อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 76 บอกลาหมู่บ้านหลินซาน

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 76 บอกลาหมู่บ้านหลินซาน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อมู่ฉือได้เจอหน้าหลิวเหอ เขาก็รีบเข้าไปคุยกับหลิวเหอทันที “ตอนนี้เราทุกคนต้องหนีเอาตัวรอดกันแล้ว ไม่ใช่เตรียมตัวไปเที่ยวต่างเมือง สั่งให้พวกเขาทิ้งสัมภาระที่ไม่จำเป็นไปเดี๋ยวนี้เลย ให้พวกเขาคิดกันเอาว่าจะเลือกทรัพย์สินเงินทองหรือชีวิตของตัวเอง แล้วบอกพวกเขาด้วยนะว่า ทุกคนมีเวลาครึ่งชั่วโมงก่อนออกจากที่นี่ ไม่งั้นข้าจะไม่สนใจใครแล้ว จะตามมาได้ทันหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน แต่ข้าคงไม่ชะลอฝีเท้าเพื่อรอใครเป็นแน่” มู่ฉือพูดกับหลิวเหอด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าเขาเอาจริงเอาจัง “ข้าไม่เหมือนอย่างพ่อข้ากับแม่ข้าหรอกนะ ลูกเมียข้าร่างกายอ่อนแอแบบนี้ ข้าไม่ยอมออกห่างจากพวกเขาแม้แต่ก้าวเดียว”

พูดง่าย ๆ ก็คือ มู่ฉือจะไม่ยอมเสียสละตัวเองและครอบครัวเพื่อปกป้องหมู่บ้านหลินซานนั่นเอง

สีหน้าของหลิวเหอเปลี่ยนไปทันที จากนั้นเขาจึงพูดตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะสั่งคนให้ลงไปบอกชาวบ้านเดี๋ยวนี้หละ”

มู่ฉือได้ยินดังนั้นจึงหันหลังกลับไปอยู่ข้างกายลูกเมียดังเดิม จากนั้นก็ชักมีดที่เหน็บอยู่ในเสื้อออกมา แล้วยื่นให้มู่หยางหลิง “ลูกรัก พ่อจะต้องคอยดูแลแม่กับน้อง ๆ ของเจ้าไว้ไม่ห่าง และเกรงว่าจะดูแลเจ้าได้ไม่ทัน เพราะฉะนั้นเจ้าเก็บมีดนี่ไว้ และให้อยู่ข้างพ่อตลอดเวลา เอามีดนี่ไว้คุ้มกันตัวเอง เข้าใจหรือไม่?”

มีดเล่มนั้นคืออาวุธติดตัวของมู่ฉือ ทำให้มู่หยางหลิงลังเลอยู่ครู่นึงกว่าจะยอมรับมีดเล่มนั้นมาได้ แล้วนางก็เอามันผูกไว้กับขาขวา “ท่านพ่อ เราเอาลูกธนูที่ยังมีอยู่ในบ้านไปด้วยเถอะ”

มู่ฉือพยักหน้าแล้วพูดต่อว่า “เจ้าไปเลือกท่อนไม้ที่แข็ง ๆ ขนาดเหมาะมือเจ้ามาด้วย เพราะถ้าหากว่าได้เจอกับพวกชาวหูเข้าจริง ๆ เราจะต้องเข้าไปแย่งมีดดาบของพวกมันมา พอเราได้อาวุธมาเพิ่ม โอกาสที่เราจะรอดชีวิตก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย”

มู่หยางหลิงพยักหน้ารับคำสั่งจากพ่อ จากนั้นนางก็วิ่งกลับเข้าไปเอาคันธนูและลูกดอกธนูในบ้านมาสะพายไว้ข้างหลัง แล้วนางก็เดินไปเลือกท่อนไม้ขนาดเหมาะมือมา 1 ท่อนก่อนจะใส่ลงบนรถลาก เมื่อเวลาที่ได้กำหนดไว้มาถึง ครอบครัวมู่จึงเริ่มเข็นรถลากไปตามทางหนีที่เลือกไว้ โดยไม่สนใจชาวบ้านที่ยังเก็บของกันอยู่นั้นอีกเลย

หม่าหลิวซื่อเองก็จูงมือซิ่วหงเดินเคียงข้างครอบครัวมู่ไปด้วย

เมื่อหลิวเหอได้ยินเสียงชาวบ้านที่กำลังวุ่นวายเสียงดังกันอยู่ เขาจึงตะโกนขึ้นว่า “เงียบๆกันหน่อย! พวกเจ้าจะโวยวายเสียงดังกันไปถึงเมื่อไหร่? ตระกูลมู่เขาไปกันหมดแล้ว ถ้าใครอยากจะหนีก็รีบตามพวกเขาไปซะตอนนี้ ใครที่ไม่อยากหนีก็หาที่หลบดี ๆ อย่ารอความตายอยู่ในบ้าน มิฉะนั้นพอพวกชาวหูมาถึง พวกเจ้าจะไม่มีโอกาสรอดกันอีกเลย”

เป็นเพราะหลิวเหอตะโกนขึ้นมา จึงทำให้ชาวบ้านพบว่าตระกูลมู่ทั้งหมดได้เข็นรถลากเดินไปไกลกว่าร้อยเมตรแล้ว อีกทั้งยังมีครอบครัวของหลิวต้าเฉียนกับหลิวเอ้อเฉียนเดินตามหลังตระกูลมู่ไปด้วย ฟางหลิวซื่อเห็นอย่างนั้นจึงตะโกนขึ้นว่า “พี่ใหญ่ พี่รอง พี่หญิงใหญ่ ทำไมพวกท่านทิ้งข้าไว้คนเดียวอย่างนี้ล่ะ?”

หลิวต้าเฉียนกับครอบครัวไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมามอง หลิวเหอเห็นนางตะโกนอย่างนั้นจึงพูดขึ้นว่า “เงียบเดี๋ยวนี้นะ พวกชาวหูมันอยู่บนเขาแล้ว เจ้ากลัวพวกมันจะไม่รู้รึไง ว่าพวกเราอยู่ที่นี่?”

ฟางหลิวซื่อจึงกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ในลำคอและไม่กล้าร้องโวยวายต่ออีกเลย

บัดนี้แล้วบารมีของหลิวเหอก็ยังคงอยู่เหนือใครในหมู่บ้าน เพราะแค่เขาตะคอกเสียงดังออกมา ชาวบ้านก็พากันเงียบและอยู่ในความสงบกันทันที จากนั้นหลิวเหอก็สั่งการกับทุกคนว่า “เอาไปแค่ผ้าห่มผ้านวม เสื้อกันหนาวและอาหารไปไว้กินกลางทางก็พอ นอกเหนือจากนี้ไม่ต้องเอาไปแล้ว ในระหว่างเดินทางขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ อย่าเอะอะโวยวายเสียงดังเป็นอันขาด แล้วก็พยายามเร่งฝีเท้าตามตระกูลมู่ให้ทัน”

พูดจบเขาก็หันไปคุยกับลูกชายต่อ “ภัยอันตรายกำลังจะมาถึงแล้ว ทุกคนต่างก็ต้องเอาตัวรอดกันไปให้ได้ และถึงแม้ว่าเราจะเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ถ้าระหว่างทางต้องปะทะกับพวกชาวหูเข้า ข้าขอให้ทุกคนรักษาชีวิตของตัวเองกันเอาไว้ก่อน พอพวกชาวหูมันถอยทัพกลับไป เราค่อยกลับมาที่หมู่บ้านหลินซานแห่งนี้กันอีก”

หลิวต้าจ้วงที่ยืนประคองแม่ของเขาอยู่นั้น กวาดสายตามองหน้าพี่ชายทุกคนทั้งน้ำตา ก่อนจะหันมาพยักหน้าตอบรับคำสั่งจากพ่อ

แล้วครอบครัวของหลิวเหอก็เริ่มเดินทางตามรอยตระกูลมู่ไป

เมื่อชาวบ้านเห็นว่าครอบครัวของผู้ใหญ่บ้านพากันเดินตามครอบครัวมู่ไปแล้ว  ส่วนคนอื่น ๆ ก็แบกของหนีตามครอบครัวมู่ไปหมดแล้ว

และด้วยความที่พื้นดินถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน พอแสงจันทร์ตกกระทบลงมา พื้นหิมะนั่นส่องประกายสว่างวิบวับ ทำให้ทุกคนสามารถมองเห็นทางได้ชัดเจนแม้ว่าจะไม่ได้จุดคบไฟเดิน และอุปสรรคเดียวในตอนนี้ก็มีเพียงแค่อากาศที่หนาวเหน็บนี้เท่านั้น

มู่หยางหลิงหันหลังกลับไปมอง ก็พบว่าด้านหลังแถวนั้นล้วนแล้วแต่เป็นชาวบ้านในหมู่บ้านหลินซานที่เดินตามพวกเขามา และด้วยจำนวนคนที่มากกว่า 300 คนนั้น ทำให้ขบวนแถวยาวเหยียดจนมองไม่เห็นปลายแถวเลยทีเดียว

มู่หยางหลิงเคยเข้าเรียนในโรงเรียนเตรียมทหารมาก่อน นางจึงรู้ว่าถ้าต้องเผชิญหน้ากับพวกชาวหูเข้า แล้วเกิดพวกมันพุ่งตัวเข้ามาจะฆ่านาง นางคงต้องตายสถานเดียว ทางที่ดีที่สุดคือต้องชะลอฝีเท้า เพื่อรอให้ชาวบ้านตามมาให้ทัน จะได้จัดกลุ่มตั้งรับพวกมันไว้ได้

เมื่อมู่หยางหลิงเงยหน้าเห็นทางด้านหน้าที่ใกล้จะเข้าสู่ถนนเส้นใหญ่แล้ว นางจึงจับแขนของมู่ฉือไว้แล้วพูดเสียงเบา ๆ ว่า “ท่านพ่อ เราจะเข้าไปในทันทีไม่ได้นะ ถ้าหากว่าพวกชาวหูอยู่บนถนนเส้นใหญ่ก่อนแล้ว เราจะต้องปะทะกับมันตัวต่อตัวแน่ ตอนนี้ด้านหลังของเราก็มีชายหนุ่มแค่ 10 คนเห็นจะได้ แต่นี่ก็ยังไม่มากพอที่จะตั้งรับกับพวกชาวหูได้หรอกนะท่านพ่อ รอชาวบ้านที่เหลืออีกหน่อยเถิด รอให้พวกเขามาถึงแล้วขอให้ผู้ใหญ่บ้านจัดสรรคนหนุ่มไว้เป็นกลุ่ม ๆ เพื่อคอยปกป้องกลุ่มผู้หญิง คนเฒ่าคนแก่และเด็ก ๆ หรือถ้าให้ดีกว่านั้นก็หาคนไปดูต้นทางหน่อย ดีกว่าเดินกันไปโดยที่ไม่รู้ว่าทางข้างหน้าเป็นอย่างไร อย่างน้อยจะได้แน่ใจก่อนว่าทางข้างหน้าจะทำให้เราหนีรอดกันได้หรือไม่”

มู่ฉือชำนาญทางก็จริง แต่เขากลับไม่รู้เรื่องการตั้งรับหรือรูปแบบการเดินทัพทางทหารเลย เมื่อเขาได้ยินลูกสาวพูดอย่างนั้น เขาก็ครุ่นคิดอยู่ครู่นึง และพลันนึกถึงตอนที่ลูกสาวเข้าป่าล่าสัตว์โดยใช้กลเม็ดต่าง ๆ ได้อย่างช่ำชอง เขาจึงคิดว่าลูกสาวของเขาน่าจะมีพรสวรรค์ทางด้านการวางแผนตั้งรับอะไรพวกนี้จริง ๆ มู่ฉือจึงพยักหน้าเห็นด้วยกับลูกสาวทันที “เอาอย่างเจ้าว่าเลย แต่ครอบครัวเรามีแค่พ่อคนเดียวเท่านั้นที่เป็นชาย อีกอย่างแนวคิดนี้เราก็เป็นคนคิดมันขึ้นมา ยังไงครอบครัวเราก็ต้องอาสาออกไปคนนึงอยู่ดี”

เวลานี้มู่ฉือคิดหนักมาก เพราะเขาไม่อยากออกห่างลูกเมียของเขาเลยแม้แต่ก้าวเดียว และเขาก็ไม่อยากไปตายอยู่ด่านหน้าโดยทิ้งลูกเมียไว้ข้างหลังให้เผชิญอันตรายกันต่อไปเพียงลำพังด้วย

มู่หยางหลิงมองไปที่แม่กับน้อง ๆ ของนาง และเห็นว่าพวกเขาสามารถอยู่กันได้อย่างสงบนิ่งดีแล้ว ทั้งที่สีหน้าของน้อง ๆ ยังดูตื่นตระหนกอยู่บ้าง ส่วนหม่าหลิวซื่อกับหม่าซิ่วหงก็ติดตามพวกเขาอยู่ข้าง ๆ ตลอดด้วยความเชื่อมั่นในตระกูลมู่ มู่หยางหลิงจึงหันมาพูดกับมู่ฉือว่า “ท่านพ่อ ให้ข้าไปเถอะ ข้าเป็นนักล่า ข้าย่อมรับมือไหวกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ท่านอยู่ดูแลทางนี้ก็พอ”

“ไม่ได้เด็ดขาด” ซู่หว่านเหนียงห้ามปรามเสียงแข็ง อีกทั้งยังเกือบจะยื่นมือออกมาคว้าตัวมู่หยางหลิงไว้ด้วย “เจ้าเป็นเด็กเป็นเล็ก จะไปทำเรื่องเสี่ยงชีวิตอย่างนั้นได้ยังไง? พวกชาวหูกับสัตว์ร้ายในป่ามันไม่เหมือนกันหรอกนะ”

“ท่านแม่ ข้าออกจะปราดเปรียวคล่องแคล่วว่องไว ไม่เชื่อท่านก็ลองถามท่านพ่อดูสิ เพราะถ้าหากว่ามีอันตรายอยู่เบื้องหน้า ข้าก็วิ่งเข้าป่าหนีไปได้อยู่ดี จะมีใครจะรู้จักผืนป่านี้ได้เท่าข้าอีกงั้นหรือ? ท่ามกลางคนนับร้อย จะต้องมีซักคนนึงแหละ ที่ยอมเสียสละดูต้นทาง” พูดจบนางก็หันไปเกลี้ยกล่อมมู่ฉือต่อ “ท่านพ่อ ท่านรู้ดีถึงพละกำลังของข้าที่สุดแล้ว วิชากังฟูของข้าก็ไม่เป็นรองใคร ชายธรรมดา 3-5 คนยังเข้าใกล้ข้าไม่ได้เลยและถึงแม้ว่าจะเป็นพวกชาวหู อย่างมากก็แค่แรงเยอะกว่าชาวฮั่นนิดหน่อยเท่านั้นเอง ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้านะ”

แต่มู่ฉือก็หันไปมองแถวที่ยาวเหยียดด้านหลังโดยไม่พูดอะไรต่อ จนมู่หยางหลิงต้องงัดไม้ตายออกมา “ถ้าหากว่าไม่มีใครไปจริง ๆ ละก็ ครอบครัวเราก็จะเป็นครอบครัวแรกที่เดินเข้าถนนเส้นใหญ่ แล้วถ้าต้องเจอกับพวกชาวหูเข้าล่ะ ท่านแม่กับน้อง ๆ จะเป็นยังไง”

แน่นอนว่าซู่หว่านเหนียงในตอนนี้แค่เดินเร็ว ๆ ยังแทบจะเดินไม่ได้ หนำซ้ำยังมีเด็กแฝดที่เพิ่งคลอดออกมาไม่ถึงเดือนอีก ถ้าหากว่าพวกชาวหูมันพุ่งเข้าใส่ครอบครัวมู่ละก็ มู่ฉือจะดูแลปกป้องทุกคนได้ทั่วถึงอย่างนั้นหรือ? ถึงจะมีมู่หยางหลิงอยู่ช่วยอีกแรงก็ยังไม่รอดจากมือพวกชาวหูไปได้แน่ ๆ

เพราะฉะนั้น ทางที่ดีที่สุดคือต้องล่วงรู้สถานการณ์เบื้องหน้าก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าทางข้างหน้าสะดวกจริง ๆ ถ้าเกิดว่ามีพวกชาวหูอยู่บนถนนเส้นใหญ่ ทุกคนก็จะหนีกันไปทางอื่นแทน แต่ถ้าหนีไปทางอื่นไม่ได้ ก็ยังพอให้ภรรยากับลูกได้ตั้งหลักรออยู่ข้างหลังไปก่อน

มู่ฉือคิดแล้วก็ต้องยอมให้ลูกสาวไป เขาลูบหัวมู่หยางหลิงทั้งน้ำตา “งั้นเจ้าต้องระวังให้มาก ๆ นะอาหลิง ถ้าหากว่าต้องเจอกับอันตรายเข้า ให้เจ้าหนีเข้าหุบเขาไปก่อนเลย ไม่ต้องสนใจคนอื่นแล้ว เอาชีวิตตัวเองให้รอดไปก่อนเลย”

มู่หยางหลิงพยักหน้าตอบรับ

จากนั้นมู่ฉือจึงหันกลับหลังมองหาหลิวเหอ

พอชาวบ้านเดินตามกันมาทัน หลิวเหอจึงพาคนเฒ่าคนแก่ออกมารวมตัวกันเป็นกลุ่มไว้ แล้วบอกกับพวกเขาว่า “เจ้าฉือบอกข้ามาว่า เราจะเดินตามกันเป็นแถวเดียวแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นเราอาจจะโดนพวกชาวหูฆ่าฟันเหมือนหั่นแตงเอาได้ ดังนั้นเราจึงต้องแบ่งกลุ่มกันอย่างนี้ไปนะ ข้ากับต้าเฉียนและเอ้อเฉียนได้หารือกันแล้ว เราจะแบ่งกลุ่ม 5 กลุ่มตามเดิมเหมือนตอนล่าสัตว์ ก่อนหน้านี้บ้านไหนได้อยู่กลุ่มเดียวกันกับบ้านไหน ให้อกกมารวมตัวกันไว้เลยตอนนี้ แล้วให้ทุก ๆ กลุ่มเอาคนเฒ่าคนแก่และเด็กไว้ตรงกลาง ส่วนคนหนุ่มสาวให้ถือของที่พอจะเป็นอาวุธได้ล้อมรอบเอาไว้ เราจะมุ่งหน้าไปทางฝั่งตะวันตก และหวังว่าคืนนี้เราจะสามารถเดินทางไปถึงเมืองหลวงได้อย่างปลอดภัยกันทุกคนนะ ขอให้ทุกคนอดทนกันไปให้ถึงเมืองหลวง แล้วพวกเราทุกคนจะปลอดภัย”

ชาวบ้านต่างรับฟังคำสั่งของผู้ใหญ่บ้าน และในตอนนี้คนหนุ่มสาวทั้งหลายก็ต้องน้อมรับคำสั่งและปฏิบัติอย่างเต็มที่กันต่อไป ไม่นาน ชาวบ้านที่เดินตามกันมาเป็นขบวนก่อนหน้านี้ ก็แยกตัวกันจนกลายเป็นกลุ่มก้อนตามคำสั่ง

ตัดภาพมาที่มู่ฉือ เขาเองก็คัดเลือกคนมาเพิ่มอีก 6 คน เพื่อให้ติดตามมู่หยางหลิงไปสังเกตการณ์เบื้องหน้า

คนที่มู่ฉือคัดเลือกมาล้วนเป็นคนที่เคยติดตามมู่หยางหลิงเข้าป่าในหุบเขามาแล้วทั้งสิ้น ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นคนที่ปฏิบัติตามคำสั่งของมู่หยางหลิงได้อย่างเคร่งครัด แล้วกลุ่มคนทั้ง 7 คนนี้ก็เริ่มแยกตัวออกจากครอบครัว เพื่อเดินหน้าเข้าหาถนนเส้นใหญ่

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 76 บอกลาหมู่บ้านหลินซาน

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 76 บอกลาหมู่บ้านหลินซาน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อมู่ฉือได้เจอหน้าหลิวเหอ เขาก็รีบเข้าไปคุยกับหลิวเหอทันที “ตอนนี้เราทุกคนต้องหนีเอาตัวรอดกันแล้ว ไม่ใช่เตรียมตัวไปเที่ยวต่างเมือง สั่งให้พวกเขาทิ้งสัมภาระที่ไม่จำเป็นไปเดี๋ยวนี้เลย ให้พวกเขาคิดกันเอาว่าจะเลือกทรัพย์สินเงินทองหรือชีวิตของตัวเอง แล้วบอกพวกเขาด้วยนะว่า ทุกคนมีเวลาครึ่งชั่วโมงก่อนออกจากที่นี่ ไม่งั้นข้าจะไม่สนใจใครแล้ว จะตามมาได้ทันหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน แต่ข้าคงไม่ชะลอฝีเท้าเพื่อรอใครเป็นแน่” มู่ฉือพูดกับหลิวเหอด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าเขาเอาจริงเอาจัง “ข้าไม่เหมือนอย่างพ่อข้ากับแม่ข้าหรอกนะ ลูกเมียข้าร่างกายอ่อนแอแบบนี้ ข้าไม่ยอมออกห่างจากพวกเขาแม้แต่ก้าวเดียว”

พูดง่าย ๆ ก็คือ มู่ฉือจะไม่ยอมเสียสละตัวเองและครอบครัวเพื่อปกป้องหมู่บ้านหลินซานนั่นเอง

สีหน้าของหลิวเหอเปลี่ยนไปทันที จากนั้นเขาจึงพูดตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะสั่งคนให้ลงไปบอกชาวบ้านเดี๋ยวนี้หละ”

มู่ฉือได้ยินดังนั้นจึงหันหลังกลับไปอยู่ข้างกายลูกเมียดังเดิม จากนั้นก็ชักมีดที่เหน็บอยู่ในเสื้อออกมา แล้วยื่นให้มู่หยางหลิง “ลูกรัก พ่อจะต้องคอยดูแลแม่กับน้อง ๆ ของเจ้าไว้ไม่ห่าง และเกรงว่าจะดูแลเจ้าได้ไม่ทัน เพราะฉะนั้นเจ้าเก็บมีดนี่ไว้ และให้อยู่ข้างพ่อตลอดเวลา เอามีดนี่ไว้คุ้มกันตัวเอง เข้าใจหรือไม่?”

มีดเล่มนั้นคืออาวุธติดตัวของมู่ฉือ ทำให้มู่หยางหลิงลังเลอยู่ครู่นึงกว่าจะยอมรับมีดเล่มนั้นมาได้ แล้วนางก็เอามันผูกไว้กับขาขวา “ท่านพ่อ เราเอาลูกธนูที่ยังมีอยู่ในบ้านไปด้วยเถอะ”

มู่ฉือพยักหน้าแล้วพูดต่อว่า “เจ้าไปเลือกท่อนไม้ที่แข็ง ๆ ขนาดเหมาะมือเจ้ามาด้วย เพราะถ้าหากว่าได้เจอกับพวกชาวหูเข้าจริง ๆ เราจะต้องเข้าไปแย่งมีดดาบของพวกมันมา พอเราได้อาวุธมาเพิ่ม โอกาสที่เราจะรอดชีวิตก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย”

มู่หยางหลิงพยักหน้ารับคำสั่งจากพ่อ จากนั้นนางก็วิ่งกลับเข้าไปเอาคันธนูและลูกดอกธนูในบ้านมาสะพายไว้ข้างหลัง แล้วนางก็เดินไปเลือกท่อนไม้ขนาดเหมาะมือมา 1 ท่อนก่อนจะใส่ลงบนรถลาก เมื่อเวลาที่ได้กำหนดไว้มาถึง ครอบครัวมู่จึงเริ่มเข็นรถลากไปตามทางหนีที่เลือกไว้ โดยไม่สนใจชาวบ้านที่ยังเก็บของกันอยู่นั้นอีกเลย

หม่าหลิวซื่อเองก็จูงมือซิ่วหงเดินเคียงข้างครอบครัวมู่ไปด้วย

เมื่อหลิวเหอได้ยินเสียงชาวบ้านที่กำลังวุ่นวายเสียงดังกันอยู่ เขาจึงตะโกนขึ้นว่า “เงียบๆกันหน่อย! พวกเจ้าจะโวยวายเสียงดังกันไปถึงเมื่อไหร่? ตระกูลมู่เขาไปกันหมดแล้ว ถ้าใครอยากจะหนีก็รีบตามพวกเขาไปซะตอนนี้ ใครที่ไม่อยากหนีก็หาที่หลบดี ๆ อย่ารอความตายอยู่ในบ้าน มิฉะนั้นพอพวกชาวหูมาถึง พวกเจ้าจะไม่มีโอกาสรอดกันอีกเลย”

เป็นเพราะหลิวเหอตะโกนขึ้นมา จึงทำให้ชาวบ้านพบว่าตระกูลมู่ทั้งหมดได้เข็นรถลากเดินไปไกลกว่าร้อยเมตรแล้ว อีกทั้งยังมีครอบครัวของหลิวต้าเฉียนกับหลิวเอ้อเฉียนเดินตามหลังตระกูลมู่ไปด้วย ฟางหลิวซื่อเห็นอย่างนั้นจึงตะโกนขึ้นว่า “พี่ใหญ่ พี่รอง พี่หญิงใหญ่ ทำไมพวกท่านทิ้งข้าไว้คนเดียวอย่างนี้ล่ะ?”

หลิวต้าเฉียนกับครอบครัวไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมามอง หลิวเหอเห็นนางตะโกนอย่างนั้นจึงพูดขึ้นว่า “เงียบเดี๋ยวนี้นะ พวกชาวหูมันอยู่บนเขาแล้ว เจ้ากลัวพวกมันจะไม่รู้รึไง ว่าพวกเราอยู่ที่นี่?”

ฟางหลิวซื่อจึงกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ในลำคอและไม่กล้าร้องโวยวายต่ออีกเลย

บัดนี้แล้วบารมีของหลิวเหอก็ยังคงอยู่เหนือใครในหมู่บ้าน เพราะแค่เขาตะคอกเสียงดังออกมา ชาวบ้านก็พากันเงียบและอยู่ในความสงบกันทันที จากนั้นหลิวเหอก็สั่งการกับทุกคนว่า “เอาไปแค่ผ้าห่มผ้านวม เสื้อกันหนาวและอาหารไปไว้กินกลางทางก็พอ นอกเหนือจากนี้ไม่ต้องเอาไปแล้ว ในระหว่างเดินทางขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ อย่าเอะอะโวยวายเสียงดังเป็นอันขาด แล้วก็พยายามเร่งฝีเท้าตามตระกูลมู่ให้ทัน”

พูดจบเขาก็หันไปคุยกับลูกชายต่อ “ภัยอันตรายกำลังจะมาถึงแล้ว ทุกคนต่างก็ต้องเอาตัวรอดกันไปให้ได้ และถึงแม้ว่าเราจะเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ถ้าระหว่างทางต้องปะทะกับพวกชาวหูเข้า ข้าขอให้ทุกคนรักษาชีวิตของตัวเองกันเอาไว้ก่อน พอพวกชาวหูมันถอยทัพกลับไป เราค่อยกลับมาที่หมู่บ้านหลินซานแห่งนี้กันอีก”

หลิวต้าจ้วงที่ยืนประคองแม่ของเขาอยู่นั้น กวาดสายตามองหน้าพี่ชายทุกคนทั้งน้ำตา ก่อนจะหันมาพยักหน้าตอบรับคำสั่งจากพ่อ

แล้วครอบครัวของหลิวเหอก็เริ่มเดินทางตามรอยตระกูลมู่ไป

เมื่อชาวบ้านเห็นว่าครอบครัวของผู้ใหญ่บ้านพากันเดินตามครอบครัวมู่ไปแล้ว  ส่วนคนอื่น ๆ ก็แบกของหนีตามครอบครัวมู่ไปหมดแล้ว

และด้วยความที่พื้นดินถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน พอแสงจันทร์ตกกระทบลงมา พื้นหิมะนั่นส่องประกายสว่างวิบวับ ทำให้ทุกคนสามารถมองเห็นทางได้ชัดเจนแม้ว่าจะไม่ได้จุดคบไฟเดิน และอุปสรรคเดียวในตอนนี้ก็มีเพียงแค่อากาศที่หนาวเหน็บนี้เท่านั้น

มู่หยางหลิงหันหลังกลับไปมอง ก็พบว่าด้านหลังแถวนั้นล้วนแล้วแต่เป็นชาวบ้านในหมู่บ้านหลินซานที่เดินตามพวกเขามา และด้วยจำนวนคนที่มากกว่า 300 คนนั้น ทำให้ขบวนแถวยาวเหยียดจนมองไม่เห็นปลายแถวเลยทีเดียว

มู่หยางหลิงเคยเข้าเรียนในโรงเรียนเตรียมทหารมาก่อน นางจึงรู้ว่าถ้าต้องเผชิญหน้ากับพวกชาวหูเข้า แล้วเกิดพวกมันพุ่งตัวเข้ามาจะฆ่านาง นางคงต้องตายสถานเดียว ทางที่ดีที่สุดคือต้องชะลอฝีเท้า เพื่อรอให้ชาวบ้านตามมาให้ทัน จะได้จัดกลุ่มตั้งรับพวกมันไว้ได้

เมื่อมู่หยางหลิงเงยหน้าเห็นทางด้านหน้าที่ใกล้จะเข้าสู่ถนนเส้นใหญ่แล้ว นางจึงจับแขนของมู่ฉือไว้แล้วพูดเสียงเบา ๆ ว่า “ท่านพ่อ เราจะเข้าไปในทันทีไม่ได้นะ ถ้าหากว่าพวกชาวหูอยู่บนถนนเส้นใหญ่ก่อนแล้ว เราจะต้องปะทะกับมันตัวต่อตัวแน่ ตอนนี้ด้านหลังของเราก็มีชายหนุ่มแค่ 10 คนเห็นจะได้ แต่นี่ก็ยังไม่มากพอที่จะตั้งรับกับพวกชาวหูได้หรอกนะท่านพ่อ รอชาวบ้านที่เหลืออีกหน่อยเถิด รอให้พวกเขามาถึงแล้วขอให้ผู้ใหญ่บ้านจัดสรรคนหนุ่มไว้เป็นกลุ่ม ๆ เพื่อคอยปกป้องกลุ่มผู้หญิง คนเฒ่าคนแก่และเด็ก ๆ หรือถ้าให้ดีกว่านั้นก็หาคนไปดูต้นทางหน่อย ดีกว่าเดินกันไปโดยที่ไม่รู้ว่าทางข้างหน้าเป็นอย่างไร อย่างน้อยจะได้แน่ใจก่อนว่าทางข้างหน้าจะทำให้เราหนีรอดกันได้หรือไม่”

มู่ฉือชำนาญทางก็จริง แต่เขากลับไม่รู้เรื่องการตั้งรับหรือรูปแบบการเดินทัพทางทหารเลย เมื่อเขาได้ยินลูกสาวพูดอย่างนั้น เขาก็ครุ่นคิดอยู่ครู่นึง และพลันนึกถึงตอนที่ลูกสาวเข้าป่าล่าสัตว์โดยใช้กลเม็ดต่าง ๆ ได้อย่างช่ำชอง เขาจึงคิดว่าลูกสาวของเขาน่าจะมีพรสวรรค์ทางด้านการวางแผนตั้งรับอะไรพวกนี้จริง ๆ มู่ฉือจึงพยักหน้าเห็นด้วยกับลูกสาวทันที “เอาอย่างเจ้าว่าเลย แต่ครอบครัวเรามีแค่พ่อคนเดียวเท่านั้นที่เป็นชาย อีกอย่างแนวคิดนี้เราก็เป็นคนคิดมันขึ้นมา ยังไงครอบครัวเราก็ต้องอาสาออกไปคนนึงอยู่ดี”

เวลานี้มู่ฉือคิดหนักมาก เพราะเขาไม่อยากออกห่างลูกเมียของเขาเลยแม้แต่ก้าวเดียว และเขาก็ไม่อยากไปตายอยู่ด่านหน้าโดยทิ้งลูกเมียไว้ข้างหลังให้เผชิญอันตรายกันต่อไปเพียงลำพังด้วย

มู่หยางหลิงมองไปที่แม่กับน้อง ๆ ของนาง และเห็นว่าพวกเขาสามารถอยู่กันได้อย่างสงบนิ่งดีแล้ว ทั้งที่สีหน้าของน้อง ๆ ยังดูตื่นตระหนกอยู่บ้าง ส่วนหม่าหลิวซื่อกับหม่าซิ่วหงก็ติดตามพวกเขาอยู่ข้าง ๆ ตลอดด้วยความเชื่อมั่นในตระกูลมู่ มู่หยางหลิงจึงหันมาพูดกับมู่ฉือว่า “ท่านพ่อ ให้ข้าไปเถอะ ข้าเป็นนักล่า ข้าย่อมรับมือไหวกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ท่านอยู่ดูแลทางนี้ก็พอ”

“ไม่ได้เด็ดขาด” ซู่หว่านเหนียงห้ามปรามเสียงแข็ง อีกทั้งยังเกือบจะยื่นมือออกมาคว้าตัวมู่หยางหลิงไว้ด้วย “เจ้าเป็นเด็กเป็นเล็ก จะไปทำเรื่องเสี่ยงชีวิตอย่างนั้นได้ยังไง? พวกชาวหูกับสัตว์ร้ายในป่ามันไม่เหมือนกันหรอกนะ”

“ท่านแม่ ข้าออกจะปราดเปรียวคล่องแคล่วว่องไว ไม่เชื่อท่านก็ลองถามท่านพ่อดูสิ เพราะถ้าหากว่ามีอันตรายอยู่เบื้องหน้า ข้าก็วิ่งเข้าป่าหนีไปได้อยู่ดี จะมีใครจะรู้จักผืนป่านี้ได้เท่าข้าอีกงั้นหรือ? ท่ามกลางคนนับร้อย จะต้องมีซักคนนึงแหละ ที่ยอมเสียสละดูต้นทาง” พูดจบนางก็หันไปเกลี้ยกล่อมมู่ฉือต่อ “ท่านพ่อ ท่านรู้ดีถึงพละกำลังของข้าที่สุดแล้ว วิชากังฟูของข้าก็ไม่เป็นรองใคร ชายธรรมดา 3-5 คนยังเข้าใกล้ข้าไม่ได้เลยและถึงแม้ว่าจะเป็นพวกชาวหู อย่างมากก็แค่แรงเยอะกว่าชาวฮั่นนิดหน่อยเท่านั้นเอง ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้านะ”

แต่มู่ฉือก็หันไปมองแถวที่ยาวเหยียดด้านหลังโดยไม่พูดอะไรต่อ จนมู่หยางหลิงต้องงัดไม้ตายออกมา “ถ้าหากว่าไม่มีใครไปจริง ๆ ละก็ ครอบครัวเราก็จะเป็นครอบครัวแรกที่เดินเข้าถนนเส้นใหญ่ แล้วถ้าต้องเจอกับพวกชาวหูเข้าล่ะ ท่านแม่กับน้อง ๆ จะเป็นยังไง”

แน่นอนว่าซู่หว่านเหนียงในตอนนี้แค่เดินเร็ว ๆ ยังแทบจะเดินไม่ได้ หนำซ้ำยังมีเด็กแฝดที่เพิ่งคลอดออกมาไม่ถึงเดือนอีก ถ้าหากว่าพวกชาวหูมันพุ่งเข้าใส่ครอบครัวมู่ละก็ มู่ฉือจะดูแลปกป้องทุกคนได้ทั่วถึงอย่างนั้นหรือ? ถึงจะมีมู่หยางหลิงอยู่ช่วยอีกแรงก็ยังไม่รอดจากมือพวกชาวหูไปได้แน่ ๆ

เพราะฉะนั้น ทางที่ดีที่สุดคือต้องล่วงรู้สถานการณ์เบื้องหน้าก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าทางข้างหน้าสะดวกจริง ๆ ถ้าเกิดว่ามีพวกชาวหูอยู่บนถนนเส้นใหญ่ ทุกคนก็จะหนีกันไปทางอื่นแทน แต่ถ้าหนีไปทางอื่นไม่ได้ ก็ยังพอให้ภรรยากับลูกได้ตั้งหลักรออยู่ข้างหลังไปก่อน

มู่ฉือคิดแล้วก็ต้องยอมให้ลูกสาวไป เขาลูบหัวมู่หยางหลิงทั้งน้ำตา “งั้นเจ้าต้องระวังให้มาก ๆ นะอาหลิง ถ้าหากว่าต้องเจอกับอันตรายเข้า ให้เจ้าหนีเข้าหุบเขาไปก่อนเลย ไม่ต้องสนใจคนอื่นแล้ว เอาชีวิตตัวเองให้รอดไปก่อนเลย”

มู่หยางหลิงพยักหน้าตอบรับ

จากนั้นมู่ฉือจึงหันกลับหลังมองหาหลิวเหอ

พอชาวบ้านเดินตามกันมาทัน หลิวเหอจึงพาคนเฒ่าคนแก่ออกมารวมตัวกันเป็นกลุ่มไว้ แล้วบอกกับพวกเขาว่า “เจ้าฉือบอกข้ามาว่า เราจะเดินตามกันเป็นแถวเดียวแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นเราอาจจะโดนพวกชาวหูฆ่าฟันเหมือนหั่นแตงเอาได้ ดังนั้นเราจึงต้องแบ่งกลุ่มกันอย่างนี้ไปนะ ข้ากับต้าเฉียนและเอ้อเฉียนได้หารือกันแล้ว เราจะแบ่งกลุ่ม 5 กลุ่มตามเดิมเหมือนตอนล่าสัตว์ ก่อนหน้านี้บ้านไหนได้อยู่กลุ่มเดียวกันกับบ้านไหน ให้อกกมารวมตัวกันไว้เลยตอนนี้ แล้วให้ทุก ๆ กลุ่มเอาคนเฒ่าคนแก่และเด็กไว้ตรงกลาง ส่วนคนหนุ่มสาวให้ถือของที่พอจะเป็นอาวุธได้ล้อมรอบเอาไว้ เราจะมุ่งหน้าไปทางฝั่งตะวันตก และหวังว่าคืนนี้เราจะสามารถเดินทางไปถึงเมืองหลวงได้อย่างปลอดภัยกันทุกคนนะ ขอให้ทุกคนอดทนกันไปให้ถึงเมืองหลวง แล้วพวกเราทุกคนจะปลอดภัย”

ชาวบ้านต่างรับฟังคำสั่งของผู้ใหญ่บ้าน และในตอนนี้คนหนุ่มสาวทั้งหลายก็ต้องน้อมรับคำสั่งและปฏิบัติอย่างเต็มที่กันต่อไป ไม่นาน ชาวบ้านที่เดินตามกันมาเป็นขบวนก่อนหน้านี้ ก็แยกตัวกันจนกลายเป็นกลุ่มก้อนตามคำสั่ง

ตัดภาพมาที่มู่ฉือ เขาเองก็คัดเลือกคนมาเพิ่มอีก 6 คน เพื่อให้ติดตามมู่หยางหลิงไปสังเกตการณ์เบื้องหน้า

คนที่มู่ฉือคัดเลือกมาล้วนเป็นคนที่เคยติดตามมู่หยางหลิงเข้าป่าในหุบเขามาแล้วทั้งสิ้น ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นคนที่ปฏิบัติตามคำสั่งของมู่หยางหลิงได้อย่างเคร่งครัด แล้วกลุ่มคนทั้ง 7 คนนี้ก็เริ่มแยกตัวออกจากครอบครัว เพื่อเดินหน้าเข้าหาถนนเส้นใหญ่

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+