อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 2 ช่วยเหลือกัน

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 2 ช่วยเหลือกัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อมู่หยางหลิงได้ยินเช่นนี้จึงเหลือบมองพวกเขาอย่างละเอียด ถึงได้สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ ถึงแม้ผิวของพวกเขาจะค่อนข้างคล้ำก็จริง แต่ก็ไม่ได้คล้ำเหมือนท่านพ่อที่ทำงานหนักตลอดทั้งปี ดูเหมือนว่าพวกเขาจะจงใจทามันขึ้นมามากกว่า ยิ่งไปกว่านั้น มือที่ถือขนมปังย่างนั้นดูเรียวและอ่อนนุ่มกว่าผู้หญิงอย่างเธอเสียอีก

คนประเภทนี้แค่ดูแวบแรกก็รู้แล้วว่าเป็นลูกหลานของพวกคนรวยที่ตกที่นั่งลำบาก มู่หยางหลิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง น่าเสียดายมากที่ทั้งสองคนยังเป็นแค่เด็กหนุ่ม จึงถามขึ้นมาว่า " คนในครอบครัวของพวกเจ้าอยู่ที่ไหน ต้องการให้ข้าช่วยอะไรไหม "

ฉีเฮ่าหรานอ้าปากก็จะตอบ แต่โดนฟ่านจื่อจินดึงเขาไว้ ยิ้มให้มู่หยางหลิงพร้อมกับพูดว่า " ขอบคุณแม่นางมาก พวกข้าหาทางเจอแล้ว ไม่ได้อยู่ไกลอะไรมากนัก ไม่ขอรบกวนแม่นางดีกว่า รบกวนแม่นางช่วยบอกตำแหน่งที่อยู่ของแม่นางให้หน่อยได้ไหม ไว้พวกข้ามีโอกาสจะได้กลับมาตอบแทนพระคุณ "

เมื่อเห็นความตื่นตัวอย่างชัดเจนของเด็กหนุ่มคนนี้ ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แค่ส่ายหัวแล้วพูดว่า " ไม่ต้องละ ก็แค่ขนมปังย่างชิ้นหนึ่งเท่านั้น " แล้วสังเกตมองตำแหน่งที่พวกเขายืนอยู่จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองฟ้า จึงชี้ทางเดินออกจากป่าให้พวกเขา แล้วพูดว่า " เดินออกไปในทิศทางนั้น สักประมาณยี่สิบนาทีก็จะเจอทางเล็กๆทางหนึ่ง แล้วเดินตามทางเล็กๆนั้นออกไปก็ถูกแล้ว "

หลังจากพูดจบก็หันหลังจากไปทันที

เมื่อเห็นแผ่นหลังของมู่หยางหลิงค่อยๆหายไป ฟ่านจื่อจินถึงได้ล้มตัวลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง เขาจ้องไปที่ฉีเฮ่าหรานและพูดด้วยความโกรธว่า "ห้ามบอกตัวตนหรือสถานะที่แท้จริงของเราออกไปเป็นอันขาด ตอนนี้เรามาถึงมลรัฐซิงโจวแล้ว เดินอีกประมาณสองวันก็น่าจะหาพี่ใหญ่ฉีเจอแล้ว "

ฉีเฮ่าหรานกลอกตาทีหนึ่ง " แต่เราไม่มีเงินแม้แต่สลึงเดียว จะไปหาพี่ใหญ่ฉีได้อย่างไร นอกจากนี้เด็กคนนั้นเป็นคนดี"

ฟ่านจื่อจินกระโดดขึ้น " เจ้ารู้ได้อย่างไร"

" ข้ารู้ก็แล้วกัน ข้าบอกว่านางเป็นคนดีนางก็เป็นคนดีสิ ที่พวกเราถูกหลอกก็เพราะเชื่อคำพูดของเจ้าไม่ใช่เหรอ ถ้าเชื่อคำพูดของข้าก็คงไม่ถูกหลอกหรอก "

“ ไม่ใช่เพราะเจ้าเอาแต่พูดเหรอ ใครถามอะไรก็ตอบออกไปหมดอย่างไม่ปิดบัง จากคนที่ไม่มีเจตนาร้ายก็คิดร้ายขึ้นมา ” ฟ่านจื่อจินพูดออกมาด้วยความไม่พอใจ

ฉีเฮ่าหรานยิ่งไม่พอใจไปใหญ่ “ ทั้งๆที่เจ้าดูคนผิด”

“ เพราะเจ้าไม่รู้จักระวังตัวต่างหาก … ”

เด็กหนุ่มทั้งสองทะเลาะกันขึ้นมาทันที ในตอนแรกฉีเฮ่าหรานนั้นยังเป็นฝ่ายเหนือกว่าอยู่ แต่เขาไม่ได้ถนัดด้านกันทะเลาะเอาซะเลย ใช้เวลาไม่นานเขาก็พ่ายแพ้ให้กับฟ่านจื่อจินไปด้วยความโกรธ เขาจึงฉีกขนมปังย่างที่อยู่ในมือออกมาชิ้นหนึ่งยัดเข้าไปที่ปากของฟ่านจื่อจิน

ฟ่านจื่อจินเบิกตากว้างจ้องมองไปที่เขาแล้วค่อยๆสงบอารมณ์ลง เมื่อเห็นว่าในมือของเขาเหลือแค่ขนมปังย่างชิ้นเล็ก ๆ เท่านั้น รู้สึกสงสารจึงดึงอีกครึ่งหนึ่งที่อยู่ในปากของตัวเองส่งไปให้เขา และพูดอย่างคลุมเครือ ” รีบๆกินเข้าไป พอกินเสร็จจะได้รีบออกเดินทาง”

ฉีเฮ่าหรานตะโกนออกมาว่า " ข้าร่างกายแข็งแรง ไม่ต้องกินก็ได้ เจ้าเก็บเอาไว้กินเองเถอะ "

ฟ่านจื่อจินจ้องมองเขาแล้วพูดด้วยความโกรธ " รับไป ข้ายังต้องการให้เจ้าปกป้องข้าอยู่ ถ้ามีพวกอันธพาลมาอีกสองสามคนยังต้องพึ่งพาแรงของเจ้าไปสู้กับพวกเขา"

ฉีเฮ่าหรานพูดอย่างอิ่มเอมใจ " ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าฝีมือของข้าดีแค่ไหน เรียนเก่งจะไปมีประโยชน์อะไร ตอนมีอันตรายก็ยังต้องให้ข้าปกป้องอีก ฮ่า ฮ่า ฮ่า … " หลังจากพูดจบก็หัวเราะขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจ

ฟ่านจื่อจินก็หัวเราะขึ้นอย่างเย็นชา " ต่อให้แขนขาทั้งสี่จะดีและแข็งแรงแค่ไหน หัวสมองซื่อบื้อก็ไม่มีประโยชน์เหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เพราะข้าฉลาดรอบคอบต่อให้เจ้าจะฝีมือดีและแข็งแรงแค่ไหน คนอื่นเขามีสี่ห้าสิบคนล้อมรอบ เจ้าไม่ถูกคนอื่นเขากระทืบจนเป็นแผ่นหมูก็บุญแล้ว”

มู่หยางหลิงที่แอบซ่อนตัวอยู่ในที่ลับแอบฟังเด็กหนุ่มสองคนกำลังทะเลาะกัน เห็นว่าพวกเขากำลังป้อนขนมปังย่างที่อยู่ในมือให้กันและกัน ทันใดนั้นเธอก็กระตุกมุมปากขึ้น ทำไมเธอถึงมีความรู้สึกเหมือนทั้งคู่ทั้งรักและทั้งเกลียดกัน

ขนมปังย่างชิ้นหนึ่งจะกินอิ่มได้อย่างไร

เธอเป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงอายุเก้าขวบ ยังต้องกินประมาณสามสี่ชิ้นถึงจะมีความรู้สึกอิ่มได้นิดหนึ่ง นับประสาอะไรกับเด็กหนุ่มสองคนนี้

หลังจากคิดไปคิดมา มู่หยางหลิงก็หันตัวจากไป ในไม่ช้าในมือของเธอก็มาพร้อมกับไก่ป่าตัวหนึ่งและกระต่ายตัวหนึ่ง บุรุษทั้งสองยังคงนั่งพักผ่อนอยู่ที่เดิม คิดว่าพวกเขาน่าจะแขนขาอ่อนแรงเลยไม่ได้ลุกขึ้น แต่เลิกทะเลาะกันแล้ว

ทันทีที่มู่หยางหลิงเดินใกล้เข้าไป ฉีเฮ่าหรานก็กระโดดขึ้นมาแล้วยืนอยู่ตรงหน้าของฟ่านจื่อจิน แล้วถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า " ใครกัน"

ฟ่านจื่อจินรีบหลบอยู่ด้านหลังของฉีเฮ่าหราน

มู่หยางหลิงโยนไก่ป่าและกระต่ายที่อยู่ในมือไปตรงหน้าพวกเขาแล้วพูดว่า " สำหรับพวกเจ้า ถอนขนไก่แล้วจัดการกินซะ ส่วนกระต่ายนั้นเอาเข้าหมู่บ้านไป " มู่หยางหลิงครุ่นคิดสักพักแล้วพูดว่า " ถ้าระหว่างทางพวกเจ้าผ่านอำเภอหมิงสุ่ยล่ะก็ ก็เอาไปขายที่อำเภอ เพราะที่อำเภอจะได้ราคาดีกว่าที่หมู่บ้าน"

เมื่อฉีเฮ่าหรานเห็นว่าคนที่ปรากฏตัวเป็นมู่หยางหลิง ก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่กว้าง เงยหน้าไปทางฟ่านจื่อจินอย่างภาคภูมิใจ บนหน้าผากก็ขาดแค่อักษรที่ว่า " เจ้าเห็นไหมล่ะ ข้าบอกแล้วว่านางเป็นคนดี " ประโยคนี้เท่านั้น

ฟ่านจื่อจินกระตุกมุมปากเล็กน้อยต่อว่าอย่างเงียบๆว่าไอ้ซื่อบื้อเอ๋ย แล้วลุกขึ้นยืนทำการคำนับเพื่อขอบคุณพร้อมกับสีหน้าที่ซึ้งใจอย่างมาก " ต้องขอบคุณแม่นางอย่างมาก ไม่ว่าอย่างไรก็ตามรบกวนแม่นางช่วยบอกที่อยู่ให้พวกข้าทราบหน่อยเถอะ ในภายภาคหน้าใว้พวกข้ามีโอกาสจะได้กลับมาตอบแทนแม่นางบ้าง”

เมื่อเห็นท่าทางที่จริงจังและมุ่งมั่นของฟ่านจื่อจิน มู่หยางหลิงต้องยอมรับว่า อีกฝ่ายนั้นไม่น่ารักเหมือนบุรุษอีกคน ช่างบ้าจริงๆเลย เธอดูเหมือนคนไม่ดีขนาดนั้นเชียวเหรอ

เมื่อมู่หยางหลิงเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่ยอมเลิกละความพยายาม แล้วพูดอย่างตัดความรำคาญว่า " บ้านของข้าหาง่ายมาก อยู่ในหมู่บ้านที่ใต้ภูเขาลูกนั้น มีสกุลว่ามู่ ทั้งหมู่บ้านมีเพียงบ้านข้าหลังเดียวที่ใช้สกุลว่ามู่ พวกเจ้าสามารถไปสอบถามดูก็จะรู้ว่าบ้านของข้าอยู่ที่ไหน " หลังจากพูดจบ ก็หันหลังจากไป

คราวนี้เธอเดินจากไปจริงๆ มู่หยางหลิงอยากจะเข้าป่าไปเพื่อดูกับดักที่เธอขุดไว้เมื่อคืน ท่านแม่ไม่ชอบกินเนื้อไก่ป่า เห็นบอกว่าเหนียวไปหน่อย ใช่อยู่อาหารสัตว์ป่าพวกนี้ไขมันน้อยและเนื้อก็ไม่นุ่ม ดังนั้นที่บ้านยกเว้นว่าเก็บไว้ให้เธอกับท่านพ่อใช้ทำเป็นเครื่องเซ่นไหว้เท่านั้น ส่วนที่เหลือก็จะขายออกไปให้คนอื่นหมดเลย

สำหรับเธอแล้วแค่ไก่ป่าตัวหนึ่งกับกระต่ายตัวหนึ่งไม่ใช่การล่าที่ยุ่งยากอะไรเลย แต่มันก็สามารถแลกกับข้าวสารสองชั่งแล้ว เพียงพอสำหรับให้ท่านแม่กับน้องชายของเธอกินได้ประมาณสามวันแล้ว …

มู่หยางหลิงส่ายหัวไปมาเพื่อขับไล่ความคิดเหล่านี้ออกไปจากสมอง แล้วแอบพูดในใจว่า ไม่ว่ายังไงตัวเองนั้นเคยผ่านการเป็นทหารมาก่อน ไม่ควรไปคิดเล็กคิดน้อยเช่นนี้เลย อีกฝ่ายเป็นแค่เด็กเท่านั้น สามารถช่วยได้ก็ช่วยไป

ระหว่างทางที่เดินไปเอวของมู่หยางหลิงเต็มไปด้วยกระต่ายและไก่ป่า ไม่นานถึงได้เห็นกับดักที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันสุดท้าย เมื่อได้ยินเสียงครวญคราง "อู๊ดๆ" ออกมาหลายต่อหลายครั้ง

มู่หยางหลิงวิ่งเข้าไปเร็วอย่างกับจรวด หมูป่าตัวอ้วนตัวหนึ่งตกลงไปอยู่ในกับดัก กำลังส่งเสียงออกมาและทำท่าจะปีนขึ้นมาจากกับดัก คาดว่าน่าจะเป็นเพราะขาหลังของมันได้รับบาดเลยไม่มีแรง บวกกับกับดักขนาดใหญ่ทำให้มันปีนขึ้นมาไม่ได้

มู่หยางหลิงมองขึ้นไปที่ท้องฟ้าแล้วหัวเราะออกมาเสียงดัง “ อย่างที่ว่าฟ้ามีตาเสมอ ไม่ยอมปล่อยให้ข้าสิ้นหวังอย่างแน่นอน ทีนี่เงินจ่ายค่าภาษีก็มีแล้ว ”

มู่หยางหลิงจ้องมองหมูป่าตัวอ้วนด้วยแววตาที่ภูมิใจมาก ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เธอยังไม่อยากฆ่ามันตายตอนนี้ แต่ถ้าลงไปแบกตัวเป็นๆเช่นนี้เธอก็ไม่สามารถเอามันออกมาได้

มู่หยางหลิงนั่งยองๆบนขอบหลุมเฝ้ามองหมูป่าที่กำลังตื่นตระหนกและกำลังพยายามจะปีนออกมา ไม่เพียงแต่จะพังกับดักไม่สำเร็จ แต่กลับทำให้ตัวมันได้รับแผลเต็มไปหมด

เธอเลื่อนสายตาไปที่แขนขาของมัน พลางคิดว่าถ้าแขนขาของมันหัก เธอก็จะสามารถมัดมันขึ้นมาได้โดยไม่ใช่ปัญหาใดๆ

มู่หยางหลิงทิ้งเครื่องมือล่าสัตว์ที่อยู่บนตัวลงไป แล้วบีบหมัดแน่นพร้อมกับยิ้มออกมา “ พี่เอยพี่หมู พี่หมูอย่าโทษว่าข้าเป็นคนโหดร้ายเลยนะ โทษเจ้าที่มาไม่ถูกกาลเทศะก็แล้วกัน ”

ขณะที่พูดก็ล้อม ไปด้านหลังของหมูป่า แล้วกระโดดขึ้นไปขี่หลังหมูป่าทันที แล้วเธอก็ใช้หมัดมือต่อยไปที่หัวของหมูป่าอย่างรวดเร็ว ตอนต่อยนั้นเธอยังคงคำนึงถึงแรงหมัด เพื่อพยายามไม่ทำให้หมูป่าต้องตาย

หมูป่าร้องออกมา "อู๊ดๆ" แล้วคุกเข่าลงไปในหลุม มู่หยางหลิงเพียงแค่ต้องการต่อยให้มันหมดแรงจนขยับไม่ได้ ใช้เวลาในช่วงที่มันยังมึนๆอยู่ยังไม่ฟื้นตัว รีบคว้ากีบเท้าของมันด้วยมือข้างเดียวดึงขาของมันแล้วก็มีเสียง “ ก็อก ” ขาหน้าข้างหนึ่งของมันก็หักแล้ว

หมูป่ายังคงกรีดร้องไม่หยุด มู่หยางหลิงรีบออกมืออย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นานขาทั้งสี่ของมันก็หักไปเรียบร้อยแล้ว หมูทั้งตัวได้แต่ทรุดลงอยู่ในหลุม

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด