อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 8 ราคาธัญพืช

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 8 ราคาธัญพืช at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฝีมือการแล่เนื้อของฉังขายหมูมีความแม่นยำมาก แล่ครั้งเดียวหมูสามชั้นหนึ่งชั่งก็ออกมาตรงเป๊ะๆไม่มีเกินหรือขาดสักนิด หลังจากแล่หมูสามชั้นและซี่โครงเสร็จก็ใช้เชือกมัดแล้วส่งไปให้มู่หยางหลิง

มู่หยางหลิงเงยหน้าขึ้นมองพ่อ มู่ฉือมองเธอด้วยรอยยิ้ม จากนั้นมู่หยางหลิงก็หยิบเงินในถุงเงินส่งไปให้ฉังขายหมูด้วยรอยยิ้ม

ฉังขายหมูยิ้มแล้วพูดว่า " เก่งจังเลย ตอนนี้ลูกสาวสามารถช่วยดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายให้แล้วนี่ ลูกสาวของมู่ฉือคนนี้เก่งและเยี่ยมจริงๆ "

มู่ฉือรู้สึกภาคภูมิใจจนยืดอกขึ้นเล็กน้อย หลังจากโบกมือลาฉังขายหมูแล้วก็ตรงไปยังร้านขายธัญพืช

ราคาธัญพืชสูงขึ้นอีกแล้ว มู่ฉือขมวดคิ้วและรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พูดกับพ่อค้าว่า " ข้าอยากได้ข้าวฟ่างยี่สิบชั่ง ข้าวสารสองเจี๊ยะ แป้งบะหมี่ขาวและแป้งบะหมี่ดำอย่างละหกสิบชั่ง ”

พ่อค้าขมวดคิ้วแล้วจ้องมองมู่ฉือด้วยความประหลาดใจ

มู่ฉือจับศีรษะของตัวเองแล้วยิ้มอย่างเขินอาย “ บ้านข้าไม่ได้ทำการปลูกธัญพืชใดๆเลยอาศัยแต่การซื้อจากข้างนอกเท่านั้น พอดีว่าขายได้เงินมาหน่อยเลยอยากซื้อไว้เยอะหน่อยจะได้มีไว้กินนานๆ”

พ่อค้าพยักหน้าเมื่อเห็นท่าทีที่ซื่อตรงของมู่ฉือแล้วพูดกับเด็กในร้านว่า " ไปเอากระสอบมาใส่ให้ท่านมู่ "

ข้าวสารหนึ่งเจี๊ยะเท่ากับร้อยยี่สิบชั่ง นอกจากข้าวฟ่างแล้วข้าวสารกับแป้งบะหมี่ก็แค่เกือบจะสามร้อยหกสิบชั่ง มู่ฉือกับมู่หยางหลิงเป็นคนทานได้เยอะ สำหรับบ้านเขาแล้วทั้งหมดนี้สามารถกินได้ประมาณแค่สามเดือนเท่านั้น

แต่ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไม่น้อยเลย แม้ว่ามู่ฉือจะเลือกซื้อข้าวสารและแป้งที่ราคาปานกลางที่หนึ่งเจี๊ยะราคาหนึ่งตำลึงเงินสามก้วน แต่ก่อนข้าวสารหนึ่งเจี๊ยะใช้เงินเพียงหนึ่งตำลึงเงินกับสองก้วนเงินเท่านั้น แต่ตอนนี้ต้องใช้เงินหนึ่งตำลึงเงินกับสามก้วนเงินแล้ว ต้องรู้ว่าทั้งที่ตอนนี้เป็นช่วงฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว ขนาดเมื่อก่อนยังไม่ถึงฤดูเก็บเกี่ยวราคาแค่หนึ่งตำลึงสองก้วน ตอนนี้กลับแพงขึ้นมาหนึ่งก้วน สิ่งนี้เลี่ยงที่จะทำให้มู่ฉือคิดไม่มากไม่ได้

แป้งบะหมี่ขาวคุณภาพกลางต้องใช้เงินสิบสองอีแปะต่อหนึ่งชั่ง แป้งบะหมี่ดำคุณภาพกลางต้องใช้เงินเก้าก้วนต่อหนึ่งชั่ง ข้างฟ่างแพงที่สุดแล้วสิบแปดอีแปะต่อหนึ่งชั่ง ทั้งหมดนี้ขึ้นราคาหมดแล้ว

ซึ่งปกติแล้วมู่หยางหลิงก็จะให้ความสำคัญกับราคาธัญพืชพวกนี้อยู่แล้ว ณ ตอนนี้เลยต้องเงียบลงทันทีเมื่อรับรู้ได้ว่ามีบางอย่างกำลังผิดปกติไป

หลังจากเด็กในร้านได้จัดใส่ข้าวสารและแป้งบะหมี่เสร็จแล้ว เถ้าแก่ร้านก็ใช้ลูกคิดคำนวณ ในขณะเดี่ยวกันมู่หยางหลิงก็ทำการคิดในใจเสร็จเรียบร้อยแล้ว

" ทั้งหมดคือ สี่ตำลึงสองก้วนยี่สิบอีแปะ " เถ้าแก่ของร้านธัญพืชกับมู่หยางหลิงพูดพร้อมเพรียงกัน

เจ้าของร้านมองไปที่มู่หยางหลิงด้วยความประหลาดใจ ในตอนนี้มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถคิดคำนวณบัญชีได้ และยิ่งน้อยมากที่จะมีคนก็สามารถคิดคำนวนในใจได้อย่างรวดเร็วแบบนี้

มู่ฉือหยิบเงินออกมาจ่าย แต่เงินสองก้วนยี่สิบอีแปะกลับเอามาจากมู่หยางหลิง เมื่อเป็นเช่นนี้เงินที่ได้มาในวันนี้ก็เหลือเพียงสี่ตำลึงสองร้อยแปดสิบสามอีแปะแล้ว หักเงินที่จ่ายค่าธรรมเนียมวันนี้อีกห้าสิบอีแปะ ก็จะเหลือสี่ตำลึงสองก้วนสามสิบสามอีแปะเท่านั้น

ไม่ต้องพูดถึงมู่หยางหลิงแม้แต่มู่ฉือก็อดรู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อยไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นมู่ฉือยังต้องการซื้ออาหารเพิ่มอีกหน่อยไว้สำรอง

มู่ฉือไม่อนุญาตให้ลูกสาวแบกข้าวสารธีญพืชออกไปด้วยตัวเอง เขาระมัดระวังตัวมาโดยตลอดที่จะไม่ปล่อยให้ลูกสาวแสดงความแข็งแกร่งออกมาท่ามกลางผู้คนมากมายเช่นนี้

เมื่อวางของที่ซื้อมาทั้งหมดลงในรถเข็นแล้วทำการมัดไว้เรียบร้อยแล้ว มู่ฉือก็พูดกับลูกสาวที่เงียบไปว่า " ขึ้นรถเข็นมาเร็ว พ่อเข็นลูกกลับบ้าน"

มู่หยางหลิงรีบปีนขึ้นไปบนรถเข็น หันหลังให้พ่อแล้วพูดเสียงดังว่า "ท่านพ่อข้าจับแน่นแล้ว พวกเรารีบกลับบ้านกันเถอะ"

" เอาล่ะ ไปกันได้แล้วนะ " รถเข็นถูกเข็นไปอย่างนิ่งๆเรื่อยๆ

มู่หยางหลิงเอียงศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อมองไปที่แผงขายของทั้งสองข้างทางด้วยสายตากังวล ที่นี่เป็นด่านชายแดนนอกจากได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติและฤดูกาลแล้วธัญพืชเหล่านี้ยังได้รับผลกระทบจากสงครามบ้านเมืองอีกด้วย

ที่อื่นเธอไม่รู้ แต่ตามคำบอกเล่าของผู้หลักผู้ใหญ่ในหมู่บ้าน ธัญพืชของปีนี้ถือว่าเก็บเกี่ยวได้ค่อนข้างดี ข้าวฟ่างและข้าวในทุ่งนาเริ่มค่อยๆสุกแล้ว ในหมู่บ้านก็เริ่มทยอยเก็บเกี่ยวกันแล้ว ถ้าตามอย่างที่ว่าจริงๆราคาธัญพืชในช่วงนี้ก็น่าจะชะลอตัวและค่อยๆปรับราคาลงแล้ว แต่ราคาธัญพืชตอนนี้กลับราคาสูงขึ้น

อารมณ์ของมู่หยางหลิงไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ไม่ต้องการส่งผลกระทบต่อมู่ฉือ ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงหันหลังให้เขา พยายามแสร้งทำเป็นว่าเธอมีความสุขและผ่อนคลายมาก

มู่ฉือไม่ได้กังวลเท่ามู่หยางหลิง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ผ่านอะไรมาเยอะมากแล้ว ต่อให้จะกังวลแต่ก็ไม่สามารถมองออกในทันที เขาคิดว่าเรือถึงฝั่งย่อมมีทางจอดได้เสมอ

ซู่หว่านเหนียงยืนอยู่หน้าประตูเพื่อรอพวกเขากลับมา มู่ปั๋วเหวินก็นั่งเล่นอยู่ข้างๆคนเดียว เมื่อเห็นพ่อเข็นพี่สาวกลับมาแต่ไกลก็โยนก้อนหินในมือออกแล้วรีบวิ่งไปหาอย่างกับจรวด

มู่ฉือหยุดรถเข็นไว้ หลังจากนั้นมู่หยางหลิงก็กระโดดลงไปอุ้มน้องชายขึ้นไปบนรถเข็น แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า " ให้น้องได้นั่งด้วย"

มู่ปั๋วเหวินรู้สึกหอบเล็กน้อยที่วิ่งมาจากหน้าบ้าน เมื่อโดนพี่สาวหิ้วขึ้นรถเข็นด้วยมือข้างเดียวก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร แต่กลับคว้ากระสอบธัญพืชไว้อย่างแน่นแล้วตะโกนด้วยแววตาที่สดใส " ไปข้างหน้าตรงๆ ไปข้างหน้าตรงๆ.”

เมื่อมู่ฉือเห็นลูกชายมีความสุขเขาก็ดีใจและมีความสุขมากเช่นกัน เขาจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ระหว่างทางมู่ปั๋วเหวินได้แต่ตะโกนว่า "โอ้ โอ้" ไม่นานทั้งหมดก็มาถึงหน้าประตูบ้าน

ซู่หว่านเหนียงมองพวกเขาด้วยคิ้วที่คดโก่งแล้วโบกมือให้กับมู่ปั๋วเหวินเล็กน้อย " รีบลงมาเถอะ อย่าทำให้ท่านพ่อต้องเหนื่อยมากกว่านี้เลย"

มู่หยางหลิงหิ้วน้องชายลงมาแล้วหันกลับไปยิ้มแล้วพูดว่า " ท่านแม่ไม่ต้องกังวลหรอก ก็แค่สามสี่ร้อยชั่งเอง ท่านพ่อไม่เหนื่อยหรอก"

มู่ฉือได้แต่พยักหน้าซ้ำๆ " ยังสามารถเพิ่มอีกร้อยกว่าชั่งก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร"

ซู่หว่านเหนียงเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็คเหงื่อให้เขาแล้วพูดเบาๆว่า “ ข้ารู้ว่าเจ้าแรงเยอะแต่อากาศร้อนแบบนี้ต่อให้เดินมือเปล่ายังหอบเลย ทำไมพวกเจ้าไม่รอให้พระอาทิตย์ตกก่อนแล้วค่อยกลับมา ”

มู่ฉือยิ้มอย่างเขินๆแล้วพูดว่า " ข้าเป็นห่วงเจ้ากับลูกชายที่อยู่บ้านเพียงลำพัง" มู่ฉือมองไปที่ท้องของซู่หว่านเหนียง" นี่มันก็เจ็ดเดือนแล้วทำอะไรก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษด้วย"

ซู่หว่านเหนียงเม้มปากแล้วยิ้ม " ไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก ข้าแค่เดินไปรอบๆบ้านเท่านั้นเอง ไม่ได้ทำงานหนักอะไร "

เมื่อเห็นพ่อกับแม่กำลังแสดงความรักต่อกัน มู่หยางหลิงเลยไปแบกข้าวกระสอบหนึ่งเดินเข้าไปในบ้าน เมื่อมู่ปั๋วเหวินเห็นพี่สาวที่แบกข้าวสารจนจะไม่เห็นตัวแล้ว เหลือบตาไปมองแม่ที่ยังเช็คเหงื่อให้ท่านพ่ออยู่ก็รีบเดินตามหลังพี่สาวเข้าไปในบ้านด้วยขาสั้นๆของตัวเอง

มู่หยางหลิงวางข้าวสารลงบนพื้น เมื่อเห็นน้องชายเดินเข้ามาจึงหยิบลูกอมออกมาจากกระเป๋าแล้วยัดใส่มือของน้อง “ นี่คือลูกอมที่พี่ซื้อมาให้เจ้าด้วยตัวเอง รีบกินเถอะ ”

ดวงตาของมู่ปั๋วเหวินเป็นประกายขึ้นทันที " ของพี่สาวล่ะ"

มู่หยางหลิงย่นจมูกแล้วพูดว่า " พี่ไม่ชอบกินลูกอม เจ้ากินเถอะ "

มู่ปั๋วเหวินคิดในใจในโลกนี้คงจะไม่มีใครไม่ชอบกินลูกอมหรอก ที่พี่สาวไม่ยอมกินก็เพราะสละสิทธิ์ให้ตัวเองแน่นอน ดังนั้นมู่ปั๋วเหวินจึงแกะลูกอมออกมา ตัวเองเลียไปคำหนึ่งแล้วยื่นไปป้อนให้พี่สาวต่อพร้อมกับพูดว่า " พี่กินสิ พี่กินคำหนึ่งข้ากินคำหนึ่ง สลับกันกินนะ "

มู่หยางหลิงเห็นน้ำลายที่ยาวเป็นเส้นของมู่ปั๋วเหวินแล้วกินไม่ลง ทั้งส่ายหัวและโบกมือ " พี่ไม่ชอบกินลูกอม พี่ได้ยินมาว่าถ้ากินลูกอมเยอะจนเกินไป ฟันจะผุ ดังนั้นพี่ไม่ชอบกิน เจ้ากินเถอะ ”

มู่ปั๋วเหวินถึงได้พยักหน้าอย่างเข้าใจ " จริงๆด้วย ฟันของพี่หลุดแล้ว เป็นเพราะกินลูกอมจนเยอะเกินไปใช่ไหม " มู่ปั๋วเหวินนึกขึ้นมาอย่างลังเล " ถ้างั้น ถ้าข้ากินลูกอมแล้วฟันจะหลุดเหมือนพี่ไหม"

"… " มู่หยางหลิงพูดย้ำอย่างเคร่งขรึม " ฟันพี่ไม่ได้หลุดเพราะกินลูกอม แต่เป็นเพราะพี่เริ่มโตขึ้นแล้ว เมื่อเจ้าโตเท่าพี่ฟันของเจ้าก็ต้องหลุดเหมือนของพี่เช่นกัน "

มู่ปั๋วเหวินจ้องมองพี่สาวด้วยความหวาดกลัว

มู่หยางหลิงหันหลังแล้วเดินออกไปเพื่อที่จะไปแบกข้าวสารที่เหลือเข้ามา

มู่ปั๋วเหวินจ้องมองลูกอมที่อยู่ในมือแล้วพูดกับตัวเองว่า " ในเมื่อโตขึ้นมาฟันถึงจะหลุด งั้นตอนนี้ข้าขอกินเยอะหน่อยก็แล้วกัน เพราะไม่ว่าอย่างไงฟันก็ต้องหลุดอยู่ดี …

มู่หยางหลิงที่พึ่งจะเดินออกไปจากในบ้านได้ยินเข้าพอดี "… "

มู่หยางหลิงขนย้ายทุกอย่างเข้าไปในบ้านแล้ว ซู่หว่านเหนียงก็เข้าไปในห้องครัวเพื่อทำอาหารให้สองพ่อลูกกิน มู่ฉือยืนอยู่ข้างนอกห้องครัวแล้วพูดว่า " ให้ข้าทำเองจะดีกว่าท้องของเจ้าเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆแล้ว "

ซู่หว่านเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า " คนอื่นเขาท้องเจ็ดเดือนยังลงนาอยู่เลย ข้าแค่เข้าครัวทำกับข้าวเอง เจ้ารีบไปพักผ่อนในบ้านเถอะ เดี่ยวข้าก็ทำเสร็จแล้ว "

มู่หยางหลิงกับมู่ปั๋วเหวินพากันพยักหน้าใหญ่เลย “ ใช่ ท่านพ่อเข้าไปพักผ่อนในบ้านเถอะ ให้ท่านแม่ทำกับข้าวเองจะดีกว่า ”

มู่ฉือตบหัวของพวกเขาเบาๆ “ ก็เพราะรังเกียจที่ท่านพ่อทำกับข้าวไม่อร่อยสินะ มีกินก็บุญแล้ว และที่สำคัญฝีมือของพ่อก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น”

ใช่ มันไม่ได้แย่อะไรเลย แต่ถ้าเทียบกับฝีมือของท่านแม่แล้ว ต่างกันอย่างกับฟ้ากับดินเลย

มู่หยางหลิงกับมู่ปั๋วเหวินบ่นอยู่ในใจ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด