อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 52 น่าโมโห

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 52 น่าโมโห at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ด้วยความที่มีเรื่องของฟางหลิวซื่อแทรกเข้ามา พวกเขาจึงรู้สึกไม่ค่อยดีนัก แต่พอมาตรงจุดที่พวกเขาเคยวางกับดักเอาไว้ รอยยิ้มก็ปรากฎออกมาได้อีกครา เพราะกับดักที่พวกเขาทำไว้นั้นเต็มไปด้วยกระต่ายป่าติดอยู่ด้านใน

หลิวถิงแก้เชือกออกอย่างเบามือ แล้วค่อย ๆ หยิบกระต่ายป่าจากกับดักใส่ลงในตะกร้าทีละตัว จากนั้นก็หันมาพูดกับมู่หยางหลิงว่า “ปู่ใหญ่ของเจ้าก็อยู่ในหมู่บ้าน ไม่มีใครกล้ามาทำอะไรแม่กับน้องชายเจ้าได้หรอก”

ด้วยความที่ฟางหลิวซื่อเป็นคนที่เด็ดขาดแถมยังเรื่องเยอะ หลิวถิงจึงพูดอะไรมากไม่ได้

มู่หยางหลิงตอบกลับน้าชายของนางขึ้นว่า “ถ้าหากว่านางไม่กลัวว่าพ่อข้าไปถล่มบ้านนางน่ะ นางก็คงจะรังแกแม่กับน้องข้าอีกนั่นแหละ ฮึ่ม!”

ถ้าหลิวฟางซื่อรู้ว่ามู่ฉือรักภรรยาของเขามากแค่ไหน นางจะต้องหาเรื่องรังแกซู่หว่านเหนียงต่อไปเรื่อย ๆ และถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ มู่ฉือคงเอาเรื่องคนทั้งตระกูลหลิวเป็นแน่ มู่หยางหลิงรู้ดีว่าความรักที่พ่อมีต่อแม่นั้นมากมายเพียงใด

แล้วหลิวเซวียนก็พูดขึ้นว่า “ป้าเล็กน่ะ ชอบรักแกผู้ที่อ่อนแอกว่า แต่ในขณะเดียวกันถ้าเจอผู้ที่แข็งแกร่งกว่า นางก็กลัวเหมือนกันนั่นแหละ เวลาที่มู่ฉือกลับเข้าหมู่บ้านมาตอนเที่ยง ๆ เนี่ย นางยังไม่กล้าสู้หน้าเขาเลย”

หลิวหยวนตบบ่าหลิวเซวียนไปทีนึง ก่อนจะทำตาเขม็งใส่เขา “พูดบ้าอะไรของเจ้า ยังไงนางเป็นป้าของเจ้านะ รีบเอาเหยื่อขึ้นมาจากกับดักให้หมด เรายังต้องไปตรวจดูกับดักอันอื่นกันอีก”

มู่หยางหลิงอมยิ้มกับภาพตรงหน้า

พอพวกเขากลับออกมาจากหุบเขา เสียงเรียกของหลิวหลางที่รออยู่ตรงตีนเขาก็ดังขึ้น “ท่านพ่อ ท่านปู่บอกให้ท่านกลับบ้านเดี๋ยวนี้เลย ไม่ต้องเข้าเมืองแล้ว”

มู่หยางหลิงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ข้ายังต้องเอาของไปส่งในเมืองอีกน่ะสิน้า เราแบ่งของกันก่อนไหมจ้ะ ข้ากะจะไม่กลับเข้าหมู่บ้านก่อน”

แล้วเรื่องที่กำลังวุ่นวายอยู่ตอนนี้นั้น ก็เป็นเพราะชายตระกูลหลิวทั้งสี่เอง ดังนั้นหลิวถิงจึงต้องกลับเข้าหมู่บ้านไป เพื่อหลีกเลี่ยงคำพูดไร้สาระที่จะตามมาอีก “ได้ เราแบ่งของกันตรงนี้เลยนะ”

มู่หยางหลิงแบ่งของใส่ตระกร้าเสร็จ ก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบกระต่ายป่าออกจากตะกร้าของตัวเองไปสองตัว จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ข้าเอาเท่านี้แหละจ้ะ ที่เหลือน้าชายแบ่งกันเลย” จากนั้นนางก็โบกมือให้หลิวหลาง แล้วเดินทางเข้าเมืองไป

หลิวถิงถอนหายใจออกมา ก่อนจะหันไปพูดกับพี่น้องอีกสามคนว่า “เกรงว่าวันพรุ่งนี้เราจะเข้าไปหาของป่ากับอาหลิงอีกไม่ได้แล้วล่ะมั้ง”

หลิวหยวนพูดออกมาด้วยความอึดอัดใจ “ถ้าเราเข้าป่ากันไปโดยไม่มีอาหลิง เราก็ไม่รู้จะทำยังไงกันจริง ๆ ถ้าต้องเจอกับพวกหมาป่ากับหมูป่าน่ะ อีกอย่าง ถ้าเราเข้าไปลึกกว่านั้น ต้องหลงป่าแน่ ๆ เลย……”

“เอาล่ะ พวกเรากลับบ้านกันก่อนเถอะ” หลิวถิงแบกตะกร้าขึ้นหลัง แล้วจูงมือหลิวหลางเดินเข้าหมู่บ้านไป

แล้วหลิวหลางก็เริ่มเล่าให้พ่อฟังว่า “ท่านพ่อ ย่าเล็กมาหาท่านปู่ถึงบ้าน มากล่าวหาว่าครอบครัวเราเนี่ย ไร้สัจจะ เอาเปรียบครอบครัวมู่แล้วยังทอดทิ้งพวกเขาอีก ทำให้ท่านย่าโกรธจัดจนทะเลาะกับนางไปยกนึง จากนั้นย่าเล็กก็เลยไปพาผู้ใหญ่บ้านมาตัดสินว่าใครผิดใครถูก”

แล้วพี่น้องทั้งสี่คนก็หันมามองหน้ากันด้วยความเบื่อหน่ายกับเรื่องนี้

พอกลับมาถึงบ้านตระกูลหลิว เสียงผู้คนมากมายก็ดังออกมาจากในสวนหลังบ้าน พวกเขาจึงพากันเดินเข้าไปดู และพบว่ามีคนมากมายเป็นสิบ ๆ คนอยู่ในสวน บวกกับเด็ก 4-5 คนที่วิ่งเล่นไล่จับกันอยู่ ส่วนฟางหลิวซื่อก็นั่งปาดน้ำตาอยู่บนเก้าอี้พลางชี้นิ้วกล่าวโทษไม่หยุด ย่าหลิวเองก็ยืนจ้องมองนางด้วยความโกรธจัด

ทุกคนที่อยู่ในสวน หันมามองชายตระกูลหลิวทั้งสี่เป็นตาเดียว พร้อมทั้งขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วหลิวเหอ ผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านหลินซาน ก็ถามพวกเขาขึ้นว่า “แล้วลูกสาวตระกูลมู่ล่ะ?”

หลิวถิงมองต่ำลง แล้วก้มคำนับ “อาหลิงเอาของไปส่งในเมืองแล้วขอรับ ผู้ใหญ่บ้านถามถึงนางมีเหตุอันใดงั้นหรือขอรับ?”

หลิวเหอคีบยาสูบขึ้นมาใส่ปาก ก่อนจะส่ายหน้า แล้วตอบกลับว่า “ไม่เป็นไร”

ทันใดนั้น ฟางหลิวซื่อก็ดีดตัวขึ้นมาจากเก้าอี้ทันที “จะไม่เป็นไรได้อย่างไรกัน? ไหนว่าจะเรียกตัวนางมาคุย แล้วให้นางพาลูกชายของข้าเข้าป่าไปหาอาหารไม่ใช่เรอะ?”

หลิวเหอถอนหายใจออกมา แล้วพูดขึ้นว่า “ข้าเคยพูดอย่างนั้นด้วยหรือ? ฟางหลิวซื่อ ข้าว่าเจ้าคงจะไม่เข้าใจที่พวกข้าพูดเท่าไหร่นะ” เขาจ้องหน้าฟางหลิวซื่อแล้วพูดต่อ “ดู ๆ ไป เจ้าเองก็เหมือนจะลืมกฎข้อบังคับของหมู่บ้านหลินซานไปแล้วด้วยสิ”

ฟางหลิวซื่อหน้าซีดผาด

แล้วหลิวเหอก็พูดต่อว่า “พวกเราชาวหลินซานล้วนเป็นหนี้บุญคุณบ้านตระกูลมู่กันมามากกว่า 68 ครัวเรือน หลายปีก่อนที่มู่ฉือพาชาวบ้านเข้าไปหาของป่า หาอาหารในหุบเขา ด้วยความที่ชาวบ้านไม่ค่อยรู้ความ จึงไม่ได้ทำเครื่องหมายย้อนกลับออกจากป่าไว้ให้เขาเลย หลังจากนั้นหมู่บ้านของเราจึงตั้งกฎขึ้นมาว่า ใครก็ตามที่อยู่ในหมู่บ้านหลินซานแห่งนี้ ห้ามเอาเปรียบคนตระกูลมู่เด็ดขาด แต่นี่เวลามันผ่านไปนานขนาดนั้นเชียวหรือ? เจ้าถึงได้กล้าออกคำสั่งให้มู่หยางหลิงพาลูกชายของเจ้าเข้าป่าน่ะ ฟางหลิวซื่อ เจ้าอยู่สุขสบายเกินไปจนลืมกฎในหมู่บ้านของเราแล้วใช่หรือไม่?”

หลิวเหอพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นมาก จากนั้นเขาก็หันไปมองหน้าเจ้าบ้านที่ตอนนี้นั่งเงียบสีหน้าเย็นชา “อาหลิงไม่มาในวันนี้ก็ดีแล้ว เพราะกฎบ้าบอนี่ก็ไม่ใช่คนตระกูลมู่บัญญัติเอาไว้เสียหน่อย เพราะฉะนั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ถ้าใครหน้าไหนที่ไปเบียดเบียนตระกูลมู่อีกละก็ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือน”

“เรื่องนี้มันเกิดขึ้นเพราะตระกูลของต้าเฉียนใช่หรือไม่?” มีคนตะโกนถามขึ้นมา “ถ้าไม่ใช่เพราะหลิวถิงเข้าป่าไปกับเด็กหญิงมู่ ก็คงไม่เกิดเรื่องวุ่นวายมากมายขนาดนี้หรอกว่าไหม?”

หลิวเหอขมวดคิ้ว แล้วหันไปมองหลิวต้าเฉียน

หลิวต้าเฉียนจึงพูดขึ้นว่า “พรุ่งนี้พวกเขาจะไม่ได้เข้าป่าไปกับอาหลิงอีกแล้วล่ะ”

“ท่านลุง” หลิวเซวียนโอดครวญขึ้นมา “อาหลิงตั้งใจพาพวกเราเข้าไปเองขอรับ เพราะนางเห็นว่าเด็ก ๆ ในหมู่บ้านล้วนมีชีวิตที่อยู่กันอย่างยากลำบาก นางจึงชวนพวกเราไปช่วยล่าสัตว์หาอาหารให้เด็ก ๆ เหล่านี้ขอรับ”

“อาหลิงหาอาหารมาแจกจ่ายให้เด็ก ๆ น่ะ ข้าเชื่อ แต่ถ้าเป็นพวกเจ้าเข้าไปช่วยเนี่ย ข้าไม่เชื่อหรอกนะ” หนึ่งในชาวบ้านก็พูดขึ้นมาอีก หนำซ้ำยังพูดต่ออีกว่า “ก่อนหน้านี้ที่อาหลิงไม่เคยพาพวกเจ้าเข้าไปในหุบเขา นางก็จุดฟืนก่อไฟมีเนื้อสัตว์ดี ๆ มาทำให้เด็ก ๆ ในหมู่บ้านได้กินกัน แต่พอนางพาพวกเจ้าเข้าหุบเขาไปด้วยในวันนี้ ข้าไม่ยักจะเห็นว่าพวกเจ้าจะมีอะไรติดไม้ติดมือกลับมาฝากเด็ก ๆ บ้างเลย”

หลิวเซวียนเริ่มโมโห “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกข้าไม่มีอะไรกลับมาฝากเด็ก ๆ เลย? พวกเราเองก็ลงเขามาพร้อม ๆ กับนางนี่ไง ไม่เห็นหรือ?”

“เอาล่ะ เอาล่ะ หยุดทะเลาะกันได้แล้ว” หลิวต้าเฉียนกล่าว “อาหลิงช่วยเหลือเด็ก ๆ ก็เพราะว่าอาหลิงเป็นคนจิตใจดี นางจะทำการอันใดมันก็เป็นสิทธิของนาง แต่ต่อจากนี้ไป พวกเจ้าก็ไม่ต้องเข้าไปในหุบเขากับอาหลิงอีก ให้เรื่องมันจบแค่นี้แหละ วางตะกร้าลงซะ แล้วก็เอาของที่หามาได้ไปแจกเด็ก ๆ ในหมู่บ้านไปกินคนละนิดคนละหน่อย”

หลิวเซวียนยอมวางตะกร้าลงบนพื้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าตอนนี้เขาจะโมโหจนเลือดขึ้นหน้าแค่ไหนก็ตาม แต่เขาก็ยังต้องเชื่อฟังคำสั่งของลุงอยู่ดี

ที่หลิวต้าเฉียนทำอย่างนั้น ก็เพราะไม่อยากให้เรื่องวุ่นวายนี้ลามไปถึงตระกูลมู่ เขาตั้งปณิทานไว้หนักแน่นว่าชาตินี้จะไม่นำพาความวุ่นวายไปสู่บ้านตระกูลมู่เป็นแน่ ถ้าหากว่าเรื่องมันแย่ลงจนมู่หยางหลิงต้องเดือดร้อนไปด้วย เขาคงจะไม่ให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิต

บรรยากาศในสวนตอนนี้ค่อนข้างอึมครึม แล้วซักพักฟางหลิวซื่อก็พึมพำขึ้นมาว่า “อาหลิงออกจะมีความสามารถ แค่พาพวกเราเข้าป่าไปด้วยแค่นี้มันจะเป็นไรไป?”

หลิวต้าเฉียนหันไปจ้องนางด้วยสายตาเยือกเย็นทันที จนฟางหลิวซื่อถึงกับก้มหัวตัวสั่นไม่กล้าปริปากต่อ แต่ในใจก็ยังรู้สึกเจ็บใจเรื่องมู่หยางหลิงอยู่

นางรู้สึกหงุดหงิดหนักกว่าเดิม เพราะการที่นางทำให้เรื่องทุกอย่างมันวุ่นวายขึ้นมาขนาดนี้ก็เพื่อต้องการบีบให้มู่หยางหลิงนำทางลูกชายทั้งสองคนของนางเข้าหุบเขาไปด้วย เพื่อที่ครอบครัวของนางจะได้มีรายได้เข้าบ้านเพิ่ม แต่ใครจะไปรู้ว่าการที่นางจ้องแต่จะหาผลประโยชน์นั้น มันกลับทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนไปด้วย เพราะไม่ใช่แค่ครอบครัวนางเท่านั้น ที่จะไม่ได้เข้าป่าไปกับมู่หยางหลิง แต่นางยังทำให้ชายบ้านตระกูลหลิวอีกสี่คนอดเข้าป่าไปอีกด้วย

เมื่อเรื่องกลับกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว มีหรือที่หลิวถิงกับพี่น้องของเขาจะไม่รู้สึกเกลียดนางเลย?

ฟางหลิวซื่อเองตอนนี้ก็รู้สึกได้ถึงสายตาของพี่สะไภ้ทั้งสองที่จ้องมองตนด้วยความโกรธจัด

ส่วนหลิวต้าเฉียนนั้นเลิกสนใจนาง แล้วหันมาพูดกับหลิวถิงลูกชายของเขาแทน “เอาเนื้อสัตว์ของพวกเจ้าไปล้างให้สะอาด แล้วเอาไปทำกับข้าวดี ๆ มาให้พวกเขาได้กินกันซะไป”

“ไม่ต้องหรอกน่า ของพวกนี้ล้วนมาจากน้ำพักน้ำแรงของพวกเขาทั้งนั้น เก็บไว้ให้หลิวหลางกับเด็ก ๆ คนอื่นกินกันเถอะ” หลิวเหอพูดพลางลุกขึ้นเตรียมตัวขอลากลับ

หลิวต้าเฉียนจึงรีบเข้าไปรั้งหลิวเหอไว้ แล้วพูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่งว่า “พี่ใหญ่รังเกียจกับข้าวบ้านข้างั้นรึ? กินข้าวกันก่อนสิ แล้วค่อยอยู่คุยกันต่อ”

หลิวเหอกับคนอื่น ๆ จึงต้องอยู่ต่อเพื่อความสบายใจของเจ้าบ้าน

แล้วหลิวถิงก็ดึงแขนลูกชายมาใกล้ ๆ ก่อนจะกัดฟันพูดเบา ๆ ว่า “ไปเรียกเด็ก ๆ ในหมู่บ้านมาให้หมดเลยนะ เดี๋ยวข้าจะจัดโต๊ะไว้ให้พวกเจ้าเอง”

หลิวจ้าวซื่อได้ยินดังนั้นจึงกระตุกแขนสามี “เจ้าจะบ้าไปแล้วเรอะ ไม่รู้ต้องใช้ข้าวมากมายขนาดไหนถึงจะพอ ไม่ต้องพูดถึงเนื้อกับผักเลยนะ ไม่พอแน่ อีกอย่าง เจ้าไม่กลัวว่าคืนนี้ท่านแม่จะโกรธเอาหรือ”

แต่หลิวถึงกลับตอบว่า “ไม่ได้ยินที่พวกเขาพูดกันเรอะ ว่าพออาหลิงเข้าป่าไปคนเดียว เด็ก ๆ ก็มีเนื้อมีผักกินกัน แต่พอพวกข้าเข้าป่าไปด้วย เด็ก ๆ กลับไม่มีอะไรกินกันเลยน่ะ ข้าเลยจะให้พวกเขาได้เห็นเด็ก ๆ ในหมู่บ้านได้กินเนื้อสัตว์ที่พวกข้าหามาให้เต็มตา เดี๋ยวเจ้าไปเข้าครัวทำผัดผักมาสองจานให้พวกผู้ใหญ่ ส่วนกับข้าวของเด็ก ๆ ให้ใส่เนื้อลงไปด้วย เนื้อสัตว์ที่พวกเราหามาได้ในวันนี้นั่นแหละ หั่นใส่ลงไปให้หมดเลย”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 52 น่าโมโห

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 52 น่าโมโห at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ด้วยความที่มีเรื่องของฟางหลิวซื่อแทรกเข้ามา พวกเขาจึงรู้สึกไม่ค่อยดีนัก แต่พอมาตรงจุดที่พวกเขาเคยวางกับดักเอาไว้ รอยยิ้มก็ปรากฎออกมาได้อีกครา เพราะกับดักที่พวกเขาทำไว้นั้นเต็มไปด้วยกระต่ายป่าติดอยู่ด้านใน

หลิวถิงแก้เชือกออกอย่างเบามือ แล้วค่อย ๆ หยิบกระต่ายป่าจากกับดักใส่ลงในตะกร้าทีละตัว จากนั้นก็หันมาพูดกับมู่หยางหลิงว่า “ปู่ใหญ่ของเจ้าก็อยู่ในหมู่บ้าน ไม่มีใครกล้ามาทำอะไรแม่กับน้องชายเจ้าได้หรอก”

ด้วยความที่ฟางหลิวซื่อเป็นคนที่เด็ดขาดแถมยังเรื่องเยอะ หลิวถิงจึงพูดอะไรมากไม่ได้

มู่หยางหลิงตอบกลับน้าชายของนางขึ้นว่า “ถ้าหากว่านางไม่กลัวว่าพ่อข้าไปถล่มบ้านนางน่ะ นางก็คงจะรังแกแม่กับน้องข้าอีกนั่นแหละ ฮึ่ม!”

ถ้าหลิวฟางซื่อรู้ว่ามู่ฉือรักภรรยาของเขามากแค่ไหน นางจะต้องหาเรื่องรังแกซู่หว่านเหนียงต่อไปเรื่อย ๆ และถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ มู่ฉือคงเอาเรื่องคนทั้งตระกูลหลิวเป็นแน่ มู่หยางหลิงรู้ดีว่าความรักที่พ่อมีต่อแม่นั้นมากมายเพียงใด

แล้วหลิวเซวียนก็พูดขึ้นว่า “ป้าเล็กน่ะ ชอบรักแกผู้ที่อ่อนแอกว่า แต่ในขณะเดียวกันถ้าเจอผู้ที่แข็งแกร่งกว่า นางก็กลัวเหมือนกันนั่นแหละ เวลาที่มู่ฉือกลับเข้าหมู่บ้านมาตอนเที่ยง ๆ เนี่ย นางยังไม่กล้าสู้หน้าเขาเลย”

หลิวหยวนตบบ่าหลิวเซวียนไปทีนึง ก่อนจะทำตาเขม็งใส่เขา “พูดบ้าอะไรของเจ้า ยังไงนางเป็นป้าของเจ้านะ รีบเอาเหยื่อขึ้นมาจากกับดักให้หมด เรายังต้องไปตรวจดูกับดักอันอื่นกันอีก”

มู่หยางหลิงอมยิ้มกับภาพตรงหน้า

พอพวกเขากลับออกมาจากหุบเขา เสียงเรียกของหลิวหลางที่รออยู่ตรงตีนเขาก็ดังขึ้น “ท่านพ่อ ท่านปู่บอกให้ท่านกลับบ้านเดี๋ยวนี้เลย ไม่ต้องเข้าเมืองแล้ว”

มู่หยางหลิงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ข้ายังต้องเอาของไปส่งในเมืองอีกน่ะสิน้า เราแบ่งของกันก่อนไหมจ้ะ ข้ากะจะไม่กลับเข้าหมู่บ้านก่อน”

แล้วเรื่องที่กำลังวุ่นวายอยู่ตอนนี้นั้น ก็เป็นเพราะชายตระกูลหลิวทั้งสี่เอง ดังนั้นหลิวถิงจึงต้องกลับเข้าหมู่บ้านไป เพื่อหลีกเลี่ยงคำพูดไร้สาระที่จะตามมาอีก “ได้ เราแบ่งของกันตรงนี้เลยนะ”

มู่หยางหลิงแบ่งของใส่ตระกร้าเสร็จ ก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบกระต่ายป่าออกจากตะกร้าของตัวเองไปสองตัว จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ข้าเอาเท่านี้แหละจ้ะ ที่เหลือน้าชายแบ่งกันเลย” จากนั้นนางก็โบกมือให้หลิวหลาง แล้วเดินทางเข้าเมืองไป

หลิวถิงถอนหายใจออกมา ก่อนจะหันไปพูดกับพี่น้องอีกสามคนว่า “เกรงว่าวันพรุ่งนี้เราจะเข้าไปหาของป่ากับอาหลิงอีกไม่ได้แล้วล่ะมั้ง”

หลิวหยวนพูดออกมาด้วยความอึดอัดใจ “ถ้าเราเข้าป่ากันไปโดยไม่มีอาหลิง เราก็ไม่รู้จะทำยังไงกันจริง ๆ ถ้าต้องเจอกับพวกหมาป่ากับหมูป่าน่ะ อีกอย่าง ถ้าเราเข้าไปลึกกว่านั้น ต้องหลงป่าแน่ ๆ เลย……”

“เอาล่ะ พวกเรากลับบ้านกันก่อนเถอะ” หลิวถิงแบกตะกร้าขึ้นหลัง แล้วจูงมือหลิวหลางเดินเข้าหมู่บ้านไป

แล้วหลิวหลางก็เริ่มเล่าให้พ่อฟังว่า “ท่านพ่อ ย่าเล็กมาหาท่านปู่ถึงบ้าน มากล่าวหาว่าครอบครัวเราเนี่ย ไร้สัจจะ เอาเปรียบครอบครัวมู่แล้วยังทอดทิ้งพวกเขาอีก ทำให้ท่านย่าโกรธจัดจนทะเลาะกับนางไปยกนึง จากนั้นย่าเล็กก็เลยไปพาผู้ใหญ่บ้านมาตัดสินว่าใครผิดใครถูก”

แล้วพี่น้องทั้งสี่คนก็หันมามองหน้ากันด้วยความเบื่อหน่ายกับเรื่องนี้

พอกลับมาถึงบ้านตระกูลหลิว เสียงผู้คนมากมายก็ดังออกมาจากในสวนหลังบ้าน พวกเขาจึงพากันเดินเข้าไปดู และพบว่ามีคนมากมายเป็นสิบ ๆ คนอยู่ในสวน บวกกับเด็ก 4-5 คนที่วิ่งเล่นไล่จับกันอยู่ ส่วนฟางหลิวซื่อก็นั่งปาดน้ำตาอยู่บนเก้าอี้พลางชี้นิ้วกล่าวโทษไม่หยุด ย่าหลิวเองก็ยืนจ้องมองนางด้วยความโกรธจัด

ทุกคนที่อยู่ในสวน หันมามองชายตระกูลหลิวทั้งสี่เป็นตาเดียว พร้อมทั้งขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วหลิวเหอ ผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านหลินซาน ก็ถามพวกเขาขึ้นว่า “แล้วลูกสาวตระกูลมู่ล่ะ?”

หลิวถิงมองต่ำลง แล้วก้มคำนับ “อาหลิงเอาของไปส่งในเมืองแล้วขอรับ ผู้ใหญ่บ้านถามถึงนางมีเหตุอันใดงั้นหรือขอรับ?”

หลิวเหอคีบยาสูบขึ้นมาใส่ปาก ก่อนจะส่ายหน้า แล้วตอบกลับว่า “ไม่เป็นไร”

ทันใดนั้น ฟางหลิวซื่อก็ดีดตัวขึ้นมาจากเก้าอี้ทันที “จะไม่เป็นไรได้อย่างไรกัน? ไหนว่าจะเรียกตัวนางมาคุย แล้วให้นางพาลูกชายของข้าเข้าป่าไปหาอาหารไม่ใช่เรอะ?”

หลิวเหอถอนหายใจออกมา แล้วพูดขึ้นว่า “ข้าเคยพูดอย่างนั้นด้วยหรือ? ฟางหลิวซื่อ ข้าว่าเจ้าคงจะไม่เข้าใจที่พวกข้าพูดเท่าไหร่นะ” เขาจ้องหน้าฟางหลิวซื่อแล้วพูดต่อ “ดู ๆ ไป เจ้าเองก็เหมือนจะลืมกฎข้อบังคับของหมู่บ้านหลินซานไปแล้วด้วยสิ”

ฟางหลิวซื่อหน้าซีดผาด

แล้วหลิวเหอก็พูดต่อว่า “พวกเราชาวหลินซานล้วนเป็นหนี้บุญคุณบ้านตระกูลมู่กันมามากกว่า 68 ครัวเรือน หลายปีก่อนที่มู่ฉือพาชาวบ้านเข้าไปหาของป่า หาอาหารในหุบเขา ด้วยความที่ชาวบ้านไม่ค่อยรู้ความ จึงไม่ได้ทำเครื่องหมายย้อนกลับออกจากป่าไว้ให้เขาเลย หลังจากนั้นหมู่บ้านของเราจึงตั้งกฎขึ้นมาว่า ใครก็ตามที่อยู่ในหมู่บ้านหลินซานแห่งนี้ ห้ามเอาเปรียบคนตระกูลมู่เด็ดขาด แต่นี่เวลามันผ่านไปนานขนาดนั้นเชียวหรือ? เจ้าถึงได้กล้าออกคำสั่งให้มู่หยางหลิงพาลูกชายของเจ้าเข้าป่าน่ะ ฟางหลิวซื่อ เจ้าอยู่สุขสบายเกินไปจนลืมกฎในหมู่บ้านของเราแล้วใช่หรือไม่?”

หลิวเหอพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นมาก จากนั้นเขาก็หันไปมองหน้าเจ้าบ้านที่ตอนนี้นั่งเงียบสีหน้าเย็นชา “อาหลิงไม่มาในวันนี้ก็ดีแล้ว เพราะกฎบ้าบอนี่ก็ไม่ใช่คนตระกูลมู่บัญญัติเอาไว้เสียหน่อย เพราะฉะนั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ถ้าใครหน้าไหนที่ไปเบียดเบียนตระกูลมู่อีกละก็ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือน”

“เรื่องนี้มันเกิดขึ้นเพราะตระกูลของต้าเฉียนใช่หรือไม่?” มีคนตะโกนถามขึ้นมา “ถ้าไม่ใช่เพราะหลิวถิงเข้าป่าไปกับเด็กหญิงมู่ ก็คงไม่เกิดเรื่องวุ่นวายมากมายขนาดนี้หรอกว่าไหม?”

หลิวเหอขมวดคิ้ว แล้วหันไปมองหลิวต้าเฉียน

หลิวต้าเฉียนจึงพูดขึ้นว่า “พรุ่งนี้พวกเขาจะไม่ได้เข้าป่าไปกับอาหลิงอีกแล้วล่ะ”

“ท่านลุง” หลิวเซวียนโอดครวญขึ้นมา “อาหลิงตั้งใจพาพวกเราเข้าไปเองขอรับ เพราะนางเห็นว่าเด็ก ๆ ในหมู่บ้านล้วนมีชีวิตที่อยู่กันอย่างยากลำบาก นางจึงชวนพวกเราไปช่วยล่าสัตว์หาอาหารให้เด็ก ๆ เหล่านี้ขอรับ”

“อาหลิงหาอาหารมาแจกจ่ายให้เด็ก ๆ น่ะ ข้าเชื่อ แต่ถ้าเป็นพวกเจ้าเข้าไปช่วยเนี่ย ข้าไม่เชื่อหรอกนะ” หนึ่งในชาวบ้านก็พูดขึ้นมาอีก หนำซ้ำยังพูดต่ออีกว่า “ก่อนหน้านี้ที่อาหลิงไม่เคยพาพวกเจ้าเข้าไปในหุบเขา นางก็จุดฟืนก่อไฟมีเนื้อสัตว์ดี ๆ มาทำให้เด็ก ๆ ในหมู่บ้านได้กินกัน แต่พอนางพาพวกเจ้าเข้าหุบเขาไปด้วยในวันนี้ ข้าไม่ยักจะเห็นว่าพวกเจ้าจะมีอะไรติดไม้ติดมือกลับมาฝากเด็ก ๆ บ้างเลย”

หลิวเซวียนเริ่มโมโห “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกข้าไม่มีอะไรกลับมาฝากเด็ก ๆ เลย? พวกเราเองก็ลงเขามาพร้อม ๆ กับนางนี่ไง ไม่เห็นหรือ?”

“เอาล่ะ เอาล่ะ หยุดทะเลาะกันได้แล้ว” หลิวต้าเฉียนกล่าว “อาหลิงช่วยเหลือเด็ก ๆ ก็เพราะว่าอาหลิงเป็นคนจิตใจดี นางจะทำการอันใดมันก็เป็นสิทธิของนาง แต่ต่อจากนี้ไป พวกเจ้าก็ไม่ต้องเข้าไปในหุบเขากับอาหลิงอีก ให้เรื่องมันจบแค่นี้แหละ วางตะกร้าลงซะ แล้วก็เอาของที่หามาได้ไปแจกเด็ก ๆ ในหมู่บ้านไปกินคนละนิดคนละหน่อย”

หลิวเซวียนยอมวางตะกร้าลงบนพื้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าตอนนี้เขาจะโมโหจนเลือดขึ้นหน้าแค่ไหนก็ตาม แต่เขาก็ยังต้องเชื่อฟังคำสั่งของลุงอยู่ดี

ที่หลิวต้าเฉียนทำอย่างนั้น ก็เพราะไม่อยากให้เรื่องวุ่นวายนี้ลามไปถึงตระกูลมู่ เขาตั้งปณิทานไว้หนักแน่นว่าชาตินี้จะไม่นำพาความวุ่นวายไปสู่บ้านตระกูลมู่เป็นแน่ ถ้าหากว่าเรื่องมันแย่ลงจนมู่หยางหลิงต้องเดือดร้อนไปด้วย เขาคงจะไม่ให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิต

บรรยากาศในสวนตอนนี้ค่อนข้างอึมครึม แล้วซักพักฟางหลิวซื่อก็พึมพำขึ้นมาว่า “อาหลิงออกจะมีความสามารถ แค่พาพวกเราเข้าป่าไปด้วยแค่นี้มันจะเป็นไรไป?”

หลิวต้าเฉียนหันไปจ้องนางด้วยสายตาเยือกเย็นทันที จนฟางหลิวซื่อถึงกับก้มหัวตัวสั่นไม่กล้าปริปากต่อ แต่ในใจก็ยังรู้สึกเจ็บใจเรื่องมู่หยางหลิงอยู่

นางรู้สึกหงุดหงิดหนักกว่าเดิม เพราะการที่นางทำให้เรื่องทุกอย่างมันวุ่นวายขึ้นมาขนาดนี้ก็เพื่อต้องการบีบให้มู่หยางหลิงนำทางลูกชายทั้งสองคนของนางเข้าหุบเขาไปด้วย เพื่อที่ครอบครัวของนางจะได้มีรายได้เข้าบ้านเพิ่ม แต่ใครจะไปรู้ว่าการที่นางจ้องแต่จะหาผลประโยชน์นั้น มันกลับทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนไปด้วย เพราะไม่ใช่แค่ครอบครัวนางเท่านั้น ที่จะไม่ได้เข้าป่าไปกับมู่หยางหลิง แต่นางยังทำให้ชายบ้านตระกูลหลิวอีกสี่คนอดเข้าป่าไปอีกด้วย

เมื่อเรื่องกลับกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว มีหรือที่หลิวถิงกับพี่น้องของเขาจะไม่รู้สึกเกลียดนางเลย?

ฟางหลิวซื่อเองตอนนี้ก็รู้สึกได้ถึงสายตาของพี่สะไภ้ทั้งสองที่จ้องมองตนด้วยความโกรธจัด

ส่วนหลิวต้าเฉียนนั้นเลิกสนใจนาง แล้วหันมาพูดกับหลิวถิงลูกชายของเขาแทน “เอาเนื้อสัตว์ของพวกเจ้าไปล้างให้สะอาด แล้วเอาไปทำกับข้าวดี ๆ มาให้พวกเขาได้กินกันซะไป”

“ไม่ต้องหรอกน่า ของพวกนี้ล้วนมาจากน้ำพักน้ำแรงของพวกเขาทั้งนั้น เก็บไว้ให้หลิวหลางกับเด็ก ๆ คนอื่นกินกันเถอะ” หลิวเหอพูดพลางลุกขึ้นเตรียมตัวขอลากลับ

หลิวต้าเฉียนจึงรีบเข้าไปรั้งหลิวเหอไว้ แล้วพูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่งว่า “พี่ใหญ่รังเกียจกับข้าวบ้านข้างั้นรึ? กินข้าวกันก่อนสิ แล้วค่อยอยู่คุยกันต่อ”

หลิวเหอกับคนอื่น ๆ จึงต้องอยู่ต่อเพื่อความสบายใจของเจ้าบ้าน

แล้วหลิวถิงก็ดึงแขนลูกชายมาใกล้ ๆ ก่อนจะกัดฟันพูดเบา ๆ ว่า “ไปเรียกเด็ก ๆ ในหมู่บ้านมาให้หมดเลยนะ เดี๋ยวข้าจะจัดโต๊ะไว้ให้พวกเจ้าเอง”

หลิวจ้าวซื่อได้ยินดังนั้นจึงกระตุกแขนสามี “เจ้าจะบ้าไปแล้วเรอะ ไม่รู้ต้องใช้ข้าวมากมายขนาดไหนถึงจะพอ ไม่ต้องพูดถึงเนื้อกับผักเลยนะ ไม่พอแน่ อีกอย่าง เจ้าไม่กลัวว่าคืนนี้ท่านแม่จะโกรธเอาหรือ”

แต่หลิวถึงกลับตอบว่า “ไม่ได้ยินที่พวกเขาพูดกันเรอะ ว่าพออาหลิงเข้าป่าไปคนเดียว เด็ก ๆ ก็มีเนื้อมีผักกินกัน แต่พอพวกข้าเข้าป่าไปด้วย เด็ก ๆ กลับไม่มีอะไรกินกันเลยน่ะ ข้าเลยจะให้พวกเขาได้เห็นเด็ก ๆ ในหมู่บ้านได้กินเนื้อสัตว์ที่พวกข้าหามาให้เต็มตา เดี๋ยวเจ้าไปเข้าครัวทำผัดผักมาสองจานให้พวกผู้ใหญ่ ส่วนกับข้าวของเด็ก ๆ ให้ใส่เนื้อลงไปด้วย เนื้อสัตว์ที่พวกเราหามาได้ในวันนี้นั่นแหละ หั่นใส่ลงไปให้หมดเลย”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+