อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 29 พละกำลังมหาศาล

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 29 พละกำลังมหาศาล at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มู่หยางหลิงนึกถึงเส้นทางถนนใหญ่ที่ต้องใช้เวลา 2-5 ชั่วโมงในการเดินทางจากหมู่บ้านซีซานกลับไปยังหมู่บ้านหลินซาน อีกทั้งยังต้องเดินทางท่ามกลางแดดร้อนจัดอีกด้วย นางจึงเขย่าแขนหม่าหลิวซื่อแล้วพูดขึ้นว่า “ย่าใหญ่ ให้ข้าไปเองเถอะนะจ้ะ แค่ทางเส้นเล็กบนเขาเอง ไม่เห็นเป็นไรเลย อีกอย่าง ถ้าท่านเดินไปส่งข้าถึงบ้านด้วยแล้วเนี่ย พอถึงบ้านข้าฟ้าก็จะมืดพอดี ท่านเดินกลับมาคนเดียวคงไม่ดีแน่ หนำซ้ำน้องสาวทั้งสองยังต้องอยู่กัน 2 คนตามลำพังอีกด้วยมิใช่หรือ?”

หม่าซิ่วหงฟังแล้วก็รู้สึกกังวลขึ้นมา จนนางต้องเข้าไปกอดแขนย่าใหญ่เอาไว้ แล้วมองหน้าย่าใหญ่ด้วยสีหน้าเป็นห่วงปนหวาดกลัว

“ถ้าอย่างนั้น คืนนี้เจ้าก็อย่าเพิ่งกลับไปก่อนดีกว่า ไว้พรุ่งนี้เช้าย่าใหญ่จะไปส่งเจ้าเอง”

มู่หยางหลิงเห็นท่าทางที่ดื้อรั้นของย่าใหญ่ จึงทำได้เพียงแค่เม้มปากคิดหาวิธีต่อไป เพราะตัวมู่หยางหลิงเองก็ไม่ค่อยชินกับการนอนบ้านคนอื่นสักเท่าไหร่

อีกทั้งทางกลับบ้านก็ไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น ถ้าหากว่านางไม่กลับบ้านในวันนี้ เกรงว่าพ่อกับแม่ของนางจะเป็นกังวลด้วยเช่นกัน

มู่หยางหลิงกลอกตาคิด ก่อนจะพูดขึ้นว่า “อ้อ ย่าใหญ่จ้ะ ท่านเกี่ยวข้าวกันเสร็จแล้วหรือ? ให้ข้าช่วยไหมจ้ะ?”

หม่าหลิวซื่อยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ดูท่าคงต้องใช้เวลาอีก 2-3 วันถึงจะเสร็จน่ะ แต่บ้านเจ้าไม่ได้ทำนาหนิ จะทำไหวได้อย่างไร เจ้าอยู่บ้านเล่นกับน้อง ๆ เถอะ”

“ย่าใหญ่เคยเห็นหมูวิ่งหรือยัง? ข้าน่ะ เคยวิ่งไล่จับหมูป่ามาแล้วนะจ้ะ แค่ถือเคียวเกี่ยวข้าว ข้าทำได้แน่นอน” ในระหว่างทางที่มู่หยางหลิงเดินเข้าหมู่บ้านซีซานมานั้น นางก็จะเห็นชาวบ้านแต่ละคนถือเคียวเกี่ยวข้าวเดินสวนกันไปมาแทบจะทุกคน ทำให้นางรู้สึกว่า มันไม่น่าจะเป็นเรื่องยากอะไร

หม่าซิ่วหงเห็นว่ามู่หยางหลิงตัวใหญ่กว่านางตั้งเกือบเท่าตัว นางคิดอยู่ลึก ๆ ว่า ถ้าได้มู่หยางหลิงไปช่วย ก็คงจะเบาแรงไปได้มาก นางจึงพูดขึ้นว่า “ท่านย่า พาพี่สาวไปด้วยก็ดีนะจ้ะ เพราะถึงอยู่บ้านไปก็ไม่มีอะไรให้เล่นอยู่ดี แต่ถ้าพวกเราไปทุ่งด้วยกัน เกิดนางเกี่ยวข้าวไม่เป็นจริง ๆ ก็ยังวิ่งเล่นกันในทุ่งได้ ให้ซิ่วหลานไปอยู่เป็นเพื่อนนางด้วยก็ยิ่งดี”

หลังจากหม่าหลิวซื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดนางก็ยอมให้มู่หยางหลิงไปช่วยจนได้

ช่วงบ่าย 1 จนเกือบบ่าย 2 โมง จะเป็นช่วงเวลาที่แดดร้อนจัดกว่าทุกช่วงวัน และมู่หยางหลิงก็คิดไม่ถึงว่า พวกนางจะเตรียมตัวออกไปทุ่งนาในเวลานี้

พอถึงทุ่งนา ทุกคนต่างพากันลงทุ่งไปเกี่ยวข้าวกันหมด ไม่มีสักคนที่อยู่นิ่งเฉยเลย

มู่หยางหลิงยืนอ้าปากค้าง พลันนึกถึงตอนที่นางเคยไปเล่นบ้านเพื่อนคนหนึ่งในหมู่บ้านเดียวกัน ตอนนั้นเป็นช่วงฤดูเก็บเกี่ยวพอดี ครอบครัวของเพื่อนนางจึงต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 เพื่อออกจากบ้านไป กลับมาบ้านอีกทีก็จะเป็นตอนสาย ๆ ประมาณ 11 โมงเห็นจะได้ จากนั้นพวกเขาก็ออกไปทุ่งนาอีกตอนเวลาบ่ายสามกว่า ๆ แล้วพวกเขาจะกลับบ้านมาอีกทีก็คือช่วงเวลาประมาณทุ่มนึง……”

แต่อย่างกรณีของย่าใหญ่นั้น ดูแล้วทุกคนคงจะเตรียมพร้อมที่จะอยู่เกี่ยวข้าวในทุ่งทั้งวัน ไม่เว้นแม้แต่ช่วงเวลาที่มีแดดจัดที่สุดของวัน

และถึงแม้ว่าหมู่บ้านหลินซานจะค่อนข้างลำบาก แต่ชาวบ้านก็ยังรู้จักหลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่มีแดดร้อนจัดนี้ไป พวกเขาจะออกจากบ้านไปทำงานต่อในช่วงเวลาหลังจากบ่าย 2 เป็นต้นไปเท่านั้น พอเทียบกันดูแล้ว หมู่บ้านซีซานดูจะลำบากกว่าหมู่บ้านหลินซานมากจริง ๆ

ยิ่งอยู่กันลำบากแค่ไหนก็ยิ่งต้องดิ้นรนกันต่อไป

พอถึงที่นาของย่าใหญ่ ย่าใหญ่ก็ชี้นิ้ว วนตรงที่สามผืนตรงหน้ากับอีกผืนหนึ่งที่อยู่ถัดไป พลางพูดขึ้นว่า “ที่นา 4 ผืนนี้เป็นของตระกูลข้าเอง”

ที่นา 4 ผืนนี้ก็ใหญ่ใช้ได้ มู่หยางหลิงเหลือบไปเห็นรวงข้าวเปลือกที่ถูกตั้งทิ้งไว้อยู่ข้าง ๆ ทุ่งนา จึงถามขึ้นด้วยความสงสัย “ย่าใหญ่ ทำไมท่านถึงไม่เอารวงข้าวพวกนั้นไปตากไว้ข้างบ้านล่ะจ้ะ? ตากไว้ในทุ่งอย่างนี้ ถ้าเกิดฝนตกขึ้นมา พอข้าวชื้นหมดท่านจะทำอย่างไรล่ะ?”

สีหน้าของย่าใหญ่เริ่มดูไม่ค่อยดี

หม่าซิ่วหงเห็นสีหน้าของย่าเหมือนไม่ค่อยจะดี จึงตอบกลับด้วยเสียงเล็ก ๆ ว่า “เราสองคนทำกันไม่ไหวน่ะจ้ะ แล้วก็ไม่มีใครช่วยพวกเราด้วย เพราะฉะนั้นเวลาเกี่ยวข้าวได้ เราก็แบกกันไปเท่าที่ไหว ส่วนที่เหลือก็ตากทิ้งไว้ตรงทุ่งนี่แหละจ้ะ”

แล้วมู่หยางหลิงก็กำเคียวในมือแน่น ตาเป็นประกาย เกี่ยวข้าวน่ะ นางไม่เคยทำหรอก แต่ถ้าเรื่องแบกขน ไว้ใจอาหลิงได้

มู่หยางหลิงเห็นหลังง่อนแง่นของย่าใหญ่ กับรูปร่างผอมบางไร้เรี่ยวแรงของหม่าซิ่วหง นางจึงรู้สึกอึดอัดและคิดว่า ที่สี่ผืนนี้ต้องใช้แรงมากมายขนาดไหนกันนะ ถึงจะแบกขนข้าวเปลือกทั้งหมดออกไปได้?

มู่หยางหลิงโยนเคียวเกี่ยวข้าวลงใส่ตะกร้า แล้วพูดขึ้นว่า “แค่แบกของแค่นี้สบายมาก ข้าจะช่วยแบกไปเอง”

หม่าหลิวซื่อไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ออกมาดี “เจ้าตัวเล็กแค่นี้ จะยกของหนัก ๆ ไปทำไมกัน เจ้าไปฝึกเกี่ยวข้าวกับน้อง ๆ เถอะ”

มู่หยางหลิงเห็นว่าคำพูดของย่าใหญ่ไม่สมเหตุสมผลสำหรับนาง นางจึงวิ่งไปดึงหญ้าตรงคันนา แล้วก็วิ่งไปข้าง ๆ กองรวงข้าวนั้น นางนวดหญ้าให้เป็นใย จากนั้นก็ผูกปมเหมือนที่นางเคยเห็นชาวนาคนหนึ่งทำ แต่พอนางนวดหญ้าไปได้ซักพัก ต้นหญ้าพวกนั้นกลับยังเป็นทรงเดิมอยู่

หม่าซิ่วหงยืนมองอยู่สักพักก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปช่วย นางเดินเข้าไปช่วยนวดกองหญ้าสดนั้นจนเหนียวพอเหมาะคล้ายเชือก จากนั้นนางก็จับหญ้าแผ่ออก “เอารวงข้าววางไว้ด้านล่างนี่ จากนั้นก็ม้วนขึ้นไปแล้วก็มัดเข้า แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้วล่ะ”

หม่าซิ่วหงครุ่นคิดอยู่ว่า ในเมื่อพี่สาวเกี่ยวข้าวไม่เป็น ก็ให้นางกับซิ่วหลานช่วยกันห่อรวงข้าวน่าจะดีกว่า พอถึงเวลาจะได้ขนกลับกันสะดวกขึ้น

หม่าซิ่วหงคิดได้ดังนั้นจึงพูดขึ้นว่า “ข้าช่วยทำให้มันเป็นเชือกเอง พวกเจ้าไปช่วยกันขนรวงข้าวมาตรงนี้นะ”

หม่าหลิวซื่อเห็นว่าเด็ก ๆ กำลังเล่นกันสนุกสนานกัน นางจึงวางใจและก้มหน้าเกี่ยวข้าวต่อ

เนื่องจากหม่าซิ่วหงเป็นเด็กที่มีรูปร่างผอมซูบ เวลาที่นางพยายามดึงหญ้าออกมาทีละกำ ก็จะต้องใช้แรงทั้งหมดที่มีนั้นพยายามดึงให้หลุด มู่หยางหลิงเห็นดังนั้นก็ทนดูต่อไม่ไหว นางจึงอาสาเข้าไปช่วย มู่หยางหลิงมีพละกำลังเหลือหลาย นางคว้าหญ้าได้กำหนึ่ง ก็ดึงขึ้นมาได้ทันทีด้วยแรงเพียงแค่นิดเดียว เวลาผ่านไปไม่นาน ตรงบริเวณคันนานั้นก็โล่งเตียนไม่มีหญ้าเหลือสักกอ

หม่าซิ่วหงปาดเหงื่อที่หน้าผาก แล้วพูดขึ้นว่า “ข้าว่าเท่านี้ก็น่าจะพอแล้วล่ะ เราน่าจะทำเชือกห่อได้ประมาณ 20 เส้นอยู่นะ”

มู่หยางหลิงจึงหยุดถอดหญ้า แล้วหันหลังเดินไปหอบรวงข้าวมาส่งทางนี้ต่อ หม่าซิ่วหงเองก็เดินตามนางไปหอบรวงข้าวขึ้นมาด้วย เพียงแต่ว่านางจะดูมีความทุลักทุเลมากกว่ามู่หยางหลิงอยู่หน่อย ๆ

ด้วยความที่พละกำลังของหม่าซิ่วหงนั้นมีเพียงน้อยนิด ทำให้นางไม่สามารถมัดรวงข้าวด้วยเชือกได้ถนัดนัก แต่มู่หยางหลิงนี่สิ พละกำลังของนางไม่มีเหือดหายจริง ๆ หม่าซิ่วหงหันไปมองอีกทีก็เห็นมัดรวงข้าวที่มู่หยางหลิงมัดเอาไว้นั้น ถูกซ้อนกันเป็นชั้น ๆ เรียบร้อย “นั่นเยอะเกินไปแล้วพี่สาว ข้ากับท่านย่าแบกไม่ไหวแน่ ๆ “

ตอนนี้มู่หยางหลิงเพิ่งมัดรวงข้าวไปได้ 6 มัด เมื่อนางได้ยินหม่าซิ่วหงพูดดังนั้น นางจึงยิ้มตอบว่า “ข้าบอกแล้วไงเล่า ว่าข้าจะช่วยแบกกลับไปเอง”

หม่าซิ่วหงจนปัญญาที่จะปฏิเสธ อีกทั้งแดดตอนนี้ก็ร้อนจัดมาก จนทำให้นางเริ่มรู้สึกหงุดหงิดอยู่เล็ก ๆ “ท่านจะแบกไหวได้อย่างไร?”

มู่หยางหลิงจึงแบกขึ้นมาให้หม่าซิ่วหงดูเป็นขวัญตาแทนคำพูด

นางหยิบมัดรวงข้าวขึ้นมา 1 มัดพาดไว้บนไหล่ซ้าย จากนั้นก็หยิบมัดรวงข้าวอีกมัดขึ้นมาวางไว้บนไหล่ขวา จนร่างของนางถูกบดบังจนเกือบมิด ท่ามกลางสายตาของสองพี่น้องที่กำลังยืนอ้าปากค้างอยู่

มู่หยางหลิงรู้สึกว่าการที่นางทำอย่างนี้นั้น มันดูแปลกประหลาดต่อสายตาคนอื่นมากเกินไปจริง ๆ นางจึงเอามัดรวงข้าวที่อยู่บนไหล่ขวาลงมาหีบไว้ใต้รักแร้แทน และถ้าไม่ติดว่าตัวนางยังเล็กอยู่นั้น มู่หยางหลิงก็อยากจะใช้มือหิ้วมัดรวงข้าวนั่นเลยด้วยซ้ำ

แต่เพราะรูปร่างของนางยังสูงไม่พอ ถ้าใช้มือถือไป รวงข้าวก็จะถูกับพื้นไปเสียเปล่า ๆ

มู่หยางหลิงตะโกนเรียกหม่าซิ่วหง “น้องใหญ่ เจ้ามานำทางข้าทีสิ ข้าจะได้ขนไปวางให้ถูกที่”

หม่าซิ่วหงอึกอัก และหันไปเรียกหม่าหลิวซื่อให้มาดูภาพตรงหน้า “ท่านย่า ท่านมาดูพี่สาวเร็วเข้า”

มู่หยางหลิงพูดอะไรไม่ออก เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมาดูนางด้วย- –

ก็ไม่เห็นมีอะไรแปลกเลยนี่นา ชาวบ้านในหมู่บ้านหลินซานก็ชินกับการที่ต้องเห็นนางแบกของที่ใหญ่เกินตัวแบบนี้มาตลอด และทุกคนก็รู้ดีว่านางมีพละกำลังเกินเด็ก 9 ขวบจริง ๆ

อีกอย่าง นางก็ยังไม่เคยเห็นชาวบ้านในหมู่บ้านหลินซานคนไหนที่แปลกใจกับเรื่องแบบนี้ของนางเลย

แต่พอหม่าหลิวซื่อได้เห็นเข้า นางก็ไม่คิดว่ามู่หยางหลิงจะมีพละกำลังมากมายเท่านี้ “วางลงเลยนะ วางลงเดี๋ยวนี้เลย ถ้าเอวเจ้าเคล็ดขึ้นมาจะทำอย่างไร?”

มู่หยางหลิงจึงโยนมัดรวงข้าวขึ้นฟ้า แล้วรับมันลงมาประหนึ่งว่ารวงข้าวมัดนั้นเบาเหมือนนุ่น “นี่ไงจ้ะย่าใหญ่ ท่านวางใจได้แล้วใช่หรือไม่ ขนาดหมูป่าทั้งตัวข้ายังเคยแบกมาแล้ว นี่ก็แค่มัดรวงข้าวเอง ไม่ถึง 100 กิโลด้วยซ้ำ”

หม่าหลิวซื่อจ้องมองมัดรวงข้าวที่อยู่ในมือของมู่หยางหลิง และท่าทางของมู่หยางหลิงก็เหมือนแค่ถืออิฐก้อนเล็กไว้ในมือเท่านั้น นางจึงไม่แปลกใจแล้ว ว่าทำไมมู่ฉือถึงวางใจให้ลูกสาวของเขาเดินข้ามเขามาคนเดียวได้

นางกระตุกมุมปากขึ้น แล้วพูดว่า “เอาล่ะเอาล่ะ ย่ารู้แล้ว ไม่ต้องวางลงแล้ว” หม่าหลิวซื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า “ซิ่วหง เจ้านำทางพี่สาวไปที่ยุ้งฉางนะ ที่ของเราน่าจะยังอยู่”

หม่าซิ่วหงตอบกลับด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นปนดีใจ “จ้ะย่า ข้าจะนำทางพี่สาวไปเดี๋ยวนี้เลย ท่านอยู่มัดรวงข้าวกับซิ่วหลานไปก่อนนะ ถ้าพี่สาวยังอยู่กับเรา เราคงขนรวงข้าวกลับไปได้เยอะแน่ ๆ”

หม่าหลิวซื่อยังคงสงสัย ว่าทำไมมู่หยางหลิงถึงได้มีพละกำลังมากมายมหาศาลเช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่นางก็ยังเป็นแค่เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง แถมท่าทางของนางตอนนี้ยังดูไม่เหน็ดเหนื่อยอะไรอีกด้วย

มู่หยางหลิงได้ยินที่หม่าซิ่วหงพูด นางจึงตอบกลับด้วยความภาคภูมิว่า “ไม่มีปัญหา พวกท่านรีบมัดรวงข้าวกันเถอะ ข้าแค่ต้องกลับให้ถึงบ้านก่อนพระอาทิตย์ตกเท่านั้น ข้าใช้เวลาไม่นาน 45 นาทีก็ถึงบ้านแล้วล่ะ”

ดวงตาของหม่าซิ่วหงเปล่งประกายขึ้นกว่าเดิม นางหันไปมองหน้าหม่าหลิวซื่อเพื่อจะฟังคำตอบ

หม่าหลิวซื่อพยักหน้าตอบรับ “ก็ได้ แต่เจ้าจะแบกคนเดียวอย่างนี้ไม่ได้แล้วนะ เดี๋ยวข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วย จะได้ขอความช่วยเหลือจากคนแถวนั้นด้วยเลย”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด