อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 27 จัดเตรียมมื้อเที่ยง

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 27 จัดเตรียมมื้อเที่ยง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มู่หยางหลิงเห็นหม่าซิ่วหลานมีท่าทีน้ำลายสอ นางจึงบ้าย ๆ มือตรงหน้าหม่าซิ่วหลานพร้อมกับส่งยิ้มให้ และถามขึ้นว่า “เจ้าหิวแล้วหรือ? ข้าทำแค่ประเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ บ้านเจ้ามีผักดองหรือไม่?”

หม่าซิ่วหลานหน้าแดง และรู้สึกขายหน้ากับความเซ่อของตน “มีจ้ะ ท่านย่าดองเอาไว้เยอะเลย” นางกระซิบมู่หยางหลิง

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย เดี๋ยวเราทำไก่ตุ๋นผักดองกัน ถ้ามีมันฝรั่งเพิ่มด้วยละก็ ครบสูตรเลย”

หม่าซิ่วหลานจึงรีบพูดขึ้นทันทีว่า “มันฝรั่งก็มีนะจ้ะ” แต่ว่า หม่าซิ่วหลานไม่ยักจะเคยเห็นเนื้อไก่ตุ๋นผักดองใส่มันฝรั่งมาก่อนเลย มีกับข้าวแบบนี้ด้วยรึ?

แน่นอนว่านางต้องไม่เคยเห็นและไม่เคยได้ยิน เพราะมู่หยางหลิงเป็นคนคิดค้นมันขึ้นมาเอง ด้วยแนวคิดที่ว่า ไก่ป่าจะมีกลิ่นคาวกว่าไก่บ้าน จึงต้องใช้ขิงดับคาว แต่ถ้าหากว่าไม่ชอบปรุงไก่ด้วยขิง ก็สามารถใส่ผักดองลงไปแทนได้ จากนั้นก็ฝานมันฝรั่งเป็นแว่น ๆ ใส่ตามลงไป เพื่อช่วยซับมันในน้ำซุป แถมยังช่วยให้อิ่มท้องอีกด้วย

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา มู่หยางหลิงจึงเริ่มแจกแจงงานให้กับเด็กน้อยก่อน “เจ้าไปเอามันฝรั่งกับผักดองมาให้ข้านะ ข้าจะไปต้มน้ำเพื่อถอนขนไก่ก่อน”

หม่าซิ่วหลานฟังแล้วก็เริ่มรู้สึกกังวล “พี่สาว ให้ข้าทำเถอะนะ ท่านเป็นถึงแขกของบ้านข้า”

มู่หยางหลิงโบกมือปฏิเสธทันที “เจ้ายังเด็กอยู่เลย อีกอย่างข้าก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล รีบไปจัดเตรียมมาเถอะ เดี๋ยวท่านย่าของเจ้าจะกลับมาเสียก่อน”

หม่าซิ่วหลานจำต้องวิ่งเข้าไปในสวนผักเล็ก ๆ ข้างบ้านเพื่อขุดเอาหัวมันฝรั่งขึ้นมา ส่วนมู่หยางหลิงก็เข้าครัวไปต้มน้ำทันทีที่พูดจบ

ในระหว่างที่หม่าซิ่วหลานกำลังขุดมันฝรั่งอยู่นั้น ยังมีสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองมาจากระยะที่ไม่ไกลจากตัวบ้านมากนัก หม่าจางซื่อเห็นหม่าซิ่วหลานขุดมันฝรั่งออกมาสองหัวอย่างขะมักเขม้น นางจึงอดคิดไม่ได้ว่า แขกที่มาเยี่ยมก็ขี้เหนียว คนที่อยู่ต้อนรับแขกก็ยังขี้เหนียวอีก เห็นทีวันนี้กลับบ้านไปทำกินเองน่าจะดีกว่า

หม่าจางซื่อคิดแล้วก็หันหลังเดินกลับบ้านไป

ในขณะที่มู่หยางหลิงกับหม่าซิ่วหลานเองก็ไม่รู้เลยว่า นางทั้งสองได้กำจัดคนที่ต้องการจะแย่งข้าวแย่งน้ำไปได้แล้วในวันนี้

มู่หยางหลิงทำทุกอย่างได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว จนเมื่อหม่าซิ่วหลานวิ่งกลับเข้ามาในครัวก็พบว่าน้ำในหม้อได้ถูกต้มรอไว้จนเดือดแล้ว อีกทั้งมู่หยางหลิงยังยกน้ำเข้ามาทำความสะอาดห้องครัวไว้ให้จนเสร็จสรรพ

หม่าซิ่วหลานยืนมองจนใจลอย มู่หยางหลิงเห็นมือไม้ของหม่าซิ่วหลานเริ่มจะอ่อนแรงลง นางจึงหยิบลูกอมจากถุงกระดาษออกมา 1 เม็ด ป้อนให้เด็กหญิงตัวน้อย แล้วนางก็ยัดถุงลูกอมทั้งถุงใส่มือหม่าซิ่วหลาน “ข้าให้เจ้ากับพี่สาวไว้กินเล่นนะ รีบเอาไปเก็บก่อนสิ”

หม่าซิ่วหลานตอบกลับอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ “พี่สาวเก็บไว้กินเองเถอะจ้ะ”

“ที่บ้านข้ายังมีอีกเยอะเลย ถุงนี้พ่อกับแม่ของข้าให้เอามาฝากเจ้ากับพี่สาวของเจ้า เจ้ารีบเอาไปเก็บซ่อนไว้ให้ดีนะ อย่าให้คนนอกเห็นเข้าล่ะ”

หม่าซิ่วหลานรีบกอดถุงลูกอมไว้แน่น พลางมองหน้ามู่หยางหลิงด้วยสายตาที่เปล่งประกาย “พี่สาวช่างมีน้ำใจ” พูดจบนางก็รีบเอาถุงลูกอมเข้าไปซ่อนไว้ในห้องนอนทันที

เมื่อนางเดินกลับออกมาจากห้องนอน มู่หยางหลิงก็เห็นว่าหน้าของหม่าซิ่วหลานนั้นยังแดงก่ำไม่หาย นางจึงช่วยโดยการเปลี่ยนเรื่องคุย “ข้าวสารอยู่ตรงไหนรึ? รีบไปกรอกข้าวสารใส่หม้อมาให้ข้าเถอะ เราจะได้รีบหุงข้าวกัน น้ำเดือดได้ที่แล้ว ส่วนเนื้อที่ข้านำมาให้ ข้าก็เก็บไว้ให้เจ้าเรียบร้อยแล้วนะ”

ด้วยความที่มู่ฉือรู้ว่า ถ้ามู่หยางหลิงเอาของมาให้ท่านป้าไปเฉย ๆ นางคงจะเอาไปขายที่ตลาดและไม่ยอมกินเองเป็นแน่ มู่ฉือจึงกำชับมู่หยางหลิงไว้ดิบดี ว่าให้รีบล้างเนื้อให้สะอาดและจับทำกับข้าวให้เรียบร้อยเสียทีเดียวเลย

อีกอย่าง หนังกระต่ายสามารถแยกขายได้ หนังกระต่ายทั้งตัวจะขายได้ราคาถึง 8 อีแปะเลยทีเดียว มู่หยางหลิงหัดเลาะหนังกระต่ายมาจากพ่อ ฝีมือการเลาะหนังกระต่ายของนางนั้น ไม่เป็นรองพ่อค้าเนื้อในเมืองเลย มู่หยางหลิงหยิบกระต่ายที่ตายแล้วออกมาสองตัว จากนั้นนางก็ทำการเลาะหนังออกอย่างรวดเร็วด้วยความช่ำชอง

ชั่วอึดใจเดียว เนื้อกระต่ายไร้หนังก็ตั้งแหมะอยู่บนเขียงเรียบร้อย

มู่หยางหลิงนำหนังกระต่ายไปล้างน้ำจนสะอาด จากนั้นก็นำไปตากไว้บนหินก้อนใหญ่ที่ตั้งอยู่สวนข้างบ้าน เมื่อนางเห็นว่าหม่าซิ่วหลานที่กำลังนั่งล้างผักดองอยู่นั้น มองหนังกระต่ายอย่าง งง ๆ นางจึงพูดขึ้นว่า “หนังกระต่ายเนี่ย ของดีเลยนะ ถ้าตากจนแห้งแล้ว เจ้าเอาไปขายในเมืองก็จะขายได้ประมาณ 8 เหวิน แต่ถ้าหากว่าเอาหนังไปบ่มดินปะสิวเอาไว้ด้วยล่ะก็ จะขายได้ในราคา 12 เหวินเชียวนะ”

หม่าซิ่วหลานยิ้มตาเป็นประกายทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น “ถ้าอย่างนั้น พี่สาวช่วยข้าเอาหนังไปบ่มดินปะสิวได้หรือไม่?”

มู่หยางหลิงผงะ “บ้านเจ้าไม่มีดินปะสิวหรอกหรือ อีกอย่าง ฝีมือการบ่มหนังของข้าก็ไม่ได้ดีขนาดนั้นด้วยสิ……” ที่มู่หยางหลิงตอบไปอย่างนี้ ก็เพราะว่าถ้าหากนางบ่มดินปะสิวไว้ให้เสร็จสรรพ ย่าใหญ่จะต้องขยั้นขยอให้นางเอากลับไปขายเองแน่ ๆ มู่ฉือเคยเล่าให้มู่หยางหลิงฟังแล้วว่า ป้าของเขาเป็นคนที่ไม่ชอบติดหนี้บุญคุณใคร เพราะแบบนี้นางถึงได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบากจนถึงทุกวันนี้นี่แหละ มีบ้างนาน ๆ ครั้ง ที่นางจะไปขอความช่วยเหลือจากพี่ชายหรือหลานชายของนาง

หม่าซิ่วหลานที่นั่งคอตกไปเมื่อครู่ จู่ ๆ ก็ยิ้มร่าขึ้นมา

เพราะนางนึกขึ้นได้ว่า ไข่ไก่ 1 ฟอง มีราคา 1 เหวิน 8 เหวินก็จะซื้อไข่ไก่ได้ 8 ฟอง แล้วถ้าหนังกระต่ายสองแผ่นจะได้ซักกี่บาทกันนะ? แต่ที่แน่ ๆ คงได้ไข่ไก่กลับมาหลายฟองเลยแหละ

หม่าซิ่วหลานรีบทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยความเบิกบานใจ เพียงแค่อึดใจเดียว นางก็ล้างผักดองจนเสร็จสรรพ อีกทั้งยังปอกเปลือกและฝานมันฝรั่งเป็นแว่นไว้เรียบร้อย

ทางด้านของมู่หยางหลิง เมื่อนางถอนขนไก่ 2 ตัวเสร็จ นางก็เอาไก่ตัวนึงแช่ไว้ในถัง ส่วนไก่อีกตัวก็หั่นเป็นชิ้น ๆ เรียบร้อยพร้อมปรุงอาหาร

“อีกตัวนึงเจ้าเก็บไว้ทำกินมื้อดึกนะ อ้อ ช่วยไปหาฟืนมาใส่เข้าเตาให้ข้าที เพราะนี่ก็ใกล้จะถึงเวลามื้อเที่ยงแล้ว ท่านย่ากับพี่สาวของเจ้าคงจะใกล้ถึงบ้านแล้วสินะ?”

หม่าซิ่วหลานเงยหน้ามองพระอาทิตย์ แล้วพยักหน้าหงึก ๆ “ใกล้แล้วล่ะจ้ะ”

ตัดภาพมาที่หม่าหลิวซื่อกับหลานสาวคนโตที่กำลังเกี่ยวข้าวกันอยู่ในทุ่งเนื่องในฤดูเก็บเกี่ยว แม้ว่าที่ดินทำกินของนางจะมีเพียงน้อยนิด อีกทั้งร่างกายของนางนั้น นับวันก็ยิ่งแก่ตัวลงและอ่อนแอเข้าไปทุกที แต่นางก็ยังไม่ท้อ และยังคงพยายามทำให้ทรัพย์สินที่ยังพอมีอยู่นั้นงอกเงยให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อรักษาไว้ให้หลานสาวทั้งสองคนของนางต่อไป

2 ย่าหลานต้องเกี่ยวข้าวท่ามกลางแดดที่ร้อนจัด จนหม่าหลิวซื่อเริ่มรู้สึกมึนหัว แต่เมื่อนางมองไปที่หลานสาวคนโตที่ตอนนี้กำลังก้มหน้าเกี่ยวข้าวอย่างขะมักเขม้น นางก็ต้องสูดลมเข้าเต็มปอดแล้วฮึดสู้ต่อไป

ตอนนี้ร่างกายของหม่าหลิวซื่อเริ่มอ่อนแอลงทุกวัน แถมหลานสาวคนโตของนางที่อายุได้ 9 ขวบนั้น ยังมีร่างกายที่ไม่ค่อยแข็งแรงอีก เนื่องจากเด็กน้อยได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ จนทำให้ร่างกายดูเหมือนเป็นแค่เด็กวัย 6-7 ขวบเท่านั้น หม่าหลิวซื่อได้แต่คิดว่า ถ้านางตายไป นางเดาไม่ออกจริง ๆ ว่าชะตากรรมของหลานสาวทั้งสองคนจะเป็นอย่างไรต่อ

ถ้าหากว่าหนึ่งในหลานสองคนนี้มีหลานชายอยู่ด้วยสักคน ตระกูลของนางก็คงจะช่วยเลี้ยงดูหรือช่วยอุปถัมภ์ได้อยู่บ้าง

หม่าหลิวซื่อคิด ๆ ไปก็พลันนึกถึงหลานชายคนหนึ่งของนางที่ตายไปเมื่อ 4 ปีก่อน

“เอาล่ะ เรากลับบ้านไปกินข้าวกันก่อนเถอะ รอบเย็นเราค่อยมากันใหม่นะ” หม่าหลิวซื่อตะโกนบอกหลานสาวที่กำลังก้มหน้าก้มตาเกี่ยวข้าว และยังพูดต่ออีกว่า “มาเก็บเกี่ยวอีกซักวันสองวันก็น่าจะเสร็จแล้วล่ะ”

หม่าซิ่วหงวางเคียวลง แล้วยืนขึ้นก่อนจะเดินตรงมาหาหม่าหลิวซื่อ “เรายังต้องเอาข้าวกลับไปตำอีกนะจ้ะย่า”

หม่าหลิวซื่อถอนหายใจออกมาเล็กน้อย “ไม่ต้องรีบหรอกหลาน ขอแค่อย่าให้ฝนตกก็พอ” คนนึงก็อายุเยอะ อีกคนก็อายุยังน้อย ทำให้ทุก ๆ ครั้งที่มาเก็บเกี่ยวข้าว เป็นต้องแบกกลับบ้านไปได้แค่ครึ่งตะกร้าอยู่ตลอด หากหลานสองคนมาช่วย ก็จะทำได้แค่ช่วยกันลากกระบุงกลับบ้านไป ระยะเวลาการเก็บเกี่ยวทั้งหมดก็ประมาณ 10 วัน แล้วยังต้องใช้เวลาอีก 4 วันในการตำข้าวอีก

บางที ด้วยความที่หม่าหลิวซื่อกลัวว่าจะมีคนมาขโมยข้าวในทุ่งนาของนาง นางก็จะหอบที่นอนหมอนมุ้งมานอนเฝ้าอยู่ในทุ่ง เพราะตัวนางเองก็ไม่รู้ว่านางจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกนานแค่ไหน นางจึงพยายามหาเงินหาทองเข้ามาเก็บออมไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่วันข้างหน้าหลานสาวทั้งสองคนจะได้ไม่ลำบาก

เมื่อ 2 คนย่าหลานเก็บสัมภาระเรียบร้อย พวกนางก็พากันรีบเดินกลับบ้านทันที ในระหว่างทาง 2 ย่าหลานก็ดันไปเจอเข้ากับหม่าจางซื่อที่กำลังเดินกลับบ้านอยู่พอดี

“ป้าสะใภ้สี่ ทำไมกลับมาเอาป่านนี้ล่ะ วันนี้มีแขกมาบ้านท่านแหนะ รีบหน่อยนะป้า” หม่าจางซื่อยิ้มทักและไม่ลืมที่จะรายงานหม่าหลิวซื่อ

หม่าหลิวซื่อได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น “บ้านข้ามีแขกที่ไหนมาเยี่ยมงั้นรึ?”

“ไอ้หยา เห็นว่านางเป็นหลานสาวของท่าน แถมนางยังแบกตะกร้าใบใหญ่มาด้วยนะ ไม่รู้ว่าข้างในจะใส่อะไรมาให้”

หม่าหลิวซื่ออ้าปากค้าง จากนั้นนางก็รีบฉวยแขนหลานสาวคนโตให้เร่งฝีเท้าไปพร้อม ๆ กัน “ขอบใจหลานสะใภ้มาก ที่บอกข้า”

“ไม่เป็นไรจ้า ไม่เป็นไร” หม่าจางซื่อตอบพลางยิ้มกว้างอย่างมีเลศนัย

ชาวบ้านที่ยืนอยู่แถวนั้นได้ยินเข้า จึงถามเสียงเล็ก ๆ ว่า “หลานสาวป้าสะใภ้สี่แบกตะกร้าใบใหญ่มาด้วยจริงหรือ?”

หม่าจางซื่อตอบกลับด้วยสีหน้าหัวเราะสะใจ “ข้าจะโกหกพวกเจ้าทำไมกัน? แต่ในตะกร้าใบใหญ่นั่นน่ะ มีแต่ใบไม้ใบหญ้า แถมนางยังบอกอีกนะ ว่าจะมาขอผักดองจากป้าสะใภ้สี่ไปกิน”

ผู้คนระแวกนั้นต่างพากันเข้ามาฟังด้วยความอยากรู้ และเมื่อได้ฟังอย่างนั้นแล้ว ชาวบ้านหลายคนก็เกิดความรู้สึกเห็นใจต่อครอบครัวของหม่าหลิวซื่อ และไม่คิดว่าหลานสาวของนางนั้น นอกจากจะไม่เคยมาเยี่ยมเยียนแล้ว หนำซ้ำยังมาเบียดเบียนครอบครัวของนางอีก

บางคนก็ขมวดคิ้วแน่นด้วยความโกรธ “หม่าหลิวซื่อลำบากลำบนมามากพอแล้ว ทำไมยังต้องมาเบียดเบียนนางถึงบ้านแบบนี้อีก?”

“ไม่แน่หรอกนะ เด็กคนนั้นอาจจะลำบากกว่านางก็เป็นได้”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด