อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 7 ตั้งแผงขาย

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 7 ตั้งแผงขาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มู่ฉือพาลูกสาวไปยังเจ้าหน้าที่เพื่อจ่ายค่าธรรมเนียมในการตั้งแผงขายของ

เมื่อก่อนในตลาดสดหรือตามตลาดนัดไม่มีการเสียค่าธรรมเนียมใดๆทั้งสิ้น เพื่อให้ประชาชนสามารถตั้งแผงขายของเล็กๆน้อยๆได้อย่างเสรี เป็นเพราะหลายปีมานี้ราชวงศ์โจวนั้นได้แพ้สงครามติดต่อกัน ทำให้สกุลเงินลดลงบวกกับความฟุ่มเฟือยในราชวงศ์ แค่ภาษีบุคคลและภาษีทุ่งนามันไม่เพียงพออีกต่อไป ดังนั้นการเก็บภาษีทางการค้าจึงหนักกว่าเดิม แม้แต่ตลาดสดในตัวตำบลในหมู่บ้านหรือตลาดนัดในพื้นที่ชนบทก็รวมอยู่ในการจัดเก็บภาษีด้วย

เมื่อก่อนที่จังหวัดซิงหยวนยังไม่ขึ้นเป็นเขตชายแดนนั้น การเข้าเมืองยังต้องจ่ายภาษีอีกด้วย หลังจากที่จังหวัดซิงหยวนกลายเป็นเขตชายแดน นอกเหนือจากภาษีทั่วไปแล้ว อยู่ดีคืนดียังมีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายของทหารเป็นช่วงๆเป็นระยะ เพราะเงินภาษีหนักจนเกินไปทำให้คนในจังหวัดซิงหยวนเกือบจะประท้วงขึ้นมา ราชวงค์ถึงได้ยกเลิกภาษีเข้าเมืองและสิ่งของเล็กๆน้อยๆบางอย่างออกไป แต่ถึงจะเป็นอย่างงี้ภาระภาษีที่ต้องจ่ายยุ่งเหยิงในทุกๆปีก็หนักมากเช่นกัน

ดังนั้นตอนนี้จึงมีคนตั้งแผงขายของน้อยลงไปมาก ต่อให้พวกเขาจะมาสายก็ยังมีที่แผงดีๆให้เลือกอยู่

มู่ฉือเป็นลูกค้าประจำในตลาดมานานพอสมควร ดังนั้นเมื่อเจ้าหน้าที่เห็นเขามาจึงส่งป้ายให้เขาทันทีแล้วพูดว่า " แผงขายที่เจ้าใช้ประจำยังคงว่างอยู่เอาไปเถอะ"

มู่ฉือกล่าวคำขอบคุณแล้วหยิบเหรียญเงินออกมาจ่ายค่าตั้งแผงทันที จากนั้นก็เข็นรถเข็นของตนไปยังแผงประจำของตัวเอง

มู่หยางหลิงนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหลังแล้วถามอย่างสงสัยว่า " ท่านพ่อ ท่านย่าใหญ่คนนั้นเป็นญาติสนิทใกล้ชิดเลยเหรอ ทำไมข้าไม่เคยเจอท่านล่ะ"

"แต่ก่อนท่านยังเคยอุ่มลูกเลย ลูกไม่ยอมกินนม ท่านเป็นคนสอนให้พ่อเอาซุปข้าวป้อนลูกถึงได้เลี้ยงลูกจนโตนี่ไง "

ใช่เหรอ ดวงตาของมู่หยางหลิงเต็มไปด้วยความสงสัย เธอมีความทรงจำมาตั้งแต่เธอเกิด ทำไมเธอถึงจำเรื่องนี้ไม่ได้ล่ะ

มู่หยางหลิงเอียงศีรษะแล้วคิดอย่างละเอียด ท่าทางที่น่ารักของเธอนี้ทำให้มู่ฉือหัวเราะออกมาแล้วพูดว่า " เด็กน้อยเอย ตอนนั้นเจ้ายังไม่มีความทรงจำเลยจะจำได้ยังไงกัน อย่าไปคิดมันอีกเลยตั้งแต่ลูกอายุได้สี่ขวบท่านย่าใหญ่ของลูกก็ไม่เคยกลับมาที่หมู่บ้านเราเลย ลูกย่อมจำไม่ได้เป็นเรื่องธรรมดา ”

“ ท่านย่าใหญ่แต่งงานไกลบ้านมากเลยเหรอ ” ในยุคนี้ มีแต่คนที่แต่งงานไกลบ้านมากถึงจะไม่กลับบ้านเกิด

มู่ฉือส่ายหัว " ไม่ใช่หรอก ท่านย่าใหญ่อยู่แค่หมู่บ้านหลังภูเขาลูกนั้นเอง ข้ามภูเขาลูกนั้นไปยังทางทิศตะวันตกของบ้านเราก็ถึงแล้ว "

มู่หยางหลิงประหลาดใจ “ แล้วทำไมท่านย่าใหญ่ถึงไม่กลับบ้านล่ะ หรือว่าเป็นเพราะภูเขาลูกนั้นมีสัตว์ป่าที่อันตรายมากเหรอ หรือว่าท่านย่าใหญ่อายุมากแล้วต้องเดินอ้อมไปไกลเหรอ ”

แม้ว่าเขาซีซานจะไม่อันตรายเท่าภูเขาหน้าบ้านลูกนั้น แต่ความอันตรายก็มีมาบ่อยครั้งและยังคงมีสัตว์ร้ายมาก่อความวุ่นวายอยู่บ่อยๆ ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงไม่เดินข้ามภูเขาลูกนั้นมาตรงๆ ส่วนใหญ่จะเดินอ้อมมาซึ้งทำให้ต้องใช้เวลาเดินอีกหลายชั่วโมง

มู่ฉือส่ายหัว " ยังไม่หมดแค่นี้ " มู่ฉือหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า " ท่านย่าใหญ่ของลูกได้แต่งงานกับคนตระกูลหม่าในหมู่บ้านซีซาน ซึ่งมีลูกชายเพียงแค่คนเดียวก็คือท่านลุงของลูก … "

ชีวิตของท่านย่าใหญ่ระหว่างหม่าหลิวซื่อนั้นไม่สู้ดีนักสามารถบอกได้ว่ายากลำบากมาก

ท่านต้องสูญเสียสามีตั้งแต่ยังสาวๆ กว่าจะเลี้ยงดูลูกชายจนเป็นผู้เป็นคน ลูกชายก็ต้องมาเสียชีวิตลงตั้งแต่ยังหนุ่มๆเพราะความไม่สงบของบ้านเมือง ลูกสะใภ้ยังถูกทำร้ายจนอาการสาหัสเพื่อช่วยลูกชายของนาง ต่อมาก็ได้ให้กำเนิดทารกเพศชายออกมาในอาการที่บาดเจ็บสาหัส หลังจากนั้นไม่ถึงสามชั่วยามก็เสียชีวิตลง ทุกวันนี้ก็เหลือแค่หลานสาวเพียงสองคนที่สามารถพึ่งพากันและกัน

มู่ฉือพูดต่อว่า " ท่านลุงของลูกโดนน้องชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขานำพาความเดือนร้อนมาใส่ตัว แต่คนในครอบครับของเขาไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกผิดแต่ยังเอาเความผิดทั้งหมดนี้โยนไปให้ท่านย่าใหญ่อีก บอกว่าท่านย่าใหญ่เป็นหญิงกาลกิณีทำให้สามีและลูกหลานต้องตาย ท่านลุงและน้าๆของฝ่ายย่าใหญ่ก็ไม่ให้ความช่วยเหลืออะไรท่านเลย ท่านย่าใหญ่ของลูกรู้สึกเสียใจและหมดหวังจึงไม่ได้กลับไปที่บ้านเกิดอีกเลย”

ขณะที่พูดมู่ฉือยิ่งรู้สึกผิดขึ้นไปใหญ่ " แต่ก่อนนั้นท่านย่าใหญ่ดูแลและให้ความช่วยเหลือพ่อมาไม่น้อย ตอนที่ท่านย่าใหญ่เกิดเรื่องพ่อเอาแต่กังวลพวกเจ้าจนลืมเรื่องของท่านย่าใหญ่ไปเลย ท่านคนเดียวต้องเลี้ยงดูหลานเล็กๆสองคนด้วยตัวเองยังต้องโดนอาคนเล็กและภรรยาของเขารังแกอีก ไม่รู้ว่าท่านอยู่ในหมู่บ้านซีซานนั้นเป็นยังไงบ้าง” มู่ฉือยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจขึ้นเท่านั้น ใบหน้ายิ่งเต็มไปด้วยความเป็นห่วง “ หลังจากกลับถึงบ้านแล้ว พ่อจะลองไปเยี่ยมท่านย่าใหญ่ของลูกที่หมู้บ้านซีซานดูว่าเป็นอย่างไงบ้าง”

มู่หยางหลิงมีความประทับใจในตัวท่านย่าใหญ่คนนี้มาก เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มออกมาแล้วพูดว่า "ท่านพ่อถ้างั้นให้ข้าไปน่าจะดีกว่า ท่านไปแบบนี้ท่านย่าใหญ่อาจจะไม่สบายใจก็ได้ อาจจะคิดว่าท่านไปเพราะสงสารพวกเขา ข้าว่าข้าไปจะดีกว่านะ อย่างไรก็ตามหมู่บ้านซีซานก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านของเรา ข้ามือไม้ว่องไวประมาณครึ่งชั่วโมงก็ข้ามไปถึงแล้ว"

มู่ฉือไม่เคยต้องกังวลเรื่องที่ลูกสาวเข้าป่า ความแข็งแกร่งและแรงของลูกสาวนั้นมากกว่าเขารวมถึงทักษะการเอาตัวรอดในป่าของเธอชำนาญกว่าเขาเช่นกัน เลยทำให้มู่ฉือคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นพรสวรรค์ของเธอ มิฉะนั้นเขาจะไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่าทำไมเด็กอายุเพียงเก้าขวบจะรู้วิธีการป้องกันตัวจากสัตว์ร้ายงูพิษแมลงและสัตว์ต่างๆแถมยังสามารถแยกแยะทิศทางในป่าทึบได้ฯลฯ

“ พ่อค้า กระต่ายเหล่านี้ขายอย่างไรจ๊ะ ” ลูกค้าคนหนึ่งที่ถือตะกร้าอยู่ถามขึ้นมา

เมื่อมู่ฉือเห็นว่ามีคนมาถามซื้อจึงรีบลุกขึ้นแล้วพูดอย่างยิ้มๆ "กระต่ายหนึ่งชั่งยี่สิบอีแปะ "

ลูกค้าสาวขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “ ขายราคายี่สิบอีแปะเลยเหรอคงไม่ได้เป็นกระต่ายที่ตายไปนานแล้วนะ ”

มู่ฉือตบไปที่หน้าอกของเขาแล้วพูดว่า " ทั้งหมดนี้เพิ่งจะไปล่ามาในตอนเช้าวันนี้ท่านสามารถวางใจได้เลย ข้าขายเนื้อสัตว์ที่นี้มานานแล้วไม่เคยขายสัตว์ป่าที่ค้างคืน"

ลูกค้าสาวเลิกคิ้วแล้วมองเขาด้วยรอยยิ้ม "แล้วถ้าเหลือล่ะทำยังไง"

มู่หยางหลิงกลอกตาเล็กน้อย รู้สึกว่าสายตาที่จ้องมองสินค้าอยู่นานของอีกฝ่ายไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย แน่นอนว่ามู่ฉือก็ตอบกลับอย่างจริงจัง " ที่เหลือค้างคืน ที่บ้านเราจะเอาไปทำเป็นอาหารตากแห้งไว้เป็นเสบียงไม่เคยเอาออกมาขายข้างนอก "

ขณะที่ลูกค้าสาวกำลังลังเลอยู่ มู่หยางหลิงยิ้มขึ้นมาแล้วพูดว่า " อาซ้อคนสวยเนื้อสัตว์ของบ้านข้า เป็นที่ขึ้นชื่อในตลาดนี้เลยนะ ทั้งสดใหม่และถูกที่สุดแล้วขายวันต่อวันถ้าไม่เชื่อลองไปสอบถามคนรอบข้างดูก็ได้ "

เมื่อลูกค้าสาวได้ยินว่าเด็กผู้หญิงเรียกตัวเองว่าอาซ้อคนสวยก็ดีใจใหญ่เลย นางกำลังคิดว่าซื้อที่ไหนก็ต้องซื้อ เจ้านี้ดูแล้วไม่เลวที่สำคัญดูใหม่กว่าเจ้าอื่นๆจริงๆด้วย จากนั้นก็ชี้กระต่ายตัวหนึ่งแล้วพูดว่า " ถ้าอย่างนั้นข้าเอาตัวนี้ก็แล้วกันรบกวนพ่อค้าช่วยชั่งให้หน่อยได้ไหม "

"ได้เลย" มู่ฉือรีบชั่งให้อย่างรวดเร็วแล้วพูดขึ้นว่า " สองชั่งกับอีกเจ็ดขีด ข้าคิดให้แม่นางสองชั่งห้าขีดก็แล้วกัน ให้เจ็ดสิบอีกแปะก็พอแล้ว"

ลูกค้าสาวเอาเงินออกจะกระเป๋านับเงินเจ็ดสิบอีแปะให้กับมู่หยางหลิงอย่างใจเย็นแล้วยิ้มหวานพูดว่า " ถ้ากระต่ายของบ้านเจ้าอร่อย ไว้คราวหน้าข้าจะมาซื้ออีก แต่ถ้าให้สามีข้ากินแล้วบอกว่าไม่สดแล้วล่ะก็ข้าเอามาคืนแน่ "

มู่ฉือตบหน้าอกของตัวเองแล้วพูดคำมั่นว่า " ไม่ต้องห่วง บ้านข้ามาขายเนื้อสัตว์ในตลาดเส้นนี้ประจำเกือบทุกวัน ถ้าเย็นวันนี้ท่านกินแล้วรู้สึกไม่สดไม่อร่อยแล้วล่ะก็พรุ่งนี้มาหาข้าได้เลย "

ลูกค้าสาวจากไปอย่างพึงพอใจ

มู่หยางหลิงจ้องมองเงินเจ็ดสิบอีแปะที่อยู่บนฝ่ามือของตัวเองแล้วกระซิบพูดว่า "ท่านพ่อ กระต่ายตัวนี้ข้าเป็นคนยิงได้นะ"

มู่ฉือยิ้มอย่างเต็มใจแล้วพูดว่า " ได้จ๊ะ งั้นเงินนี้ลูกเก็บเอาไว้เองเลย ตอนกลับไปค่อยเอาไปซื้อลูกอมให้น้องชายและตัวเองกิน"

มู่หยางหลิงเม้มริมฝีปากเล็กน้อย “ ข้าไม่ชอบกินลูกอมอะไรซะหน่อย เก็บเอาไว้ซื้อข้าวฟ่างให้แม่กับน้องดีกว่า ” กระเพาะของซู่หว่านเหนียงไม่ค่อยจะดี และร่างกายของน้องชายมู่ปั๋วเหวินก็ค่อนข้างที่จะอ่อนแอ ดังนั้นเลยต้องกินพวกข้าวฟ่างบ่อยๆเพื่อช่วยบำรุงกระเพาะอาหารและร่างกาย

มู่ฉือรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่เห็นลูกสาวมีน้ำใจและกตัญญู

มู่ฉือเป็นเจ้าประจำที่มาขายสัตว์ป่าที่นี่ทำให้มีลูกค้าเก่าจำนวนมาก หลังจากนั้นไม่นานสัตว์ป่าที่เหลือก็ถูกขายจนหมด มู่หยางหลิงนับเงินอย่างมีความสุขแล้วพูดกับมู่ฉือว่า " ท่านพ่อพวกเราขายได้ตั้งห้าร้อยสามสิบแปดอีแปะเลยนะ เดียวพวกเราไปหาซื้อซี่โครงกลับไปให้ท่านแม่ตุ่นกินดีกว่า"

“ ก็ดีเหมือนกันแล้วค่อยซื้อหมูสามชั้นให้ลูกกินอีกหนึ่งชั่งดีไหม ”

ทันใดนั้นใบหน้ามู่หยางหลิงก็ยิ้มออกมาเหมือนดอกไม้บาน แสดงให้เห็นถึงลักยิ้มที่อยู่ฝั่งซ้ายของแก้มทำให้จิตใจของมู่ฉือดีขึ้นมาทันที

มู่ฉือพาลูกสาวไปซื้อเนื้อหมู ทำให้มู่หยางหลิงอดกลืนน้ำลายไม่ได้แม้ว่าที่บ้านจะไม่เคยขาดแคลนเนื้อเหล่านี้เลย แต่สัตว์ป่าไม่ได้อ้วนติดมันเหมือนสัตว์ที่เลี้ยงอยู่ในบ้าน ในยุคนี้ยกเว้นพวกคนรวยที่กินไก่เป็ดปลาจนเบื่อถึงจะชอบอาหารสัตว์ป่ามากกว่าอาหารที่มาจากสัตว์เลี้ยงในบ้าน ส่วนคนฐานะทั่วไปก็จะชอบกินพวกอาหารที่มาจากสัตว์เลี้ยงที่อ้วนติดมัน

อย่างมู่หยางหลิงตอนนี้ก็จะชอบกินเนื้อหมูและเนื้อไก่ที่เลี้ยงเองในบ้านเพราะอ้วนติดมันดีมาก

ฉังขายหมูในเมืองนี้รู้จักและสนิทกับมู่ฉือมาก อย่างปกติที่มู่ฉือไม่มีเวลามาตั้งแผงขายก็จะขายสัตว์ป่าเหล่านั้นให้กับฉังขายหมูคนนี้แล้วให้เขาขายต่ออีกที

เมื่อฉังขายหมูเห็นว่ามู่ฉือเดินเข้ามาก็พูดขึ้นอย่างยิ้มๆว่า "มู่ฉือ ได้ยินมาว่าวันนี้เจ้าได้กำไรมาก้อนหนึ่งเหรอ " ในตัวตำบลก็เป็นเช่นนี้แหละไม่เคยมีความลับอะไร ดังนั้นทันทีที่มู่ฉือเดินออกมาจากหอเพียวเซียง การที่เขาได้กำไรมาแปดตำลึงเงินนั้นก็ถูกกระจายไปทั่วแล้ว

มู่ฉือทำอะไรไม่ถูก " หลังจากเอาไปจ่ายเงินภาษีแล้ว ก็ไม่เหลืออะไรแล้ว "

ฉังขายหมูก็ยังกังวลเล็กน้อยอยู่เหมือนกัน "ใช่สิ การเรียกเก็บเงินภาษีของปีนี้หนักจนเกินไปจริงๆ"

มู่หยางหลิงมองไปที่เนื้อหมูที่วางอยู่บนเขียงแล้วพูดว่า " ลุงฉัง ช่วยเอาหมูสามชั้นและซี่โครงหมูให้บ้านเราอย่างละเส้นได้ไหม " เสียงที่ดังกึกก้องทำลายบรรยากาศที่น่าเบื่อลง

ฉังขายหมูยิ้มอย่างไมตรี “ ได้เลย อาหลิงรอสักครู่นะ ลุงฉังจะหั่นให้เดียวนี้เลย ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด