อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 79 โจมตีศัตรู

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 79 โจมตีศัตรู at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ม้า 10 ตัววิ่งมาเป็นแถวหน้ากระดาน 3 แถว โดยแถวแรกเป็นม้า 3 ตัว แถวกลาง 4 ตัว และแถวหลังอีก 3 ตัวปิดท้าย มู่ฉือเล็งพวกมันตาไม่กระพริบ และเห็นได้ชัดว่าทหารม้าแถวแรกก็มองเห็นชาวบ้านกลุ่มเป้าหมายของพวกมันแล้ว พวกมันจึงเร่งความเร็วม้า พร้อมกับชักมีดดาบขึ้นมา พอพวกมันเริ่มเข้ามาใกล้มู่ฉือ โดยมีระยะห่างแค่ไม่ถึง 20 ก้าวเดิน หลิวหย่งกับชายอีกคนจึงดึงเชือกขึ้นตามสัญญาณของมู่ฉือทันที

ม้า 3 ตัวหน้าได้ยินเสียงสั่งหยุดของนายมัน แต่นั่นก็สายเกินกว่าที่จะหยุดฝีเท้าที่เร็วปานสายฟ้าได้ ในที่สุด ม้าแถวหน้าก็สะดุดเข้ากับเชือกที่หลิวหย่งดึงขึ้น จนชายชาวหูบนหลังม้า 3 ตัวนั้นเสียการทรงตัวและตกลงมาจากหลังม้า ส่วนม้าแถวหลังก็ชุลมุนกันจนคุมไม่อยู่

เพราะหลังจากที่ม้าแถวหน้าสะดุดเชือกล้มไปแล้ว ม้าแถวกลางก็เหยียบเข้ากับหลุมกับดักเล็ก ๆ ที่อยู่รอบเชือก ทำให้ม้าแถวหลังเสียจังหวะ 2 เด้ง จนทำให้ชายชาวหูที่อยู่บนหลังม้าอีก 4 คนนั้นล้มลงมาจนได้……

มู่ฉืออาศัยจังหวะที่ม้าแถวสุดท้ายยังชุลมุนอยู่กับหลุมกับดัก วิ่งขึ้นมาตีหัวชายชาวหูคนนึงที่อยู่ในแถวแรกจนตาย จากนั้นมู่ฉือก็เห็นชายชาวหูอีกคนหันไปหยิบดาบขึ้นมา เขาจึงฉวยทหารม้าอีกคนของแถวแรกเข้ามากันไว้ จนชายถือดาบคนนั้นฟันคอเพื่อนร่วมทางของตนจนขาดวิ่น จากนั้นมู่ฉือก็หยิบดาบของชายที่ถูกฟันคอ ขึ้นมาตัดหัวชายชาวหูคนสุดท้ายที่อยู่ตรงหน้าเขาทันทีตามลำดับ

ส่วนชายชาวหูแถวกลางที่ล้มลงไปนอนกับพื้น พอพวกมันเห็นเหตุการณ์เบื้องหน้า มันก็พากันควานหาดาบเตรียมจะต่อสู้ แต่ยังไม่ทันจะลุกขึ้นยืนได้ พวกมันก็ต้องถูกมู่ฉือฟันคอขาดไปแล้ว 2 คนพร้อมกันในคราเดียว

ชายชาวหูแถวหลังสุดก็ต้องลงจากหลังม้าด้วยความที่ควบคุมม้าไม่อยู่แล้วจริง ๆ พวกมันวิ่งเข้ามาพยุงเพื่อนอีก 2 คนที่เหลือรอดอยู่เบื้องหน้า แล้วพากันล้อมมู่ฉือไว้

มู่ฉือยืนอยู่คนเดียวท่ามกลางวงล้อมของพวกมัน 5 คน เขาจับดาบในมือแน่นและไม่กล้าประมาทกับเหตุการณ์ตรงหน้า

ชายชาวหูคนนึงส่งเสียงแปลก ๆ เป็นสัญญาณเริ่มศึก จากนั้นมันก็พุ่งเข้ามาจะฟันมู่ฉือ มู่ฉือยกดาบขึ้นขวางลำ แล้วถีบเข้าที่ช่องท้องจนตัวของมันกระเด็นไปอยู่ข้างทาง จากนั้นมู่ฉือก็หันมาขวางลำดาบของชายชาวหูอีกคนที่อยู่ด้านหลังต่อ……

หลิวหย่งโผล่หัวออกมาจากพุ่มไม้ แล้วเขาก็ต้องตะลึงเมื่อเห็นว่ามู่ฉือถูกพวกมันล้อมไว้ทุกทาง เขาจึงค่อย ๆ คลานออกมาหยิบดาบที่กระเด็นอยู่แถวนั้น แต่เขาก็เหลือบไปเห็นชายชาวหูที่กระเด็นตกลงไปข้างถนนอีกฝั่งนั้น กำลังลุกขึ้นมาจะพุ่งเข้าหามู่ฉือ หลิวหย่งจึงวิ่งเข้าไป และแทงเข้าที่ด้านหลังของชายคนนั้นทันที……

แม้ว่าตอนนี้มือของหลิวหย่งจะสั่นเทา แต่แววตาที่เขาจ้องมองไปยังศัตรูนั้นดุดันมาก เมื่อหลิวหย่งเห็นว่าคู่ต่อสู้ตรงหน้ายังไม่ตาย เขาก็รีบชักดาบออกมาจากตัวมันแล้วแทงซ้ำอีกรอบจนมันแน่นิ่งไป

ชายหนุ่มที่ซุ่มอยู่ในพุ่มไม้สองข้างทางก็ได้แต่ตกตะลึงกับการกระทำของหลิวหย่ง “หลิวหย่งนี่โหดเหมือนกันนะเนี่ย”

มีเพียงหลิวจื้อที่จ้องมองไปยังมู่ฉือด้วยแววตาชื่นชมอย่างไม่ละสายตา ก่อนจะพูดขึ้นว่า “พวกเราก็เข้าไปช่วยลุงมู่กันเถอะ ลุงมู่ถูกรุมล้อมอยู่ท่ามกลางพวกมันตั้งหลายคน ถึงแม้ว่าพวกเราหลายคนจะถือดาบเข้าไปฆ่าพวกมันไม่ได้ แต่เราเข้าไปช่วยอีกแรงก็ยังดีนะ”

สิ้นเสียงของหลิวจื้อ หลิวหย่งก็ถือดาบพุ่งเข้าไปฟันพวกมันไม่ยั้ง ทั้ง ๆ ที่เขาไม่เคยฝึกการใช้ดาบมาก่อน และถึงแม้ว่าหลิวหย่งจะหลับหูหลับตาฟันไปไม่โดนใครเลยก็ตาม แต่นั่นก็สามารถเบนความสนใจชายชาวหูพวกนั้นออกจากมู่ฉือได้บ้าง

ทีแรกชายชาวหูคนนึงก็หันมาสนใจที่หลิวหย่ง แต่พอมู่ฉือเห็นเข้า เขาก็หันดาบไปที่มัน ทำให้ชายคนนั้นหมดโอกาสที่จะฆ่าทั้งหลิวหย่งและมู่ฉือไปเลย

หลิวจื้อเห็นอย่างนั้นก็ไม่ลังเลที่จะเข้าไปช่วย เขาลุกขึ้นหยิบดาบที่ตกอยู่ใกล้ ๆ ขึ้นมา แล้ววิ่งเข้าไปอยู่เคียงข้างหลิวหย่ง จากนั้นทั้งหลิวจื้อและหลิวหย่งก็ถือดาบกดดันชายชาวหูคนนั้น

จนมันหมดความอดทนและหันมาหวังจะฆ่าหลิวหย่งกับหลิวจื้อให้ได้ แต่ใครจะไปคิดละ ว่าทันทีที่มู่ฉือเห็นมันหันหลังไป เขาก็ถีบมันจนล้มลง แล้วหลิวหย่งก็ปาดคอมันด้วยดาบทันที ทั้ง ๆ ที่มันยังไม่ทันจะได้เงยหน้าขึ้นมองพวกเขาก่อนด้วยซ้ำ……

ชายหนุ่มอีกหลายคนที่ยังซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้ก็กรูกันออกมา บ้างก็หยิบดาบที่กระเด็นอยู่บนพื้นขึ้นมาถือ บ้างก็ควานหาท่อนไม้แล้วตรงเข้าไปช่วยมู่ฉือ

เมื่อชาวหูพวกนั้นตายเรียบ ที่เหลือก็วิ่งหนีหายเข้าป่าไปหมด

มู่ฉือหัวเสียเล็กน้อยด้วยความที่ตนลืมเก็บม้าดี ๆ ไว้ซักตัว ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงได้พาหนะที่จะช่วยร่นเวลาในการนำเรื่องไปแจ้งให้กับทางการไปแล้ว

“เจ้าฉือ” หม่าหลิวซื่อเดินจ้ำอ้าวออกมาจากป่าข้างทาง “เป็นอย่างไรบ้าง? ซู่หว่านเหนียงนางเป็นห่วงเจ้ามากน่ะ”

มู่ฉือเช็ดเลือดที่ยังติดอยู่บนหน้าออกก่อนจะตอบกลับไปว่า “ข้าไม่เป็นไรแล้วล่ะป้า ตรงนี้พวกข้าก็ช่วยกันจัดการเรียบร้อยแล้ว ให้ทุกคนรีบเดินทางต่อเถอะ” พูดจบเขาก็รีบกลับไปหาลูกเมียทันที

ซู่หว่านเหนียงใช้ผ้าฝ้ายโพกหัวให้กับเสี่ยวปั๋วเหวิน ซิ่วหงและซิ่วหลาน จนพวกเด็ก ๆ เหลือแค่ตากับจมูกไว้หายใจ เมื่อนางเห็นมู่ฉือเดินกลับเข้ามา นางก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นยืน และมองไปที่ด้านหลังของมู่ฉือ แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อไม่เห็นว่าลูกสาวคนโตกลับมากับพ่อ “อาหลิงยังไม่กลับมาอีกหรือ?”

มู่ฉือส่ายหน้า “เจ้าลูกคนนี้น่าจะเดินนำไปไกลแล้วล่ะ แต่เจ้าวางใจเถอะนะ นางเอาตัวรอดได้เก่งกว่าข้าเสียอีก นางต้องไม่เป็นอะไรแน่”

แต่มู่ฉือผู้น่าสงสารกลับไม่รู้เลยว่าตอนนี้ลูกสาวคนโตของเขากำลังนำคนไปซุ่มโจมตีชายชาวหูที่บุกเข้าไปในหมู่บ้านหลินซาน

สิ้นเสียงของมู่ฉือ หลิวหย่งก็เดินตามเข้ามาพร้อมกับดาบเปื้อนเลือดในมือ แต่เขาก็หยุดยืนอยู่แค่ปากทางและไม่ได้เข้ามาใกล้ซู่หว่านเหนียงกับเด็ก ๆ มานัก

ซู่หว่านเหนียงเงยหน้ามองไปที่หลิวหย่ง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อาหย่ง เจ้ามีอะไรหรือ?”

หลิวหย่งเงยหน้ามองซู่หว่านเหนียง แล้วก้มหน้าลงตอบกลับเสียงเบา “ลุงมู่ขอรับ ผู้ใหญ่บ้านเรียกพบหัวหน้าครอบครัวของทุกบ้านขอรับ”

มู่ฉือขมวดคิ้วแน่น และสงสัยว่าการเจรจาก่อนหน้านี้ก็ชัดเจนแล้ว พวกเขายังจะมีปัญหาอันใดอีก?

เพราะทุกที่ที่มีแต่อันตรายก็ล้วนแล้วแต่มีคนตระกูลมู่คอยดูแลอยู่ พวกเขายังต้องการอะไรกันอีก?

แต่มู่ฉือก็ยังไม่กล้าถามอะไรมากไปต่อหน้าซู่หว่านเหนียง เพราะเกรงว่านางจะกังวลใจไปอีก

มู่ฉือจึงลุกขึ้นยืนพลางจับหัวไหล่ซู่หว่านเหนียง “ข้าไปดูพวกชาวบ้านก่อนนะ เจ้าพักตรงนี้ก่อน” แล้วมู่ฉือก็หันไปเห็นป้าใหญ่และซิ่วหงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ซู่หว่านเหนียงไม่ห่าง เขาจึงเดินไปที่รถลากอีกคันแล้วยกของออก เพื่อให้เหลือที่นั่งสำหรับสองคน จากนั้นเขาก็หยิบเสื้อกันหนาวตัวใหญ่ 2 ตัวให้พวกนาง “ท่านป้า ท่านกับซิ่วหงนั่งพักกันก่อนนะ เดี๋ยวพอข้ากลับมา เราค่อยเดินทางกันต่อ ระวังภัยรอบตัวด้วย ถ้าหากว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นให้ท่านตะโกนเรียกข้าดัง ๆ เลย ข้าอยู่แถวนี้นี่แหละ”

หม่าหลิวซื่อพยักหน้าตอบรับ จากนั้นนางก็จูงมือหลานสาวคนโตไปนั่งบนรถลาก

พอมู่ฉือเดินลงไปด้านหลัง ก็พบว่าหลิวเหอได้รวมตัวหัวหน้าครอบครัวจากแต่ละครอบครัวมาไว้ด้วยกันเรียบร้อยแล้ว เมื่อหลิวเหอหันมาเห็นหน้ามู่ฉือ สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความละอายใจ

ตระกูลมู่มีเพียงมู่ฉือเท่านั้นที่เป็นชายชาตรี และยังตรงตามข้อกำหนดของมู่หยางหลิงด้วย ว่าทุกบ้านจะต้องส่งตัวแทนมา ทั้งที่ความจริงแล้วตระกูลมู่ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องมาร่วมรวมตัวกับพวกเขาตรงนี้อีก เพียงแต่ว่าในบรรดาคนทั้งหมู่บ้านหลินซาน ก็เห็นจะมีเพียงแค่มู่ฉือกับลูกสาวคนโตของเขาเท่านั้น ที่มีวิชาป้องกันตัวและเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านทั้งหมู่บ้านได้ในตอนนี้

หลิวเหอถอนหายใจออกมาก่อนจะตัดสินใจบอกความจริงให้มู่ฉือได้รู้ “ตอนนี้อาหลิงนำพวกน้าชายของนางไปดักรอพวกชาวหูที่มันกำลังจะออกมาจากหมู่บ้านหลินซานแล้ว และนางก็ให้ข้ารวบรวมกำลังชายหนุ่มที่เหลือไว้ให้เรียบร้อย” หลิวเหอพักเบรกถอนหายใจ แล้วหันไปพูดกับชาวบ้านต่อ “ท่านทั้งหลาย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกชาวหูมาบุกหมู่บ้านหลินซานของเรา ฤดูใบไม้ร่วงเมื่อ 12 ปีก่อน มู่ฉือผู้นี้ก็พาพวกข้ากับคนในหมู่บ้านเข้าไปหลบภัยในหุบเขามาแล้ว ส่วนมู่เหยียนพ่อของเขาก็ได้นำคนไปซุ่มโจมตีพวกมันที่เหลือ หมู่บ้านของเราจึงยังเหลือรอดมาจนถึงทุกวันนี้นี่แหละ”

“แต่ภัยพิบัติในครั้งนี้มันหนักกว่ามาก และด้วยสภาพอากาศแบบนี้แล้วเนี่ย ไม่ต้องพูดถึงคนแก่กับเด็กเลยนะ ขนาดคนวัยหนุ่มสาว ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าจะอยู่รอดพ้นคืนนี้ไปได้หรือไม่ ดังนั้นทางเดียวที่เราจะรอดกันไปได้ก็คือหนีเข้าตัวเมืองไป แต่อาหลิงบอกข้าว่า ไม่ใช่แค่ในหมู่บ้านเท่านั้นที่มีพวกชาวหูอยู่ แต่ยังมีชายชาวหูอีกกลุ่มนึงที่ยังอยู่แถว ๆ นี้ โดยที่ยังไม่รู้แจ้งว่าพวกมันมีกันกี่คน ถ้าหากว่าเราไม่จัดสรรคนไปคอยรั้งพวกมันไว้ ก็เกรงว่าชาวบ้านอีกกว่า 300 ชีวิตนี้ ไม่น่าจะหนีรอดเข้าเมืองกันไปได้……”

แล้วหัวหน้าครอบครัวแต่ละคนก็ก้มหน้าลงทันทีที่ได้ยินประโยคสุดท้าย

หลิวเหอจึงพูดต่อว่า “อาหลิงพูดกับข้าไว้แล้ว ว่าสำหรับครอบครัวมู่ นางจะอาสารับหน้าที่นี้เอง ส่วนพวกเจ้าก็ไปคิดดูดี ๆ ว่าใครจะอาสาเป็นตัวแทนครอบครัวมาอยู่แนวหน้านี้ และขอย้ำว่าทุกบ้านจะต้องส่งตัวแทนมาบ้านละ 1 คน ยกเว้นเด็กและครอบครัวแม่ม่าย ถ้าหากว่ามู่หยางหลิงกลับมาที่นี่แล้วพวกเจ้ายังไม่ยอมให้ความร่วมมือ นางจะพาครอบครัวของนางออกเดินทางต่อทันที โดยนับจากนี้ก็ทางใครทางมัน”

การที่จะต้องสละชีวิตคนคนเดียวเพื่อรักษาชีวิตของคนส่วนมากไว้ มันก็เป็นวิธีการที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้ว แต่สิ่งที่น่าหนักใจก็คือ เราจะต้องเลือกใครในครอบครัวให้ออกไปเสี่ยงชีวิตแทนเราล่ะ…

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 79 โจมตีศัตรู

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 79 โจมตีศัตรู at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ม้า 10 ตัววิ่งมาเป็นแถวหน้ากระดาน 3 แถว โดยแถวแรกเป็นม้า 3 ตัว แถวกลาง 4 ตัว และแถวหลังอีก 3 ตัวปิดท้าย มู่ฉือเล็งพวกมันตาไม่กระพริบ และเห็นได้ชัดว่าทหารม้าแถวแรกก็มองเห็นชาวบ้านกลุ่มเป้าหมายของพวกมันแล้ว พวกมันจึงเร่งความเร็วม้า พร้อมกับชักมีดดาบขึ้นมา พอพวกมันเริ่มเข้ามาใกล้มู่ฉือ โดยมีระยะห่างแค่ไม่ถึง 20 ก้าวเดิน หลิวหย่งกับชายอีกคนจึงดึงเชือกขึ้นตามสัญญาณของมู่ฉือทันที

ม้า 3 ตัวหน้าได้ยินเสียงสั่งหยุดของนายมัน แต่นั่นก็สายเกินกว่าที่จะหยุดฝีเท้าที่เร็วปานสายฟ้าได้ ในที่สุด ม้าแถวหน้าก็สะดุดเข้ากับเชือกที่หลิวหย่งดึงขึ้น จนชายชาวหูบนหลังม้า 3 ตัวนั้นเสียการทรงตัวและตกลงมาจากหลังม้า ส่วนม้าแถวหลังก็ชุลมุนกันจนคุมไม่อยู่

เพราะหลังจากที่ม้าแถวหน้าสะดุดเชือกล้มไปแล้ว ม้าแถวกลางก็เหยียบเข้ากับหลุมกับดักเล็ก ๆ ที่อยู่รอบเชือก ทำให้ม้าแถวหลังเสียจังหวะ 2 เด้ง จนทำให้ชายชาวหูที่อยู่บนหลังม้าอีก 4 คนนั้นล้มลงมาจนได้……

มู่ฉืออาศัยจังหวะที่ม้าแถวสุดท้ายยังชุลมุนอยู่กับหลุมกับดัก วิ่งขึ้นมาตีหัวชายชาวหูคนนึงที่อยู่ในแถวแรกจนตาย จากนั้นมู่ฉือก็เห็นชายชาวหูอีกคนหันไปหยิบดาบขึ้นมา เขาจึงฉวยทหารม้าอีกคนของแถวแรกเข้ามากันไว้ จนชายถือดาบคนนั้นฟันคอเพื่อนร่วมทางของตนจนขาดวิ่น จากนั้นมู่ฉือก็หยิบดาบของชายที่ถูกฟันคอ ขึ้นมาตัดหัวชายชาวหูคนสุดท้ายที่อยู่ตรงหน้าเขาทันทีตามลำดับ

ส่วนชายชาวหูแถวกลางที่ล้มลงไปนอนกับพื้น พอพวกมันเห็นเหตุการณ์เบื้องหน้า มันก็พากันควานหาดาบเตรียมจะต่อสู้ แต่ยังไม่ทันจะลุกขึ้นยืนได้ พวกมันก็ต้องถูกมู่ฉือฟันคอขาดไปแล้ว 2 คนพร้อมกันในคราเดียว

ชายชาวหูแถวหลังสุดก็ต้องลงจากหลังม้าด้วยความที่ควบคุมม้าไม่อยู่แล้วจริง ๆ พวกมันวิ่งเข้ามาพยุงเพื่อนอีก 2 คนที่เหลือรอดอยู่เบื้องหน้า แล้วพากันล้อมมู่ฉือไว้

มู่ฉือยืนอยู่คนเดียวท่ามกลางวงล้อมของพวกมัน 5 คน เขาจับดาบในมือแน่นและไม่กล้าประมาทกับเหตุการณ์ตรงหน้า

ชายชาวหูคนนึงส่งเสียงแปลก ๆ เป็นสัญญาณเริ่มศึก จากนั้นมันก็พุ่งเข้ามาจะฟันมู่ฉือ มู่ฉือยกดาบขึ้นขวางลำ แล้วถีบเข้าที่ช่องท้องจนตัวของมันกระเด็นไปอยู่ข้างทาง จากนั้นมู่ฉือก็หันมาขวางลำดาบของชายชาวหูอีกคนที่อยู่ด้านหลังต่อ……

หลิวหย่งโผล่หัวออกมาจากพุ่มไม้ แล้วเขาก็ต้องตะลึงเมื่อเห็นว่ามู่ฉือถูกพวกมันล้อมไว้ทุกทาง เขาจึงค่อย ๆ คลานออกมาหยิบดาบที่กระเด็นอยู่แถวนั้น แต่เขาก็เหลือบไปเห็นชายชาวหูที่กระเด็นตกลงไปข้างถนนอีกฝั่งนั้น กำลังลุกขึ้นมาจะพุ่งเข้าหามู่ฉือ หลิวหย่งจึงวิ่งเข้าไป และแทงเข้าที่ด้านหลังของชายคนนั้นทันที……

แม้ว่าตอนนี้มือของหลิวหย่งจะสั่นเทา แต่แววตาที่เขาจ้องมองไปยังศัตรูนั้นดุดันมาก เมื่อหลิวหย่งเห็นว่าคู่ต่อสู้ตรงหน้ายังไม่ตาย เขาก็รีบชักดาบออกมาจากตัวมันแล้วแทงซ้ำอีกรอบจนมันแน่นิ่งไป

ชายหนุ่มที่ซุ่มอยู่ในพุ่มไม้สองข้างทางก็ได้แต่ตกตะลึงกับการกระทำของหลิวหย่ง “หลิวหย่งนี่โหดเหมือนกันนะเนี่ย”

มีเพียงหลิวจื้อที่จ้องมองไปยังมู่ฉือด้วยแววตาชื่นชมอย่างไม่ละสายตา ก่อนจะพูดขึ้นว่า “พวกเราก็เข้าไปช่วยลุงมู่กันเถอะ ลุงมู่ถูกรุมล้อมอยู่ท่ามกลางพวกมันตั้งหลายคน ถึงแม้ว่าพวกเราหลายคนจะถือดาบเข้าไปฆ่าพวกมันไม่ได้ แต่เราเข้าไปช่วยอีกแรงก็ยังดีนะ”

สิ้นเสียงของหลิวจื้อ หลิวหย่งก็ถือดาบพุ่งเข้าไปฟันพวกมันไม่ยั้ง ทั้ง ๆ ที่เขาไม่เคยฝึกการใช้ดาบมาก่อน และถึงแม้ว่าหลิวหย่งจะหลับหูหลับตาฟันไปไม่โดนใครเลยก็ตาม แต่นั่นก็สามารถเบนความสนใจชายชาวหูพวกนั้นออกจากมู่ฉือได้บ้าง

ทีแรกชายชาวหูคนนึงก็หันมาสนใจที่หลิวหย่ง แต่พอมู่ฉือเห็นเข้า เขาก็หันดาบไปที่มัน ทำให้ชายคนนั้นหมดโอกาสที่จะฆ่าทั้งหลิวหย่งและมู่ฉือไปเลย

หลิวจื้อเห็นอย่างนั้นก็ไม่ลังเลที่จะเข้าไปช่วย เขาลุกขึ้นหยิบดาบที่ตกอยู่ใกล้ ๆ ขึ้นมา แล้ววิ่งเข้าไปอยู่เคียงข้างหลิวหย่ง จากนั้นทั้งหลิวจื้อและหลิวหย่งก็ถือดาบกดดันชายชาวหูคนนั้น

จนมันหมดความอดทนและหันมาหวังจะฆ่าหลิวหย่งกับหลิวจื้อให้ได้ แต่ใครจะไปคิดละ ว่าทันทีที่มู่ฉือเห็นมันหันหลังไป เขาก็ถีบมันจนล้มลง แล้วหลิวหย่งก็ปาดคอมันด้วยดาบทันที ทั้ง ๆ ที่มันยังไม่ทันจะได้เงยหน้าขึ้นมองพวกเขาก่อนด้วยซ้ำ……

ชายหนุ่มอีกหลายคนที่ยังซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้ก็กรูกันออกมา บ้างก็หยิบดาบที่กระเด็นอยู่บนพื้นขึ้นมาถือ บ้างก็ควานหาท่อนไม้แล้วตรงเข้าไปช่วยมู่ฉือ

เมื่อชาวหูพวกนั้นตายเรียบ ที่เหลือก็วิ่งหนีหายเข้าป่าไปหมด

มู่ฉือหัวเสียเล็กน้อยด้วยความที่ตนลืมเก็บม้าดี ๆ ไว้ซักตัว ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงได้พาหนะที่จะช่วยร่นเวลาในการนำเรื่องไปแจ้งให้กับทางการไปแล้ว

“เจ้าฉือ” หม่าหลิวซื่อเดินจ้ำอ้าวออกมาจากป่าข้างทาง “เป็นอย่างไรบ้าง? ซู่หว่านเหนียงนางเป็นห่วงเจ้ามากน่ะ”

มู่ฉือเช็ดเลือดที่ยังติดอยู่บนหน้าออกก่อนจะตอบกลับไปว่า “ข้าไม่เป็นไรแล้วล่ะป้า ตรงนี้พวกข้าก็ช่วยกันจัดการเรียบร้อยแล้ว ให้ทุกคนรีบเดินทางต่อเถอะ” พูดจบเขาก็รีบกลับไปหาลูกเมียทันที

ซู่หว่านเหนียงใช้ผ้าฝ้ายโพกหัวให้กับเสี่ยวปั๋วเหวิน ซิ่วหงและซิ่วหลาน จนพวกเด็ก ๆ เหลือแค่ตากับจมูกไว้หายใจ เมื่อนางเห็นมู่ฉือเดินกลับเข้ามา นางก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นยืน และมองไปที่ด้านหลังของมู่ฉือ แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อไม่เห็นว่าลูกสาวคนโตกลับมากับพ่อ “อาหลิงยังไม่กลับมาอีกหรือ?”

มู่ฉือส่ายหน้า “เจ้าลูกคนนี้น่าจะเดินนำไปไกลแล้วล่ะ แต่เจ้าวางใจเถอะนะ นางเอาตัวรอดได้เก่งกว่าข้าเสียอีก นางต้องไม่เป็นอะไรแน่”

แต่มู่ฉือผู้น่าสงสารกลับไม่รู้เลยว่าตอนนี้ลูกสาวคนโตของเขากำลังนำคนไปซุ่มโจมตีชายชาวหูที่บุกเข้าไปในหมู่บ้านหลินซาน

สิ้นเสียงของมู่ฉือ หลิวหย่งก็เดินตามเข้ามาพร้อมกับดาบเปื้อนเลือดในมือ แต่เขาก็หยุดยืนอยู่แค่ปากทางและไม่ได้เข้ามาใกล้ซู่หว่านเหนียงกับเด็ก ๆ มานัก

ซู่หว่านเหนียงเงยหน้ามองไปที่หลิวหย่ง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อาหย่ง เจ้ามีอะไรหรือ?”

หลิวหย่งเงยหน้ามองซู่หว่านเหนียง แล้วก้มหน้าลงตอบกลับเสียงเบา “ลุงมู่ขอรับ ผู้ใหญ่บ้านเรียกพบหัวหน้าครอบครัวของทุกบ้านขอรับ”

มู่ฉือขมวดคิ้วแน่น และสงสัยว่าการเจรจาก่อนหน้านี้ก็ชัดเจนแล้ว พวกเขายังจะมีปัญหาอันใดอีก?

เพราะทุกที่ที่มีแต่อันตรายก็ล้วนแล้วแต่มีคนตระกูลมู่คอยดูแลอยู่ พวกเขายังต้องการอะไรกันอีก?

แต่มู่ฉือก็ยังไม่กล้าถามอะไรมากไปต่อหน้าซู่หว่านเหนียง เพราะเกรงว่านางจะกังวลใจไปอีก

มู่ฉือจึงลุกขึ้นยืนพลางจับหัวไหล่ซู่หว่านเหนียง “ข้าไปดูพวกชาวบ้านก่อนนะ เจ้าพักตรงนี้ก่อน” แล้วมู่ฉือก็หันไปเห็นป้าใหญ่และซิ่วหงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ซู่หว่านเหนียงไม่ห่าง เขาจึงเดินไปที่รถลากอีกคันแล้วยกของออก เพื่อให้เหลือที่นั่งสำหรับสองคน จากนั้นเขาก็หยิบเสื้อกันหนาวตัวใหญ่ 2 ตัวให้พวกนาง “ท่านป้า ท่านกับซิ่วหงนั่งพักกันก่อนนะ เดี๋ยวพอข้ากลับมา เราค่อยเดินทางกันต่อ ระวังภัยรอบตัวด้วย ถ้าหากว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นให้ท่านตะโกนเรียกข้าดัง ๆ เลย ข้าอยู่แถวนี้นี่แหละ”

หม่าหลิวซื่อพยักหน้าตอบรับ จากนั้นนางก็จูงมือหลานสาวคนโตไปนั่งบนรถลาก

พอมู่ฉือเดินลงไปด้านหลัง ก็พบว่าหลิวเหอได้รวมตัวหัวหน้าครอบครัวจากแต่ละครอบครัวมาไว้ด้วยกันเรียบร้อยแล้ว เมื่อหลิวเหอหันมาเห็นหน้ามู่ฉือ สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความละอายใจ

ตระกูลมู่มีเพียงมู่ฉือเท่านั้นที่เป็นชายชาตรี และยังตรงตามข้อกำหนดของมู่หยางหลิงด้วย ว่าทุกบ้านจะต้องส่งตัวแทนมา ทั้งที่ความจริงแล้วตระกูลมู่ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องมาร่วมรวมตัวกับพวกเขาตรงนี้อีก เพียงแต่ว่าในบรรดาคนทั้งหมู่บ้านหลินซาน ก็เห็นจะมีเพียงแค่มู่ฉือกับลูกสาวคนโตของเขาเท่านั้น ที่มีวิชาป้องกันตัวและเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านทั้งหมู่บ้านได้ในตอนนี้

หลิวเหอถอนหายใจออกมาก่อนจะตัดสินใจบอกความจริงให้มู่ฉือได้รู้ “ตอนนี้อาหลิงนำพวกน้าชายของนางไปดักรอพวกชาวหูที่มันกำลังจะออกมาจากหมู่บ้านหลินซานแล้ว และนางก็ให้ข้ารวบรวมกำลังชายหนุ่มที่เหลือไว้ให้เรียบร้อย” หลิวเหอพักเบรกถอนหายใจ แล้วหันไปพูดกับชาวบ้านต่อ “ท่านทั้งหลาย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกชาวหูมาบุกหมู่บ้านหลินซานของเรา ฤดูใบไม้ร่วงเมื่อ 12 ปีก่อน มู่ฉือผู้นี้ก็พาพวกข้ากับคนในหมู่บ้านเข้าไปหลบภัยในหุบเขามาแล้ว ส่วนมู่เหยียนพ่อของเขาก็ได้นำคนไปซุ่มโจมตีพวกมันที่เหลือ หมู่บ้านของเราจึงยังเหลือรอดมาจนถึงทุกวันนี้นี่แหละ”

“แต่ภัยพิบัติในครั้งนี้มันหนักกว่ามาก และด้วยสภาพอากาศแบบนี้แล้วเนี่ย ไม่ต้องพูดถึงคนแก่กับเด็กเลยนะ ขนาดคนวัยหนุ่มสาว ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าจะอยู่รอดพ้นคืนนี้ไปได้หรือไม่ ดังนั้นทางเดียวที่เราจะรอดกันไปได้ก็คือหนีเข้าตัวเมืองไป แต่อาหลิงบอกข้าว่า ไม่ใช่แค่ในหมู่บ้านเท่านั้นที่มีพวกชาวหูอยู่ แต่ยังมีชายชาวหูอีกกลุ่มนึงที่ยังอยู่แถว ๆ นี้ โดยที่ยังไม่รู้แจ้งว่าพวกมันมีกันกี่คน ถ้าหากว่าเราไม่จัดสรรคนไปคอยรั้งพวกมันไว้ ก็เกรงว่าชาวบ้านอีกกว่า 300 ชีวิตนี้ ไม่น่าจะหนีรอดเข้าเมืองกันไปได้……”

แล้วหัวหน้าครอบครัวแต่ละคนก็ก้มหน้าลงทันทีที่ได้ยินประโยคสุดท้าย

หลิวเหอจึงพูดต่อว่า “อาหลิงพูดกับข้าไว้แล้ว ว่าสำหรับครอบครัวมู่ นางจะอาสารับหน้าที่นี้เอง ส่วนพวกเจ้าก็ไปคิดดูดี ๆ ว่าใครจะอาสาเป็นตัวแทนครอบครัวมาอยู่แนวหน้านี้ และขอย้ำว่าทุกบ้านจะต้องส่งตัวแทนมาบ้านละ 1 คน ยกเว้นเด็กและครอบครัวแม่ม่าย ถ้าหากว่ามู่หยางหลิงกลับมาที่นี่แล้วพวกเจ้ายังไม่ยอมให้ความร่วมมือ นางจะพาครอบครัวของนางออกเดินทางต่อทันที โดยนับจากนี้ก็ทางใครทางมัน”

การที่จะต้องสละชีวิตคนคนเดียวเพื่อรักษาชีวิตของคนส่วนมากไว้ มันก็เป็นวิธีการที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้ว แต่สิ่งที่น่าหนักใจก็คือ เราจะต้องเลือกใครในครอบครัวให้ออกไปเสี่ยงชีวิตแทนเราล่ะ…

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+