป็นที่กำบัง อีกทั้งต้นไม้ต้นนี้ยังสูงโด่กว่าต้นไม้ต้นอื่นอีกด้วย เมื่อตัดสินใจเลือกดีแล้วนางก็รีบปีนป่ายขึ้นไปทันที

แม้ว่าสัตว์ทั้ง 2 ตัวจะกำลังต่อสู้กันอย่างเมามันส์ แต่เมื่อพวกมันได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตอื่น ก็สามารถเบนความสนใจของพวกมันไปได้เหมือนกัน

ทั้งหมีและเสือต่างก็มีมันสมองที่ฉลาดพอ ๆ กับมนุษย์ และแรงของสัตว์ทั้ง 2 ชนิดนี้ก็สูสีกันใช้ได้ เมื่อมันได้กลิ่นเหยื่อตัวอื่น มันก็จะเลิกสนใจกันเอง

อีกทั้งยังช่วยระวังหน้าระวังหลังให้กันในระหว่างที่มุ่งหน้าตามเหยื่อตัวใหม่ด้วย

และด้วยสัญชาตญาณนักล่า เพียงแค่กลิ่นเลือดสด ๆ ก็ทำให้พวกมันตามมาจนเจอซากกระต่ายตัวนั้นจนได้

แต่พอพวกมันก็เห็นว่าสิ่งที่มันตามมาเจอ เป็นเพียงแค่ซากกระต่ายตัวน้อยตัวนึงเท่านั้น พวกมันก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เพราะคิดว่าสัตว์ที่มันกำลังล่าอยู่เนี่ยขี้เหนียวเสียจริง ๆ เลย ทิ้งซากกระต่ายไว้ให้พวกมันแค่ตัวเดียว จะไปพอยาไส้อะไรล่ะ อีกอย่าง ถ้ามันอยากจะกินกระต่าย มันก็สามารถหากินได้ไม่อั้น เพราะกระต่ายพวกนี้มีมากมหาศาลจริง ๆ จะตะครุบกินตอนไหนก็ได้

พวกมันจึงเริ่มวิ่งตามกลิ่นของมู่หยางหลิงต่อ จนในที่สุดก็มาหยุดยืนอยู่ที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง เพราะถ้าถัดไปจากนี้ พวกมันก็เริ่มจะไม่ได้กลิ่นของมู่หยางหลิงแล้ว

สัตว์ทั้งสองตัวเดินวนไปวนมากันอยู่รอบต้นไม้นั่น จนสุดท้ายหมีดำก็คำรามออกมาด้วยความตบะแตก เพราะมันจะต้องรีบกักตุนอาหารไว้ให้ได้มากที่สุดก่อนฤดูหนาวจะมาถึง มิฉะนั้นมันจะต้องหนาวตายอยู่กลางป่า

แล้วหมีดำก็เริ่มจู่โจมเสือโคร่งตัวนั้นทันที

เสือโคร่งเองก็พุ่งเข้าหาหมีดำด้วยความว่องไว และคำรามเสียงดังกึกก้อง หมีดำจับตัวเสือโคร่งได้มันก็เขวี้ยงเสือโคร่งเข้ากับต้นไม้อย่างแรง เสือโคร่งตั้งท่าได้ก็วิ่งเข้าไปฟาดหน้าหมีดำด้วยกรงเล็บ พวกมันสู้กันอย่างดุเดือดทั้งที่สภาพของพวกมันแต่ละตัวเริ่มดูไม่ค่อยได้แล้ว แต่ก็ยังสู้กันต่อ

มู่หยางหลิงกอดรัดกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ต้นนั้นไว้แน่น ในใจก็คิดไปด้วยว่า ถ้าหากนางเกาะไว้ไม่แน่พอ เกิดเจ้าสัตว์สองตัวนั้นกระแทกต้นไม้ต้นนี้จนนางปลิวตกลงไป แม้แต่เศษเนื้อเศษหนังของนางก็น่าจะไม่มีเหลือไว้ให้ครอบครัวได้เห็นเป็นแน่

แล้วในที่สุดต้นไม้ก็ถูกกระแทกอย่างแรงแบบที่นางคาดไว้จริง ๆ มู่หยางหลิงหลับตาปี๋ด้วยความหวาดกลัว ไม่นาน นางก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของเสือโคร่ง นางจึงลืมตาดูด้านล่าง และพบว่าเสือโคร่งตัวนั้นถูกหมีดำตะปบจนลงไปนอนกองอยู่กับพื้น

มู่หยางหลิงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ แล้วกอดต้นไม้ไว้แน่นไม่ขยับตัว

เจ้าหมีดำก้มดูเสือโคร่งใกล้ ๆ แล้วมันก็ตะปบลงไปอีกครั้งเพื่อส่งเจ้าเพื่อนไปยังโลกหน้า จากนั้นมันก็นอนลงข้าง ๆ ด้วยความเหนื่อยล้า

และถึงแม้ว่าหมีดำตัวนั้นจะเอาชนะเสือโคร่งตัวใหญ่ได้ แต่ตัวมันเองก็บาดเจ็บไม่น้อยเหมือนกัน มันนอนลงเลียแผลตามร่างกายของมันอย่างเงียบ ๆ

ซักพักมันก็รีบลุกขึ้นลากซากของเสือตัวนั้นไป เพราะมันรู้ว่ากลิ่นคาวเลือดสด ๆ นี้ก็ดึงดูดสัตว์ร้ายตัวอื่นมาได้เหมือนกัน

และวิ่งออกจากจุดนั้นทันทีเพื่อหาทางกลับบ้าน

แต่พอวิ่งมาได้ครึ่งทาง ก็เจอเข้ากับมู่ฉือที่ยืนหน้านิ่งอยู่ ด้านหลังมู่ฉือยังมีคนถือไม้หน้าสามมากกว่า 20 คนติดตามมาด้วย

“อาหลิง!” เมื่อมู่ฉือเห็นหน้าลูกสาว เขาก็ตะโกนเรียกเสียงดังลั่น

“ท่านพ่อ” มู่หยางหลิงรีบวิ่งเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดต่อว่า “ท่านพ่อ หมีดำกับเสือโคร่งมันสู้กัน แล้วหมีก็ตะปบเสือจนตาย เรารีบไปจากที่นี่กันเถอะท่านพ่อ ถ้าหมีดำมันตามมาทันล่ะแย่เลย”

แม้มู่ฉือจะเตรียมตัวบ่นใส่หูมู่หยางหลิง แต่เขาก็รู้ดีว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาจะมาพูดมากอะไรได้ เขารีบคว้าตัวลูกสาว แล้วพูดกับหลิวถิงและคนอื่น ๆ ที่อยู่ข้างหลังว่า “รีบออกไปจากที่นี่กัน”

เมื่อทุกคนออกมาจากหุบเขา พวกเขาก็เห็นว่าชาวบ้านทั้งหมู่บ้านมายืนชะเง้อคอยอยู่หน้าหมู่บ้านแล้ว ซู่หว่านเหนียงที่ยืนคอยอยู่ พอได้เห็นสามีจูงลูกสาวออกมาจากป่าก็ถอนหายใจโล่งอกทันที นางค่อย ๆ อุ้มท้องเดินไปข้างหน้าพร้อมกับลูกชายตัวน้อย

มู่หยางหลิงตะโกนเรียกแม่ด้วยความดีใจ “ท่านแม่” แล้วนางก็วิ่งเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าซู่หว่านเหนียง

มู่ฉือหันไปพยักหน้ากับหลิวเหอ จากนั้นก็หันไปพูดกับชาวบ้านที่อยู่ด้านหลังของเขาว่า “ขอบคุณพวกท่านมาก วันนี้หุบเขาลำเนาไพรค่อนข้างอันตราย ขอความร่วมมือทุกท่านได้โปรดอย่าเข้าใกล้ผืนป่าด้านหลังนี้ก่อน ส่วนเรื่องล่าสัตว์ครั้งต่อไป ขอข้ากับลูกสาวและผู้อาวุโสทั้งหลายได้ปรึกษาหารือกันก่อนแล้วจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง”

ชาวบ้านที่กำลังอิ่มหนำสำราญไปกับเนื้อสัตว์ พอได้ยินอย่างนี้แล้ว ทุกคนก็เริ่มรู้สึกเป็นกังวลกันขึ้นมา เพราะกลัวว่าเหตุการณ์ที่เกิดกับมู่หยางหลิงในวันนี้ อาจจะทำให้มู่ฉือไม่ยอมให้นางพาพวกเขาเข้าไปในป่าอีก

“ต้องโทษต้าจ้วงกับจู้จื่อ เพราะอาหลิงสั่งให้พวกเราออกจากป่ามาตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะสองคนนี้มัวแต่ชักช้าอยู่เนี่ย พวกเราก็คงไม่ต้องโดนเสือโคร่งกับหมีดำไล่ตามหรอก และนางเองก็คงไม่ต้องล่อพวกมันไปให้พ้นเพื่อปกป้องพวกเรา”

“ใช่ ๆ ๆ ต้องโทษเจ้าสองคนนั้น เพราะถ้าไม่ใช่เพราะพวกมันน่ะ พวกเราอาจจะออกมาก่อนที่จะได้ยินเสียงคำรามของสัตว์ร้ายพวกนั้นอีก อาหลิงเข้าป่ามาเป็น 3-4 ปี นางเองก็อยู่รอดปลอดภัยมาโดยตลอด แล้วนางก็เกือบจะพาพวกเราออกมาตั้งแต่ก่อนที่นางจะได้ยินเสียงแปลก ๆ นั่นแล้ว”

แล้วชาวบ้านทุกคนก็หันมาจ้องที่ต้าจ้วงกับจู้จื่อเป็นตาเดียว

และด้วยความที่หลิวต้าจ้วงเป็นลูกชายของหลิวเหอ มันยิ่งทำให้เขาขายหน้าจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี แต่แล้งฟางจู้จื่อก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้า “ชิ พวกข้าไปทำให้พวกเจ้าเสียเวลายังไงรึ? ถ้าอาหลิงสัมผัสได้เร็วกว่านั้น พวกข้าสองคนจะยังไปทำธุระส่วนตัวกันได้อีกเรอะ?”

ชาวบ้านต่างคาดไม่ถึงว่าฟางจู้จื่อจะเป็นคนหน้าด้านขนาดนี้ พวกเขาได้แต่ตกตะลึงและพูดไม่ออกแล้วจริง ๆ

หลิวต้าจ้วงวิ่งไปหาหลิวเหอ เพราะเขารู้ตัวว่า ถ้าเขาทำให้คนในหมู่บ้านหมดโอกาสที่จะได้เข้าป่า เขาจะต้องแย่แน่ ๆ และตระกูลของเขาเองก็ไม่น่ารอด

เพราะตั้งแต่ทวดของเขาจนมาถึงรุ่นพ่อของเขาในปัจจุบันนี้ ล้วนมีศักดิ์เป็นหัวหน้าตระกูลหลิวกันหมด และถึงแม้ว่าหัวหน้าตระกูลหลิวคนต่อไปจะเป็นพี่ชายคนโตของต้าจ้วง แต่เขาก็กลัวว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้จะทำให้ตระกูลหลิวต้องแปดเปื้อน และถ้ามันทำให้พี่ใหญ่ต้องสูญเสียตำแหน่งหัวหน้าตระกูลหลิวด้วยแล้วล่ะก็ ตายหมื่นชาติก็คงไม่พอสำหรับเขาแน่ ๆ

ดังนั้นหลิวต้าจ้วงจึงวิ่งโร่เข้าไปเล่าเรื่องโสมที่พบกลางป่าให้พ่อเขาฟังด้วยความอับอาย “ทีแรกข้าอยากจะขุดโสมนั่นขึ้นมาขอรับ เพราะข้าอยากให้บ้านเรามีเงินมีทองเข้ามาเพิ่ม แต่ข้ากับจู้จื่อไม่เคยขุดโสมมาก่อน ก็เลยไม่มีใครกล้าลงมือเสียที เลยทำให้คนอื่นพลอยเสียเวลาไปด้วย ท่านพ่อ บอกเรื่องโสมให้ชาวบ้านฟังเพื่อเป็นการอธิบายเถอะขอรับ”

หลิวเหอครุ่นคิดอยู่ครู่นึงก่อนจะถามขึ้นว่า “โสมนั่นเจ้าเป็นคนเจอก่อนรึ? ไม่ใช่จู้จื่อเจอก่อนหรือ?”

“ข้าเป็นคนเจอมันเองขอรับ แล้วข้าก็ไปบอกจู้จื่อ”

“ยังมีใครรู้เรื่องนี้อีกบ้าง?”

“พี่หยวนก็รู้เรื่องนี้ขอรับ ข้าบอกเขาตอนที่เขามาตามหาข้าสองคน”

หลิวเหอได้ยินเช่นนั้นจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ แล้วเขาก็พยักหน้า “ดีมาก อย่างนั้นเราก็หยิบยกเรื่องนี้ออกมา แล้วอธิบายกับชาวบ้านโดยที่จู้จื่อไม่สามารถคัดค้านอะไรได้” หลิวเหอกัดฟันเล็กน้อยในขณะที่เขากำลังลั่นประโยคสุดท้ายออกจากปาก

เพราะเขารู้ดีว่าลูกชายของเขาเป็นคนยังไง เขามั่นใจว่าฟางจู้จื่อจะต้องเป็นคนต้นคิดให้ปกปิดเรื่องโสมนี่ และคนที่ถ่วงเวลาก็คือฟางจู้จื่อคนนี้แน่นอน

แม้ว่าต้าจ้วงจะมีนิสัยเห็นแก่ตัวอยู่บ้าง แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นคนใจอ่อนให้กับทุกคนได้เหมือนกัน หลิวเหอมั่นใจว่าต้าจ้วงไม่ใช่คนตัดสินใจเรื่องนี้เป็นแน่ และอีกอย่าง เขาก็ขุดโสมไม่เป็นด้วย

หลิวเหอเสียใจกับการตัดสินใจแรกของลูกชาย ถ้าหากว่าเขาไม่บอกจู้จื่อ เขาต้องวิ่งไปหาหลิวถิงแน่นอน แล้วหลิวถิงก็จะบอกมู่หยางหลิงให้รู้ และในตอนท้ายถ้าหากว่าขุดโสมนั่นไม่ทัน เขาก็มั่นใจว่าทุกคนจะหนีรอดปลอดภัยออกมาได้ โดยไม่ต้องเสียเวลาและเสี่ยงชีวิตกันแบบวันนี้

แล้วความคิดบางอย่างก็แวบขึ้นมาทันที หลิวเหอรู้สึกชื่นชมมู่หยางหลิงจับใจ และคิดว่ามู่หยางหลิงเป็นเด็กที่ฉลาดมาก ไม่อย่างนั้นคงจะมีคนตายในเหตุการณ์นี้เป็นแน่ และหลิวเหอก็พร้อมที่จะรับผิดชอบในสิ่งที่ลูกชายของเขาเป็นคนก่อ

หลิวเหอพาลูกชายของเขาไปที่บ้านตระกูลมู่ เพื่อให้ตระกูลมู่เป็นผู้ตัดสิน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+