อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 63 ตอบแทน

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 63 ตอบแทน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อทุกคนกลับถึงหมู่บ้าน หลิวเหอผู้รอบรู้ก็หัวเราะร่าดีใจที่ได้เห็นโสมต้นนั้น “เจ้าโสมต้นนี้เนี่ย อย่างน้อยก็น่าจะซัก 100 ปีได้แล้วล่ะ พวกเจ้าเอาไปขายในเมืองเลยสิ ถ้าให้ราคาต่ำกว่า 60 ตำลึงเงินล่ะก็ อย่าไปขายให้เชียว”

สิ้นสุดคำพูดของหลิวเหอ ชาวบ้านทั้งหลายก็พากันดีใจยกใหญ่

มันช่างคุ้มค่าอะไรขนาดนี้ ถ้าขายออกไปได้ล่ะก็ ครอบครัวนึงก็จะได้ตั้ง 900 กว่าอีแปะเลยทีเดียว แต่รู้ไหม ว่าชาวบ้านชนบทพวกนี้น่ะ ปลูกพืชผลกินกันเองทั้งหมู่บ้าน แม้แต่เสื้อผ้าอาภรยังต้องใส่ตกทอดกันมา พอขาดก็เย็บปะเอาก่อน และบ่อยครั้งที่ชาวบ้านทุกคนจะต้องจ่ายภาษีให้กับทางการ เงินสดก็แทบจะไม่มีเหลือให้ไปซื้อขายสิ่งของอื่น ๆ เลย

ดังนั้นเงินจำนวน 900 กว่าอีแปะเนี่ย ถือว่าเป็นจำนวนเงินที่เยอะมากสำหรับพวกเขา

ชาวบ้านต่างพากันดีใจ ราวกับว่าเป็นวันฉลองขึ้นปีใหม่ยังไงอย่างงั้น มีเพียงครอบครัวหลิวเหอกับฟางจู้จื่อเท่านั้นที่ดูต่างไป

ครอบครัวหลิวเหอแค่รู้สึกเสียดายและเสียใจที่ส่วนแบ่งถูกกระจายไปยังทุกคนจนเหลือน้อย แต่ครอบครัวฟางจู้จื่อนี่สิ ทะเลาะกันหนักมาก

ฟางหลิวซื่อผลักหัวลูกชายแล้วต่อว่าไม่ยั้ง “ทำไมเจ้าถึงได้โง่ขนาดนี้? ตอนนั้นเจ้าควรจะขุดมันขึ้นมาเลย ถึงมันจะเสียหายไปบ้าง ก็น่าจะได้มาซัก 30-40 ตำลึงเงิน ดีกว่าโดนด่าแล้วได้เงินน้อยอย่างนี้”

ฟางจู้จื่อเองก็สุดจะทน “ก็ตอนนั้นเสือกับหมีมันกำลังสู้กันหนิท่านแม่ ถ้าข้าไม่หนีออกมา ท่านจะให้ข้าอยู่เป็นอาหารของพวกมันงั้นรึ? ทีนี้โสมก็ไม่ได้ แถมลูกชายแม่ก็ไม่น่าจะมีชีวิตรอดกลับมาแน่”

“แล้วอาหลิงไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วยเรอะ? เจ้าไม่ได้ให้นางพาไปหลบหรือยังไง?”

“ท่านแม่อย่าโลกสวยไปหน่อยเลย ตอนนั้นนางพูดแค่ว่าเป็นตายยังไงก็รับผิดชอบตัวเอง จากนั้นนางก็หันหลังวิ่งไปโดยไม่หันหลังกลับมาหาข้าอีก” ฟางจู้จื่อกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเจ็บแค้น “กับหลิวถิงพวกนั้นล่ะดีนัก แต่กับข้านี่ไม่เคยไว้หน้า ทั้งที่เป็นญาติของนางเหมือนกันแท้ ๆ ท่านแม่ สรุปแล้วท่านเป็นคนตระกูลหลิวจริงรึ? ท่านไม่ได้ถูกเก็บมาเลี้ยงใช่หรือไม่?”

“เก็บมาเลี้ยงก็บ้าแล้ว พูดอะไรไร้สาระ” ฟางหลิวซื่อสุดจะทน กัดฟันเอ่ยต่อว่า “เจ้าเด็กน้อยมู่หยางหลิงคนนี้” นางยังไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับมู่หยางหลิงต่อไปดี จึงสั่งการกับลูกชายไปว่า “เจ้าจับตาดูครอบครัวของต้าจ้วงไว้ให้ดี ๆ เพราะถึงยังไงเจ้ากับต้าจ้วงก็เป็นคนเจอเจ้าโสมนั่นด้วยกัน ถ้าตระกูลหลิวจะเอาส่วนแบ่งมากเท่าไหร่ เจ้าก็ต้องเอาให้ได้เท่าเขา เข้าใจไหม?”

ฟางจู้จื่อพยักหน้าตอบรับ

พวกกชาวบ้านนำโสมเร่ขายให้กับร้านยาในเมืองอยู่ 3-4 ร้าน จนในที่สุดก็ได้ร้านที่ให้ราคาดีถึง 82 ตำลึงเงิน และเจ้าของร้านยายังบอกอีกว่าโสมนี่น่ะ มีอายุราว 200 ปีเชียว

หลังจากนั้นผู้ใหญ่บ้านก็เรียกประชุมคนทั้งหมู่บ้าน “อย่างที่ข้าได้บอกทุกท่านไปก่อนหน้านี้แล้วนะ ว่าเราจะเอาส่วนแบ่งทั้งหมดมาแบ่งให้ทุกคนเพื่อเป็นค่าปลอบขวัญ หมู่บ้านเราก็มีสมาชิกทั้งหมด 68 ครัวเรือน ดังนั้นทุก ๆ บ้านก็จะได้ส่วนแบ่งบ้านละ 1 ตำลึงเงินกับอีก 2 ก้วนนะ ส่วนที่เหลืออีก 340 เหวิน ข้าขอมอบให้กับอาหลิงเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ” “เด็กน้อย ได้โปรดอย่ารังเกียจที่จะรับ น้าต้าจ้วงตั้งใจอยากจะให้เจ้า เพื่อแทนคำขอโทษ”

มู่หยางหลิงก้าวไปข้างหน้าเพื่อรับเงินนั้นมา แล้วตอบกลับว่า “ท่านผู้เฒ่า พ่อข้ายอมให้ข้าพาพวกน้าชายเข้าป่าเข้าหุบเขาเหมือนเดิมแล้วนะ เพียงแต่ว่า ข้าจะไม่ได้พาพวกท่านเข้าไปลึกเท่าครั้งที่ผ่านมาแล้ว ดังนั้นคราวหน้าพวกเราจะล่าสัตว์ในเขตรอบนอกของป่าแทน แต่อาจจะต้องเดินทางไปไกลกว่าเดิมหน่อย”

เมื่อชาวบ้านได้ยินว่าการเข้าป่าล่าสัตว์จะยังสามารถดำเนินต่อไปได้ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะโห่ร้องด้วยความดีใจ

มู่หยางหลิงยังพูดต่ออีกว่า “ขอให้ทุกท่านพักผ่อนกันอีกซัก 2 วัน รอให้ป่าในหุบเขามันสงบลงกว่านี้อีกหน่อย แล้วเราจะเข้าป่ากันอีก อ้อจริงสิ

หลิวเหอรู้ดีว่านางเป็นห่วงเรื่องของหม่าหลิวซื่อมาก “วางใจได้เลย พวกข้าได้เดินทางไปหาบ้านตระกูลหม่ามาแล้ว แล้วก็ตกลงทุกอย่างกันไว้เรียบร้อยหมดแล้วล่ะ ตอนนี้ก็รอฤกษ์ดี ๆ จากทั้งสองฝั่ง จะได้ลงไปวัดพื้นที่แล้วก็ทำการอนุมัติที่ดินอย่างเป็นทางการต่อไป 2 วันนี้ถ้าเจ้าว่างก็ไปเยี่ยมหานางสิ”

เรื่องนี้ถูกดำเนินการตั้งแต่ตอนที่มู่หยางหลิงพาชาวบ้านเข้าไปล่าสัตว์ในหุบเขาแล้ว โดยที่หลิวต้าเฉียนเป็นผู้นำทัพ เดินทางไปหมู่บ้านซีซานด้วยตนเอง

หลิวเหอผู้มีชื่อเสียงและเส้นสายที่ใหญ่พอตัว บวกกับคนตระกูลหลิวอีกหลายคนที่พากันไปบุกหมู่บ้านซีซาน ทำให้ตระกูลหม่าต้องยอมหลีกทางให้พวกเขา และตกลงว่าจะคืนที่ดินให้กับหม่าหลิวซื่อ และเมื่อหม่าหลิวซื่อถึงแก่กรรม ที่ดินก็จะถูกส่งต่อให้คนในตระกูลของนาง

มู่หยางหลิงได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจจนยิ้มแก้มปริ ในที่สุดย่าใหญ่ก็ได้ที่ผืนนั้นกลับมา เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง นางจะได้หว่านเมล็ดลง พอถึงฤดูเก็บเกี่ยวก็จะได้เก็บเกี่ยวพืชผลได้มากขึ้น อีกอย่าง อีกไม่กี่ปีข้างหน้า หม่าซิ่วหงก็จะต้องออกเหย้าออกเรือนแล้ว พืชผลที่ยังพอมีเหลือนั้นจะได้ขายเป็นทุนในการแต่งองค์ทรงเครื่องเจ้าสาวได้อีก

แล้วมู่หยางหลิงก็นึกขึ้นได้ว่ากระต่ายที่ได้มาวันก่อนยังมีอีกแยะ นางจึงอยากจะเอาไปให้ย่าใหญ่ของนางที่ซีซาน

มู่หยางหลิงได้ส่วนแบ่งจากชาวบ้านมามากก็จริง แต่เนื้อที่ต้องส่งให้กับหอเพียวเซียงในเมืองจะต้องเป็นเนื้อที่สดใหม่ทุกวัน ด้วยความที่กำหนดการล่าถูกเพิ่มมากขึ้น ทำให้นางรับประกันไม่ได้ว่านางจะสามารถไปส่งเนื้อได้ทันเวลาก่อนเที่ยงทุกวันไหม ดังนั้น เนื้อสัตว์ที่ถูกส่งไปในเมืองทุกวันนี้ก็มาจากมู่ฉือ ซึ่งหลังจากมู่ฉือกลับออกมาจากหุบเขา เขาก็จะส่งต่อให้กับหลิวเซวียนเพื่อนำไปส่งในเมืองต่อไป

แต่กระต่ายที่มู่หยางหลิงได้มาเมื่อวันก่อน นางก็ก็เอาไปทำกินกันในครอบครัวแล้วส่วนนึง อีกส่วนนึงก็ส่งให้หลิวเซวียนกับหลิวจวงช่วยทำเนื้อแห้งเพื่อจะเก้บเอาไว้กินวันหลัง

เพราะหลิวต้าเฉียนเห็นว่ามู่หยางหลิงได้ช่วยเหลือพวกเขา ช่วยเหลือชาวบ้านไว้มาก จึงขออาสาช่วยมู่หยางหลิงทำเนื้อแห้งเก็บไว้กิน

แล้วเนื้อแห้งพวกนั้นก็ถูกตากเรียงรายไว้ในสวนหลังบ้านของตระกูลหลิวเรียบร้อยแล้ว มู่หยางหลิงจึงแบกตะกร้าเข้าไปบ้านตระกูลหลิวในวันนั้นเลย “เอาไปแบ่งให้ย่าใหญ่ก็ดีเหมือนกันนะ แต่ไม่ต้องเยอะเกินไป เดี๋ยวย่าใหญ่จะรู้สึกอึดอัดใจเอา” ย่าหลิวกล่าว

“เข้าใจแล้วจ้ะ ข้าจะเอาไปแลกของอย่างอื่นกับย่าใหญ่ นางจะได้ไม่รู้สึกอึดอัด ย่าหลิวจ้ะ ข้าไปก่อนนะ”

มู่หยางหลิงออกเดินทางขึ้นเขาไป เมื่อเดินไปได้ครึ่งทางก็ไม่ลืมที่จะหยิบใบไม้ใบใหญ่หลาย ๆ ใบขึ้นมาปิดเนื้อแห้งที่อยู่ในตะกร้า จากนั้นนางก็เดินต่อไปยังหมู่บ้านซีซาน

แต่พอมู่หยางหลิงเดินลงมาถึงตีนเขา ก็เจอเข้ากับหม่าจางซื่ออีกจนได้ หม่าจางซื่อที่ยืนผ่าฟืนอยู่ตรงตีนเขา เมื่อนางเห็นมู่หยางหลิงเดินลงมาจากบนเขา ก็ยิ้มกว้างทักทายทันที “อาหลิงนี่เอง มา ๆ มาหาป้าสะไภ้หน่อย”

มู่หยางหลิงก้มดูกองฟืนบนพื้น จึงอดไม้ได้ที่จะถามขึ้น “ป้าสะไภ้มาตัดไม้ทำฟืนหรือจ้ะ?”

“ใช่จ้ะ อีกไม่นานก็จะถึงฤดูหนาวแล้ว ต้องกักตุนฟืนไว้หน่อยล่ะ” พูดจบนางก็จ้องไปที่ตะกร้าของมู่หยางหลิง “นี่เอาของมาฝากย่าใหญ่อีกแล้วรึอาหลิง?”

มู่หยางหลิงคิดไปคิดมาก็วางตะกร้าลง แล้วหยิบเอากระต่ายรมควันยื่นให้หม่าจางซื่อไปตัวนึง “ป้าสะไภ้ ขอบคุณที่ช่วยดูแลย่าใหญ่ของข้าในระหว่างที่นางอยู่ในซีซานแห่งนี้ กระต่ายรมควันนี้รสชาติดีมาก ท่านเอากลับไปชิมดูนะจ้ะ”

หม่าจางซื้อยิ้มกว้างตาเป็นประกาย จากนั้นก็ยื่นมือรับของมา “ไม่เห็นต้องลำบากเลย แต่เจ้าวางใจได้เลยนะ ย่าใหญ่ของเจ้าก็อายุมากแล้ว ส่วนซิ่วหงก็ยังเด็ก ข้าก็ใช้ให้ลูก ๆ ของข้าช่วยยกน้ำไปใส่ให้เต็มโอ่งหลังบ้านนางอยู่เป็นประจำ”

มู่หยางหลิงฟังแล้วก็ไม่แน่ใจว่านางพูดจริงหรือหลอกกันแน่ แต่แล้วมู่หยางหลิงก็หยิบกระต่ายอีกตัวออกมายัดใส่มือนางเพิ่ม “ถ้าอย่างนั้นข้ารบกวนป้าสะไภ้ช่วยดูแลย่าใหญ่กับน้อง ๆ ด้วยนะจ้ะ”

มู่หยางหลิงคิดไว้แล้วว่าถ้าคราวหน้ามาที่หมู่บ้านซีซานอีก นางจะถามซิ่วหงว่าป้าสะไภ้ได้มาช่วยดูแลย่าใหญ่บ้างหรือไม่ ถ้าหากว่าไม่เลยล่ะก็ นางจะได้ไม่ต้องแบ่งของฝากให้ป้าสะไภ้อีก แต่ถ้าป้าสะไภ้รู้จักช่วยดูแลย่าใหญ่มากขึ้น คราวหน้าก็แบ่งของฝากให้นางอีกซักนิดซักหน่อยก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร

ตอนนี้หม่าจางซื่อกำลังตกตะลึงกับสิ่งที่มู่หยางหลิงทำ

จริง ๆ แล้วที่หม่าจางซื่อพูดไปทั้งหมดนั้น นางไม่ได้โกหกเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่านางจะชอบเอารัดเอาเปรียบอยู่บ้างเป็นบางครั้ง แต่นางก็ยังมีความเห็นอกเห็นใจหม่าหลิวซื่อ บ่อยครั้งที่ครอบครัวของหม่าจางซื่อเสร็จงานทุกอย่าง นางก็จะให้ลูกชายคนโตไปยกน้ำใส่โอ่งหลังบ้านของหม่าหลิวซื่อ รวมไปถึงช่วยงานแบกหามอื่น ๆ ด้วย

และแน่นอนว่านางก็หวังอยากได้ส่วนแบ่งจากของฝากที่มู่หยางหลิงนำมาให้หม่าหลิวซื่ออยู่เหมือนกัน

“ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวก่อนล่ะจ้ะ ป้าสะไภ้ทำต่อเถิด”

“จ้า เดินดี ๆ นะ”

การมาเยือนของมู่หยางหลิงในครั้งนี้ทำให้หม่าหลิวซื่อดีใจกว่าครั้งก่อน และพอเห็นว่ามู่หยางหลิงแบกของมาให้นางอีก นางก็ไม่ได้บ่นอะไรมาก เพราะรู้ว่าบ่นไปมู่หยางหลิงก็ยังเอามาให้อีกเหมือนเดิม หม่าหลิวซื่อจึงเดินไปหยิบผักที่อยู่หลังบ้านมา 2 ถุงใหญ่ แล้วใส่ตะกร้าให้มู่หยางหลิง “ตอนนี้อากาศเริ่มหนาวแล้ว เอากลับไปเก็บไว้นะ ฤดูหนาวมาถึงจะได้เอาออกมากิน”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 63 ตอบแทน

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 63 ตอบแทน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อทุกคนกลับถึงหมู่บ้าน หลิวเหอผู้รอบรู้ก็หัวเราะร่าดีใจที่ได้เห็นโสมต้นนั้น “เจ้าโสมต้นนี้เนี่ย อย่างน้อยก็น่าจะซัก 100 ปีได้แล้วล่ะ พวกเจ้าเอาไปขายในเมืองเลยสิ ถ้าให้ราคาต่ำกว่า 60 ตำลึงเงินล่ะก็ อย่าไปขายให้เชียว”

สิ้นสุดคำพูดของหลิวเหอ ชาวบ้านทั้งหลายก็พากันดีใจยกใหญ่

มันช่างคุ้มค่าอะไรขนาดนี้ ถ้าขายออกไปได้ล่ะก็ ครอบครัวนึงก็จะได้ตั้ง 900 กว่าอีแปะเลยทีเดียว แต่รู้ไหม ว่าชาวบ้านชนบทพวกนี้น่ะ ปลูกพืชผลกินกันเองทั้งหมู่บ้าน แม้แต่เสื้อผ้าอาภรยังต้องใส่ตกทอดกันมา พอขาดก็เย็บปะเอาก่อน และบ่อยครั้งที่ชาวบ้านทุกคนจะต้องจ่ายภาษีให้กับทางการ เงินสดก็แทบจะไม่มีเหลือให้ไปซื้อขายสิ่งของอื่น ๆ เลย

ดังนั้นเงินจำนวน 900 กว่าอีแปะเนี่ย ถือว่าเป็นจำนวนเงินที่เยอะมากสำหรับพวกเขา

ชาวบ้านต่างพากันดีใจ ราวกับว่าเป็นวันฉลองขึ้นปีใหม่ยังไงอย่างงั้น มีเพียงครอบครัวหลิวเหอกับฟางจู้จื่อเท่านั้นที่ดูต่างไป

ครอบครัวหลิวเหอแค่รู้สึกเสียดายและเสียใจที่ส่วนแบ่งถูกกระจายไปยังทุกคนจนเหลือน้อย แต่ครอบครัวฟางจู้จื่อนี่สิ ทะเลาะกันหนักมาก

ฟางหลิวซื่อผลักหัวลูกชายแล้วต่อว่าไม่ยั้ง “ทำไมเจ้าถึงได้โง่ขนาดนี้? ตอนนั้นเจ้าควรจะขุดมันขึ้นมาเลย ถึงมันจะเสียหายไปบ้าง ก็น่าจะได้มาซัก 30-40 ตำลึงเงิน ดีกว่าโดนด่าแล้วได้เงินน้อยอย่างนี้”

ฟางจู้จื่อเองก็สุดจะทน “ก็ตอนนั้นเสือกับหมีมันกำลังสู้กันหนิท่านแม่ ถ้าข้าไม่หนีออกมา ท่านจะให้ข้าอยู่เป็นอาหารของพวกมันงั้นรึ? ทีนี้โสมก็ไม่ได้ แถมลูกชายแม่ก็ไม่น่าจะมีชีวิตรอดกลับมาแน่”

“แล้วอาหลิงไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วยเรอะ? เจ้าไม่ได้ให้นางพาไปหลบหรือยังไง?”

“ท่านแม่อย่าโลกสวยไปหน่อยเลย ตอนนั้นนางพูดแค่ว่าเป็นตายยังไงก็รับผิดชอบตัวเอง จากนั้นนางก็หันหลังวิ่งไปโดยไม่หันหลังกลับมาหาข้าอีก” ฟางจู้จื่อกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเจ็บแค้น “กับหลิวถิงพวกนั้นล่ะดีนัก แต่กับข้านี่ไม่เคยไว้หน้า ทั้งที่เป็นญาติของนางเหมือนกันแท้ ๆ ท่านแม่ สรุปแล้วท่านเป็นคนตระกูลหลิวจริงรึ? ท่านไม่ได้ถูกเก็บมาเลี้ยงใช่หรือไม่?”

“เก็บมาเลี้ยงก็บ้าแล้ว พูดอะไรไร้สาระ” ฟางหลิวซื่อสุดจะทน กัดฟันเอ่ยต่อว่า “เจ้าเด็กน้อยมู่หยางหลิงคนนี้” นางยังไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับมู่หยางหลิงต่อไปดี จึงสั่งการกับลูกชายไปว่า “เจ้าจับตาดูครอบครัวของต้าจ้วงไว้ให้ดี ๆ เพราะถึงยังไงเจ้ากับต้าจ้วงก็เป็นคนเจอเจ้าโสมนั่นด้วยกัน ถ้าตระกูลหลิวจะเอาส่วนแบ่งมากเท่าไหร่ เจ้าก็ต้องเอาให้ได้เท่าเขา เข้าใจไหม?”

ฟางจู้จื่อพยักหน้าตอบรับ

พวกกชาวบ้านนำโสมเร่ขายให้กับร้านยาในเมืองอยู่ 3-4 ร้าน จนในที่สุดก็ได้ร้านที่ให้ราคาดีถึง 82 ตำลึงเงิน และเจ้าของร้านยายังบอกอีกว่าโสมนี่น่ะ มีอายุราว 200 ปีเชียว

หลังจากนั้นผู้ใหญ่บ้านก็เรียกประชุมคนทั้งหมู่บ้าน “อย่างที่ข้าได้บอกทุกท่านไปก่อนหน้านี้แล้วนะ ว่าเราจะเอาส่วนแบ่งทั้งหมดมาแบ่งให้ทุกคนเพื่อเป็นค่าปลอบขวัญ หมู่บ้านเราก็มีสมาชิกทั้งหมด 68 ครัวเรือน ดังนั้นทุก ๆ บ้านก็จะได้ส่วนแบ่งบ้านละ 1 ตำลึงเงินกับอีก 2 ก้วนนะ ส่วนที่เหลืออีก 340 เหวิน ข้าขอมอบให้กับอาหลิงเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ” “เด็กน้อย ได้โปรดอย่ารังเกียจที่จะรับ น้าต้าจ้วงตั้งใจอยากจะให้เจ้า เพื่อแทนคำขอโทษ”

มู่หยางหลิงก้าวไปข้างหน้าเพื่อรับเงินนั้นมา แล้วตอบกลับว่า “ท่านผู้เฒ่า พ่อข้ายอมให้ข้าพาพวกน้าชายเข้าป่าเข้าหุบเขาเหมือนเดิมแล้วนะ เพียงแต่ว่า ข้าจะไม่ได้พาพวกท่านเข้าไปลึกเท่าครั้งที่ผ่านมาแล้ว ดังนั้นคราวหน้าพวกเราจะล่าสัตว์ในเขตรอบนอกของป่าแทน แต่อาจจะต้องเดินทางไปไกลกว่าเดิมหน่อย”

เมื่อชาวบ้านได้ยินว่าการเข้าป่าล่าสัตว์จะยังสามารถดำเนินต่อไปได้ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะโห่ร้องด้วยความดีใจ

มู่หยางหลิงยังพูดต่ออีกว่า “ขอให้ทุกท่านพักผ่อนกันอีกซัก 2 วัน รอให้ป่าในหุบเขามันสงบลงกว่านี้อีกหน่อย แล้วเราจะเข้าป่ากันอีก อ้อจริงสิ

หลิวเหอรู้ดีว่านางเป็นห่วงเรื่องของหม่าหลิวซื่อมาก “วางใจได้เลย พวกข้าได้เดินทางไปหาบ้านตระกูลหม่ามาแล้ว แล้วก็ตกลงทุกอย่างกันไว้เรียบร้อยหมดแล้วล่ะ ตอนนี้ก็รอฤกษ์ดี ๆ จากทั้งสองฝั่ง จะได้ลงไปวัดพื้นที่แล้วก็ทำการอนุมัติที่ดินอย่างเป็นทางการต่อไป 2 วันนี้ถ้าเจ้าว่างก็ไปเยี่ยมหานางสิ”

เรื่องนี้ถูกดำเนินการตั้งแต่ตอนที่มู่หยางหลิงพาชาวบ้านเข้าไปล่าสัตว์ในหุบเขาแล้ว โดยที่หลิวต้าเฉียนเป็นผู้นำทัพ เดินทางไปหมู่บ้านซีซานด้วยตนเอง

หลิวเหอผู้มีชื่อเสียงและเส้นสายที่ใหญ่พอตัว บวกกับคนตระกูลหลิวอีกหลายคนที่พากันไปบุกหมู่บ้านซีซาน ทำให้ตระกูลหม่าต้องยอมหลีกทางให้พวกเขา และตกลงว่าจะคืนที่ดินให้กับหม่าหลิวซื่อ และเมื่อหม่าหลิวซื่อถึงแก่กรรม ที่ดินก็จะถูกส่งต่อให้คนในตระกูลของนาง

มู่หยางหลิงได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจจนยิ้มแก้มปริ ในที่สุดย่าใหญ่ก็ได้ที่ผืนนั้นกลับมา เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง นางจะได้หว่านเมล็ดลง พอถึงฤดูเก็บเกี่ยวก็จะได้เก็บเกี่ยวพืชผลได้มากขึ้น อีกอย่าง อีกไม่กี่ปีข้างหน้า หม่าซิ่วหงก็จะต้องออกเหย้าออกเรือนแล้ว พืชผลที่ยังพอมีเหลือนั้นจะได้ขายเป็นทุนในการแต่งองค์ทรงเครื่องเจ้าสาวได้อีก

แล้วมู่หยางหลิงก็นึกขึ้นได้ว่ากระต่ายที่ได้มาวันก่อนยังมีอีกแยะ นางจึงอยากจะเอาไปให้ย่าใหญ่ของนางที่ซีซาน

มู่หยางหลิงได้ส่วนแบ่งจากชาวบ้านมามากก็จริง แต่เนื้อที่ต้องส่งให้กับหอเพียวเซียงในเมืองจะต้องเป็นเนื้อที่สดใหม่ทุกวัน ด้วยความที่กำหนดการล่าถูกเพิ่มมากขึ้น ทำให้นางรับประกันไม่ได้ว่านางจะสามารถไปส่งเนื้อได้ทันเวลาก่อนเที่ยงทุกวันไหม ดังนั้น เนื้อสัตว์ที่ถูกส่งไปในเมืองทุกวันนี้ก็มาจากมู่ฉือ ซึ่งหลังจากมู่ฉือกลับออกมาจากหุบเขา เขาก็จะส่งต่อให้กับหลิวเซวียนเพื่อนำไปส่งในเมืองต่อไป

แต่กระต่ายที่มู่หยางหลิงได้มาเมื่อวันก่อน นางก็ก็เอาไปทำกินกันในครอบครัวแล้วส่วนนึง อีกส่วนนึงก็ส่งให้หลิวเซวียนกับหลิวจวงช่วยทำเนื้อแห้งเพื่อจะเก้บเอาไว้กินวันหลัง

เพราะหลิวต้าเฉียนเห็นว่ามู่หยางหลิงได้ช่วยเหลือพวกเขา ช่วยเหลือชาวบ้านไว้มาก จึงขออาสาช่วยมู่หยางหลิงทำเนื้อแห้งเก็บไว้กิน

แล้วเนื้อแห้งพวกนั้นก็ถูกตากเรียงรายไว้ในสวนหลังบ้านของตระกูลหลิวเรียบร้อยแล้ว มู่หยางหลิงจึงแบกตะกร้าเข้าไปบ้านตระกูลหลิวในวันนั้นเลย “เอาไปแบ่งให้ย่าใหญ่ก็ดีเหมือนกันนะ แต่ไม่ต้องเยอะเกินไป เดี๋ยวย่าใหญ่จะรู้สึกอึดอัดใจเอา” ย่าหลิวกล่าว

“เข้าใจแล้วจ้ะ ข้าจะเอาไปแลกของอย่างอื่นกับย่าใหญ่ นางจะได้ไม่รู้สึกอึดอัด ย่าหลิวจ้ะ ข้าไปก่อนนะ”

มู่หยางหลิงออกเดินทางขึ้นเขาไป เมื่อเดินไปได้ครึ่งทางก็ไม่ลืมที่จะหยิบใบไม้ใบใหญ่หลาย ๆ ใบขึ้นมาปิดเนื้อแห้งที่อยู่ในตะกร้า จากนั้นนางก็เดินต่อไปยังหมู่บ้านซีซาน

แต่พอมู่หยางหลิงเดินลงมาถึงตีนเขา ก็เจอเข้ากับหม่าจางซื่ออีกจนได้ หม่าจางซื่อที่ยืนผ่าฟืนอยู่ตรงตีนเขา เมื่อนางเห็นมู่หยางหลิงเดินลงมาจากบนเขา ก็ยิ้มกว้างทักทายทันที “อาหลิงนี่เอง มา ๆ มาหาป้าสะไภ้หน่อย”

มู่หยางหลิงก้มดูกองฟืนบนพื้น จึงอดไม้ได้ที่จะถามขึ้น “ป้าสะไภ้มาตัดไม้ทำฟืนหรือจ้ะ?”

“ใช่จ้ะ อีกไม่นานก็จะถึงฤดูหนาวแล้ว ต้องกักตุนฟืนไว้หน่อยล่ะ” พูดจบนางก็จ้องไปที่ตะกร้าของมู่หยางหลิง “นี่เอาของมาฝากย่าใหญ่อีกแล้วรึอาหลิง?”

มู่หยางหลิงคิดไปคิดมาก็วางตะกร้าลง แล้วหยิบเอากระต่ายรมควันยื่นให้หม่าจางซื่อไปตัวนึง “ป้าสะไภ้ ขอบคุณที่ช่วยดูแลย่าใหญ่ของข้าในระหว่างที่นางอยู่ในซีซานแห่งนี้ กระต่ายรมควันนี้รสชาติดีมาก ท่านเอากลับไปชิมดูนะจ้ะ”

หม่าจางซื้อยิ้มกว้างตาเป็นประกาย จากนั้นก็ยื่นมือรับของมา “ไม่เห็นต้องลำบากเลย แต่เจ้าวางใจได้เลยนะ ย่าใหญ่ของเจ้าก็อายุมากแล้ว ส่วนซิ่วหงก็ยังเด็ก ข้าก็ใช้ให้ลูก ๆ ของข้าช่วยยกน้ำไปใส่ให้เต็มโอ่งหลังบ้านนางอยู่เป็นประจำ”

มู่หยางหลิงฟังแล้วก็ไม่แน่ใจว่านางพูดจริงหรือหลอกกันแน่ แต่แล้วมู่หยางหลิงก็หยิบกระต่ายอีกตัวออกมายัดใส่มือนางเพิ่ม “ถ้าอย่างนั้นข้ารบกวนป้าสะไภ้ช่วยดูแลย่าใหญ่กับน้อง ๆ ด้วยนะจ้ะ”

มู่หยางหลิงคิดไว้แล้วว่าถ้าคราวหน้ามาที่หมู่บ้านซีซานอีก นางจะถามซิ่วหงว่าป้าสะไภ้ได้มาช่วยดูแลย่าใหญ่บ้างหรือไม่ ถ้าหากว่าไม่เลยล่ะก็ นางจะได้ไม่ต้องแบ่งของฝากให้ป้าสะไภ้อีก แต่ถ้าป้าสะไภ้รู้จักช่วยดูแลย่าใหญ่มากขึ้น คราวหน้าก็แบ่งของฝากให้นางอีกซักนิดซักหน่อยก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร

ตอนนี้หม่าจางซื่อกำลังตกตะลึงกับสิ่งที่มู่หยางหลิงทำ

จริง ๆ แล้วที่หม่าจางซื่อพูดไปทั้งหมดนั้น นางไม่ได้โกหกเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่านางจะชอบเอารัดเอาเปรียบอยู่บ้างเป็นบางครั้ง แต่นางก็ยังมีความเห็นอกเห็นใจหม่าหลิวซื่อ บ่อยครั้งที่ครอบครัวของหม่าจางซื่อเสร็จงานทุกอย่าง นางก็จะให้ลูกชายคนโตไปยกน้ำใส่โอ่งหลังบ้านของหม่าหลิวซื่อ รวมไปถึงช่วยงานแบกหามอื่น ๆ ด้วย

และแน่นอนว่านางก็หวังอยากได้ส่วนแบ่งจากของฝากที่มู่หยางหลิงนำมาให้หม่าหลิวซื่ออยู่เหมือนกัน

“ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวก่อนล่ะจ้ะ ป้าสะไภ้ทำต่อเถิด”

“จ้า เดินดี ๆ นะ”

การมาเยือนของมู่หยางหลิงในครั้งนี้ทำให้หม่าหลิวซื่อดีใจกว่าครั้งก่อน และพอเห็นว่ามู่หยางหลิงแบกของมาให้นางอีก นางก็ไม่ได้บ่นอะไรมาก เพราะรู้ว่าบ่นไปมู่หยางหลิงก็ยังเอามาให้อีกเหมือนเดิม หม่าหลิวซื่อจึงเดินไปหยิบผักที่อยู่หลังบ้านมา 2 ถุงใหญ่ แล้วใส่ตะกร้าให้มู่หยางหลิง “ตอนนี้อากาศเริ่มหนาวแล้ว เอากลับไปเก็บไว้นะ ฤดูหนาวมาถึงจะได้เอาออกมากิน”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+